คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : โฉมงาม 2 ( ๑๐๐ % )
ราชสำนักที่เคยอึมครึมจากเหตุการณ์สิ้นชีวิตของฮองเฮาจาง ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า คุณชาย ตวนมู่หญงที่เคยลาไปพักรักษาตัว จะกลับเข้ามารับราชการใหม่อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้คุณชายได้ถูกส่งไปรับใช้องค์รัชทายาทตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ส่งผลให้บรรดาขุนนางต่างๆ จับตามองบุรุษผู้นี้ ซึ่งอาจจะถูกวางตัวเอาไว้เป็นเสาหลักในรัชการต่อไปก็เป็นได้
ที่จวนมหาเสนาบดี ท่านมหาเสนาบดีนั่งมองบุตรชายคนเดียวของตนที่หายหน้าหายตาไปนาน เนื่องจากต้องไปทำภารกิจลับในเบื่องบน ด้วยความกังวลยิ่ง
“ลูกเอย...เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะเข้าวังตอนนี้”
ตวนมู่หญงที่ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่บ้างเล็กน้อย ส่ายหน้าช้าๆ “ข้าหายดีแล้ว ท่านพ่ออย่าได้กังวลไป” เธอพยายามดูให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด แม้ว่าจะเจ็บแผลที่ยังไม่หายดีนักก็ตาม
ท่านแม่ของตวนมู่หญงที่นั่งอยู่ข้างกายท่านมหาเสนาบดีอดลนทนไม่ไหวจนพูดขึ้นมา “ ท่านพี่ ข้าว่าอย่าให้ลูกเรากลับเข้าวังเลยดีไหม..ดูซิเข้าวังไม่นานลูกเราก็ต้องบาดเจ็บเฉียดตายเช่นนี้แล้ว...ข้ากังวลใจเหลือเกิน” ท่านแม่มองบุตรสาวของตนด้วยสายตาห่วงหา นางไม่เคยคิดเลยว่าการเข้าไปทำงานในราชสำนักจะอันตรายถึงเพียงนี้ และยิ่งความลับเรื่องเป็นสตรีของบุตรสาวของนางด้วยแล้ว ยิ่งทำให้นางเป็นกังวลมาก แม้ว่าตวนมู่หญงจะบอกนางแล้วว่าไม่ต้องกังวลก็ตามที
“น้องหญิงใยกล่าวเช่นนี้...ลูกเราเป็นขุนนางที่ได้รับความไว้ใจจากฝ่าบาทเช่นนี้สมควรจะดีใจเสียมากกว่า...น้องหญิงจงจำไว้ ถ้าไม่มีเรื่องร้ายก็ไม่มีผลงานของวีรชน...”ท่านมหาเสนาบดีทอดสายตามองตวนมู่หญงความรักและความภาคภูมิใจ “และข้าก็เชื่อว่าลูกชายของเรารู้ตัวดีว่าทำอะไรอยู่ ข้าบอกว่าได้ก็ต้องแปลว่าได้”
ตวนมู่หญงที่ได้ยินคำพูดของท่านพ่อก็ได้ยิ้มรับคำกล่าวนั้น ทั้งๆที่ในใจอยากจะบอกต่อท่านทั้งสองเหลือเกินว่าไอ้คนที่บอกว่าหายดีแล้วนะ เธอไม่ได้บอก แต่เป็นท่านแม่ทัพเฮยจื่อที่เป็นคนฝึกเธอต่างหากที่ตัดสินใจว่าเธอหายดีแล้ว จึงส่งให้เธอเข้าวังไปรับทำความรู้จักและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับองค์รัชทายาท
หลังจากลาท่านพ่อและท่านแม่แล้ว ตวนมู่หญงก็กลับไปยังที่เรือนพักของตนเอง โดยที่ให้เหล่าคนรับใช้ออกไปให้หมด เหลือไว้เพียงแต่จูเอ๋อเท่านั้น พอได้เวลาเงาดำร่างหนึ่งก็รอบเข้ามาในเรือนพักของเธอ ซึ่งเงาดำนั้นไม่ใช่ใครอื่น แม่ทัพเฮยจื่อนั่นเอง
“เป็นไงบ้างโฉมงาม...วันนี้ยังเจ็บแผลอยู่อีกหรือไม่”
ตวนมู่หญงเหลือบตามองคนพูดที่ดูสบายอกสบายใจในการมองเธอแบบไม่รู้เบื่อ อย่างหมั่นไส้ แล้วตอบไปว่า “ถ้าข้าบอกว่ายังเจ็บแผลอยู่ ท่านจะยกเลิกเรื่องให้ข้ากลับเข้าวังหรือไม่เล่า ท่านแม่ทัพ”
