ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #95 : Chapter 90 :: Struggle

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.89K
      108
      10 พ.ค. 58

    ? Tenpoints!

     

     

     

    Chapter 90

    Struggle

     

     

    ปัง!

    เสียงประตูปิดลงทันทีที่ร่างของทั้งสองถูกผลักกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนเมื่อคืน ทั้งคู่ยืนนิ่ง เพียงแคชั่วอึดใจเดียวแบคฮยอนก็ยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะเสยผมขึ้นอย่างโล่งอก หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์น่าสิ่วน่าขวานมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ...

    เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาหวิว แบคฮยอนไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยากหันไปชวนอีกคนคุยสักประโยคสองประโยคหรือเปล่า เพราะวินาทีนี้เขารู้สึกเหมือนคำพูดมากมายมันจุกอยู่ที่คอ ถ้าเมื่อกี้หลุดทำตัวมีพิรุธออกไปแล้วถูกจับได้ คงมีหวังถูกฆ่าตายตรงนั้นทั้งคู่แน่ ชานยอลไหวพริบดีจริง ๆ ถ้าไม่ได้ผู้ชายคนนี้ เราคงไม่มีโอกาสได้ต่อเวลาหายใจอีก

    ผมลุ้นจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ถ้าพวกเขาเข้ามาแกะดูแผลจริง ๆ ผมคงโดนเป่าหัวต่อหน้าคุณแน่ ๆ แบคฮยอนเดินไปส่องช่องหน้าต่างบานเกล็ด เพื่อเช็กดูว่าคนพวกนั้นแอบฟังอยู่หรือเปล่า ก่อนจะกลับมายืนอยู่ที่เดิมชานยอล คุณ...

    อยู่แบบนี้สักสองนาทีนะครับ

    คนตัวเล็กยืนนิ่ง เมื่อร่างของเขาถูกอีกฝ่ายรั้งเข้าไปกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วงแขนแกร่งที่โอบกอดร่างของเขาเอาไว้เริ่มกระชับแน่นขึ้นจนอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่บยอนแบคฮยอนถูกคนตรงหน้าสัมผัสแบบนี้

    ถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขาคิดว่าตอนนี้มือของชานยอลกำลังสั่น หรือความจริงแล้วมันอาจจะเป็นตัวเขา ที่ยังคงสั่นเพราะความกลัวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

    เราสองคนเอาคางเกยไหล่ของกันและกัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้น กับสัมผัสที่ความรู้สึกไม่กล้ายอมรับว่ามันคุ้นเคย แบคฮยอนไม่อยากเอาอ้อมกอดนี้ไปรวมกับแววตาอ่อนโยนของคนตรงหน้า ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

    แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอที่ส่งผ่านจากอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ คนที่เขาคิดว่าเย็นชาที่สุด

    คุณ...โอเคหรือเปล่า แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาควรจะถามด้วยประโยคไหน หลังจากที่เราสองคนรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้หัวใจเขายังเต้นแรงเพราะความกลัวอยู่เลย

    เมื่อกี้ผมเกือบพลาดไปแล้ว

    น้ำเสียงของร่างสูงสั่นอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่ามันสร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังเป็นอย่างมาก ปาร์คชานยอลคนที่ใช้ความสงบนิ่งเอาชนะทุกอย่างกำลังตกอยู่กับความหวาดกลัวงั้นเหรอ มันคือสิ่งที่บยอนแบคฮยอนคาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น

    ผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อ พอถึงตอนนั้น ผมมั่นใจว่าคนที่จะถูกฆ่าก่อนต้องเป็นคุณ เสียงกระซิบของอีกคนนั้นแบคฮยอนได้ยินอย่างชัดเจน มันทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ทั้งที่ชานยอลแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าใครกันแน่ที่ถือไพ่เหนือกว่า และใครที่ต้องเป็นฝ่ายยอมรับฟังข้อเสนอ แต่ความจริงแล้ว... ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็ซ่อนความหวาดกลัวไว้อยู่สินะ?

    แต่เรารอดแล้ว คุณทำได้

    ชานยอลไม่ได้พูดอะไรอีก คนตัวสูงยังคงกอดเขาไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่คิดจะผละตัวออกแล้วแยกย้ายกันไปหาที่นั่งพักหายใจ และหลังจากนั้นค่อยมาวางแผนกันต่อว่าจะเอายังไง

    มันล่วงเลยมาเกือบห้านาทีแล้ว ที่ความหนาวเหน็บถูกบรรเทาด้วยอ้อมกอดของอีกฝ่าย เรายังคงกอดกัน... และแบคฮยอนเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจผลักไสชานยอลออกไปเหมือนอย่างที่เคยฝืนใจทำมานับไม่ถ้วน

    ใช่... ลึก ๆ ในความรู้สึกแล้ว... บยอนแบคฮยอนยังต้องการผู้ชายคนนี้อยู่เสมอ แม้ว่าปากจะบอกว่าไม่มาตลอด ตั้งแต่ฝันร้ายเมื่อตอนนั้น

    หัวใจหล่นวูบ เมื่อมือแกร่งที่เคยสวมกอดกำลังลูบหัวเขาอย่างเบามือ คนตัวเล็กยืนนิ่ง ในร่างกายเขา สิ่งที่ขยับได้มีเพียงแค่หัวใจที่กำลังเต้น กับเปลือกตาที่กระพริบเป็นจังหวะ มันคือการปลอบขวัญให้หายกลัว...หรือปาร์คชานยอลต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

    สักพักเลยทีเดียวที่แบคฮยอนต่อสู้กับความคิด ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเอื้อมขึ้นมาเพื่อกอดตอบคนตรงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอ้อมกอดที่หละหลวม แต่เขาต้องการสื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่แค่ปาร์คชานยอลคนเดียวที่กำลังต่อสู้กับสิ่งที่เราเผชิญหน้าอยู่

    ไม่เป็นไรนะชานยอล เราสองคนจะไม่มีใครเป็นอะไร

     

     

     

     

     
     

    เลือดหนืดสีเข้มจากปลายมีดหยดลงบนหิมะ มันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดสายตาของเด็กหนุ่มเอาไว้ได้ ตอนนี้มีเพียงแค่เสียงสายน้ำ กับเสียงของซูโฮที่กำลังคุยโม้ว่าเจ้าตัวทำได้ดีกับการฆ่าพวกผีดิบด้วยตัวเอง ซึ่งเทากับมินซอกก็แค่รับฟัง ขณะที่พวกเขาหยุดนั่งพักผ่อนกันที่ริมแม่น้ำ

    อีกไม่นานหิมะก็คงละลายหมดแล้ว ดีจัง ผมไม่ชอบหน้าหนาว ผมชอบใส่เสื้อยืดกับกางเกงสบาย ๆ มากกว่า พอมีเสื้อตัวใหญ่ ๆ สวมทับแล้วมันเทอะทะอะ พี่ ๆ คิดเหมือนกันไหม

    ไม่มีใครสนใจที่ซูโฮพูด เด็กน้อยยิ้มเก้อแล้วมองไปยังรุ่นพี่ชาวจีนที่กำลังล้างมีดอยู่ข้างแม่น้ำ เทายื่นมือออกมาเพื่อช่วยจัดการล้างคราบสกปรกของพวกโสโครกนั่นแทนคนอื่น ๆ เขาไม่อยากให้สามคนนี้ต้องถอดถุงมือออกมาเสี่ยงกับน้ำเย็น ทั้งที่สภาพอากาศยังติดลบแบบนี้

    ทำไมพี่ ๆ ไม่คุยกันเลยล่ะ

    คนอื่นเขาเหนื่อยกัน นายไม่เหนื่อยบ้างหรือไง เอาแต่พูดอยู่ได้ คยองซูมองคาดโทษคนข้าง ๆ ที่ทำตาปริบ ๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาตามประสาเด็กไร้เดียงสา

    ผมเหนื่อยไม่เท่าพี่ ๆ หรอก ผมฆ่าไปแค่สามตัวเอง

    ก็ถือว่ามากพอแล้ว ต่อไปนี้นายต้องฝึกเรื่องไหวพริบ แล้วก็หัดออกกำลังกายไปพร้อมกับมินซอกตอนเช้า เทาว่า ซึ่งซูโฮก็พยักหน้ารับ

    พี่เทาสอนผมอีกนะ

    อืม

    นะ

    เออ

    เด็กน้อยยิ้มตาหยี แม้ว่าอีกฝ่ายจะขานตอบเสียงติดรำคาญอยู่หน่อย ๆ ซูโฮไม่เคยน้อยใจที่พี่ ๆ ทั้งสามไม่ค่อยคุยกับเขา นิสัยพี่คยองซูเป็นยังไง ซูโฮรู้ และคงไม่ได้คิดไปเอง ถึงจะชอบดุอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว

    ส่วนพี่มินซอกก็มีส่วนที่คล้ายพี่คยองซู พี่ลู่หานบอกว่าพี่มินซอกไม่ใช่คนใจร้ายหรอก ก็แค่เป็นคนแสดงออกทางคำพูดไม่เก่ง แต่ถ้าเรื่องปฏิบัตินี่ขอให้บอก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นยังไง แต่เอาเป็นว่าพี่มินซอกแค่เป็นคนพูดน้อย

    พ่อบอกว่าสภาวะจิตใจของพี่เทายังไม่ดีขึ้นหลังจากพี่อึนจีจากไป ซึ่งในทีแรกซูโฮก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นยังไง พ่อเลยบอกว่าให้นึกถึงตอนที่รู้ว่าจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว ตอนนั้นแหละซูโฮถึงได้เข้าใจความรู้สึกของพี่เทา

    ถึงจะอยากให้ทุกคนยิ้มได้ แต่มันก็คงเป็นเรื่องยากสินะ พวกเขาไม่มีทางเลือก ตอนนี้ก็แค่ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ไม่อดตาย นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่คิด

    พี่ ๆ ว่าผมจะเก่งได้เหมือนคนอื่น ๆ หรือเปล่า

    ได้ไม่ได้มันอยู่ที่ตัวนายเองทั้งนั้นเทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่แรกเกิดหรอก ทุกคนก็ต้องฝึก แล้วก็เรียนรู้มันผ่านประสบการณ์เสี่ยงตาย เทาตอบทั้งที่ไม่หันกลับไปมองหน้าอีกคน

    มินซอกนั่งอยู่บนโขดหิน แล้วทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า สิ่งที่เทาพูดออกมามันถูกต้องทุกอย่าง เขาได้แต่ถามตัวเองว่าเมื่อก่อนทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งจะมากระตือรือร้นช่วยคนอื่นเอาตอนนี้

    อ้อใช่... พอนึกอยากจะฮึดสู้ พระเจ้าก็นำความตายมาหยิบยื่นให้ถึงที่ ราวกับเป็นป้ายคำเตือนขนาดใหญ่ ที่ข่มขู่ให้เด็กไร้ฝีมืออย่างเราต้องถอยหลังออกไปตั้งหลักที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และปล่อยให้ผู้ใหญ่เผชิญหน้ากับมันเหมือนในทีแรก

    ผมอยากลองสู้ด้วยตัวเองแต่พ่อไม่เคยอนุญาตเลย พ่อบอกว่ามันเสี่ยงเกินไปสำหรับเด็ก คนเป็นพ่อต้องปกป้องลูก มันถูกต้องแล้ว

    ซูโฮ

    ครับพี่ เด็กน้อยหันไปทางรุ่นพี่ชาวจีนที่นิ่งไป ราวกับว่ากำลังใช้ความคิด

    ถ้าวันหนึ่งซีวอนพลาดถูกกัดขึ้นมา นายจะอยู่ยังไง คำถามของเทาทำเอาเด็กน้อยพูดไม่ออก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเดียวในโลกที่ซูโฮไม่อยากให้เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินไปสำหรับเด็กที่อยู่กับพ่อมาตลอดชีวิต ซูโฮไม่เข้มแข็งพอที่จะเอาเวลาที่มีอยู่ไปทบทวนเรื่องนี้ แล้วดึงตัวเองให้ตกอยู่ในความเศร้าเหมือนคนอื่น ๆไม่ใช่แค่พ่อนายนะ ฉันหมายถึงทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ พวกเขามีสิทธิ์ตายทุกครั้งที่ออกไปหาเสบียง

    เทา... มินซอกส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามเพื่อนตัวสูงที่กำลังพูดจาทำร้ายอีกคน ถึงแม้จะเข้าใจเจตนาของเทาดีว่าเพราะอะไรถึงได้พูดอย่างนั้น หมอนี่ต้องการให้ซูโฮมองโลกให้กว้าง และเข้มแข็งขึ้น ถ้าหากว่าวันหนึ่งชเวซีวอนต้องจากไป

    พูดต่อเถอะ มันคือสิ่งที่ซูโฮควรเก็บไปคิด เขาไม่ได้อายุสิบเจ็ดตลอดไป คยองซูเสริม ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นั่งทำหน้าหงอยกับเรื่องที่กำลังหวาดกลัว

    ผมรู้ ผมก็ไม่อยากให้มันออกมาเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อมาตลอดว่าพ่อเป็นคนเก่ง แล้วพ่อก็จะรอด พ่อจะอยู่กับผม เราจะอยู่ด้วยกัน

    นั่นมันคือสิ่งที่นายคาดหวัง แต่ความจริงมันจะออกมาในรูปแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่เทากดหัวเด็กน้อยให้ฝังลงไปกับหลุมของความเป็นจริง ซูโฮนั่งนิ่ง เขาหลุบตาลงมองปลายมีดที่ถูกล้างจนสะอาดแล้ว แม้จะได้รับการปลอบใจจากมือของคยองซูที่บีบลงเบา ๆ ที่ไหล่ แต่ความรู้สึกหม่น ๆ ในใจก็ยังคงอัดแน่นไม่จางหายไป

    ผมห้ามไม่ให้ใครตายไม่ได้ แต่ผมเลือกที่จะดูแลตัวเองได้ใช่ไหมครับพี่ เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นถาม ก่อนที่พี่ ๆ ทั้งสามคนจะหันมาทางเขาและให้แววตาเรียบเฉยนั้นเป็นคำตอบ ซูโฮรู้ดีว่าถ้าพี่อึนจียังอยู่ตรงนี้ เธอคงเป็นคนเดียวที่จะพูดปลอบใจ ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

    ค่อย ๆ ฝึกแล้วกัน ฉันไม่อยากให้นายโทษว่าตัวเองเป็นภาระของพ่อ เลยหักโหมฝึกจนพลาดถูกกัดเข้า

    เด็กหนุ่มชาวจีนลุกขึ้นยืนพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทุกคนกลับอุทยานได้แล้ว พวกเขาออกมาข้างนอกนานเกินไป หวงจื่อเทาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องเป็นกังวลเพราะเขาพาเจ้าพวกนี้ออกมาเสี่ยง

    ซูโฮเดินคอตกตามหลังคนตัวสูงไป สิ่งที่มองเห็นมีเพียงแค่กองหิมะที่ละลายไปบ้างแล้วส่วนหนึ่ง กับโขดหินที่เป็นอุปสรรคในการเดิน สองขาหยุดชะงักเมื่อใครคนหนึ่งวางมือลงบนไหล่เขา พอหันไปมองข้าง ๆ ก็พบว่าพี่คยองซูกำลังมองมายังเขา ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงให้กำลังใจ

    เราจะฝึกไปด้วยกัน แล้วก็เก่งไปพร้อม ๆ กัน

    ...

