คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #96 : Chapter 91 :: Breathe
Chapter 91
Breathe
ปัง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ฝีเท้ายังคงวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เป้าหมายคือที่ไหนสักแห่งที่ปลอดผู้คนหรือพวกติดเชื้อซึ่งไล่กัดสิ่งมีชีวิตที่ขวางหน้าอย่างหิวกระหาย บ้านเมืองลุกเป็นไฟตั้งแต่เย็นวานจนถึงตอนนี้
เสียงปืนสนั่นเมือง อุบัติเหตุบนท้องถนนทำให้การจราจรติดขัด ยังมีผู้เหลือรอดชีวิตที่พยายามหาทางหลบหนีไปจากเมืองนี้ เช่นเดียวกับตัวเขา... ‘คิมจงอิน’
บ่ายเศษ ๆ คือช่วงเวลาพอเหมาะกับการเดินทางไปยังบ้านเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่อู่ซ่อมรถด้วยกัน แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวตอนกลางคืนมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิงเพราะมองเห็นในที่มืดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ใช่...พวกผีดิบก็ไม่ได้ตาดีไปกว่ามนุษย์นักหรอก หากแต่พวกมันเป็นนักล่า และมนุษย์คือผู้ถูกล่า เพราะฉะนั้นการเดินทางตอนกลางวันคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถ้าหากไม่อยากถูกโจมตีในที่มืด
ระหว่างทางเขาได้ปะทะกับพวกติดเชื้อประสาทแดกที่พยายามจะตะกุยร่างเขาเอาไว้อย่างทุกวิถีทาง อยากขอบคุณตัวเองที่เอาตัวรอดมาได้ คิมจงอินไม่ใช่นักกีฬาผาดโผน แต่ถ้าเป็นเรื่องออกแรงล่ะก็ขอให้บอก อะไรที่อยู่ข้างตัว หยิบจับได้ก็ทุ่ม ก็ฟาดใส่พวกมันอย่างไม่ยั้งแรง
บนถนนที่เคยมีรถขับผ่าน ปัจจุบันเหลือแค่ซากโลหะที่ลุกเป็นไฟ รอบข้างเต็มไปด้วยพวกผีดิบที่รุมกัดกินศพคนตายบนพื้น บางตัวก็เดินเคว้งไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ถ้าเจอเหยื่อเมื่อไหร่ ขาข้างที่บาดเจ็บก็วิ่งได้เร็วได้ไม่ต่างจากคนปกติ
ที่แย่กว่านั้นก็คือตอนที่หันไปสบตากับคนถูกฉีกร่างสด ๆ ทั้งที่ยังไม่ตายนั่นแหละ มันเป็นภาพที่ไม่น่ามองนัก แววตาคู่นั้นคล้ายว่ากำลังขอความช่วยเหลือ เสียงหวีดร้องที่แผดลั่นอย่างเจ็บปวดนั้นช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
อาวุธในมือมีเพียงแค่ไขควงปากแฉกที่พารอดตายมาจนถึงตอนนี้ ส่วนปืนพกที่เก็บได้ข้างตัวศพตำรวจนั้นเหน็บเก็บไว้ข้างหลัง คิดว่ามันควรถูกควักออกมายามฉุกเฉิน ซึ่งก็ได้ใช้งานไปแล้วหลายนัด แน่นอนว่าเสียงปืนเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คิมจงอินได้รู้ว่าเสียงคือสิ่งดึงความสนใจจากพวกเปรตนั่น
“กร๊าซซซซซซซซซซ!!!”
ชายหนุ่มซัดหมัดลุ่น ๆ เข้าเต็มหน้าผีดิบจนเสียหลักเซถอยไปข้างหลัง มันคือตัวที่สี่แล้วที่เขาต้องจัดการมันเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไขควงที่ถูกลับกับหินจนแหลมแทงเข้ากลางคอหอยร่างตรงหน้าจนเลือดทะลักออกมาเต็มมือ เขาชักอาวุธออกแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังหัวเสียเพราะปัญหาเดิม ๆ คือไม่ว่าจะแทงตรงไหน ไอ้พวกนรกก็ยังคงยืนหยัดได้โดยไม่ล้มตายไป
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สุดท้ายเขาก็ต้องถอดใจกับการพยายามฆ่าผีดิบตรงหน้าแล้วหาทางหนีเหมือนเคย ขายาวถีบตัวกินคนที่พุ่งตรงมาจนเซถอยไปติดกับผนัง ก่อนจะขย้ำกลุ่มผมสีเข้มโขกกับกำแพงอย่างแรงแล้วถอยออกมา
“ฮือออ...”
เสียงโอดครวญของตัวประหลาดไล่ตามหลังมา จงอินปีนออกทางหน้าต่างแล้วมองซ้ายขวาก่อนจะได้รู้ว่าเขาไม่สามารถไปทางไหนได้เลย ด้านซ้ายมีพวกกินคนอยู่น้อยก็จริง แต่ถ้าวิ่งไปก็เจอทางตัน ส่วนทางขวาก็เต็มไปด้วยพวกมัน เพราะฉะนั้นเขาถึงได้เลือกขึ้นไปเหยียบบนหลังคารถแล้วปีนข้ามรั้วแทน
ในที่สุดก็มาถึงบ้านเช่าราคาถูกที่เพื่อนสนิทของเขาเคยบอกว่ามันเล็กเหมือนรูหนูจนเดินลำบาก แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เปิดประตูเข้าไปแล้วพบว่ามันยังอยู่ข้างในโดยร่างกายครบสามสิบสอง
เสียงโหยหวนของพวกผีดิบตามท้องถนนยังคงส่งเสียงกลบความหวาดผวาในใจ หลายครั้งที่ได้ยินเสียงปืนลั่นก่อนจะเงียบไป จงอินหยุดยืนอยู่หน้าประตู เขาเห็นว่าหน้าต่างสองบานถูกปิดตายด้วยไม้จากทางด้านใน
ชายหนุ่มย่อตัวลงพลางแตะนิ้วชี้กับคราบเลือดบนพื้น มันยังสดใหม่จนทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองบานประตูตรงหน้า ให้ตายเถอะ บางทีเขาก็เกลียดเซนส์ของตัวเองที่มันชอบพาคิดไปในทางไม่ดี
“อูยอง”
น้ำเสียงของเขาอยู่ในโทนปกติ จงอินหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดผีดิบสักตัวโผล่ออกมาตอนนี้ เพราะเขาไม่รู้วิธีจัดการมัน
“อูยอง... มึงอยู่ข้างในใช่ไหม?”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา...
มือทั้งสองข้างสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยวางแผนไว้มาก่อนว่าจะต้องรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่าสักวันหนึ่งเพื่อนสนิทสักคนจะต้องตายไป ซึ่งมันก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก เพราะทุกอย่างมันก็มีให้เห็นอยู่ ภาพผู้คนเป็นร้อยพันที่ตายเกลื่อนเมือง รวมไปถึงพวกที่ติดเชื้อจนเปลี่ยนเป็นผีดิบ
คิมจงอินไม่แน่ใจว่าเขาโชคดีหรือโชคร้ายที่ยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้โดยที่ไม่ถูกกัดแล้วเปลี่ยนเป็นสัตว์เดรัจฉานวิ่งไล่แพร่เชื้อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ มือหนาเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะตั้งหลักแล้ววางแผนว่าจะไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วยวิธีไหน
ความหวังอันน้อยนิดเปรียบเหมือนเปลวเทียนที่สามารถดับได้ทุกเมื่อที่ลมพัดมา และตอนนี้ดูเหมือนว่ามันถูกพายุลูกใหญ่พัดผ่านจนดับมอดไปแล้ว
กึก...
นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อกับภาพที่เห็น เมื่อคนที่แง้มประตูเปิดออกมาคือเจ้าของชื่อที่เขาเพิ่งเรียกไปเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก จากที่เคยหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับปาฏิหาริย์อันน้อยนิด ตอนนี้จางอูยองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันมีอยู่จริง
“ไงเพื่อน”
บ้านเช่าซอมซ่อเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องยนต์ จางอูยองเป็นพวกชอบซ่อมทุกอย่าง มันบอกว่าพ่อกับแม่ให้มันเกิดมาเพื่อซ่อมแซมของที่พังไปแล้วให้กลับมามีชีวิต ซึ่งเขาและเพื่อน ๆ ในวงเหล้าก็ได้แต่หัวเราะกับความเพ้อฝันของช่างซ่อมรถไร้อนาคต
กลิ่นน้ำมันเครื่องเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจ จงอินคว้าขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ก้นขวดมากระดกจนหมดแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่พอเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็ต้องผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ทันทีที่เห็นว่าศพของอีจุนโฮกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา...
“นั่งก่อนสิ”
ชายหนุ่มกลอกตามองตามการเคลื่อนไหวของเพื่อนสนิท แน่นอนว่าร่างที่แน่นิ่งอยู่บนโซฟาโดยมีแค่ด้ามไขควงซึ่งโผล่พ้นออกมาจากลูกตานั้นก็เป็นเพื่อนสนิทเหมือนกัน อูยองคว้าเอาเบียร์ขนาดเหมาะมือออกมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อต้อนรับเพื่อน ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับร่างไร้วิญญาณ
“จุนโฮ เพื่อนเรามาแล้วนะ”
“...”
“กูบอกแล้วว่าคนอื่น ๆ ต้องปลอดภัย มึงน่าจะรอสักหน่อย”
“...”
อูยองหันมาทางนี้พร้อมริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มฝืน ดวงตาคู่นั้นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ มือที่กำคอขวดเบียร์สั่นเทา เขาคิดว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ไอ้บ้านั่นจะมานั่งจิบเบียร์อย่างสบายใจ
“มึงฆ่ามันเหรอ”
“...อืม”
คนถูกถามขานตอบในคอแล้ววางขวดเบียร์ลงหลังจากกระดกไปอึกใหญ่ จากที่ลองมาเองกับมือ เขายังค้นหาวิธีฆ่าพวกติดเชื้อข้างนอกไม่ได้ เพราะฉะนั้นการตายของร่างไร้วิญญาณตรงหน้า มันทำให้เกิดคำถามว่า...จางอูยองเกิดสติแตกฆ่าอีจุนโฮทั้งที่ไม่ได้ติดเชื้อหรือเปล่า?
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้ดีว่าจางอูยองคือตัวโจ๊กประจำอู่ซ่อมรถ แน่นอนว่าถ้าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน มันจะเป็นคนสุดท้ายที่คนอื่น ๆ อยากจะมีด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่
“มันถูกกัด”
“...”
บรรยากาศโดยรอบถูกความอึดอัดกลืนกิน จากได้กลิ่นน้ำมันเครื่องอย่างเดียว ตอนนี้คิมจงอินรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ขายาวเดินไปหยุดอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวแล้วนั่งลง แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานต่อไป
“มึงฆ่ามันยังไง ด้วยวิธีนั้น?” จงอินถามเสียงเรียบพลางกลอกตาไปยังใบหน้าโชกเลือดของจุนโฮ จากสภาพแล้วมันน่าจะเพิ่งตายได้ไม่นาน
“เออ กูเกือบตายห่าไปอีกคนเพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่คบกันมาหลายปีจะพุ่งเข้ามากัดคอ แม่งตลกฉิบหายตอนกูคิดว่ามันอาจจะมีสิทธิ์รอดเพราะแค่ถูกเล็บข่วน” อูยองหลุบสายตาลงมองรอยแผลบนท่อนแขนคนข้าง ๆ ที่ซีดเผือด แม้มันจะเป็นเหมือนรอยแมวข่วน แต่ก็พรากชีวิตเพื่อนเขาไปได้ “มันจะมีอะไรเหี้ยไปกว่าการที่เราต้องฆ่าเพื่อนอีกไหมวะจงอิน”
“...”
เจ้าของชื่อไม่ได้ออกความเห็นสำหรับเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถ้าเกิดเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นว่าดวงตาของจางอูยองเปลี่ยนเป็นสีขาว ริมฝีปากอ้ากว้างและพุ่งเข้ามาหาเขา
“เอาเถอะ ว่าแต่มึงรอดมาถึงที่นี่ได้ไง?” อูยองยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง ขณะรอเพื่อนเล่าถึงความน่าเหลือเชื่อ
“กูแค่หนี”
“ล่อไปกี่ตัวแล้วล่ะ”
“ล่อห่าไร กูยิงไปตั้งหลายนัดมันยังยืนอยู่ได้ไม่มีทรุด” พูดแล้วก็หัวเสีย ขนาดปืนที่คิดว่าเป็นอาวุธทำลายล้างอย่างดียังทำอะไรมันไม่ได้ จงอินคว้าขวดเบียร์ขึ้นมากระดกแล้วเอนหลังพิงกับโซฟาโทรม ๆ
“รอดมาจนถึงตอนนี้โดยที่ไม่ได้ฆ่าพวกมันเลยเนี่ยนะ?”
“เออ” เขาเห็นว่าอีกคนหัวเราะกับคำตอบ ซึ่งคิมจงอินคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าตลกเลยสักนิดเดียว กับการที่ออกแรงทำทุกอย่างแล้วแต่ก็จัดการพวกมันไม่ได้สักตัว “แล้วมึงล่ะ”
“เยอะ ไม่ได้นับหรอก” อูยองถอนหายใจแล้วเหล่มองร่างไร้วิญญาณของเพื่อนสนิท “มึงต้องจัดการที่หัว”
“...”
“แค่นั้นก็จบทุกอย่างได้แล้ว”
คำตอบของคนสิ้นหวังไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดี หรืออยากลุกขึ้นหาของหนัก ๆ ไปทุบหัวพวกข้างนอกให้เละออกเป็นสองส่วนเพื่อทดลองว่ามันจริงอย่างที่พูดหรือไม่ จงอินเพียงแค่นั่งนิ่งเฉยกับความว่างเปล่า เขาไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ไหม หลังจากเห็นว่าเพื่อนที่เคยเห็นหน้าทุกวันได้จากไปแล้วคนหนึ่ง
“มึงจะเอาไง”
“ไม่รู้สิ แล้วมึงล่ะ?” อูยองถามทั้งที่ไม่หันมามองหน้าเขาเลยสักนิด ใช่... พวกเขาทั้งคู่ต่างกำลังสบสนและสิ้นหวัง กับคำถามที่ไม่รู้ว่าคำตอบไหนถึงจะดีที่สุด
“กูยังไม่ทันคิดเรื่องหนี คิดแค่เรื่องที่จะมาหาพวกมึงก่อน” จงอินขมวดคิ้วหลังจากเห็นว่าอูยองกำลังหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ทั้งกูทั้งมึง สมองเท่าเล็บขบหมาทั้งคู่ นี่เป็นเหตุผลที่เราควรมีความรู้”
“ถ้ามีความรู้แล้ววิ่งไล่แดกคนทั่วเมืองกูก็ยอมโง่แบบนี้ดีกว่าไหม” พอได้ยินอย่างนั้นอูยองก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง วินาทีนี้คงมีแค่มันแหละมั้งที่อารมณ์ขันที่สุดในโลก “เมื่อคืนกูดูข่าว ไม่มีที่ไหนปลอดภัยแล้วว่ะ แม้กระทั่งสถานกักกันอะไรนั่น เละเทะไม่เหลือชิ้นดี”
“เออ พวกติดเชื้อมีอยู่ทุกที่ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีจัดการมัน พวกทหาร ตำรวจก็โง่ลั่นปืนใส่ไม่ดู” อูยองส่ายหน้า เขาเห็นมากับตาว่าพวกทหารกราดกระสุนใส่จนร่างพวกนรกแทบพรุน แต่พวกมันยังคงลุกขึ้นมาใหม่ และโจมตีทหารเหล่านั้นด้วยการพุ่งเข้ากัด “สัญญาณก็ถูกตัดแล้วด้วยสิ ไม่รู้เลยว่าตอนนี้โลกเป็นยังไงบ้าง”
“กูว่าคงไม่ใช่แค่โซลแน่”
“แหงล่ะ นี่ข้ามวันมาแล้วป่านนี้คงลามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน” ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้ากัน “ความบรรลัยเกิดขึ้นแล้วล่ะ กูไม่มีแผน มึงก็ไม่มีแผน นี่มันนรกชัด ๆ”
“ไปบ้านไอ้แทคยอนเถอะ กูว่ารวมตัวกันไว้ น่าจะเอาตัวรอดได้มากกว่าไปกันสองคน”
“ไม่ต้องไปหรอก เสียเวลา” จงอินขมวดคิ้วกับคำตอบอีกคน “ตอนกูไปถึงมันก็ไม่อยู่แล้ว คงตกใจเลยรีบพาเมียหนี”
“...”