เฮยจื่อไม่ได้กล่าวตอบอะไร ซึ่งเป็นการยอมรับว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยกเลิกเรื่องการให้เธอกลับเข้าวัง
ตวนมู่หญงก็ได้ถอนหายใจ “ พรุ่งนี้ข้าต้องเตรียมตัวอะไรบ้างละ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เจ้าเข้าวังตามปรกติ ซึ่งเจ้าต้องไปเฝ้าฝ่าบาท ที่ห้องพระอักษร ก่อนที่จะไปพบองค์รัชทายาทก็เท่านั้น”
คำพูดที่บอกว่าเธอต้องไปพบกับฮ่องเต้ ทำให้เธอตัวแข็ง หัวใจแอบเจ็บแปลบมิได้ แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครูก่อนที่จะกลับเป็นปรกติ และสิ่งนี้ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเฮยจื่อไปได้ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้น
“เอาละข้ามาแจ้งข่าวต่อเพียงเท่านี้...แต่อย่าลืมสิ่งที่ข้าเคยบอกท่าน...จงระวังทุกฝีก้าวที่ท่านก้าวอยู่เคียงข้างองค์รัชทายาท...” แล้วเฮยจื่อก็หลบออกไปจากห้องพักของตวนมู่หญง โดยทิ้งให้เธอนั่งคิดถึงสิ่งที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้
****************************************************************************************************
ขุนนางทั้งน้อยใหญ่ที่มาราชสำนักในวันนี้ ต่างก็มองตามบุรุษร่างสูงโปร่ง ผู้ได้รับขนานนามโฉมงามแห่งราชสำนักผู้ซ่อนใบหน้าอยู่หลังหน้ากาก คุณชายหยกขาว ตวนมู่หญง ผู้ที่ห่างหายไปจากราชสำนัก ก็ได้กลับมาใหม่ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนตำแหน่งหน้าที่จาก้าวหน้า สร้างความชื่นชม และอิจฉาในหมู่ขุนนาง
ณ ห้องพระอักษร
“เรียนฝ่าบาท ท่านตวนมู่หญงมาขอเข้าเฝ้าพะยะคะ” เสียงขันทีรายงานเข้าไปในห้องพระอักษร ไม่นานก็มีเสียอนุญาต แล้วประตูห้องพระอักษรก็เปิดออก ตวนมู่หญงในขุดขุนนางก็เดินอย่างนอบน้อมเข้าไป และเมื่อประตูปิดลง ภายในห้องนั้นก็เหลือเพียงเธอกับฝ่าบาทสองคน
ภายในห้องที่ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามวิจิตบรรจง บรรยากาศมีแต่ความเคร่งขรึมและเย็นชา ตวนมู่หญงที่ยังคงคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน มิได้เงยหน้าขึ้นหรือกล่าวอะไร ซึ่งเธอหาได้รู้ไม่ว่า ในตอนนี้ฮ่องเต้ที่มองเธออยู่นั้น ในสายตาของพระองค์ได้ทอดแสงแห่งความห่วงใย และข่มขื่น ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พระองค์ไม่สามารถแสดงให้ใครเห็นได้ เพราะมันจะเป็นจุดอ่อนของพระองค์ได้
“อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วหรือ” น้ำเสียงที่นิ่งสงบไม่สื่ออารมณ์ของฮ่องเต้ ทำให้ตวนมู่หญงอดที่จะเศร้าและน้อยใจมิได้
“อาการของหม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ อาจเจ็บแผลบ้าง แต่ก็ไม่อันตรายเพคะ” ตวนมู่หญงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อาจปกปิดความน้อยใจได้หมด
ฮ่องเต้ยิ้มที่มุมปาก เพราะสิ่งที่เขาได้ยินจากน้ำเสียงของสตรีตรงหน้าบ่งบอกว่า นางยังคงมีเยื่อใยต่อพระองค์อยู่หาได้ แค้นใจพระองค์จนตัดขาดหมดสิ้นเยื่อใย