    รับปากฉันมาสิ ว่านายจะตั้งใจฝึก ไม่เก็บเอาคำพูดของเทาไปร้องไห้คนเดียว

    ซูโฮไม่ได้ตอบตกลงทันที เพราะเขารู้ตัวว่าไม่สามารถรับปากได้ ทั้งคู่เริ่มออกเดินอีกครั้งเมื่อมินซอกหันหลังกลับมาราวกับจะบอกว่าให้พวกเขาเร่งฝีเท้าหน่อย

    ถ้าเสียใจก็ร้องไห้ไม่ได้เหรอ... เสียงนั้นแผ่วเบา ซูโฮตั้งใจให้คยองซูได้ยินแค่คนเดียวเท่านั้น

    ได้สิ ฉันบอกไม่ให้ร้องคนเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะร้องต่อหน้าฉันไม่ได้

    ...

    ซูโฮหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มขณะมองมายังเขาเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรเขาคิดว่าคน ๆ นี้คือพี่ชายอีกคนหนึ่งที่อยากสนิทด้วย ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยพูด แน่นอนว่าการที่พี่คยองซูกำลังให้กำลังใจ มันเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน

    คนอย่างนายเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา อย่าให้ความกลัวมาแย่งมันไปจากนายได้ล่ะ เข้าใจไหม

     

     

     

     
     

     

    ขายาวหยุดอยู่หน้าบังกะโล สักพักเลยทีเดียวที่คิมจงอินยืนจมอยู่กับความโง่ตรงนี้ ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะใช้ความคิด มือไม้ที่เคยวางอยู่ข้างตัวก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หลังจากนั้นไม่ถึงสิบวินาทีก็เปลี่ยนเป็นถูจมูก ก่อนจะเคาะปลายนิ้วลงกับหน้าขาอย่างร้อนใจ

    ใช่ คงไม่ผิดอย่างที่ไอ้ลู่หานบอก ว่าตอนนี้โอเซฮุนอยู่ข้างใน

    หลังจากเดินวนรอบบ้านพักในอุทยานเหมือนคนว่างงานแล้ว คิมจงอินก็ได้เห็นหน้าสมาชิกที่นี่จนเกือบครบทุกคน รวมถึงเหล่าเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบที่เพิ่งกลับเข้ามาในอุทยาน ซึ่งมันเป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีผู้ใหญ่มาด้วย แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามไอ้เด็กเจ๊กหน้าไม่รับแขกนั่นว่าพากันออกไปไหนมา

    ชายหนุ่มได้แต่ถามตัวเองว่าคิมจงอินคนเก่ามันเคยคิดหาเหตุผลก่อนเข้าห้องนอนโอเซฮุนไหม และกว่าจะได้คำตอบก็เสียเวลาไปตั้งหลายวินาทีว่าคงไม่ เพราะไอ้เวรนั่นมันนอนเตียงเดียวกับโอเซฮุนมาตลอดยังไงล่ะ

    มือหนากำหลวม ๆ แล้วยกขึ้นเตรียมเคาะประตู ไม่อยากจะจินตนาการเลยจริง ๆ ว่าเด็กนั่นจะทำหน้ารำคาญใส่ยังไง หลังจากเห็นว่าไอ้ชั่วที่เคยลืมว่าตัวเองเป็นใครมารบกวนถึงหน้าห้องแบบนี้

    แต่ถึงอย่างนั้นก็เลือกที่จะเสียฟอร์ม เขายอมให้เด็กคนนั้นเย็นชาใส่ซะยังดีกว่าการใช้เวลาไปกับความฟุ้งซ่านในหัวที่กำลังคุกคามอย่างหนัก คิมจงอินเบื่อที่จะต้องวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองแล้ว เขาอยากเจอโอเซฮุน

    แต่ยังไม่ทันได้เคาะประตูก็ถูกเปิดออก จงอินค้างอยู่ท่านั้นเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เด็กหน้าตายที่เขาตั้งใจจะมาหา แต่กลับเป็นหนุ่มชาวจีนที่พูดภาษาเกาหลีได้ไม่ชัด

    ...

    ...

    ไม่มีแม้แต่คำทักทาย คิมจงอินถามตัวเองอีกครั้งว่านอกจากจะจำห่าอะไรไม่ได้แล้วเขายังลืมแม้แต่วิธีทักทายคนกันเองอีกเหรอ

    สาย สวัสดิ์

    อารมณ์ขันซะด้วย... จงอินพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วยกมือขึ้นระดับไหล่เป็นการทักทายตอบ นี่ก็ใบ้แดกกันไป เขาค่อนข้างที่จะมั่นใจพอสมควรเลยล่ะ ว่าก่อนหน้านี้คงไม่สนิทกับผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่ พูดภาษาจีนก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษคงไม่ต้องพูดถึง

    มาหา เซฮุน ใช่ไหม?

    อ...อ้อ...ก็... ชายหนุ่มเกาท้ายทอยพลางขมวดคิ้ว เขาเห็นว่าในมือของคนตรงหน้ามีถาดอาหาร และนั่นสร้างความสงสัยให้อีกเป็นเท่าตัวประมาณนั้น...

    ไม่ทัน แล้ว อี้ชิงโบกมือปัด ๆ เป็นท่าประกอบ พอเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เขาเลยเบี่ยงตัวไปทางขวาเล็กน้อย แล้วชี้เข้าไปยังเตียงนอนที่ใครอีกคนนอนอยู่เขา หลับแล้ว

    ยังไง คือยังไม่ตื่นเหรอ

    ไม่ ไม่ เซฮุน เพิ่ง หลับไป

    หา?

    มานี่

    อี้ชิงจับแขนแกร่งให้ถอยออกมา ก่อนจะปิดประตูบังกะโล มันคงไม่ดีแน่ถ้าเสียงของเขาทั้งคู่จะทำให้เซฮุนต้องตื่น จงอินมองหนุ่มชาวจีนสลับกับประตูที่ทำให้เขามองไม่เห็นเด็กคนนั้น เขาควรจะไปตามไอ้ลู่หานมาล่ามให้ไหม ท่าทางจะคุยกันไม่เข้าใจ

    เซฮุน อ่อนแอ

    อันนี้รู้ ชายหนุ่มยืนกอดอก ยิ่งตอนคนตรงหน้าขมวดคิ้วขณะเรียบเรียงคำพูดแล้วก็รู้สึกสงสารตัวเองเหลือเกิน

    เขา นอนน้อย ร่างกาย เลยไม่ แข็งแรง อี้ชิงพยักหน้าหลังจากพูดจบอี้ฟาน เป็นห่วง เลยบอกให้ผม เอายามาให้เขากิน

    อ่า

    แต่ อี้ชิงหันซ้ายขวา ดูว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า ก่อนจะลดระดับเสียงลงแต่ยาที่ เอาให้กิน มันไม่ใช่ยา บำรุง อย่างที่ผม บอกเขา

    อ่า...

    ผมคุยกับอี้ฟาน เรื่องนี้ เราเลยมีความเห็นว่า เซฮุน อาจจะต้อง พึ่งยา

    ...

    ร่างกายเขา ต้องการ พักผ่อน

    ...

    มันไม่ใช่ วิธี ที่ถูกต้อง แต่ถ้า เซฮุนได้ พักผ่อน เขาอาจจะฟื้นตัว ได้มากกว่า ที่เป็นอยู่ ผมเลยเอา ยาแก้แพ้ ให้เขากิน อี้ชิงหลุบตาลง เขารู้สึกไม่ดีที่ต้องทำแบบนี้ เขาใช้เวลานั่งคุยกับเซฮุนเกือบครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเด็กคนนั้นง่วงนั่นแหละถึงได้ออกมา

    แล้วไอ้ยาแก้แพ้นั่นมันมีผลอะไรไหม

    ไม่ ไม่ ยาชนิดนี้ ไม่มีผลต่อ ร่างกาย อี้ชิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ แค่อาจจะ มึน ๆ หน่อย ตอนตื่นนอน

    อ๋อ...อย่างนั้นเหรอ จงอินพยักหน้าช้า ๆ

    อี้ฟานไม่อยาก ทำแบบนี้ แต่ พวกเขา ต้องการเซฮุน

    ...

    เด็กคนนั้นเป็นมือดี อีกคนหนึ่ง ถ้าอาการของเขา ดีขึ้น ก็จะได้คนออกไปหาเสบียง เพิ่ม

    ...

    คนของเรา ที่พร้อมจะออกไป มีน้อยอี้ชิงสบตากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เขารู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องพูดคุยเรื่องนี้กับอู๋อี้ฟาน หรือแม้แต่ปาร์คกาฮีที่ยังทำอะไรได้มากกว่าตัวเขาผม คือ ภาระ

    ...

    ผมอยากขอโทษ พวกคุณ ทุกคน จากใจจริง

    ไม่เอาน่า... ถ้านายเป็นภาระ งั้นฉันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก อย่าโทษตัวเองสิ

    เขาคิดว่าทุกคนมีความสามารถที่ต่างกัน อย่างจางอี้ชิงก็มีความรู้เรื่องการรักษา อู๋อี้ฟานเป็นผู้นำที่ดี ใจเย็น สุขุม รอบคอบ หรือไอ้ลู่หานที่ไหวพริบยอดเยี่ยมเวลาวิ่งหนีตาย และอีกมากมายที่เขาเพิ่งได้เห็นด้วยตา และสัมผัสได้จากความทรงจำเก่า ๆ

    แต่ที่รู้คือ ทุกคนคงออกไปเสี่ยงแบบนั้นไม่ได้ จำนวนเด็กที่นี่ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ใหญ่เลย ไหนจะมีผู้หญิงอีก

    คุณ ยังจะเข้าไป ข้างใน อยู่ไหม?บุรุษพยาบาลหนุ่มหันไปทางประตูบังกะโล เขาเห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่มองไปทางนั้นอยู่ตลอด

    ลึก ๆ แล้วจางอี้ชิงก็แอบหวังให้ความทรงจำของคิมจงอินจะกลับมาโดยเร็วที่สุด แต่จากที่เคยคุยเรื่องนี้กับปาร์คชานยอล และตามหนังสือที่เคยอ่าน มันคือการคาดเดาว่าอาการของแต่ละเคสมันต่างกันไป บางคนสามารถฟื้นความจำได้ภายในวันสองวัน แต่บางคนก็เป็นเดือน ๆ จะไปกดดัน หรือฝังความทรงจำเก่า ๆ เข้าไปใหม่มันก็ไม่ได้อีก

    แต่ถ้าจงอินจำทุกอย่างได้แล้ว เรื่องการจัดตำแหน่งออกไปหาเสบียงก็คงดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ อู๋อี้ฟานเคยพูดอย่างนี้

    อืม ฉันจะเข้าไป

     

     

     
     

     

    ประตูปิดลงอย่างเบามือจนแทบไม่ได้ยินเสียง ชายหนุ่มยังไม่ละห่างจากใครอีกคนที่หลับอยู่บนเตียง ขายาวหยุดยืนอยู่กับที่แล้วจ้องภาพตรงหน้า คิมจงอินเข้ามาในนี้ทำไม ทั้งที่จางอี้ชิงก็บอกแล้วว่าอีกราว ๆ ห้าชั่วโมงโอเซฮุนถึงจะตื่น

    ชายหนุ่มหยัดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ตำแหน่งนี้มองเห็นใบหน้าอีกคนได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเสียเวลาขยับที่ให้ยุ่งยาก

     

     

    เขาควรอยู่ตรงนี้เหรอ? นั่นคือสิ่งที่คิมจงอินถามตัวเอง

     

     

    นับครั้งไม่ถ้วนที่เกิดคำถามนี้ในหัว อีกทั้งไอ้ขาไม่รักดีพาก้าวเข้าหาเด็กคนนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่สมองสั่งการให้เดินไปหาจองซูยอน ผู้หญิงที่เขาเคยบอกว่าชอบ

     

     

    เคย งั้นเหรอ?