“ขากลับไพ่เลยออกที่ไอ้จุนโฮ จนออกมาเป็นแบบนี้แหละ” อูยองถอนหายใจ กับเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่ายังไงก็ต้องรอดแล้วแท้ ๆ ก็แค่รอยข่วน...
“แต่เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ประชากรโซลที่เปลี่ยนเป็นพวกติดเชื้อตั้งเท่าไหร่ ไหนจะเรื่องการอยู่การกินอีก นอกจากจะหาที่หลบภัยแล้วเรายังต้องแดกข้าวด้วย”
“เออ นั่นคือปัญหาหลัก ๆ ของกูในตอนนี้เลยล่ะ หิวบัดซบ” อูยองลูบท้องที่มีเพียงแค่น้ำเปล่ากับเบียร์ลอยอยู่ข้างใน เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า และตอนนี้มันก็เกือบเย็นแล้วด้วย “มึงคิดว่าไงวะจงอิน”
“กูว่าเราควรไปตายเอาดาบหน้า ขืนอยู่ต่อได้อดตายแน่”
“เหรอ” จงอินมองเพื่อนสนิทที่หลุบสายตามองที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะอย่างคนสิ้นหวัง “งั้นมึงไปเถอะ”
“ว่าไงนะ?”
“ใจกูตอนนี้ไม่อยากลุกไปไหนทั้งนั้นแล้วว่ะ”
“แต่ถ้าอยู่...”
“มึงคิดว่าจะหนีไปเจอกับอะไรวะจงอิน มึงรู้ไหมว่ากูเจออะไรบ้างก่อนกลับมาถึงที่นี่?”
ชายหนุ่มนั่งนิ่งเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่มีแล้วคนที่หัวเราะออกมากับเรื่องบ้า ๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผู้ชายที่สิ้นหวังกับการดิ้นรนเอาชีวิตรอด
“กูเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา ขากูวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด แต่มันก็เหมือนฉายภาพเก่าซ้ำ ๆ กับการมองไปทางไหนก็เห็นแต่คนกำลังถูกกัด ข้างนอกนั่นมีแต่พวกเสียสติที่พร้อมจะฆ่าคนมีชีวิต... ข้างนอกนั่น” แขนยาวชี้ไปทางประตูทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเพื่อนสนิท
“...”
“กูจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น แต่ถ้ามึงมีความหวัง” อูยองเดินไปหยุดอยู่หลังตู้ แล้วเอาชะแลงวางลงบนมือเขา “ก็ออกไปตามหามันให้เจอ”
ชายหนุ่มหลุบตามองชะแลงในมือ แน่นอนว่าถ้าเป็นอาวุธชิ้นนี้คงจัดการพวกติดเชื้อได้ดีกว่าไขควงที่ต้องสู้ในระยะประชิดตัว อูยองนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม เขากระดกเบียร์ไปอีกอึกใหญ่ ๆ ก่อนจะเรอออกมาเสียงดัง
“มึงรีบไป ถ้าฟ้ามืดแล้วจะหนีลำบาก”
“...”
เกือบหนึ่งนาทีที่จงอินเอาแต่มองหน้าอีกฝ่ายและหวังว่ามันจะเปลี่ยนใจ หากแต่จางอูยองกลับเอนตัวพิงกับโซฟาแล้วไหลตัวลงไปจนอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเหมือนร่างไร้วิญญาณของอีจุนโฮ
ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นยืน ตอนนี้อาวุธที่เขามีคือปืนพก 9 มม ชะแลงเหล็ก และไขควงปากแฉก ทั้งคู่มองหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จางอูยองจะยกยิ้มแล้วโบกมือให้ด้วยท่าทางกวนประสาท
“ถ้าไม่ไปกับกู มึงจะตายอยู่ที่นี่ ไอ้สัด”
“ให้กูตายเถอะ อยู่หล่อรกโลกมานานแล้ว คนขี้เหร่อย่างมึงจะได้มีที่ยืนกับเขาสักที”
“...”
“แล้วเจอกันอีกโลกนึง”
เขาเกลียดประโยคบอกลาของไอ้หอกหักนี่จริง ๆ คิมจงอินยืนทำหน้าโง่อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูโดยมีชะแลงเหล็กเป็นอาวุธในมือ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิททั้งสองคนบนโซฟาอีกครั้ง
ซึ่งเขาได้แต่หวังว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
หลังจากออกมาจากบ้านเช่าซอมซ่อหลังนั้น คิมจงอินได้พาความสิ้นหวังมาด้วย ใจหนึ่งก็อยากให้จางอูยองหนีไปด้วยกัน แต่จากสภาพที่เห็นแล้วไอ้เวรนั่นคงอยากนอนจมขวดเบียร์แล้วแห้งตายอยู่ข้าง ๆ ศพเพื่อนที่คบกันมาหลายปีเสียมากกว่า
และเรื่องนี้ทำให้รู้ว่าถ้าไม่สู้ก็ต้องตาย ซึ่งคำตอบนี้ยังไม่ตอบโจทย์ในหัวของเขา
จงอินจัดการพวกมันด้วยชะแลงเหล็ก โดยการตัดกำลังให้พวกผีดิบล้มลงก่อนแล้วค่อยเอาชะแลงแทงเข้าที่ส่วนตา เพราะจุดนี้คงทำได้ง่ายกว่าการเอาแท่งเหล็กเจาะกะโหลกซึ่งมันค่อนข้างแข็งพอสมควร
เขาใช้เวลาศึกษาการต่อสู้กับพวกมัน มีครั้งหนึ่งที่เกือบพลาดเพราะพวกติดเชื้อมากันหลายตัว แต่ถึงอย่างนั้นไขควงที่พกมาด้วยก็เป็นตัวช่วยได้ดีในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ฟ้ามืดแล้ว... การเคลื่อนไหวของเขาเริ่มช้าลงเพราะโลกถูกความมืดกลืนกิน ไม่ใช่ทุกจุดที่จะมีแสงไฟให้ความสว่าง ชายหนุ่มระวังแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าที่ย่ำไปกับพื้นซีเมนต์ เขาวิ่ง ๆ เดิน ๆ สลับกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างดี
นัยน์ตามองไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่เพิ่งสตาร์ทติด เขายืนหลบอยู่ข้างรั้วตรงทางโค้งก่อนจะชะโงกหน้าออกไป แล้วก็ได้พบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับผีดิบอยู่ข้างรถ จนกระทั่งผู้ชายอีกคนเปิดประตูลงมาช่วย
จากภาพที่เห็น เชื่อว่าไอ้หมอนั่นคงไม่รู้วิธีฆ่าพวกติดเชื้อแน่ ๆ เพราะท่าทางการจับขวานยังดูโง่ ๆ งม ๆ อยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วใช้ความคิด เขาไม่ได้เป็นคนใจดีอะไรหรอกนะ เรื่องนี้พวกลูกค้าประจำในอู่ก็ชอบหลอกด่าอยู่ตลอด แต่ในหัวคิมจงอินตอนนี้มันคิดแค่ว่า
‘ถ้าไม่ไปช่วย...หมอนั่นต้องกลายเป็นเหมือนไอ้จุนโฮไปอีกคนแน่’
ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้ายังมีโอกาสช่วยได้ เขาจะมองผ่านไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่างจริง ๆ เหรอ?