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว” พระองค์กล่าว “ เจ้าจงลุกขึ้นและเงยหน้าขึ้นเถอะ”
ตวนมู่หญงทำตามบัญชา แล้วก็ได้เห็นพระองค์ในรอบหายวัน ใบหน้าที่เคยสง่างามสมวัย บัดนี้ดูซูบซีด และฉายแววของความอ่อนล้าอย่างเต็มที จนเธออดที่จะตกใจ จนอุทานไม่ได้
“ฝ่าบาท ทรงเกิดอะไรขึ้นเพคะ ใยพระองค์ซูบซีดเช่นนี้”
พะองค์อยากจะเข้าไปโอกอด และบอกสตรีตรงหน้าเหลือเกินว่า พระองค์คิดถึงนางมากเพียงใด และเหนื่อยล้าจากเรื่องขององค์รัชทายาท ที่ทำให้พระองค์ต้องอดกลั่นเป็นที่สุด เนื่องจากพระองค์ไม่สามารถกล่าวคำว่าเสียใจในสิ่งที่พระองค์ได้ตัดสินใจไปแล้ว ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจของพระองค์ไม่สามารถพูดออกมาได้ พระองค์จึงได้แต่โบกมือให้นางเงียบ
“ตวนมู่หญงฟังบัญชา...เราส่งให้เจ้าไปรับใช้องค์รัชทายาทในฐานะขุนนางผู้ติดตาม ของใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาทอย่างเต็มที่...จนกระทั่ง....” ฮ่องเต้หยุดพูด เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วพระองค์ก็กล่าวออกมา “จนกระทั่งองค์รัชทายาทกลับมาจากการเป็นทูตที่แคว้นซีเซียง...เจ้าจงเปิดเผยโฉมหน้าและแสดงตนเป็นสตรีได้”
“ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นจากโต๊ะ และเดินอย่างเชื่อช้าเข้าไปหาตวนมู่หญงที่ยืนนิ่ง และเอื้อมมือไปถอดหน้ากาก เผยใบหน้าที่งดงามตรึงใจต่อผู้พบเห็น พระองค์มองใบหน้านั้นเหมือนจะตราตรึงทุกอนูเข้าไปในความทรงจำของพระองค์
“ เมื่อเจ้าทำงานชิ้นนี้เสร็จ เจ้าจะเป็นอิสระจากหน้าที่ทั้งหมด เจ้าจงใช้ชีวิตตามต้องการและตามเพศที่แท้จริงของเจ้าเถิด...เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องบิดาของเจ้า เราจะพูดให้เจ้าเอง” ฮ่องเต้กล่าว แล้วพระองค์สวมหน้ากากนั้นกลับไปที่ใบหน้าของนางอีกครั้ง แต่ทว่าตวนมู่หญงกลับคว้ามือนั้นเอาไว้ ดวงตาที่งดงามหยาดเยิ้มนั้นมองสบตาที่คมเข้มของมหาบุรุษอย่างไม่หวั่นเกรง
“หน้าที่ของหม่อมฉันยังไม่หมด ฝ่าบาทอย่าลืมว่า หม่อมฉันยังหารักแท้ให้พระองค์ไม่ได้ หม่อมฉันยังไม่สามารถเป็นอิสระได้”
ดวงตาคมดังเหยี่ยวของฮ่องเต้สว่างวาบก่อนที่จะเลือนหาย แล้วพระองค์ก็บรรจงสวมหน้ากากให้ โดยที่ครั้งนี้เธอไม่ได้ขัดขืนอีก
“เอาละ...เจ้าไปพบองค์รัชทายาทได้แล้ว”
“เพคะ..หม่อมฉันทูลลา”
หลังจากตวนมู่หญงออกไปแล้ว ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงจะดีใจก็ไม่ใช่ จะเศร้าใจก็ไม่เชิง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ขันทีรับใช้ไม่ได้ ทว่าพวกขันทีก็ไม่กล้าที่จะทูลถามว่าเกิดสิ่งใดกับเจ้ามหาชีวิตของตน
“เจ้านกน้อยแสนสวยเอย....เราเปิดทางปล่อยเจ้าไปแล้ว เจ้ายังกลับมาหาเราอีกครั้ง...เราคงไม่อาจปล่อยเจ้าไปจากอกเราได้อีกแล้วสินะ...เราคงไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้อีกแล้ว....”