     

     

    สมองของคิมจงอินทำงานแย่ลงไปทุกทีแล้วใช่ไหมถึงได้คิดแบบนั้นได้โดยไม่ไตร่ตรองก่อน เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันกำลังสวนทางกัน ไหนจะคำพูดของลู่หานที่ลอยเข้ามาในความคิด หมอกควันหนาที่เคยโอบล้อมตัวเขาตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่านั้น ตอนนี้มันจางหายไป เมื่อความชัดเจนเข้ามาแทนที่

    ความรู้สึกหวาดกลัวความรักเพศเดียวกันเมื่อก่อนหน้านี้คืออะไร คิมจงอินแทบลืมมันไปแล้ว เหมือนว่าตัวเขากำลังค่อย ๆ ซึมซับเด็กคนนั้นเข้ามาในความรู้สึก

    แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าโอเซฮุน มันก็เป็นการตอกย้ำว่าเขานั่นแหละที่เป็นคนรีบด่วนตัดสินใจ จนทำให้การแก้ไขเป็นเรื่องยาก เด็กคนนั้นเสียความรู้สึก ไหนจะจองซูยอนที่ดูเหมือนจะทีเล่นทีจริง คิมจงอินไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกอะไรหรือเปล่า ถ้าเกิดเขาบอกว่าชอบเพศเดียวกัน

     

    จองซูยอน เธอชอบฉันบ้างไหม?

     

    มันเคยเป็นคำถามที่เคยต้องการคำตอบมาตลอด แต่ตอนนี้คิมจงอินกลับไม่อยากรู้อีกต่อไป ความสับสนกำลังทำให้ผู้ชายคนหนึ่งสูญเสียความเป็นตัวเอง จากที่เคยคิดว่าชอบผู้หญิงคนนี้ แต่พอได้ความทรงจำคืนมาทีละนิด เรื่องราวระหว่างโอเซฮุนกลับมีน้ำหนักมากกว่าความรู้สึกเบาบางที่เกิดขึ้นกับจองซูยอนข้างเดียว

    ขอโทษคงไม่ทันแล้ว ความรู้สึกที่เสียไปมันยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เรื่องนี้คนอย่างเขาพอจะรู้ ไอ้หน้าโง่คิมจงอินพอจะทำอะไรได้บ้างวะ ความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนี้มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเขาไม่แน่ใจเลยว่า

     

     

    มันมาจากคิมจงอินคนเดิม...หรือเป็นเพราะกำลังรู้สึกดีกับโอเซฮุนอีกครั้งกันแน่?

     

     

    ...

    มือหนาค่อย ๆ เอื้อมไปตรงหน้าอย่างลังเล เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังสั่นเมื่อเข้าใกล้ใบหน้าอีกฝ่าย และทันทีที่สัมผัสกับกลุ่มผมสีเข้ม คิมจงอินรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก จนถึงตอนนี้เซฮุนก็ยังไม่รู้ตัว แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น บางทีการมองฝ่ายเดียว มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนสองคนที่เข้าหน้ากันไม่ติดก็ได้

    หลายครั้งที่แกล้งทำเป็นถ่อย พูดจาไม่ดีเพื่อเอาชนะ แต่พอลองทบทวนดูแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หนำซ้ำยิ่งทำให้โอเซฮุนเหม็นหน้าเข้าไปอีก

    ปลายนิ้วเรียวยาวขยับเล็กน้อย ชั่วอึดใจที่คิมจงอินค่อย ๆ เกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาวให้อย่างเบามือ จนกระทั่งคนที่หลับอยู่ขยับตัว มือที่เคยขยับก็หยุดชะงักราวกับเวลาหยุดนิ่ง

    ...

     

     

    เกือบไปแล้วสิ...

     

     

    ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จนถึงตอนนี้สายตาก็ยังคงไม่ละออกห่างจากคนตรงหน้า ถ้าโอเซฮุนตื่นขึ้นมาคิมจงอินต้องพูดยังไงดี ควรอธิบายเหตุผลที่สร้างขึ้นมาเองไหม หรือควรตอบไปตามความรู้สึก?

    ...

    นัยน์ตาคมหลุบลงมองมืออีกคนขยับมาโดนปลายนิ้วเขาอย่างไม่ตั้งใจ ความเย็นที่สัมผัสได้ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดใจอยู่เล็ก ๆ อากาศหนาวแบบนี้ถ้าไม่ใช่ควายถึกอย่างไอ้ลู่หานก็น่าจะสวมถุงมือบ้าง

    จงอินขยับปากบ่นพลางมองคาดโทษคนที่ยังคงยังหลับไม่ได้สติ เขาลุกขึ้นไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วค้นตามลิ้นชักเพื่อหาถุงมือสักคู่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อทุกอย่างถูกพับเก็บและเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ จนไม่ต้องรื้อออกมา

    ถุงมือสีน้ำตาลคือตัวเลือกที่ไม่เสียเวลาไปกับการคิด จงอินหยัดตัวนั่งลงกับขอบเตียง ปัญหาในวินาทีนี้คือเขาควรจะสวมถุงมือข้างไหนก่อนดี?

    บ้าไปแล้วแน่ ๆ บนโลกที่เต็มไปด้วยพวกกินเนื้อคน กับถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ แต่ผู้ชายอย่างคิมจงอินกำลังคิดหนักกะอีแค่เรื่องจะสวมถุงมือให้เด็กคนนี้

    อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาล่ะ...

    มองดวงหน้าขาวแล้วประคองมือซ้ายขึ้นมา แต่ไวเท่าความคิด กับสัมผัสที่ไม่ได้รุนแรงแต่ก็ไม่ถึงกับเบาบาง กลับทำให้เปลือกตาคู่นั้นค่อย ๆ ลืมขึ้น จงอินรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดทำงานไปเสียดื้อ ๆ เมื่ออีกฝ่ายปรือตามองมาทางนี้

    ...

    ...

    เซฮุนหลับตาลงไปแล้ว... ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ในหัวของเขาเรียบเรียงคำแก้ตัวแทบไม่ทันเลย แค่เข้ามาในห้องตอนชาวบ้านชาวช่องเขาหลับก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังไปคุ้ยลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหาถุงมือมาใส่ให้อีก มันไม่ใช่วิถีของคนที่ปฏิเสธผลักไสความรู้สึกคนอื่นเลยสักนิด

    จงอิน...

    ...

    นั่นคุณเหรอ...

    เสียงนั้นแหบพร่า แผ่วเบา แม้ว่าเปลือกตายังคงปิดสนิท มือที่ประคองอยู่ยังคงเย็นเฉียบ คล้ายกับความรู้สึกของเราทั้งคู่ในตอนนี้ จงอินไม่ได้ขานตอบ เขาเพียงแค่ค่อย ๆ ประคองมืออีกคนขึ้นมาพ่นไอร้อนลงไปจนรู้สึกได้ว่าความเย็นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความอุ่น ก่อนจะสวมถุงมือให้อย่างเบามือ

    ใช่...ฉันเอง

     

     

     

     

    งานนี้หินพอสมควร พวกคุณเคยระวังตัวมากแค่ไหน ผมอยากให้เพิ่มมากขึ้นอีกสามเท่า

    ไม่มีใครแย้งหลังจากที่อู๋อี้ฟานสั่งการ ตอนนี้ทุกคนยกเว้นจงแดรวมตัวกันอยู่ข้างรถหน้าบ้านพัก มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องออกไปหาเสบียง หลังจากที่เสบียงร่อยหรอจนแทบจะไม่เหลือเผื่อวันถัดไปแล้ว

    วันนี้แยกกันเป็นสองกลุ่ม ฝั่งอี้ฟานจะขับรถออกไปเมืองอื่น แล้วหาเสบียงมาให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตามมินิมาร์ท โรงงาน ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าที่มีอัตราเสี่ยงกว่าที่อื่น ๆ ไม่มีการเจาะจงว่าต้องเป็นที่ไหนสักแห่ง

    และคนที่มีคุณสมบัติพร้อมจะไปด้วยก็มีเพียงแค่ลู่หาน เทา ยูริ และคยองซูที่เสนอตัวว่าจะอยู่เฝ้ารถให้ ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินจนต้องวิ่งหนี จะได้มีคนเตรียมรถไว้รอ ซึ่งมันก็มีน้ำหนักทำให้อี้ฟานต้องหยุดใช้ความคิดทบทวนไปเกือบนาที เขายังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในเมืองที่ต้องวิ่งหนีไปหารถ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ การมีคนรอพร้อมพาหนีมันคงเป็นเรื่องดีกว่า

    พอคยองซูเสนอตัวซูโฮก็อยากไปด้วย แต่ซีวอนปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจะไม่ยอมให้ลูกชายออกไปเสี่ยงตายที่ไหนทั้งนั้น ต่อให้จะนั่งอยู่ในรถกับคยองซูก็ตาม อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ที่ที่เคยคิดว่าปลอดภัย อาจจะกลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุดก็ได้

    คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจ ตอนเห็นสีหน้าตัดพ้อของลูกชายที่มองมา ก่อนที่เด็กคนนั้นจะวิ่งออกจากบ้านไปขณะที่ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่ในบ้านหลังแรกเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว แต่ตอนนั้นการออกไปง้อลูกยังไม่ใช่ลำดับความสำคัญที่สุด เขาเลยต้องปล่อยซูโฮไปก่อน แล้วกลับเข้าเรื่องออกไปหาเสบียงอีกครั้ง

    คยองซูมองหารุ่นน้องคนสนิทที่เกาะติดเขายิ่งกว่าเงา ไม่รู้ป่านนี้ไปแอบน้อยใจอยู่แถวไหน เขาเข้าใจเด็กนั่นเป็นอย่างดี แต่ก็เข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่เหมือนกัน ซูโฮอ้างว่าเมื่อวานฆ่าผีดิบไปได้สามตัว แต่ประสบการณ์วันเดียวคงไม่ทำให้เด็กนั่นลงสนามจริงได้ แถมหวงจื่อเทายังถูกดุไปด้วย กับเรื่องที่พาพวกเขาไปล่าพวกผีดิบ

     

     

    เด็กก็ยังเป็นเด็ก ซูโฮยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เพื่อที่จะโตเป็นผู้ใหญ่

     

     

    ส่วนฝั่งที่จะไปหาเอาความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ตามหมู่บ้านกับชเวซีวอนก็มีจงอิน เซฮุน กาฮี และมินซอกที่ได้รับอนุญาต เพราะอัตราการเสี่ยงน้อยกว่า ครูสาวอ้างว่าก่อนที่จะได้เจอทุกคน เธอกับหวงจื่อเทาเองก็ผ่านการต่อสู้กับพวกมันมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งมันทำให้ใครหลายคนในที่นี้เกือบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งปาร์คกาฮีเคยเป็นผู้นำโรงเรียนประจำชุงช็องใต้มาก่อน

    กาฮีบอกว่ากลุ่มของเธอจะเกาะติดกัน เพราะฉะนั้นการดูแลแต่ละคนคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง นั่นรวมถึงตัวจงอินที่ยังจับไขควงได้ไม่ค่อยถนัดด้วย

    ลู่หานได้แต่สบตากับเด็กแว่นที่มองมาแววเรียบเฉย ในใจก็อยากจะพูดอะไรให้มากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่ามินซอกจะไม่ต้องการสักเท่าไหร่ เด็กคนนั้นหัวแข็งแต่ไหนแต่ไร ถ้าเข้าไปห้ามคงโดนด่ากลับมาแน่ ๆ

    แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ทุกคนกำลังจะอดตาย ถ้ามัวแต่ห่วงคนนั้นคนนี้แล้วเลือกคนออกไปหาเสบียงมันก็คงแย่ อีกอย่าง ลู่หานก็อยากให้มินซอกเรียนรู้ที่จะสู้กับพวกมันได้ด้วยตัวเอง เด็กคนนั้นไม่ได้โง่ แค่ยังขาดประสบการณ์ ถ้าฝึกไปอีกสักหน่อยก็คงออกไปหาเสบียงได้เหมือนคนอื่น ๆ

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

     

     

    คุณจะไปดูลูกชายก่อนไหม? คำถามของอี้ฟานทำให้คนเป็นพ่อหลุบตาลงใช้ความคิด

    ถ้าผมไป พวกคุณคงต้องเสียเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกับการรอผม เพราะงั้นไม่เป็นไร ทำตามแผนเถอะ กลับมาแล้วค่อยว่ากัน ใจนึงก็เป็นห่วงลูก แต่อีกใจก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเสียเวลาเพราะเรื่องนี้ เขาต้องลำดับความจำเป็นให้ได้

    เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปขึ้นรถได้แล้วครับ

    รถทั้งสองคันสตาร์ทเครื่อง ซูยอนกับอี้ชิงยืนอยู่หน้าบ้านแล้วมองตามหลังคนอื่น ๆ เธอหันไปสบตากับยูริแล้วยิ้มให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นที่ออกมาจากใจ แต่สำหรับจองซูยอนแล้ว มันกลั่นกรองออกมาเพื่อให้อีกคนสบายใจเท่านั้น

     

     

    เธอไม่อยากปวดหัวเพราะทะเลาะกับควอนยูริอีกแล้ว

     

     

    ผมจะเข้า ไปดู จงแด

    ค่ะ

    ซูยอนยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปทางรถเก๋งคันนั้น เธอมีโอกาสได้สบตากับจงอินและเซฮุน ซึ่งมันทำให้รู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก แน่นอนว่าแววตาของเด็กคนนั้นดูเฉยชาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่กับคิมจงอิน... มันต่างออกไป

     

     

    ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครอีกคน...ที่เธอไม่รู้จัก

     
     

     

     
     

     

    ปัง ๆๆๆๆ!!!!