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดกระชับไขควงในมือให้มั่น แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเป้าหมายด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี ก่อนจะแทงปลายแหลมเข้ากลางศีรษะตัวกินคนได้อย่างท่วงที จนได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ
“แบคโฮ!!!”
คิ้วหนาขมวดมุ่น เมื่อคนตรงหน้ากับชื่อที่อีกคนตะโกนเรียกกลับไม่ใช่คนเดียวกัน ชายหนุ่มหลุบสายตาลงมองไขควงในมือที่โชกไปด้วยเลือด ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อพบว่ามันถูกชักออกมาจากช่วงท้องของอีกคน
คนที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี...
“จงอินครับ...”
เฮือกกก!!!!
“จงอิน?”
นัยน์ตาสั่นเครือเบิกกว้างหลังจากตื่นขึ้นมาพบความจริง สิ่งที่มองเห็นในตอนนี้มีเพียงแค่เพดานรถกับต้นไม้ข้างถนนนอกกระจกขณะรถขับผ่าน เขารู้สึกได้ถึงหยาดเหงื่อที่ไหลออกมาทั้งที่สภาพอากาศหนาวติดลบ แต่พอหันไปทางด้านข้างก็พบกับสีหน้าตกใจของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเป็นคนเดียวกับคนที่เขาเพิ่งเอาไขควงแทงไปเมื่อครู่นี้
“เซฮุน...”
“ครับ” สีหน้าของใครอีกคนยังคงไม่ต่างจากในทีแรก เขาเพียงแค่หลุบสายตาลงแล้วกลืนน้ำลายเพื่อเรียกสติกลับมา หลังจากรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความฝัน
“ฝันร้ายเหรอ?” ซีวอนมองไปยังชายหนุ่มที่เผลอหลับไประหว่างทาง ก่อนจะหันไปยิ้มกับครูสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
มินซอกค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากถูกปลุกด้วยเสียงพูดคุย เขาหันไปทางด้านข้างแล้วก็เห็นสีหน้าของคิมจงอินที่กำลังตื่นตระหนก โดยมีโอเซฮุนอยู่ข้าง ๆ
“อืม...” จงอินยังคงจมอยู่กับความฝันในวันแรกที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากสูญเสียความทรงจำ
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคุณจะได้นอนต่อ เราจะถึงอุทยานอยู่แล้ว” ซีวอนหัวเราะ มีแค่เซฮุนที่นั่งอยู่ตรงกลางเบาะหลังเท่านั้นที่ยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดระหว่างทาง
“ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ” เซฮุนยื่นขวดน้ำให้คนข้าง ๆ ซึ่งจงอินก็รับไว้อย่างไม่อิดออด
ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับการหาเสบียง แม้จะได้มาน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เซฮุนยังคงไม่ละสายตาจากคนข้าง ๆ ที่ยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเห็นว่าจงอินนอนขมวดคิ้วส่ายหน้าไปมาอยู่หลายครั้งจนน่าเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าปลุก
“นั่นรถของอี้ฟานนี่คะ”
“ฮ่า ๆ กลับมาถึงพร้อมกันเลย”
“อืม...ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาขับรถเร็วมาก”
กาฮีมองไปยังรถคันฝั่งตรงข้ามที่กำลังหักเลี้ยวเข้าอุทยาน ก่อนที่หวงจื่อเทาจะลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูทางเข้าอุทยาน และกระโดดขึ้นท้ายกระบะที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยไม่รอ
“อะไรจะขนาดนั้น”
“...”
ชายวัยกลางคนขับตามเข้าไปด้วยความเร็วระดับปกติ พอเข้าไปถึงด้านในก็เปิดประตูลงมาจากรถทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า ที่ทำให้ทุกคนต้องเบิกตาอย่างตกใจ
เมื่อโดคยองซูกับอู๋อี้ฟานถูกประคองออกมาจากรถในสภาพไม่สู้ดีนัก...
“อี้ฟาน!”
“ให้ตายเถอะ!” ซีวอนรีบวิ่งเข้าไปช่วยคนเจ็บอีกแรงและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“ไปตามอี้ชิงเดี๋ยวนี้!!!”
“เซฮุน มินซอก ไปช่วยครูเตรียมห้อง” เด็กหนุ่มทั้งสองคนพยักหน้าแล้วรีบวิ่งตามครูสาวเข้าไปในบ้านโดยไม่เสียเวลาถามให้มากความว่าเกิดอะไรขึ้น
“ช่วยคยองซูก่อน...” เสียงของอี้ฟานนั้นแหบพร่า เทาช่วยหิ้วปีกเขาเข้าไปนั่งโซฟา ในขณะที่ลู่หานกับยูริช่วยกันพาร่างคยองซูเข้าไปในห้องปาร์คกาฮี
“ซูยอน ไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมา!” หญิงสาวยังคงทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า เธอยกมือขึ้นป้องปากก่อนจะรีบไปเอากล่องปฐมพยาบาลตามที่ยูริสั่ง
“ขอผ้าขนหนูกับน้ำสะอาด!!”
จงอินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน ผู้คนมากมายในบ้านหลังนี้กำลังวิ่งให้วุ่นกับคนเจ็บ ในขณะที่เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไรที่มันสร้างประโยชน์ได้
ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าห้องปาร์คกาฮี เขาเห็นว่าตอนนี้บุรุษพยาบาลหนุ่มชาวจีน ซีวอน ลู่หาน มินซอก กาฮี และเซฮุนกำลังวุ่นวายอยู่กับร่างโชกเลือดที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
ใบหน้าของลู่หานเลอะคราบเลือด รวมไปถึงมือและเสื้อผ้าด้วย เขาไม่แน่ใจว่าเคยเห็นสีหน้าจริงจังของแต่ละคนแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างน่าตกใจ
เขาเห็นว่าคิมจงแดเปิดประตูห้องออกมาทั้งที่เอามือกุมท้องเอาไว้ แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างตกใจ ตอนนี้คงมีเพียงแค่เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานกับเขาสองคนที่ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกและไร้ประโยชน์กับสถานการณ์แบบนี้ จงอินไม่ได้ถามว่าใครต้องการความช่วยเหลือจากเขาบ้างไหม ขายาวเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้อง และหาที่ยืนที่เหมาะสมเผื่อว่าใครสักคนจะเรียกเขาใช้งาน
“กดแผลไว้!!!”
“คยองซู... เฮ้!”