*************************************************************************************
ที่ตำหนักขององค์รัชทายาท เมื่อราชโองการแต่งตั้งตวนมู่หญงมาเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ องค์รัชทายาทก็ได้แต่กัดฟันยอมรับราชโองการนั้น
“ถ้าข้าบอกว่าไม่ต้องการก็คงไม่ได้สินะ” องค์รัชทายาทพูดอย่างข่มขื่น และปลายตามองไปยังตนมู่หญงที่คุกเข่าอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้า บุคคลที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นถึงยอดโฉมงามแห่งแผ่นดิน ที่ถึงกับต้องใช้หน้ากากปิดบังใบหน้า เพื่อความสงบแห่งราชสำนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก แต่ในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว หลังจากพระมารดาได้สิ้นไป
แม้ว่าเสด็จพ่อของเขาจะบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแผนการ ทว่าเขาในฐานะผู้ชายด้วยกันใยจะไม่ดูออกว่า ระหว่างเสด็จพ่อกับขันทีผู้นั้นมันไม่ใช่แผนการ มันคือความจริง และเขาก็มั่นใจว่าพระมารดาก็ต้องรู้อยู่เต็มอกในเรื่องนี้จนวินาที่สุดท้ายแห่งชีวิต ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทรงหลอกพระมารดาของเขาเช่นไรในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต ทำให้เขาพาลเกลียดพวกหนุ่มรูปงามหรือบุรุษผู้ที่มีลักษณะใกล้เคียงสตรีเยื่องบุคคลตรงหน้า
“ลุกได้แล้ว” ตวนมู่หญงรีบทำตาคำสั่งขององค์รัชทายาท ลุกขึ้นยืน และเงยหน้ามององค์รัชทายาท ที่เคยเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามสง่าและเปิดเผย แต่ในปัจจุบันได้บุรุษผู้นั้นได้เลือนหายไปแล้วเหลือแต่ บุรุษที่มีแต่ความเศร้าและความโกรธ
“ข้าเคยได้ยินคำเล่าลือมานานแล้วว่า เจ้าเป็นสุดยอดโฉมงามแห่งแผ่นดิน ที่ขนาดสตรีก็อย่างหาญมาประชันโฉมกับเจ้าได้” องค์รัชทายาทกล่าวเอื่อยๆ
“หาเป็นเช่นนั้นไม่...เกล้ากระหม่อมเพียงแต่หน้าตาดีกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“งั้นรึ” องค์รัชทายาทกวาดสายตามองบุคคลตรงหน้า “ เจ้าจงถอดหน้ากากนั่นให้เราได้ยลโฉมหน่อยเป็นไรเพื่อให้ข้าได้ตัดสินว่าสิ่งที่ข้าได้ยินนั้นเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด”
เมื่อได้รับคำสั่ง ตวนมู่หญงก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี และเมื่อหน้ากากนั้นหลุดออก ใบหน้าที่แท้จริงของเธอได้ปรากฏแต่สายตาขององค์รัชทายาท ใบหน้าที่งดงามเกินใครจะคาดคิดนั้น ทำให้องค์รัชทายาทถึงกับกลั่นหายใจ เขาต้องยอมรับว่ามันงดงามจริง ดังคำเล่าลือ ถ้าเขาไม่รู้เรื่องของบุคคลผู้นี้มาก่อน เขาคงคิดว่าบุคคลตรงหน้าเป็นเทพธิดาจากสวรรค์เป็นแน่
“เจ้างดงามสมกับคำเล่าลือ” องค์รัชทายาทกล่าวอย่างยอมรับ และมันยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจบุคคลตรงหน้านี้มากขึ้น
“ตั้งแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องปิดบังใบหน้านั้นอีกแต่ไป” แล้วองค์รัชทายาทก็โยนมีดประจำองค์ไปยังเบื้องหน้า ตวนมู่หญง “เจ้าจงใช้มีดเล่มนี้กรีดหน้าทำรายโฉมเจ้าซะ”
ตวนมู่หญงมองไปยังมีด และมองไปยังองค์รัชทายาทที่มองเธอตอบกลับมาอย่างเย็นชา
“องค์รัชทายาท...”