    เสียงรัวทุบประตูทำให้ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นพร้อมเอามือดันคนตัวเล็กเอาไว้ให้นั่งอยู่กับเตียง ชานยอลยืนนิ่งเพื่อรอฟังเสียงอีกครั้ง พอได้ยินชัดเจนแล้วว่าที่ออกแรงทุบประตูนั้นไม่ใช่พวกกินคน เขาเลยหยุดยืนอยู่ตรงกระจกบานเกล็ด

    จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ตื่นได้แล้วโว้ย

    พวกเราตื่นแล้ว

    ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งซิกให้กับแบคฮยอน เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นประตูก็เปิดออก ร่างสูงยกมือขึ้นบังระดับสายตาแล้วก็ได้พบว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังถือปืนเดินไปขึ้นท้ายรถ ก่อนที่เจ้าของเสียงเคาะประตูจะเดินมายืนขวางสายตาเขา

    ลูกพี่บอกว่าจะปล่อยให้พวกมึงสองพี่น้องได้หายใจรำลึกความหลังในอดีตไปอีกวันก่อน เพราะถ้าพรุ่งนี้ค่ายทหาร ศูนย์วิจัย กับผู้หญิงในกลุ่มมึงไม่มีจริงล่ะก็... จะได้ตายกันตาหลับ

    ...

    ลิ่วล้อสวะยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ลูกน้องอีกคนพาทั้งสองคนออกมาข้างนอก ชานยอลกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังไม่ให้ผิดสังเกต แบคฮยอนถูกผลักมาข้างหน้าจนเขาต้องช่วยประคองเอาไว้ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสถานะจำเลย และปาร์คชานยอลต้องทำอะไรสักอย่าง

    ไง เมื่อคืนหลับสบายไหม?

    ครับ ขอบคุณที่ให้พักอาศัย ชานยอลยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยัดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามผู้นำของกลุ่มกินคนที่กำลังเอร็ดอร่อยกับมื้อเช้าตามลำพังบนโต๊ะไม้ยาว ส่วนคนอื่น ๆ ต่างแยกย้ายไปหามุมนั่งกิน ยืนกินเงียบ ๆ

    ภาพที่เห็นมันคงไม่ใช่สิ่งที่คนเหล่านี้ทำบ่อย ๆ ชานยอลคิดว่าคนตรงหน้าคงจัดแจงอาหารชวนอาเจียนเหล่านี้ไว้เพื่อลองใจเขาทั้งคู่ แบคฮยอนพยายามเก็บอาการ แม้ว่าเนื้อย่างตรงหน้าจะชวนอ้วกสักแค่ไหน

    เอาสิ มื้อเช้า

    ชานยอลมองส้อมที่เสียบเนื้อชิ้นใหญ่เอาไว้ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะใช้มีดพกรุ่น K-Bar หั่นเนื้อ เมื่อก่อนตอนแบคฮยอนกับครอบครัวเคยไปกินสเต็กในร้านอาหารหรู พ่อมักจะสั่งเนื้อชั้นดีความสุกระดับ Rare เขายังจำสีหน้าของแม่ตอนเห็นเนื้อแดง ๆ ได้ แน่ล่ะ...เธอไม่ชอบของดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบแบบนั้น แต่พี่แบคโฮบอกว่ามันคือของที่พ่อชอบ อย่าพูดอะไรให้แกต้องเสียความรู้สึกเลย

    และตอนนี้แบคฮยอนเข้าใจความรู้สึกของแม่แล้ว ยิ่งตอนผู้ชายคนนั้นหั่นเนื้อแล้วเลือดสีสดไหลซึมไล่ลงมาตามคมมีด เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากอาเจียน นั่นไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่มันคือเนื้อคน

    เป็นการเลี้ยงอาหารเช้าที่แปลกดีครับ ชานยอลยังคงวางมืออยู่ที่เดิม เขาไม่ได้สนใจอาหารอันโอชะของคนกลุ่มนี้ทั้งที่กระเพาะเขาเองก็ต้องการอาหาร ชายวัยกลางคนค้างมืออยู่ท่านั้น แล้วรอให้ร่างสูงพูดต่อเมื่อวานคุณจะฆ่าผมสองคน แต่ตอนนี้เรากลับได้สิทธิ์พิเศษนั่งทานมื้อเช้ากับคุณ ในขณะที่คนอื่น ๆ ... ร่างสูงมองไปยังพวกลิ่วล้อที่เคี้ยวเนื้อเต็มแก้มอย่างเอร็ดอร่อย

    เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน แต่ตอนนี้กูให้เกียรติมึงสองคนให้มานั่งกินด้วยกัน มันไม่ดีหรือไง? คนเป็นผู้นำยกยิ้มมุมปาก

    มันเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ต้องการมันครับ ผมกับน้องชายไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกับพวกคุณ หวังว่าเหตุผลของเราคงไม่สร้างปัญหาใช่ไหม? ชานยอลมองอีกคนอย่างหยั่งเชิง ทั้งคู่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ขืนถูกบังคับให้กินเนื้อคนตอนนี้ มีหวังได้อาเจียนออกมาจนทำให้กลุ่มคนคลั่งเนื้อหงุดหงิดแน่ ๆ

    ทำไมคุณไม่ให้เราพาไปวันนี้เลย หลังจากนั่งเงียบมานาน แบคฮยอนก็ได้ถามคำถามที่คาใจ มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยสักนิดที่คนพวกนี้จะเลี้ยงเขากับชานยอลไว้ดูเล่นไปอีกวัน

    ใจเย็นสิไอ้หนู ที่นี่ยังมีอาหารอยู่ ถ้ากลุ่มมึงไม่รีบย้ายหนีไปไหนล่ะก็... กูได้พามึงกลับไปเลี้ยงส่งท้ายพวกมันแน่ ชายวัยกลางคนหัวเราะในลำคอมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ เลิกคุยเรื่องซีเรียสกันดีกว่า หยิบมีดกับส้อมขึ้นมาแล้วกินซะ

    ...

    ...

    มีดที่เคยหั่นสเต็กหยุดชะงัก ก่อนที่นัยน์ตาคมจะเงยขึ้นมองสองพี่น้องที่ยังคงนั่งนิ่งเฉยเหมือนในทีแรก คนเป็นผู้นำเท้าศอกลงกับโต๊ะไม้ แล้วใช้หลังถุงมือเช็ดริมฝีปากอย่างลวก ๆ เขายกมือห้ามเมื่อเห็นว่าลูกน้องคนหนึ่งจะเข้าไปจัดการกับสองคนนั้น

    ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่เอาเสบียงสำคัญมาให้คนอื่นทาน ยิ่งถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธ มันก็เป็นเรื่องดีที่คุณจะไม่ต้องเสียของไปเปล่า ๆ

    ...

    ถ้ามึงไม่แดกเนื้อ แล้วจะแดกห่าไรวะ ตีนเหรอ?!” เสียงของลูกน้องคนนึงแทรกขึ้นมา

    การที่คุณมีรสนิยมความชอบแบบนี้ แต่ผมกับน้องชายชอบอีกอย่าง เนื้อพวกนี้ทำให้พวกคุณอยู่ท้องไปได้จนถึงเย็น ถ้าผมเป็นผู้นำอย่างคุณ คงเลือกเก็บไว้ให้คนในกลุ่มมากกว่าจะเอามาให้คนแปลกหน้าที่จะได้เจอกันเป็นครั้งสุดท้ายในวันพรุ่งนี้

    ชานยอลยังคงมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ต่อให้เป็นคนดีหรือชั่วสุดกู่ ไม่ว่าใครก็คงชอบให้คู่สนทนาพูดจาดี ๆ ด้วยทั้งนั้น และเขาก็กำลังพยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า...

     

     

    บยอนชานยอล...ก็มีดีแค่เรื่องฉลาดพูด

     

     

    ถ้าไม่กินของพวกนี้ แล้วมึงจะกินอะไรกันล่ะหืม?

    พี่! พวกห่านี่มันไม่มีสิทธิ์เลือกกินนะ!”

    มึงเงียบปากไป ใครให้เสนอหน้าพูดแทรกขึ้นมา คนเป็นผู้นำตอกกลับไปในทันที ก่อนจะหันกลับมามองทั้งคู่อีกครั้ง สายตาของมันสองคนดูไม่ต่างกันเลยสักนิด จองหอง อวดดี และคิดว่ากำลังอยู่เหนือคนอื่น ซึ่งเขาไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน

     

     

    อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันสองคนจะเล่นตุกติกยังไง?

     

     

    ไม่เป็นไร ถ้าไม่ชอบกินเนื้อ กูก็มีตัวเลือกมาให้อีกเหมือนเคย

    ...

    คนเป็นผู้นำเรียกลูกน้องมาใกล้ ๆ แล้วกระซิบข้างหู เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นชายหนุ่มก็วิ่งเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง และกลับมาพร้อมของสองอย่างในมือที่วางลงบนโต๊ะ ซึ่งนั่นก็คือทูน่ากระป๋อง กับรามยอน อย่างละหนึ่งชิ้น

    สำหรับวันนี้ นี่คืออาหารของพวกมึงสองคน แต่มีข้อแม้ว่า...

    ...

    ต้องเลือก... แค่อย่างเดียวเท่านั้น

     
     

     

     

     

     

    ถ้าเกิดอะไรขึ้น ให้ยิงพลุแฟล์ล่อพวกมันออกไป แล้วก็รีบวิ่งหาที่ซ่อน เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?

    อืม เข้าใจแล้ว

    คยองซูพยักหน้ารับหลังจากอี้ฟานพูดจบ ทั้งสี่คนสะพายเป้ไว้ข้างหลัง แล้วเตรียมอาวุธออกมาถือไว้เมื่อมาถึงที่หมาย เบื้องหน้าคือย่านการค้าขนาดย่อม ที่มีพวกผีดิบเพ่นพ่านอยู่จำนวนมาก และมันคงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการพวกมันทุกตัวเพื่อเคลียร์ทาง

    อี้ฟานส่งสัญญาณมือให้ลู่หานแยกไปเก็บตัวที่อยู่ทางด้านขวา ส่วนยูริกับเทาจัดการตัวที่อยู่ข้างถังขยะตรงตรอกแคบ

    กรรรรรรซ์...

    เสียงโอดครวญของพวกมันไม่ได้ฟังรื่นหู แม้ว่าโดคยองซูจะอาสามาที่นี่เอง แต่พออยู่ตามลำพังแล้วก็หวั่นใจจนต้องแทรกเข้าไปในรถพร้อมปิดประตูแน่นหนา เด็กหนุ่มเอนตัวไหลไปกับเบาะรถ พอให้ระดับสายตามองเห็นภาพตรงหน้า เขาได้แต่ภาวนาให้ทั้งสี่คนกลับมาโดยเร็วที่สุด

    เทาส่งลู่หานขึ้นไปเหยียบกับขอบหน้าต่างตึกพาณิชย์ ซึ่งเป็นตึกยาวประมาณห้าสิบเมตรที่ถูกแยกเป็นห้องแถว อี้ฟานช่วยดูลาดเลาอยู่ตรงหน้าทางเข้าตรอกหลังตึก ส่วนยูริช่วยถือมีดดาบไว้ให้เมื่อลู่หานจำเป็นต้องใช้ทักษะในการงัดหน้าต่าง

    บราโว่

    ลู่หานเดาะลิ้นทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อกกลอนหน้าต่าง ชายหนุ่มดันบานกระจกขึ้นก่อนจะแทรกตัวเข้าไปข้างใน ตามด้วยยูริ เทา และปิดท้ายด้วยอี้ฟาน

    คยองซูเห็นว่าอี้ฟานหายไปแล้วตรงปากทางแล้ว และนั่นยิ่งทำให้ใจไม่ดีเข้าไปอีก ไม่แปลกเลยที่คนอยู่เบื้องหลังอย่างเขาจะรู้สึกปอดแหกขึ้นมา เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติ แต่ทุกอย่างก็พังลงไม่เป็นท่า เมื่อรถที่เขานั่งอยู่...กำลังสั่นสะเทือนราวกับว่ามีใครเขย่ามัน

    ริมฝีปากกระจับได้รูปสั่นเครือจนต้องเม้มไว้ เขาเปิดลิ้นชักแล้วเอามีดพกออกมากอดแนบอก จากอากาศที่ว่าหนาวเย็น ยังไม่ทำให้ขนทั้งตัวลุกชูชันได้เท่ากับความกลัวที่มองไม่เห็น

     

    กึ่ก!!!

     

    รถสั่นอีกแล้ว... คยองซูกำลังใจไม่ดีอย่างถึงขีดสุด เขามองกระจกมองหลังแต่ก็ไม่พบอะไร ดวงตากลมโตทอดมองไปยังเบื้องหน้า พวกผีดิบที่เดินเพ่นพ่านอยู่กลางถนนยังไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของรถคันนี้ แต่ถ้าหากมันสั่นเรียกความสนใจอีกก็คงไม่แน่

    เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ มือสั่นเทาเอื้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะก้าวขาออกมาเหยียบลงบนหิมะที่สูงเกินข้อเท้า มีดพกถูกถอดออกจากปลอกหนัง คยองซูยกมันขึ้นมาตั้งไว้ระดับหัวไหล่ทั้งกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะเดินเลียบไปทางด้านซ้าย

     

     

    กึ่ก!!!