“...”
“บอกว่าอย่าหลับไง!!!” ลู่หานตบแก้มเด็กหนุ่มที่หมดสติตั้งแต่อยู่บนรถหลังจากเสียเลือดไปเยอะ ใบหน้าซีดเผือดหันไปตามแรงตบ มินซอกเห็นว่าลู่หานกำลังจะสติแตกเลยรีบดึงอีกฝ่ายออกมา
“หายใจเข้าลึก ๆ ลู่หาน ทำตามที่ผมบอก” สองมือโอบใบหน้าอีกฝ่ายไว้ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของคนตรงหน้ากำลังสั่น อีกทั้งดวงตาคู่นั้นกำลังสั่นคลอนเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ “หายใจเข้าลึก ๆ ใช่...”
“...”
“ดี... ทำแบบนี้ต่อไป” มินซอกเลื่อนมือลงมาวางที่ไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะช่วยบีบนวดเบา ๆ แล้วหันไปดูอาการของโดคยองซู
ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง กับความหวังที่อยู่ในมือของจางอี้ชิงอีกครั้ง
นานเป็นชั่วโมงกว่าเหตุการณ์จะสงบลง อู๋อี้ฟานยังคงนั่งอยู่บนโซฟาบ้านหลังแรกโดยไม่ยอมไปนอนพักฟื้นในห้องนอนอย่างที่ใครหลายคนบอก ซีวอนเดินออกมาจากห้องหลังจากจางอี้ชิงช่วยเย็บแผลให้คยองซูเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอดูอาการต่อไป ซึ่งถ้ามีไข้ก็คงต้องให้ยา
“คุณเรียกผมเหรอ?”
ชายวัยกลางคนถามแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกเตรียมไว้เพื่อเขา เมื่อตอนนี้คนอื่นต่างแยกไปยืนอยู่คนละมุม และมองมาทางนี้อย่างน่าประหลาดใจ
“ครับ” ซีวอนมองใบหน้าที่มีรอยถลอกของชายหนุ่มอีกคน เขาเห็นว่าตอนนี้อี้ฟานดูกระอักกระอ่วนที่จะพูด “ซีวอน เรื่องที่ผมพูดมันอาจเป็นเรื่องยากที่คุณจะทำใจได้ แต่ผมอยากให้คุณตั้งสติก่อน”
“ไม่เอาน่า มีอะไรก็พูดมาเถอะ” เขายิ้มแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องโถงอีกครั้งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนาดคิมจงแดที่ยังไม่หายดียังออกมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ชเวซีวอนกลับไม่เห็นลูกชายของเขา คนที่น่าจะวิ่งไปดูอาการโดคยองซูก่อนใคร
“ลูกชายของคุณ”
“...”
“แอบอยู่ท้ายกระบะไปกับรถผม”
ชเวซีวอนไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเซนส์แรงอะไรนัก ถ้าไม่ใช่เรื่องการเล่นหุ้นทำธุรกิจ เขามองหน้าเจ้าของประโยคเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังบอกว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น
“อะไรกัน พูดเป็นเล่นไป”
“บอกเขาไปตรง ๆ เถอะ ฉันอึดอัดที่จะต้องอยู่ตรงนี้แล้ว” ควอนยูริที่ยืนกอดอกพิงผนังพูดขึ้น ก่อนที่เธอจะหันไปทางจงอิน ครูสาวกับลู่หานที่เพิ่งออกมาจากห้อง
“ถ้าลูกผมไปด้วยจริง ๆ” สีหน้าของซีวอนเหมือนคนสับสนในความคิด เขามองอี้ฟานกับยูริสลับกันไปมา “แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ?”
“...”
“...”
ไม่มีใครกล้าตอบคำถามนี้ แม้แต่อู๋อี้ฟานที่นั่งเตรียมคำพูดมาตลอดหนึ่งชั่วโมงว่าจะต้องพูดยังไงกับความเจ็บปวดในครั้งนี้ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เขารู้สึกผิดจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองชเวซีวอน
“เขาตายแล้ว”
คำตอบนี้ออกมาจากปากหวงจื่อเทา สีหน้าเด็กหนุ่มตัวสูงนั้นเรียบเฉยเหมือนคนไร้ความรู้สึก แต่ดวงตาคู่นั้นที่มองมาก็ดูเศร้าหมองไม่ต่างจากลู่หานที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น
“คุณ...พูดอะไร?”
“...”
“ผมทะเลาะกับซูโฮ เขาเลยวิ่งออกไปข้างนอก” ซีวอนชี้ไปที่ประตูบ้านทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มชาวจีนคนนั้น “แต่คุณบอกว่าเขาแอบไปด้วย... แล้วก็?”
“ซีวอน... ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”
“ไม่ ลูกผมจะตายได้ยังไง!” ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองไปรอบตัว เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และมันจะไม่มีวันเป็นไปได้ “พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ผมไม่ตลกด้วยเลยสักนิด ลูกผมอยู่ไหน เอาเขาออกมาเดี๋ยวนี้?”
“ซีวอน”
“เพราะผมกับซูโฮทะเลาะกันก่อนออกไป เขาเลยขอให้พวกคุณแกล้งอำผมเล่นเพื่อเอาคืนใช่ไหม ถ้าใช่ก็เลิกเล่นบ้า ๆ แบบนี้สักทีเถอะ!”
“ซี...”
“ลูกผมอยู่ไหน?!”
“...”
“ผมถามว่าลูกผมอยู่ไหน?!!!”
“ซูโฮตายแล้ว!!!”
ลู่หานตะโกนใส่คนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก บรรยากาศโดยรอบถูกอัดแน่นไปด้วยความอึดอัด และคิดว่าผู้คนนับสิบที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ซีวอนมองหน้าหนุ่มชาวจีนที่กำหมัดแน่นเหมือนพยายามข่มอารมณ์ตัวเองในตอนนี้
“ผมเห็น...” ลู่หานกดเสียงลงต่ำ “กับตา...”
“...”
ครึ่งนาทีสำหรับความเงียบที่โรยตัวอยู่ในโถงบ้านหลังแรก ซีวอนยืนนิ่งพลางกำหมัดแน่นแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ทุกคนในบ้านมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็ได้เห็นร่างผู้ชายคนนั้นหยุดอยู่ข้างรถกระบะ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปทางเข้าบังกะโลเดี่ยว นานเกือบสิบนาทีเลยทีเดียวที่ทุกคนในห้องโถงจมอยู่กับความเงียบ จนกระทั่งซีวอนเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง
“แล้วลูกผมอยู่ไหน” ถ้าไม่นับกับที่พลัดหลงกับซูโฮที่ห้างสรรพสินค้า นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นว่าชเวซีวอนกำลังสติแตก “ถ้าคุณพูดอย่างนั้น แล้วร่างของลูกผมอยู่ไหน?!” ชายวัยกลางคนเข้ามาเขย่าไหล่ลู่หานที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เทากับเซฮุนเห็นอย่างนั้นเลยรีบเข้าไปพยายามแยกออก ซึ่งจงอินเพียงแค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ
“ขอโทษ” เสียงของลู่หานนั้นเบาหวิว ภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังคงติดตาและสร้างตราบาปให้กับเขามาจนถึงวินาทีนี้ “ที่พาเขากลับมาหาคุณไม่ได้...”
“...”
“ซีวอน... ปล่อยเขาก่อนนะครับ” เสียงของเซฮุนแผ่วเบาคล้ายกระซิบ เด็กหนุ่มลูบหลังชายวัยกลางคนเบา ๆ ก่อนที่มือแกร่งจะยอมคลายออกจากไหล่ลู่หานแต่โดยดี
“หมายความว่า... คุณไม่ได้พาศพลูกผมมาด้วย... งั้นเหรอ?”