“รีบหยิบมีดและทำตามคำสั่งข้าเดี๋ยวนี้...ถ้าเจ้ายังมีจิตใจห้าวหาญเยี่ยงชายชาตรีอยู่” องค์รัชทายาทพูดอย่างเย้ยหยัน และนั่งรอดูว่าเธอจะลงมือตามคำสั่งของตนหรือไม่
ตวนมู่หญงกลืนน้ำลายเหนียวๆในปาก ใจนั้นอยากจะตะโกนไปเหลือเกินว่า เออ ฉันเป็นผู้หญิงโว้ย ไม่ใช่ชายชาตรงชาตรีอะไรของนายหรอก แต่ถึงกระนั้น เธอก็หยิบมีดนั้นขึ้นมาได้แต่จดๆจ้องๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำเช่นไรดี จนองค์รัชทายาทหมดความอดทน
“มัวแต่ชักช้าอยู่ได้ ถ้าเจ้าไม่ทำ ต่อไปเจ้าจงอย่าได้แต่งกายเยี่ยงบุรุษอีกต่อไปเลย จงไปแต่งกายเยี่ยงสตรีให้สมกับหน้าตาเจ้าเถอะ และเจ้าอย่าได้เสนอหน้ามาให้ข้าเห็นอีกต่อไป” องค์รัชทายาทพูดอย่างเหยียดหยาม ก่อนที่จะลุกขึ้นกลับเข้าไปด้านในของตำหนัก ทิ้งให้ตวนมู่หญงยืนกำมีดอยู่เพียงลำพังคนเดียว
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ข้ารับใช้ประจำตำหนักองค์รัชทายาทได้นำมีดประจำองค์รัชทายาทที่เปื้อนเลือดและหน้ากากสีขาวของตวนมูหญงมาถวายให้แก่องค์รัชทายาท พร้อมกับรายงานให้ว่า
“ใต้เท้าตวนมู่หญงได้กลับไปแล้วพะยะคะ โดยที่เขาได้ฝากมีดเล่มนี้กับหน้ากากมาถวายให้พระองค์ แล้วพรุ้งนี้เขาจะมาเข้าเฝ้าใหม่พะยะคะ”
องค์รัชทายาทโบกมือไล้ให้ข้ารับใช้ออกไป และเมื่ออยู่เพียงคนเดียวแล้ว องค์รัชทายาทก็หยิบมีดขึ้นมามองดู ก่อนทีจะวางมันลงเหมือนเดิม แล้วหัวเราะอย่างข่มขืนในอก
“นี่ข้าเป็นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ...” องค์รัชทายาทพูดกับตนเอง “ ถึงกับให้ขุนนางของตนเองกรีดหน้า เพียงแค่เขารูปโฉมงดงามเหมือนดังสตรีแบบที่ข้าเกลียด...ข้าก็กลายเป็นคนโหดร้ายเช่นนี้ได้” แล้วองค์รัชทายาทก็ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า “ เสด็จแม่ เสด็จแม่ ทรงช่วยลูกด้วยพะยะคะ...ช่วยลูกด้วย เสด็จแม่” องค์รัชทายาทคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด โดยที่ในเงามืดไม่ไกลนัก สายลับของฮ่องเต้ที่แอบสังเกตการณ์อยู่นั้น ก็รีบกลับไปรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบทั้งหมด
ฮ่องเต้รับฟังรายงานอย่างสงบ พระองค์เอนตัวพิงกับพนักของเก้าอี้และมองไปยังภาพของพยัคฆ์ ที่ตัวพ่อนั้นพลักลูกตนเองให้หล่นจากหน้าผา เพื่อให้ลูกนั้นเรียนรู้ถึงการเอาตัวรอดด้วยตนเอง และเป็นพิสูจน์ด้วยว่าลูกพยัคฆ์นั้นแข็งเกร่งพอที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าป่าได้หรือไม่
“เฮยจื่อ”
“พะยะคะฝ่าบาท”
“เจ้าเตรียมยารักษาบาดแผลมาให้เรา”
“พะยะคะฝ่าบาท” เฮยจื่อรีบปฏิบัติตามพระบัญชา โดยที่ไม่ซักถามอะไรทั้งสิ้น เพราะเขารู้ดีว่าฝ่าบาทต้องการไปทำไม
===================================================
สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะจ๊ะ เอาแค่นี้แหละจะรีบกลับไปปั่นต่อ และรีบหลบสหบาทาของคนอ่านรอมานานแสนนาน เหอๆๆๆ
ความคิดเห็น