     

     

    รถกระบะคันใหญ่สั่นไหวอีกครั้ง จะบอกว่าคิดไปเองก็คงไม่ใช่แน่ ๆ เมื่อผ้ายางสีเขียวเข้มที่กองอยู่ท้ายกระบะมันขยับได้ คยองซูเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เขากำลังจะสติแตกเพราะไม่รู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร

    เด็กหนุ่มค่อย ๆ ก้าวไปหยุดอยู่ข้างรถ มือข้างหนึ่งง้างมีดขึ้นสูง ส่วนมืออีกข้างกำผ้ายางเอาไว้ คยองซูนับหนึ่งสองสามในใจ เขาใช้เวลานั้นในการตั้งสติ ก่อนจะกระชากผ้ายางออกอย่างแรง

    ...!!!”

    ...!!!”

    พี่คยองซู! ผมซูโฮเองครับ! ผมเอง!”

    เด็กหนุ่มเบิกตาอย่างตกใจ เมื่อพบว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาตกอยู่กับความหวาดกลัวไปช่วงเวลาหนึ่งคือเด็กน้อยที่น่าจะอยู่ในอุทยานมากกว่าที่นี่ ทั้งคู่สบตากันอยู่ชั่วอึดใจ ซูโฮยิ้มกว้างแล้วกระโดดลงมาจากท้ายกระบะพร้อมปัดแขนเสื้อและขากางเกง ก่อนจะยิ้มเจื่อนตอนเห็นสายตาคาดโทษของคยองซู ซึ่งเด็กน้อยรู้ดีว่าจะต้องโดนอะไรบ้างหลังจากแอบมาด้วย

    ฉันต้องการคำอธิบาย ว่านายโผล่มาที่นี่ด้วยได้ยังไง?

    ผมไม่อยากอยู่อุทยานคนเดียวนี่ พี่อี้ชิงก็คุยด้วยไม่รู้เรื่อง พี่ซูยอนก็ไม่สนิท พี่จงแดก็ต้องพักผ่อน ผมมีแต่พี่ ผมก็อยากอยู่กับพี่ ซูโฮเบ้หน้าร้องขอความเห็นใจ หากแต่คนที่กำลังเจอกับปัญหาอย่างโดคยองซูในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอย่างนั้น เขาจะต้องพูดยังไงตอนที่อี้ฟานกลับมา แล้วเห็นว่าเจ้าบ้านี่ติดสอยห้อยตามมาด้วยโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต

    เข้าไปในรถเดี๋ยวนี้

     

     
     

     

     
     

    มิสกาฮี ผมคิดว่าวันนี้เราคงไม่ได้อะไรกลับไปแน่ ถ้าเกิดยังเกาะกลุ่มกันอยู่แบบนี้ ซีวอนหยุดยืนอยู่กลางห้องโถงในบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่ทั้งห้าคนพยายามหาเสบียงจากบ้านอื่นมาแล้วรวมเจ็ดหลัง แต่ก็ได้มาแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ผมจะแยกออกไปคนเดียว คุณดูแลทางนี้ไหวใช่ไหม?

    หญิงสาวพยักหน้ารับ ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจอยู่ไม่น้อย ซีวอนเหลือบมองไปยังคิมจงอิน คนที่เคยแลกหมัดกับเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่วันนี้ผู้ชายคนนั้นกลับกลายเป็นคนหนึ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ต่างจากครูสาวและนักเรียนของเธอ

    ตอนนี้ทุกคนกำลังหิว ไหนจะต้องออกมาใช้แรงกันอีก มันคงดีกว่าถ้าพวกเขาแยกกันออกไปหาเสบียงในบ้านแต่ละหลัง แล้วไปรวมตัวกันที่รถอีกที

    งั้นผมจะไปบ้านหลังข้าง ๆ หลังจากซีวอนออกไปได้ไม่ถึงครึ่งนาที เซฮุนก็มีความคิดว่าการแยกออกเป็นสองกลุ่มคงไม่ดีขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาแยกออกไปอีกคนท่าจะได้เรื่องมากกว่านี้

    ไหวใช่ไหม? ครูสาวถามด้วยความเป็นห่วง ถึงเมื่อวานอี้ชิงจะบอกว่าให้ยาแก้แพ้เพื่อบังคับให้เซฮุนพักผ่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเป็นห่วงเด็กคนนี้อยู่ดี

    ครับ ผมไหว

    งั้นผมก็จะไปอีกหลังนึง คุณอยู่กับเด็กนี่แล้วกัน จงอินหันไปมองหญิงสาวเด็กแว่นแล้วเดินนำออกมา แต่ยังก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกใครอีกคนคว้าท่อนแขนเอาไว้

    คุณไปตามลำพังแบบนั้นไม่ได้นะจงอิน

    เราก็ช่วยกันจัดการพวกข้างนอกหมดแล้วนี่

    ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอีกคนที่จ้องเขาด้วยสายตาเรียบเฉย คิมจงอินไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าโอเซฮุนกำลังเป็นห่วงเขา หรือถ้าใช่ มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องแยกกันไปหาเสบียง

    ถึงเมื่อวานก่อนฉันจะเกือบตายต่อหน้านาย แต่คนเราแม่งคงไม่โง่หกล้มที่เดิมซ้ำ ๆ หรอกมั้ง

    ...

    แยกกันเถอะ ฉันจะระวังตัว

    จงอินครับ

    ...

    ในบ้านก็อันตราย... ชายหนุ่มก้มลงมองมืออีกคนที่ยังคงจับท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่น โอเซฮุนแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เขาไปคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คิมจงอินก็คงเชื่อฟังอย่างไม่อิดออดตามประสาคนกลัวตาย เผลอ ๆ เขาอาจจะกลับไปนั่ง ๆ นอน ๆ รออยู่ในรถแล้วปล่อยให้คนอื่นหาเสบียงก็ได้

     

     

    แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

     

     

    มันมีอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องลึกของความรู้สึก มันกำลังบอกเขาว่าลองดูสักตั้งไหม จะได้รู้ว่าคิมจงอินคนเดิมมันตายห่าไปแล้วหรือยัง?

    ได้

    เซฮุนเบิกตากว้างพลางก้มลงมองมือตนเองที่เพิ่งถูกแกะออกจากท่อนแขนแกร่ง ก่อนที่ข้อมือของเขาจะเป็นฝ่ายถูกจับไว้โดยคนตรงหน้า จงอินไม่ได้ออกแรงบีบ ที่จริงผู้ชายคนนี้แค่กุมเอาไว้หลวม ๆ เท่านั้น

    งั้นก็ไปด้วยกันเลยเป็นไง

    เซฮุนพูดไม่ออก เขาเพียงแค่สบตากับคนตรงหน้าก่อนจะปล่อยให้ขาเดินตามการชักนำของอีกคน เด็กหนุ่มหันกลับไปมองปาร์คกาฮีและคิมมินซอกเป็นครั้งสุดท้าย เขาได้แต่หวังว่าทุกคนจะไม่เป็นอะไร

     

     
     

     

     

     
     

    ห้องน้ำเคลียร์

    ห้องโถงเคลียร์

    ทั้งสี่คนลดอาวุธ แล้วสาดไฟฉายไปรอบ ๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงออฟฟิศขนาดเล็กที่เละเทะไม่เป็นท่า คราบเลือดสีเข้มแห้งกรังติดพื้นพรมลากไปจนถึงสุดมุมห้อง ก่อนจะพบซากศพที่มีแมลงวันตอมหึ่งอยู่ทางด้านใน

    ยูริใช้เท้าเขี่ยหลอดไฟโคมตะแกรงห่างที่กองอยู่บนพื้นออกไปให้พ้นทาง หญิงสาวคลายผมม้าออกก่อนจะเกล้ามวยไว้เพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว กลิ่นอับในที่คับแคบแห่งนี้ไม่ใช่ปัญหาหลักของทั้งสี่คน เทาเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องทำงานกระจกที่มีม่านมู่ลี่ปิดไว้จนแทบมองอะไรไม่เห็น ก่อนใครอีกคนจะเดินออกมาพร้อมมีดดาบโชกเลือด

    เอาไง จะลุยต่อหรือหยุดคุ้ยขยะในนี้ก่อน ลู่หานถาม หลังจากที่พวกเขาเข้าประตูซ้ายทะลุประตูขวาหลีกเลี่ยงการปะทะพวกกินคนบนถนน เพื่อหาทางไปยังโกดังเก็บของที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก อี้ฟานยืนใช้ความคิดอยู่ชั่วอึดใจเดียว เขามองคนที่มาด้วยทั้งสามก่อนจะตอบเสียงเรียบ

    สองนาที

    พวกเขาแยกย้ายกันไปคนละมุมเพื่อค้นหาของที่น่าจะเก็บกลับไปได้ ไม่ว่าจะเป็นของเศษเล็กเศษน้อย ลู่หานกับเทาเข้าไปในครัวเล็กที่ถูกสร้างเพื่อให้พนักงานนั่งพักผ่อนในเวลาว่าง ส่วนอี้ฟานกับยูริแยกไปดูตรงหน้าต่างเพื่อหาทางไปต่อ

    ลู่หานคาบไฟฉายขนาดเล็กไว้ในปากแล้วย่อตัวลงเปิดประตูชั้นล่างพร้อมวางมีดดาบไว้ข้างตัว แต่พอส่องไฟเข้าไปเสียงกุกกักข้างในก็ดังขึ้นจนแทบหงายหลัง ชายหนุ่มเอื้อมไปกำด้ามมีดดาบเอาไว้มั่น ก่อนที่แสงสว่างจะเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อหวงจื่อเทาส่องไฟฉายมาทางนี้

    ...!!!”

    เพิ่งรู้ว่าเป็นคนใจเสาะ

    เงียบปากไปเลยมึง แม่งโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง กูไม่กรี๊ดก็บุญหัวแค่ไหนละ ลู่หานใช้เท้าดันประตูใต้ซิงค์ล้างมือเพื่อขังหนูเอาไว้พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อกี้กูแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าอีกกลุ่มจะเป็นไงบ้าง แล้วไอ้หนูหอกนี่ก็เสือกส่งเสียงขึ้นมาซะได้ แม่งน่าจับไปย่างแดกซะให้รู้แล้วรู้รอด

    เหอะ ๆ เทาแค่นหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปค้นของอีกครั้ง แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตำตามันไม่น่าเอากลับติดมือไปด้วยเลย ไอ้แยมกระปุกแก้วนี่ไม่ได้ช่วยคลายหิวให้ได้เท่าที่ควร แถมยังทำให้กระเป๋าหนักอีกด้วย เห็นทีว่าเขาคงต้องตัดใจวางทิ้งไว้ที่นี่

     

    ฉึ่ก!!!

     

    ทำไรวะ? เทาเอี้ยวตัวหันกลับไปส่องไฟฉายใส่ลู่หานอีกครั้ง เขาเห็นว่าไอ้เตี้ยนั่งกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง หลังจากที่เสียงหนูดิ้นในตู้เงียบไป

    ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาหวิว ลู่หานค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นพร้อมมีดดาบที่เสียบทะลุหนูขนาดตัวเท่ามือ ก่อนจะวางมันลงบนเคาน์เตอร์ แล้วก้มลงค้นเอาบางอย่างออกมา

    ข้างในมีรามยอนกับกาแฟสำเร็จรูปอยู่ประมาณอย่างละสามสี่ห่อ แต่โดนไอ้หนูเหี้ยนี่แทะไปแล้วสาม เหลือหนึ่ง ลู่หานมองซากซองพลาสติกที่แหว่งไปเพราะถูกรอยกัด ก่อนจะหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์แล้ววางมันลง

    ตั้งแต่หนีตายมา นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รู้สึกแย่กับการดิ้นรนเอาชีวิตรอด ลำพังแค่ชีวิตเขาคนเดียวจะยังไงก็ได้อยู่แล้ว การกินของต่อจากสัตว์สกปรกอย่างหนูมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้ว่าใครหลายคนจะมองว่ามันอาจเป็นพาหะนำเชื้อโรค แต่ถ้าเขาเอากลับไปด้วย แล้วต้มให้คนอื่น ๆ กินจนมีใครท้องเสีย หรือมีอาการข้างเคียงขึ้นมาล่ะ แบบนั้นก็เสี่ยงไม่คุ้ม

    ออกไปหาอี้ฟานกันเถอะ ในออฟฟิศนรกไม่มีอะไรให้เราแล้ว เทาพูดจบก็สะพายกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าลู่หานก้มลงค้นถังขยะ แล้วเททุกอย่างลงบนพื้น เพื่อเอาถุงดำมาห่อซากศพหนูตัวนั้นเอาไว้

    นั่นมึงจะทำอะไร?

    เอามันไปด้วยไง

    เออกูเห็น แต่...

    เนื้อหนูก็เหมือนเนื้อนกนั่นแหละ ถ้าย่างให้สุกก็ปลอดภัยแล้ว เทามองแผ่นหลังของอีกคนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ไอ้เวรนี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอถึงได้พูดแบบนั้นออกมาเราทุกคนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกของกินได้ ตอนนี้ถ้ามีจิ้งจกเกาะอยู่ตามผนังกูก็จะแดก ถ้ามันจะทำให้กูรอดไปถึงวันพรุ่งนี้ได้

    น้ำเสียงของลู่หานจริงจังมากกว่าทุกครั้ง เทายังยืนอยู่ตรงนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเดินออกไปแล้ว เด็กหนุ่มเสยผมขึ้นเพื่อสงบสติอารมณ์ เรื่องที่ต้องกินเพื่ออยู่นั้นตัวเขาเข้าใจดี แต่หนูเป็นสิ่งที่หวงจื่อเทาคาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาหาร

     

     
     

     

     

     

    ผมนั่งเงียบ ๆ แล้ว เมื่อไหร่พี่คยองซูจะหายโกรธ

    ...