“...”
“พวกคุณ...” ซีวอนค่อย ๆ กวาดสายตามองแต่ละคนที่อยู่ในห้องโถง “ปล่อยเขาไว้ที่นั่นเหรอ...”
“เราไม่ได้ปล่อยเขา แต่...” ลู่หานกลืนความรู้สึกผิดลงคอ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า
“เขา...” ซีวอนไม่คิดว่าตัวเองมีความกล้ามากพอที่จะพูดประโยคนี้ เหมือนสมองมันหยุดทำงาน หรือไม่ก็ถูกล้างออกไปจนไม่เหลือความคิดความอ่านใด ๆ อีก “ถูก...?”
ลู่หานพยักหน้าอย่างช้า ๆ เป็นคำตอบ ไม่ใช่แค่ชเวซีวอนที่กำลังสติแตกเพราะความจริงที่บีบคอทุกคนอยู่ในตอนนี้ เขาเองก็รู้สึกผิดจนอยากตีอกชกหัวตัวเอง เพราะถ้าไปเร็วกว่านั้นอีกนิด... เขาก็ช่วยซูโฮไว้ได้แล้ว
“...”
“ผมจะออกไปตามหาลูก...” ซีวอนแกะมือเซฮุนออกจากแขนเขาแล้วเดินถอยหลังอย่างคนสิ้นหวัง “บอกผมทีว่าพวกคุณไปที่ไหนมา แล้วช่วยเอาแผนที่มาให้ผม”
น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรง ไม่มีใครคิดว่าชเวซีวอนกำลังเสียสติไปเพราะความเสียใจ กับหัวอกของคนเป็นพ่อที่มีเพียงลูกแค่คนเดียวที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาดูแลซูโฮเหมือนแก้วตาดวงใจ ปกป้องลูกตั้งแต่โลกเปลี่ยนไปจนมาถึงวันนี้ได้ และเขาคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอันตรายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้จะหายไป
ชเวซีวอนไม่สนใจว่าใครจะมองเขาว่าเป็นพ่อที่โอ๋ลูกจนทำให้ซูโฮเป็นลูกแหง่ ในเมื่อลมหายใจของเด็กคนนั้นคือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา ซูโฮคือสิ่งเดียวที่เป็นแรงบันดาลใจให้ชเวซีวอนอยากมีชีวิตอยู่
แต่ตอนนี้... ทุกอย่างมันพัง และแหลกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี...
“ถ้าคุณอยากไป ผมจะเป็นคนพาไปเอง” ลู่หานเงยสบตากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “แต่คุณจะไม่ได้อะไรกลับมานอกจากความผิดหวัง”
“...”
“คุณต้องการเวลา ซีวอน”
อี้ฟานมองเสี้ยวหน้าของชายวัยกลางคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าเขาเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อหลังจากได้พบความจริงว่าวันพรุ่งนี้จะต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีแก้วตาดวงใจอยู่ด้วยอีกแล้ว
“รวมถึงพวกเราทุกคนด้วย”
ความอึดอัดสร้างฐานก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างตั้งแต่เขาฝันร้ายบนรถ คิมจงอินนั่งนิ่งมองไขควงในมือ ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดแล้วปล่อยควันสีหม่นให้ลอยไปตามสายลม
บรรยากาศในบ้านหลังแรกตึงเครียดจนแทบอาเจียนน้ำย่อยออกมา บุหรี่ตัวนี้มันอาจจะช่วยเขาได้สักห้าถึงสิบนาที แต่ก็ยังดีกว่าช่วยอะไรไม่ได้เลย
ชเวซีวอนขอแยกตัวไปสงบสติอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง แต่คนอื่นก็ยังคงอยู่ข้างในนั้นแล้วปล่อยให้ความเศร้ากลืนกินทีละนิด
มือของเขากำลังสั่น เมื่อภาพของซูโฮลอยเข้ามาในหัว มันก็จริงที่ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่รู้สึกอะไรกับเด็กคนนั้นเลย แต่อยู่ ๆ ภาพเก่า ๆ ก็ฉายขึ้นมาเป็นม้วนหนัง กับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ควบคู่ไปกับเด็กผู้หญิงที่ชื่อจองอึนจี ภาพตอนทุกคนกำลังยิ้ม กลุ่มเด็ก ๆ ในอุทยานล้วนแต่มีความสุข แต่เรื่องเหล่านั้นกลับอยู่แค่ในความทรงจำ และมันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว
ทิ้งบุหรี่ที่สูบไปเพียงครึ่งเดียวลงบนหิมะแล้วปล่อยให้มันดับไปเองก่อนจะสางมือทั้งสองเข้าไปในกลุ่มผมแล้วก้มหน้าลงพร้อมหลับตา และให้สมองได้ทำงานเมื่อมีคำถามในหัวผุดขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพัน กับสิ่งที่คิมจงอินคนนี้ไม่สามารถหาคำตอบที่ดีที่สุดได้
ทุกคนกำลังแย่ แม้แต่ไอ้ลู่หานที่เคยทำตัวเป็นบ้าเป็นบอก็แยกตัวออกไปอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ยอมพูดอะไรกับเขาสักคำ รวมไปถึงอู๋อี้ฟานที่อาการสาหัสจนเดินเหินลำบาก หมอนั่นควรย้ายตัวไปพักผ่อนในห้อง แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะนั่งจมกับความเศร้าอยู่บนโซฟา
ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วมองไปยังบ้านหลังแรก เขารู้ดีว่าตอนนี้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ช่วยอะไรเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นคิมจงอินก็ยังอยากเข้าไปข้างใน เพื่อดูว่าคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง
เขาหมุนลูกบิดเข้าไป แล้วก็พบว่ามีเพียงแค่อู๋อี้ฟาน ปาร์คกาฮี ควอนยูริ จองซูยอนและโอเซฮุนที่อยู่ตรงนั้น สีหน้าของทุกคนดูตึงเครียด จนกระทั่งครูสาวขยับที่เป็นเชิงบอกให้เขานั่งด้วย ตอนนั้นคิมจงอินถึงได้เข้าไปร่วมวง
“มาขัดจังหวะหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ เรากำลังคุยกันเรื่องอาการของคยองซู” ครูสาวว่าแล้วหันมามองหน้าเขา
“อี้ชิงบอกว่าต้องการยา น้ำเกลือ เข็มฉีดยา แล้วก็อุปกรณ์ทำแผลที่ต้องใช้ ซึ่งผมคิดว่าตามร้านขายยาคงมีให้ไม่ครบ คุณยูริกับเซฮุนเลยอาสาว่าจะไปโรงพยาบาลน่ะ”
“...”