    พี่ครับ ผมขอโทษ ครั้งต่อไปผมจะไม่ดื้ออีกแล้ว คุยกับผมหน่อยนะ ซูโฮเขย่าแขนคนข้าง ๆ ที่ยังคงนั่งเงียบตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

    คยองซูสะบัดแขนออกครั้งแล้วครั้งเล่า ไหนจะหันไปมองคาดโทษ แต่ไอ้เด็กอวดดีก็เอาแต่เบ้หน้าสำนึกผิด พร้อมส่งสายตาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจกลับมา

    รู้ใช่ไหมว่ามันผิด พ่อนายจะว่ายังไงถ้าเกิดรู้ว่านายแอบมาด้วย

    ผมจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแน่ ผมจะบอกพ่อว่าผมแอบมาเอง ซูโฮโพล่งออกมา ซึ่งเขาคิดอย่างที่พูดจริง ๆ ซูโฮแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ไหนจะรู้สึกผิดที่แอบไปกินขนมในห้องครัวเมื่อคืนนั้น

    ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องพ่อนายจะว่าใคร แต่ที่นี่มันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กอย่างนาย

    ครับ ซูโฮพยักหน้าโดยไม่โต้แย้ง

    ขนาดจงอินกับเซฮุนยังมาด้วยไม่ได้ เพราะอี้ฟานไม่อนุมัติ แล้วดูนายสิ

    แต่ผมอยู่กับพี่นะ ฝีมือของเราก็พอ ๆ กัน เราไม่ได้ไปสู้กับใครนี่ครับ ก็แค่นั่งรออยู่ในรถ เดี๋ยวถ้าคนอื่น ๆ กลับมาผมจะกลับไปซ่อนท้ายกระบะข้างหลังเหมือนเดิมก็ได้ ซูโฮยังคงพยายามแก้ตัว เพื่อให้คนข้าง ๆ เลิกใจร้ายกับเขาสักที

    บ้าเอ๊ย

    พี่หายโกรธ...

    เดี๋ยว...

    ครับ?

    หมอบลง!”

    ยังพูดไม่ทันจบประโยคเด็กน้อยก็ถูกกดศีรษะให้ก้มลงต่ำ ทันทีที่คยองซูได้ยินเสียงรถขับมาทางนี้ จากประสบการณ์อยู่กับพวกขี้คุกที่ขยันเปลี่ยนรถขับยิ่งกว่าอะไรดี มันทำให้เขารู้ว่าเสียงที่เข้ามาใกล้นั้นไม่ใช่รถขนาดเล็กแน่

    มีคนมาเหรอ...

    ...เงียบ

    เด็กหนุ่มทั้งสองคนสบตากันและปล่อยให้ความกลัวครอบงำ หัวใจที่เคยอยู่ในจังหวะปกติเต้นแรงขึ้นเมื่อเสียงรถปริศนาดับลง สีหน้าของซูโฮตอนนี้ไม่สู้ดีนัก และเขาเองก็คงไม่ต่างกัน คยองซูกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ เขาต้องตั้งสติแล้วคิด

    อย่าเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าฉันจะบอก... ซูโฮพยักหน้ารับปาก ก่อนที่เด็กหนุ่มจะค่อย ๆ โผล่หน้าขึ้นไปเพื่อดูว่าผู้มาใหม่อยู่ห่างจากตรงนี้มากแค่ไหน และภาพที่เห็นมันก็ไม่ได้ทำให้โล่งใจนัก

    คยองซูก้มหัวลงอีกครั้งแล้วถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้มาแค่คนสองคน

    พวกเขาเป็นคนดีไหมพี่คยองซู...

    ฉันไม่รู้... แต่สถานการณ์แบบนี้คงไม่มีเวลาให้คนโลกสวย นี่ซูโฮ... นายตั้งใจฟังฉันให้ดีนะ เด็กหนุ่มตบแก้มอีกคนที่หมอบอยู่กับเบาะที่นั่งเหมือนกับเขา

    ใช่ว่าโดคยองซูจะมีความกล้ามากนัก ถ้าเทียบกับเด็กคนนี้แล้ว ของเขาคงเรียกได้ว่าติดลบ แต่ในเวลาแบบนี้ถ้าปล่อยให้ความกลัวเล่นงานล่ะก็ คนพวกนั้นคงได้แวะมาทักทายถึงรถ แล้วเราทั้งสองคนก็จะแย่

    เฮ้ย ทำไมรถคันนั้นมันแปลก ๆ วะ

    หืม...

    ดูสิ สีมันไม่เหมือนรถที่จอดทิ้งตากอากาศไว้เหมือนคันอื่น ๆ เลย แถมกระจกยังชัดใสแจ๋ว

    ...

    ...

    เด็กหนุ่มทั้งสองคนได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน คยองซูกลอกตามองซ้ายขวา ก่อนจะเปิดเก๊ะเอาปืนพกกระบอกหนึ่ง กับปืนยิงพลุแฟล์ออกมา

    พี่...

    ซูโฮ ฟังฉัน

    ...

    เรามีเวลาไม่ถึงนาที ฉันอยากให้นายก้มหัวลงแล้วเปิดประตูออกไป หมอบต่ำแล้วหาจังหวะหนีไปหาที่ซ่อนหลังตึกนั้น อย่าออกมาจนกว่าฉันจะไปรับ เข้าใจไหม?

    ไม่...ผมไม่กล้า...

    เราไม่มีทางเลือกแล้ว เร็วเข้า!”

    ถ้าผมไป แล้วพี่ล่ะ... ซูโฮมองปืนพกในมือที่อีกคนวางลงมา เขาเห็นว่าพี่คยองซูแอบชะโงกหน้ามองเป็นระยะ แต่ก็ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ต้องก้มหัวลงเหมือนเดิม

    ฉันจะรีบตามไป เอาล่ะ ไปได้แล้ว เด็กหนุ่มขมวดคิ้วพยักหน้าเป็นเชิงบังคับ สีหน้าซูโฮตอนนี้เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ เขาเปิดประตูออกไปเงียบ ๆ แล้วก้มลงต่ำ ก่อนจะแง้มประตูเข้าไปจนเกือบปิดสนิท

    เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นที่เด็กน้อยได้สบตากับอีกคน ก่อนที่คยองซูจะเอื้อมมาปิดประตู นัยน์ตาที่กำลังสั่นเครือกวาดสายตาไปโดยรอบ ปืนที่ถืออยู่มันหนักพอ ๆ กับความกลัวที่หน่วงอยู่ในความรู้สึก

    ซูโฮพยายามตั้งสติแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก ขาทั้งสองข้างมันทั้งสั่นและอ่อนแรงจนอยากก่นด่าความดื้อรั้นที่พาตัวเองมาถึงที่นี่ เด็กน้อยหันกลับไปมองรถกระบะคันนั้นเป็นระยะ ถ้าไม่มีเขา พี่คยองซูก็คงหนีออกมาทันใช่ไหม?

    คยองซูหายเข้าใจลึก ๆ พร้อมกำปืนยิงพลุแฟล์ไว้แนบอก เขาชะโงกหน้าขึ้นมองอีกครั้งแล้วก็พบว่าหนึ่งในคนกลุ่มนั้นกำลังตรงมาทางนี้

    ชายวัยกลางคนหลุบสายตาลงจุดบุหรี่สูบ นั่นเป็นจังหวะดีให้เด็กหนุ่มปีนข้ามไปอยู่ตรงเบาะหลัง คยองซูหันซ้ายขวาเพื่อหาอะไรมาปิดบังตัวเองไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะหยิบจับมาใช้ได้เลย

    เขาหดขาลงแล้วพยายามแทรกเข้าไปอยู่ในช่องวางขา ถึงจะเป็นผู้ชายตัวเล็ก แต่ช่องแคบก็ไม่ได้พอเหมาะที่จะแทรกตัวเข้าไปได้ เหงื่อกาฬไหลซึมตามขมับชื้น แม้ว่าอากาศในตอนนี้จะอยู่ในอุณหภูมิติดลบ

    ...

    ซูโฮหลบอยู่หลังถังขยะแล้วชะโงกหน้าออกไป เขารู้สึกเหมือนสติแตกไปแล้วเกือบครึ่งจนไม่สามารถเรียบเรียงความคิดอะไรใด ๆ ในตอนนี้ได้ สองมือยังคงถือปืนพกเอาไว้ ซูโฮพอจะรู้วิธีใช้มัน หลังจากที่เคยใช้เวลาในการเรียนรู้เรื่องปืนกับพ่อไปหลายครั้ง เมื่อตอนที่ยังอยู่ด้วยกันสองคน

    ไม่! อั่ก!”

    ซูโฮเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่คนสนิทถูกล็อกคอออกมาจากรถกระบะ ก่อนที่ร่างนั้นจะถูกเหวี่ยงจนไถลไปกับพื้นหิมะ

    เหมือนเวลาหยุดนิ่ง เด็กน้อยค้างอยู่ท่านั้นเหมือนคนขยับแขนขาไม่ได้ เขาเห็นว่าพี่คยองซูถูกกระชากคอเสื้อขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ผู้ชายอีกสามสี่คนจะตามมาสมทบ คนพวกนั้นหน้าตาน่ากลัว อีกทั้งท่าทางที่แสดงออกกับคนแปลกหน้า ซูโฮรู้แล้วว่าคนพวกนั้นไม่เป็นมิตร

     

     
     

    ทำไงดี... พี่คยองซูต้องแย่แน่ถ้าปล่อยไว้แบบนั้น

     

     

     

    มึงไปหลบอะไรอยู่หลังรถวะ?

    ...

    คยองซูไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่ดึงชายเสื้อลง ก่อนที่พวกมันจะเห็นว่าเขาเก็บปืนยิงพลุแฟล์ไว้ตรงหัวกางเกงยีนส์

    มึงมากับใคร?

    ...

    สงสัยอยากปากแตกก่อน ถึงจะยอมพูดได้

    คำข่มขู่ปนเสียงหัวเราะในลำคอนั้นไม่ได้ทำให้คยองซูกลัวจนหัวหดไปกว่านี้ จากที่เคยอยู่กับพวกสวะกลุ่มเดิมมาก่อน เขาพอจะคุ้นสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ปัญหาหลักในตอนนี้คือจะทำยังไงดี ถ้าตอบไปก็โดน ไม่ตอบก็คงโดนเหมือนกัน

    มากับเพื่อน...

    กี่คน?

    ส...สองคน

    มันอยู่ไหน?

    คนพวกนี้ไม่เสียเวลาให้เขาได้คิดคำตอบเลยสักวินาทีเดียว คยองซูคิดว่าได้ให้ข้อมูลมากเกินไปแล้ว แต่ถ้าไม่ตอบ เขาก็อาจจะเจอเรื่องไม่คาดคิด

    กูถามว่าอยู่...

     
     

    ปัง!!!

     
     

    อ๊ากกก!!!”

    คยองซูเบิกตาอย่างตกใจหลังจากเสียงปืนดังขึ้น ก่อนที่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังไอ้ระยำจะล้มลงไปกับพื้น

    เวรเอ๊ย มันยิงมาจากตรงไหนวะ!!!”

    ข...แขนกู!!!”

    มายิงจากตรงนั้น!!!”

    เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงตะโกนของชายวัยกลางคนที่ชี้ไปยังข้างหลัง ก่อนจะเห็นว่าซูโฮยืนนิ่งอยู่ในท่าถือปืน เหมือนคนกำลังช็อก

     

     

    ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย บอกให้หาที่ซ่อนทำไมถึงยังออกมาอีก!!!

     

     

    ไปลากคอมันมา!!!”

    คยองซูกลอกตา เมื่อตอนนี้ทุกคนกำลังเบี่ยงความสนใจไปหาเจ้าของลูกปืนเมื่อครู่นี้ เด็กหนุ่มชักปืนยิงพลุแฟล์ออกมา ก่อนจะยิงใส่หน้าอีกฝ่ายจนควันสีแดงเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง

    อ๊ากกกก!!!”

    เด็กหนุ่มเดินถอยหลังสองก้าวก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอี้ยวตัวหันหลัง และวิ่งหนีด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี คยองซูเห็นว่าเด็กนั่นอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก เขากัดฟันแน่นพร้อมส่งสัญญาณมือบอกให้อีกคนรีบวิ่งไป ก่อนจะชูปืนขึ้นเหนือศีรษะแล้วยิงพลุแฟล์นัดที่สองขึ้นฟ้า

    อย่าให้มันสองคนหนีไปได้!!!”

     

     

     

     

    ปัง!!!

     

    เสียงปืนดึงความสนใจจากทั้งสี่คนให้หันกลับไปมองข้างหลัง ขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังหยิบจับเสบียงใส่กระเป๋าเป้ อี้ฟานหันไปสบตาลู่หานอย่างรู้กัน ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง

    เสียงปืนดังมาจากทางที่พวกเรามา ยูริแหวกม่านมู่ลี่ออกเล็กน้อย เบื้องล่างมีพวกกินคนอยู่เต็มไปหมด ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต

    ไกลแค่ไหน?