ชายหนุ่มมองไปยังเจ้าของชื่อสุดท้ายที่อี้ฟานกล่าวถึง เขาเห็นว่าเซฮุนเองก็กำลังมองมาทางนี้โดยที่ไม่พูดอะไร ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรอว่าเด็กนั่นอาจจะอยากพูดบางอย่างกับเขา
“ส่วนเทา เขาบอกว่าต้องออกไปจัดการพวกกัดคนที่เข้ามาติดขอบรั้วหนามอีกแล้ว พวกเราเลยตกลงว่าจะต้องแบ่งคนออกไปเคลียร์หน้าประตูอุทยาน แต่ฉันยังไม่ได้คุยกับลู่หานเลยว่าเขาจะไปโรงพยาบาลกับคุณยูริและเซฮุนได้ไหม” ครูสาวมองมาอย่างคาดหวัง ซึ่งคิมจงอินก็ไม่แน่ใจว่าปาร์คกาฮีกำลังขอแรงจากเขา หรือว่าอยากให้ช่วยไปตามไอ้ลู่หานกันแน่
อี้ฟานก็เจ็บหนัก คงไม่สามารถออกไปทำอะไรในตอนนี้ได้ รวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ รวมไปถึงสภาพจิตใจของชเวซีวอนที่เพิ่งเสียลูกชายไปด้วย จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่สภาพเต็มร้อยและดูเหมือนจะพอหยิบจับอาวุธได้ ซึ่งนั่นก็คือตัวเขา
คิมจงอินนิ่งไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่บนโซฟา
“เพิ่มผมเข้าไปอีกคน”
บรรยากาศที่นี่เงียบสงบเหมือนกับทุกครั้ง แต่มันต่างจากเดิมตรงที่ข้างตัวเขามีหลุมศพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ลู่หานโยนพลั่วทิ้งอย่างไม่ใยดีพลางหอบหายใจ หลุมศพที่ข้างในไม่มีอะไรนอกจากเศษดินที่ถูกขุดออกมาแล้วถมทับลงไปเหมือนเดิม ก่อนที่จะถูกแต่งเติมด้วยท่อนไม้ที่ตอกทับกันเป็นรูปกากบาท และรูปถ่ายโพลารอยด์ในงานวันคริสต์มาสเมื่อตอนสิ้นปี
รูปของเด็กผู้ชายที่ยิ้มจนตาหยี เหมือนว่าโลกของเด็กคนนั้นมีเพียงแค่ความสุข
มินซอกเดินลงมาจากบันไดหิน เขาเห็นว่าลู่หานกำลังทิ้งตัวลงนั่งข้างกองไฟที่ใกล้จะมอดดับไป ผู้ชายคนนั้นโยนฟืนเข้าไปอีกสองท่อน แล้วทอดสายตาไปยังแม่น้ำที่ไหลไปอย่างไร้จุดหมาย
ร่างเล็กยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วมองการเคลื่อนไหวของใครอีกคนที่ตกอยู่ในห้วงของความเศร้า ถ้าจะบอกว่าตอนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างกันมันก็อาจจะผิด เพราะระดับความเศร้าของแต่ละคนไม่มีวันเท่ากันอยู่แล้ว ความเจ็บปวดในใจมันจะลึกตื้นหนาบางแค่ไหน คนที่เผชิญกับมันเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
จากที่ได้ฟังเทาเล่า คงไม่มีใครรู้สึกผิดไปกว่าลู่หานที่ผูกพันกับเด็กคนนั้นมาก่อนใคร กับเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นที่เจ้าตัวหายไปและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกชเว จนสามารถกลับมาหาทุกคนที่โรงเรียนได้อย่างปลอดภัย แต่ลู่หานต้องมาเห็นซูโฮตายต่อหน้าต่อตา
หนูตัวเท่าฝ่ามือถูกเสียบเข้ากับไม้ มินซอกไม่ได้คิดว่าลู่หานเสียสติไปแล้ว ถึงคิดเอาสัตว์สกปรกแบบนั้นมาย่างกิน สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเรียบเฉยขณะมองหนูที่กำลังถูกย่างกับไฟ มันเหม่อลอยเหมือนคนไร้ความรู้สึก
ไม่นานนักเหยื่อก็สุกได้ที่ ลู่หานหลุบสายตาลงมองอาหารมื้อแรกของวัน เขาได้แต่บอกกับตัวเองว่าต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหน แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อไปก็คือการหายใจเพื่อใช้ชีวิตต่อ ร่างกายคนเราต้องการอาหาร ต่อให้ปากมันจะไม่อยากรับอะไรเข้าไปก็ตาม
แต่เขาต้องอยู่ต่อไป
หนูที่ถูกลอกหนังออกสภาพไม่น่ากินเลยสักนิด แต่ในวินาทีนี้เขาไม่มีทางเลือกมากนักสำหรับอาหารที่ไม่สามารถแลกซื้อได้ด้วยเงิน ต่อให้ก่อนโลกเปลี่ยนไปเขาจะใช้ชีวิตอย่างลำบาก อด ๆ อยาก ๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่การกินหนูก็ไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายในชีวิตหัวขโมยอย่างเขา
เคยคิดว่าสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ แต่สำหรับปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว พวกผีดิบเป็นนักล่า ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่คืออาหารชั้นยอดที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกที
หนูตัวนี้ก็เช่นกัน มันถูกล่าโดยมนุษย์ที่กำลังหิวโหยอย่างเขา มันถูกจบชีวิตเพราะความหิวกระหาย เหมือนอย่างที่ซูโฮพบเจอ
“...”
ลู่หานกัดฟันกรอด หนูย่างถูกเสียบไม้ในมือกำลังสั่นเทาเมื่อความรู้สึกแย่ ๆ เข้ามากัดกินหัวใจของเขาอีกครั้ง หลังจากพยายามปลอบใจตัวเองอยู่นาน ตลอดเวลาการขุดหลุมฝังศพโง่ ๆ ให้วิญญาณของซูโฮเขาก็เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงต่อไป
เด็กคนนั้น... คนที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้
แต่เขา...
“โถ่เว้ย!!!!”
ไม้เสียบหนูย่างถูกโยนทิ้งไปไกลจนแทบมองไม่เห็น โกรธตัวเอง... โกรธจนอยากก่นด่าสารพัดคำหยาบให้กับความโง่เขลาที่ทำให้ไปถึงตรงนั้นช้า
ขอโอกาสกลับไปแก้ตัวอีกครั้งไม่ได้เหรอ พระเจ้าเล่นตลกกับเขาเกินไปแล้วที่ทำให้ซูโฮตกลงมาต่อหน้าต่อตา ทั้ง ๆ ที่น่าจะให้เวลาเขาอีกสักหนึ่งนาที หรือจะน้อยกว่านั้นก็ได้
เด็กคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ซูโฮไร้เดียงสา เด็กนั่นควรจะมีโอกาสได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต และฝึกป้องกันตัวเพื่อที่จะได้ดูแลชเวซีวอนในวันที่หมอนั่นไม่ไหว
แต่ทำไม... พระเจ้าถึงทำแบบนี้
หยดน้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่ได้บีบ เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปกับความผิดบาปที่ฝังอยู่ในใจตอนนี้ ลู่หานทิ้งตัวลงนอนบนหิมะเย็นยะเยือก เขาอยากให้ทุกส่วนในร่างกายรู้สึกเหมือนที่หัวใจมันกำลังเป็นอยู่
มินซอกยังคงมองภาพตรงหน้าโดยที่ไม่คิดจะก้าวขาเข้าไป ทุกคนที่นี่ล้วนต่างก็ต้องการเวลา เหมือนที่เขาทำมาตลอดหลังจากพบเจอการสูญเสีย เด็กหนุ่มได้แต่บอกตัวเองให้เข้มแข็งเอาไว้
เพราะไม่มีใครรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ซึ่งเขาคิดว่ามันคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ มีเพียงแค่ไฟฉายที่ให้ความสว่างจุดเล็ก ๆ ในตัวห้อง แบคฮยอนเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่กำลังจัดแจงซองรามยอนสำเร็จรูปออกเป็นสองส่วนแบบไม่เท่ากัน ก่อนที่ชานยอลจะยื่นส่วนที่มากกว่ามาให้เขา
“ทำไมคุณกินแค่นั้นเองล่ะ”
“พรุ่งนี้เราต้องใช้พลังงานเยอะ ผมอยากให้คุณมีแรงไปจนถึงตอนนั้น” ร่างสูงว่าแล้วกินรามยอนส่วนที่น้อยกว่า
“ทำไมคุณถึงเลือกรามยอน ทั้งที่มีทูน่ากระป๋องให้เลือก” แบคฮยอนเอามือรองไว้ใต้ริมฝีปาก ก่อนจะกัดรามยอนสำเร็จรูปคำแรกระหว่างรอคำตอบ
“ทูน่ากระป๋องอยู่ท้องได้ไม่นานหรอกครับ” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแล้วบิดฝาขวดน้ำออกให้คนตรงหน้า “แต่ถ้าทานแห้งแบบนี้แล้วดื่มน้ำตามเยอะ ๆ มันจะไปอืดในท้อง มันทำให้รู้สึกอิ่มได้มากกว่า นี่คือเหตุผลที่ผมเก็บไว้จนถึงตอนนี้แทนที่จะทานกันตั้งแต่เช้า”
แบคฮยอนพยักหน้ากับเหตุผลที่อีกฝ่ายอธิบาย เพราะถ้ากินตอนกลางวันเขาเชื่อว่าตกดึกคงได้หิวแน่ และพอถึงตอนเช้าที่ต้องออกไปข้างนอก เขาอาจจะไม่มีแรงสำหรับแผนการที่ชานยอลวางไว้
“แบ่งจากผมไปอีกสิ คุณได้กินแค่นิดเดียวเอง” แบคฮยอนยื่นรามยอนออกมา เขาเห็นว่าชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “นะ”
“...”