    อ่า... ไม่รู้สิ อาจจะสามร้อยเมตรโดยประ... คาดเดายังไม่ทันจบก็ต้องหยุดแค่นั้น เมื่อเห็นแสงสว่างสีแดงที่เพิ่งยิงขึ้นฟ้า 

    ชิบหายแล้วล่ะ

    คยองซู ยูริกับเทาอุทานชื่อเด็กหนุ่ม ก่อนที่ทั้งสี่คนจะหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้า ทุกคนแยกย้ายกลับไปเก็บกระเป๋าเป้แล้วรูดซิปภายในเวลาไม่ถึงสามวินาที ก่อนที่อี้ฟานจะรีบวิ่งนำไปก่อน

    ทั้งสี่คนวิ่งกลับไปทางเดิมที่เคลียร์ทางไว้เรียบร้อยแล้ว เทากับลู่หานกระโดดขึ้นรั้วได้เร็วที่สุดและตามด้วยยูริที่ไม่มีท่าทีว่าจะต้องการความช่วยเหลือจากคนที่วิ่งไล่หลังอย่างอี้ฟาน

    ร่างสูงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นี่มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาสงสัยในฝีมือของควอนยูริที่ดูคล่องแคล่วเกินกว่าผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่บอกว่ามีฝีมืออยู่บ้างเพราะเรียนรู้จากการหนีตายในแต่ละครั้ง

     

     

    ปัง ๆๆๆ

     

     

    เดี๋ยว!”

    ลู่หานเอามือดันแผงอกเทาเอาไว้เมื่อเห็นว่ามีคนถือปืนวิ่งผ่านไป พวกเขาเลยวิ่งเลียบไปหยุดอยู่อีกฝั่งของดาดฟ้าตึกสูงสี่ชั้น แล้วก็พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังสาดปืนไล่ตามหลังเด็กหนุ่มสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา มันคุ้นชนิดว่าลู่หานถึงต้องสบถคำหยาบเบา ๆ กับตัวเอง

    เวรแล้ว นั่นมันคยองซูกับซูโฮ!”

    ลู่หาน คุณสามารถไปถึงตัวเขาได้เร็วมากแค่ไหน? อี้ฟานถามก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง แล้วตรวจเช็กกระสุนปืนที่เตรียมมาด้วย

    ไม่รู้ว่ะ... ให้ไปเลยไหม? ลู่หานกำลังอยู่ในสภาวะสับสน คำถามแรกคือไอ้เด็กนั่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

    ไปเลย ถ้าช่วยพวกเขาสองคนไว้ได้ ไม่ว่าใคร ให้รีบหารถขับกลับอุทยานทันที ไม่ต้องรอคนที่เหลือ อี้ฟานสั่งการก่อนที่จื่อเทาจะปลดเซฟตี้ปืนแล้วพยักหน้าอย่างรู้งาน

    พวกเวรนั่นฉันจัดการเอง ยูริมองไปยังเบื้องหน้าแล้วรูดซิปเสื้อหนังขึ้นจนสุดคอ ก่อนที่ทั้งสี่คนจะแยกย้ายกันออกไปช่วยเด็กทั้งสองคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

     

     
     

     

     
     

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!”

     

    ซูโฮ ทางขวา!!!”

    ...!!!”

    เด็กหนุ่มทั้งสองคนวิ่งหนีความตายไปอย่างทุลักทุเล แต่ทางเลือกที่มีมันก็น้อยเหลือเกินสำหรับเด็กที่ถูกปกป้องมาตลอด ซูโฮล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้งจนคยองซูต้องเข้าไปช่วยประคองให้ลุกขึ้น

     

     

    ปัง ๆๆๆๆ

     

     

    เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เขารู้สึกปวดแสบตรงแผลที่ถูกยิงเฉียดแขนไปเมื่อครู่ แต่โดคยองซูก็ยังขอบคุณพระเจ้าที่กระสุนนัดนั้นไม่ได้แม่นจนเจาะเข้ากลางหัวใจเขา เด็กหนุ่มหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ เขาเห็นว่าคนพวกนั้นตามมาแค่สองคน แต่พอหันกลับไปมองทางเบื้องหน้า ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมตึก

    พี่คยองซู!!!”

     

     

    ปัง ๆ!!!

     

     

    อั่ก!!!”

    เด็กทั้งสองคนไม่มีเวลาให้หยุดตกใจเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่คยองซูเหนี่ยวไกใส่กลางอกผู้ชายคนนั้นไปสองนัดอย่างจำเป็น ขาของทั้งคู่ยังคงวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องยิงซ้ำกลางหัวอีกนัดเพื่อไม่ให้เปลี่ยนเป็นผีดิบ

    ซูโฮ ทางนี้!!”

    คนเป็นพี่จับมือน้องให้วิ่งไปด้วยกัน มีหลายครั้งที่ต้องหยุดกะทันหันเมื่อเห็นพวกผีดิบขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่หอบหายใจอย่างหนัก สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร การวิ่งก็เป็นการฆ่าตัวตายอีกวิธีหนึ่ง

    เด็กหนุ่มทั้งสองมีโอกาสได้หยุดโกยอากาศเข้าปอดเพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น กระสุนปืนยิงเฉียดศีรษะผ่านไปจนฝังแน่นลงกับกำแพงปูนนั้นเป็นสัญญาณบอกให้ต้องวิ่งต่อ

    ลู่หานกับเทาวิ่งขนาบคู่กันข้ามรั้วบนชั้นดาดฟ้าโดยไม่มีใครหยุดพัก เทาแยกลงบันไดไปก่อน ส่วนลู่หานเลือกไปลุยเอาดาบหน้า เขาหยุดอยู่ข้างรั้วดาดฟ้าตึกสุดท้ายแล้วก้มลงมองไปยังเบื้องล่าง ปลายนิ้วเรียวเคาะลงกับรั้วปูนขณะใช้ความคิด

    ถ้าเกิดวิ่งลงไปเหมือนไอ้เทา เด็กสองคนนั้นถูกยิงตายห่าก่อนแน่ แต่ถ้าให้โดดลงไปข้างล่างให้หลังชนกับหิมะบนซีเมนต์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร

    ลู่หานเลียริมฝีปากแล้วมองไปยังตึกก่อสร้างข้างหน้าที่มีตาข่ายสีเขียวห้อมล้อมทั้งตึก เพียงแค่สามวินาทีเท่านั้นที่เขาใช้เวลาไปกับการทบทวนทางเลือกบ้าดีเดือด ลู่หานขึ้นไปเหยียบบนรั้วปูน ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเมื่อความสูงที่อยู่ตอนนี้มันทำให้ใจหวิวเหลือเกิน

    ไม่มีเวลาแล้วมึง...ไม่มีเวลาแล้ว...

    เขาสบถกับตัวเองก่อนจะกำมีดดาบไว้แน่นแล้วกระโดดข้ามไปอีกฝั่ง พร้อมปักมีดดาบลงกับตาข่ายจนมันขาดเป็นแนวยาวเพื่อลดความเร็ว ลู่หานกัดฟันแน่นพลางก้มลงมองพื้นหิมะที่ร่างของเขากำลังดิ่งลงไป ก่อนจะชักมีดออกแล้วปล่อยให้ร่างตกลงไปคลุกกับหิมะ

    โว้ว!!!”

    ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างไม่เชื่อความบ้าของตัวเองที่พาลงมาถึงตรงนี้ได้โดยสวัสดิภาพ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทึ่งในความสามารถของตัวเอง ลู่หานหยัดตัวลุกขึ้นแล้วหันซ้ายขวาก่อนจะวิ่งเลียบไปตามถนนพร้อมเก็บมีดดาบใส่ปลอกสะพาย แล้วชักปืนพกขึ้นมาแทน

     

     

     
     

     

    ไปทางนั้น!!!”

    เสียงตะโกนบ่งบอกพิกัดของศัตรูได้อย่างชัดเจน อี้ฟานยืนหลบอยู่ในร้านอาหารและเปิดประตูกระจกข้างหนึ่งทิ้งไว้เพื่อดูเงาที่กำลังวิ่งมาทางนี้ ก่อนจะก้าวออกไปล็อกคออีกฝ่ายให้เข้ามาในร้านด้วยกัน

    อั่ก!!!”

    ...!!!”

    ร่างสูงเซถอยหลังไปเล็กน้อยหลังจากถูกศอกอัดเข้าท้องอย่างแรงจนเสียหลัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถูกอีกฝ่ายซัดหน้าซ้ำ ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่เล่น ๆ เมื่ออู๋อี้ฟานกลายเป็นฝ่ายถูกเล่นงานแทน

    ชายหนุ่มร่างใหญ่พุ่งเข้ามารวบตัวเขาจนถอยไปชนกับโต๊ะอย่างแรงจนล้มไม่เป็นท่า แต่อี้ฟานก็ใช้จังหวะนั้นเตะตัดขาอีกฝ่ายให้ล้มเช่นกัน อาวุธที่เคยมีตกกระจายไปอยู่ส่วนไหนในร้านไม่มีใครรู้ แสงสว่างที่ส่องเข้ามาผ่านประตูนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งคู่มองเห็นเงาของกันและกันในที่มืดได้

    ฝีมือมึงก็ไม่เท่าไหร่ ริอาจลองของกับกูงั้นเหรอ

    ก็ว่ามา

    ร่างสูงยกแขนขึ้นบังก่อนจะสวนหมัดกลับไปเมื่อคนตรงหน้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ทั้งคู่ออกแรงงัดกันอย่างไม่มีใครยอมใครจนข้าวของในร้านกระจัดกระจายเละเทะกว่าที่เป็นอยู่ หลายครั้งที่อี้ฟานเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกชกหน้า ต่อยท้องนับครั้งไม่ถ้วน

    เพราะฝีมือการต่อสู้ในระยะประชิดนั้นไม่ใช่งานที่เขาถนัด แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงเจ็บหนักไม่แพ้กัน เมื่อเขามีโอกาสได้สวนกลับไป

    แค่ก ๆ!!!”

    หลังจากต่อสู้กันมาสักพักหนึ่ง เรี่ยวแรงที่เคยสาดใส่อีกฝ่ายก็เริ่มลดน้อยลงไปทุกที อี้ฟานหอบหายใจหนัก นัยน์ตาคมมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังพยายามประคองร่างให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่เขาจะรวบรวมแรงสุดท้ายวิ่งเข้าไปรวบเอวชายสูงใหญ่จนทั้งคู่พุ่งชนกระจกร้านออกมาข้างนอก

     


     

    เพล๊ง!!!!

     

     

     

    อั่ก...!!!”

    ...!!!”

    ทั้งคู่นอนงอตัวหลับตาแน่นกับความเจ็บปวดที่ได้รับ อี้ฟานกัดฟันแล้วพยายามหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วก็พบว่ามีเศษกระจกชิ้นขนาดเกือบเท่ามือปักหน้าขาตัวเอง

    อึ่ก...

    พอหันไปทางด้านข้างก็เห็นว่าชายร่างใหญ่กำลังจะลุกขึ้น ร่างสูงขบกรามแล้วออกแรงดึงเศษกระจกออกภายในครั้งเดียว ก่อนจะใช้มันปาดคออีกฝ่ายจนเลือดสีสดสาดกระจายเต็มแขนเขา

    อะ...อั่ก...อ...อ...

    ร่างสูงใหญ่เบิกตาค้าง ร่างกายชักกระตุกก่อนจะล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น อี้ฟานหอบหายใจหนัก เขาหันไปมองรอบข้างแล้วก็พบว่ามีพวกตัวกินคนหลายตัวกำลังตรงมาทางนี้

    ร่างสูงประคองร่างให้ลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก ใบหน้าหล่อเป็นรอยริ้วแดงจากการถูกอัดจนน่วม บวกกับรอยแผลจากเศษกระจกเลยทำให้ต้องกระเผกขาไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล

     

     

     

     

    แฮ่ก...แฮ่ก

    พี่คยองซู พี่ไหวไหม?

    ห...ไหว...

    กระสุนปืนหมดแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนทำได้คือการวิ่งหนีคนเหล่านั้นและพวกผีดิบที่กระจายตัวอยู่เต็มไปหมด เมื่อกี้นี้เขาเกือบถูกกัดแล้ว แต่โชคดีที่ซูโฮผลักมันออกไปทัน เราถึงได้มีโอกาสได้วิ่งต่ออีกหน่อย

    คยองซูมองมือตัวเองที่กดแผลจากการถูกยิงเอาไว้ พอแบออกก็เห็นคราบเลือดสีสดกระจายอยู่เต็มมือ ซูโฮรู้ว่าอีกคนกำลังจะไม่ไหว เขาทั้งคู่ควรจะหาที่หลบที่ไหนสักแห่ง เพื่อให้คยองซูได้นั่งพักแล้วทำการห้ามเลือด

    เด็กทั้งสองคนวิ่งเข้าไปในตรอกแคบ พอถึงทางโค้งก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อพบว่ามีพวกกินคนอออยู่ในนั้นเป็นสิบ ซูโฮประคองเอวคนเป็นพี่ไว้แล้วก้าวถอยหลัง พอหันกลับไปก็เห็นว่าไอ้สารเลวที่ไล่ล่าพวกเขากำลังตรงมาทางนี้แล้ว

     

     

    ปัง ๆๆ!!!

     

     

    เสียงปืนดังขึ้น หากแต่ไม่ได้มาจากฝ่ายศัตรู เด็กหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกสามชั้น แล้วก็ได้รู้ว่าเจ้าของลูกกระสุนนั้นมาจากหวงจื่อเทา ที่จบชีวิตไอ้เลวนั่นจนลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น

    พี่เทา!!!”

    ซูโฮ เห็นบันไดตรงนั้นไหม!!!” เทาไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาชี้ไปยังบันไดสีแดงสนิมที่ติดอยู่กับกำแพงตึกฝั่งตรงข้าม คยองซูหอบหายใจหนักแล้วฟังเสียงของคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเราทั้งสองไว้ในตอนนี้ ร่างกายของเขาแย่ลงทุกทีแล้ว

    ครับ ผมเห็น!!!”