“คำนึงก็ได้” เด็กหนุ่มมองมายังเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ปาร์คชานยอลคงขมวดคิ้วแล้วชักสีหน้าให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่พอใจกับการที่บยอนแบคฮยอนไม่เชื่อฟังเขา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้น เขาสัมผัสได้แต่ความเป็นห่วง
“ขอบคุณครับ”
“...”
เด็กหนุ่มนิ่งค้างอยู่ท่านั้น เมื่อคนอายุมากกว่าโน้มใบหน้าลงมากัดรามยอนจากมือเขา แม้ว่าริมฝีปากนั้นจะไม่สัมผัสถูกมือเลยสักนิด แต่บยอนแบคฮยอนกลับรู้สึกใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด
บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีเสียงพูดคุยข้างนอกแล้ว คาดว่าคนพวกนั้นคงแยกย้ายกันไปนอน แบคฮยอนยกน้ำขึ้นดื่มอย่างเกรงใจ ก่อนจะเห็นว่าคนตัวสูงพยักหน้าบอกให้ดื่มเข้าไปอีก
“คุณได้ยินที่พวกนั้นคุยกันไหม”
“ครับ”
“แสดงว่ายังมีคนรอดนอกจากเรา”
คนตัวเล็กว่าแล้วหันไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท ชานยอลนั่งนิ่งระหว่างใช้ความคิด แน่นอนว่าบทสนทนาทั้งหมดตอนเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันนั้นเขาได้ยินชัดเจนเป็นอย่างดี กับภาพที่เห็นผ่านหน้าต่างบานเกล็ด พวกสวะที่ขับรถออกไปตอนเช้ากลับมาได้แค่สองคนด้วยสภาพเจ็บสาหัส โดยไม่มีปืนติดมือกลับมาสักกระบอก
น้ำเสียงเหนื่อยหอบตอนพยายามอธิบายว่าเจ้าตัวไปเจออะไรมาบ้าง กับการไล่ล่าเด็กผู้ชายสองคนแต่ก็มีคนในกลุ่มนั้นมาช่วยไว้ได้ และทำให้เพื่อนในกลุ่มของพวกมันโดนฆ่าทิ้งไปหลายคน หนึ่งในนั้นมีผู้หญิง และผู้ชายถือมีดดาบยาว ซึ่งมันอดสร้างคำถามไม่ได้ว่าเจ้าของมีดดาบที่ปาดคอใครคนหนึ่งในกลุ่มนี้ไปนั้นเป็นใคร อีกทั้งสาวห้าวผมยาวที่ฆ่าคนด้วยการหักคอ มันคือทักษะของคนที่มีความรู้เรื่องการต่อสู้ระยะประชิดที่เรียกว่า CQC (Close Quarter Combat) ซึ่งถ้าจำไม่ผิด... เขาคิดว่าคนที่รู้เรื่องนี้น่ามีแค่พวกที่ได้รับฝึกทางการทหารมา
มันจะเป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มคนที่พวกนี้ไปเจอจะเป็นลู่หานและคนอื่น ๆ
วันนี้จงอินตื่นแต่เช้า ซึ่งถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เพราะทุกครั้งที่หลับตาแล้วปล่อยให้สติเลือนหายไปกับความฝัน ก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายอยู่ตลอดจนรุ่งเช้า
ชายหนุ่มจัดการธุระส่วนตัวและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ คิมจงอินไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างที่โรงพยาบาล แต่การแต่งกายให้รัดกุมคงจะดีที่สุด
ก้มลงผูกเชือกรองเท้าจนแน่น ก่อนจะออกไปข้างนอกพร้อมอาวุธ และก็ได้พบว่าครูสาวกำลังยืนคุยอยู่กับลูกศิษย์ทั้งสองและโอเซฮุน รวมไปถึงควอนยูริที่ยืนกอดอกพิงอยู่ข้างรถ
เขาเดินไปหยุดอยู่กลางวงสนทนา ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสี่คนจะยังมีเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้ ซึ่งสังเกตได้จากสีหน้าของครูสาวที่ไม่สงบเหมือนอย่างเคย
“ครูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้รอก่อน ทำไมถึงทำอะไรโดยที่ไม่บอกครูอีกแล้ว”
“ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ อีกอย่าง... ผมก็ไม่ตายเพราะถูกกัดอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงขนาดนั้นหรอกครับครู ที่ผมออกไปจัดการพวกมันข้างนอกก็เพื่อจะได้ไปหาของที่โรงพยาบาลต่อ ผมปล่อยให้สามคนนี้ไปเองไม่ได้”
“ครูเข้าใจเรื่องนี้ดีหวงจื่อเทา แต่...”
“ครูดูสิ คุณยูริเธอเป็นผู้หญิง เซฮุนก็ใช่ว่าจะสภาพเต็มร้อย ถูกกัดอีกทีแล้วจะเป็นยังไง ส่วนไอ้หมอนี่ก็รู้แค่วิธีหายใจ ครูเข้าใจหน่อยเถอะครับว่าผมจำเป็นต้องไปที่นั่นจริง ๆ”
เทาพยายามอธิบายให้ครูของเขาเข้าใจ หลังจากถูกดุเรื่องออกไปฆ่าพวกผีดิบตามรั้วหนามโดยไม่รอคนอื่น ครูสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มินซอกเพียงแค่ยืนนิ่งและไม่ขอออกความเห็น ก่อนจะหันไปทางผู้มาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากบ้านหลังที่สอง และตรงมาทางนี้พร้อมยัดกระเป๋าเป้ใส่รถแล้วหันมาหาทุกคน
“ห่าเทา มึงไปนอน”
“...”
“เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเอง”
ทุกคนมองไปยังลู่หานที่เข้าไปในที่นั่งฝั่งคนขับพร้อมสตาร์ทรถ ก่อนที่กระจกจะเลื่อนลงและตามด้วยควันสีขาวหม่นของบุหรี่ที่ลอยออกมา จงอินไหวไหล่แล้วตามไปนั่งข้างที่นั่งคนขับ และตามด้วยเซฮุนและควอนยูริ ตอนนั้นหวงจื่อเทาถึงได้รู้ว่ารถคันนั้นไม่มีพื้นที่สำหรับเขาแล้ว
TBC
เริ้บ
ความคิดเห็น