    รีบพาคยองซูปีนขึ้นไป เร็วเข้า!!!”

     

     

    ปัง ๆๆๆๆๆ

     

     

    เทาเหนี่ยวไกปืนไปยังเหล่าผีดิบที่กำลังตรงเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสองคน ซูโฮดันคนเป็นพี่ให้ปีนขึ้นไปก่อนส่วนตัวเขาจะปีนตามไปทีหลัง คยองซูหลับตาแน่นเมื่อความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามาทุกครั้งที่มือของเขาออกแรงเหนี่ยวรั้งขั้นบันไดเอาไว้ แต่ถ้าช้ากว่านี้ ซูโฮต้องปีนขึ้นมาไม่ทันจนถูกพวกมันกัดแน่

    เด็กน้อยหันไปมองพวกกินคนหน้าตาอัปลักษณ์ที่เข้ามาใกล้ทุกที บางตัวล้มลงไปเพราะถูกยิง แต่มันก็ลุกขึ้นมาใหม่เพราะกระสุนไม่ถูกเจาะเข้ากลางหัว ซูโฮดันคยองซูขึ้นไป และตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะปีนตามขึ้นไปบ้าง

    ทั้งคู่ปีนขึ้นไปจนเกือบถึงชั้นสอง คยองซูคิดว่าเขาต้องรีบให้มากกว่านี้หลังจากเห็นว่าบันไดกำลังสั่นเพราะถูกเขย่าจากพวกผีดิบที่อยู่ข้างล่าง

    อีกนิดเดียว อดทนไว้!!” เทารีบเปลี่ยนแม็กกาซีน แล้วยิงตัวกัดคนที่ล้อมอยู่ใต้บันได ซูโฮก้มลงไปมองข้างล่างเป็นระยะ ขาทั้งสองข้างสั่นจนเหยียบพลาด ทำให้เขาเกือบตกลงไปอย่ามองข้างล่างซูโฮ!!! ปีนต่อไป!!!”

     

     

    ปัง ๆๆๆๆๆ

     

     

    แกร่ก...

     

     

    ...

    คยองซูเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินเสียงน็อตหลุดออกจากบันได จนถึงตอนนี้แรงเขย่าจากข้างล่างก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เด็กหนุ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มจะไม่ดีแล้ว คยองซูกัดฟันแน่นแล้วรีบปีนขึ้นไป

    แต่ไวเท่าความคิด...

    เมื่อน็อตอีกข้างหลุดจนบันไดร่วงลงมาคาบกับเกี่ยวกับเหลี่ยมหน้าต่างชั้นสองของตึกที่เทาอยู่บนชั้นดาดฟ้า

    อ๊าก!!!”

    ...!!!”

    คยองซูอ้าปากค้างกับความเจ็บปวดที่เพิ่มความหนักหน่วงเป็นทวีคูณหลังจากที่เขาคว้ามือซูโฮเอาไว้ได้ทัน เด็กน้อยตัวสั่นไปหมดเมื่อรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่กลางอากาศ และมีเพียงแค่มือข้างที่ถูกยิงของคยองซูเท่านั้นที่ช่วยดึงเขาเอาไว้

    บ้าเอ๊ย!!!” เทาเบิกตาอย่างตกใจกับภาพที่เห็น เขาเสียสติไปเกือบสามวินาทีก่อนจะยิงพวกกัดคนใต้บันไดที่ยื่นมือขึ้นมาอย่างหิวกระหาย

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!”

    เด็กหนุ่มทั้งสองคนห้อยต่องแต่งอยู่ใต้บันไดเหล็กสนิม คยองซูพยายามเอื้อมท้องแขนขึ้นไปเกี่ยวกับบันไดเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะมืออีกข้างหนึ่งถูกหน่วงเอาไว้ด้วยร่างของซูโฮ

    พี่ครับ...

    จับไว้แน่น ๆ อย่าปล่อยนะ... เสียงของคยองซูแผ่วเบาลงไปทุกที ซูโฮเห็นว่าสีหน้าของรุ่นพี่คนสนิทกำลังซีดเผือด อีกทั้งของเหลวที่ไหลซึมลงมาจนมือของเราชุ่มไปด้วยเลือดสีสดที่มาจากแผลของคยองซู

     

     

    และมันทำให้มือของเขาลื่น...

     

     

    อ๊าก!!!”

    ...!!!”

    แข็งใจไว้ เดี๋ยวฉันจะลงไปช่วยเดี๋ยวนี้!!!” เทาตะโกนบอกแล้วรีบวิ่งลงบันไดเพื่อตรงไปยังชั้นสอง แต่ระหว่างทางก็พบกับผีดิบสองสามตัวที่ยืนขวางอยู่ เขาต้องจัดการพวกมันก่อนที่จะไปช่วยสองคนนั้นได้

    พี่ครับ...มือ...มือผมมันลื่น

    ดึงแขนฉันไว้...อึ่ก...อ๊ากกก... คยองซูหลับตาแน่น มือข้างเดียวที่จับบันไดไว้มันเริ่มอ่อนแรงลงไปทุกที แต่เขาจะปล่อยให้เราทั้งคู่ตกลงไปข้างล่างไม่ได้

    ซูโฮ!! คยองซู!!”

    ลู่หานวิ่งมาถึงปากทางแล้ว ชายหนุ่มเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะรีบชักปืนออกมาเป่าหัวพวกผีดิบจากระยะเกือบสี่สิบเมตร

     

     

    ปัง ๆๆๆ

     

     

    ...!!!”

    มือที่เคยเหนี่ยวรั้งค่อย ๆ หลุดออกทีละนิ้ว คยองซูเงยหน้าขึ้นมองมือตัวเองแล้วกัดฟันแน่น อีกแค่นิดเดียวลู่หานก็จะมาถึงแล้ว... อีกแค่...

     

     

    กึ่ก!!!

     

     

    อ่ะ!!!”

    บันไดที่คาบอยู่กับขอบหน้าต่างเพียงหมิ่นเหม่นั้นส่งสัญญาณเตือนมาพร้อมความกลัว ซูโฮพยายามปะป่ายท่อนแขนอีกคนเอาไว้เพื่อรั้งร่างตัวเองไม่ให้ตกลงไป แต่เรี่ยวแรงของเด็กน้อยอย่างเขาก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

    พี่คยองซู...พี่...พี่อย่าปล่อยผมนะ...

    เด็กหนุ่มก้มลงมองแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของอีกคน เขาเห็นว่าน้ำตากำลังไหลอาบแก้มเด็กคนนั้น ไอ้เด็กตัวปัญหาที่ไม่เคยทิ้งเขาไปไหน แม้กระทั่งตอนที่เราจวนตัว ถูกไล่ยิง หรือแม้แต่ตอนที่เขาหกล้ม ซูโฮก็ไม่คิดจะทิ้งเขา

    ฉันจะไม่ปล่อยนาย...นายก็ห้ามปล่อยมือฉัน...เข้าใจไหม

    ครับ... ผมจะไม่ปล่อย... แต่เลือด...

    ภาพเหล่าผีดิบที่อยู่ข้างล่าง คือสิ่งเดียวที่ทำให้คยองซูฝืนตัวเองไว้จนถึงตอนนี้ เขาจะไม่ตายที่นี่ และซูโฮก็เช่นกัน เราสัญญากันไว้แล้วว่าจะฝึกเอาตัวรอด และเขาพร้อมที่จะทำมันไปพร้อม ๆ กันกับไอ้เด็กบ้านี่

    คยองซูจับท่อนแขนซูโฮเอาไว้เพื่อเพิ่มแรงยึดเหนี่ยว แต่เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขานั้นกลับทำให้ทุกอย่างยากขึ้น

    แข็งใจไว้ซูโฮ...

     

     

    กึ่ก!!!

     

     

    พี่คยองซู...บันไดมัน...

    จับ...จับฉันไว้ให้แน่นกว่านี้...อย่าปล่อยนะ...

    อึ่ก...

     

     

    กึ่ก!!!

     

    มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อปนเลือดนั้นค่อย ๆ หลุดออกจากท่อนแขนของคนเป็นพี่ทีละนิด คยองซูส่ายหน้า แล้วพยายามเกี่ยวมือของอีกคนเอาไว้ หากแต่เรียวนิ้วของซูโฮนั้นกลับหลุดออกทีละนิ้ว แม้ว่าเจ้าตัวจะเอามืออีกข้างปะป่ายขึ้นมา แต่ว่ามือของซูโฮนั้น...

     

     

     

    มันลื่นเกินไป...

     

     

     

    ซูโฮ!!!”

    อ๊ากกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     

     

    ลู่หานหยุดฝีเท้าเมื่อร่างของซูโฮตกลงมาบนพื้น ก่อนที่พวกกินคนนับสิบจะถลาเข้าไปรุมกัดกินร่างนั้นต่อหน้าต่อตาเขาทั้งสองคน คยองซูเบิกตาค้าง ภาพตอนเลือดสีสดสาดกระจายเปรอะใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเด็กคนนั้น มันเหมือนใบมีดที่กรีดลงกลางใจเขานับครั้งไม่ถ้วน

    อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!! ม่ายยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!”

    เสียงหวีดร้องของความเจ็บปวดมาพร้อมสายตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาที่ยังห้อยอยู่กับบันได ก่อนที่ภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กคนนั้นจะฉายเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ ไม่จริง... มันต้องไม่ใช่แบบนี้... คยองซูได้แต่บอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ความจริง

    ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาตั้งสติไม่ทัน

    เทาหยุดยืนอยู่กับขอบหน้าต่าง เด็กตัวสูงยืนนิ่งก่อนจะถอยหลังออกไปเหมือนคนหมดแรง เขาก่นด่ากับความผิดพลาดของตัวเองที่มาช้าเกินไป เสียงหวีดร้องของซูโฮที่ลอยเข้ามาในหูนั้นเป็นเหมือนคำพิพากษา หวงจื่อเทาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไป

    คยองซูค่อย ๆ หันมาทางนี้ เขาเห็นว่าหน้าของไอ้หมอนั่นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม และนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าหวงจื่อเทาควรจะทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่คยองซูจะตกลงไปเป็นอาหารของพวกสารเลวนั่นอีกคน

    ...ฉัน...ไม่ไหวแล้ว

    ทั้งการเหนี่ยวรั้งร่างตัวเองไว้ตรงนี้ และสภาพจิตใจของเขา โดคยองซูเหนื่อยล้ากับสิ่งที่เป็นอยู่เหลือเกิน เขากำลังวิ่งหนีความจริงใช่ไหม โดคยองซูกำลังหลอกตัวเองว่าเขาจะต้องรอดไปให้ได้ ทั้งที่ตัวเองปอดแหกและไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ไหนจะทำให้เด็กคนหนึ่งตายไปต่อหน้าต่อตา

    เทาส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม เขาเห็นว่าเรียวนิ้วที่เกี่ยวอยู่กับบันไดกำลังจะหลุดออก ขายาวก้าวขึ้นมาเหยียบกับหน้าต่าง เด็กหนุ่มตัวสูงยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อบอกให้อีกคนเอื้อมมือมา แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว...

     

     

    คยองซู!!!”

     

     

    วินาทีที่ปล่อยมือออกจากบันได คยองซูรู้สึกเหมือนเขาได้ปลดปล่อยตัวเอง สายตาของเด็กหนุ่มทอดมองไปยังท้องฟ้าสีคราม ถ้าให้เปรียบกับความรู้สึกของเขา... ตอนนี้มันอาจจะเป็นสีดำล่ะมั้ง คยองซูปล่อยใจไปพร้อมกับร่างที่ร่วงลงมา วูบหนึ่งเหตุการณ์ตอนที่เขากับอึนจีวิ่งหนีไปด้วยกันก็ผุดขึ้นมาในเสี้ยวเวลาสั้น ๆ

     

     

    ในวันนั้นทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเร็วเช่นกัน...

    เร็ว...จนคิดว่าพระเจ้าน่าจะให้เวลากับเขาอีกสักหน่อย

     

     

    ปัง ๆๆๆๆ

     

     

    เทา!!! มึงยิงคุ้มกันให้กู!!!”

     

     

    ลู่หานเก็บปืนแล้วชักมีดดาบออกมา ก่อนจะวิ่งไปเข้าฟันหัวผีดิบบางตัวที่เปลี่ยนความสนใจมาหาคยองซูที่เพิ่งตกลงมาถึงพื้น เทาทำตามอย่างไม่อิดออด เขาช่วยยิงคุ้มกันให้ลู่หานที่กำลังประคองร่างคนเจ็บให้หนีออกจากตรงนั้น

    เทาหันไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์เดรัจฉานที่กำลังกัดกินเนื้ออย่างหิวโหย เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่เขาได้เห็นหน้ารุ่นน้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของเด็กน้อยไร้เดียงสาจะหายไปเพราะถูกพวกผีดิบห้อมล้อม...

     

     

     

    และแล้ว... พระเจ้าก็มอบเจ็บปวดให้พวกเราอีกครั้ง

     

     

     

     


     

    ตุ่บ!!!

    ร่างสูงหอบหายใจหลังจากจัดการผีดิบที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขาในที่มืดได้สำเร็จ วูบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนความตายมาหยุดอยู่ตรงหน้า พอตั้งสติได้ก็เอาไฟฉายส่องดูสภาพศพ

    หญิงวัยกลางคนถูกกัดจนหน้าแหว่งไปครึ่งหนึ่ง อีกทั้งไส้ที่ทะลักออกมา คาดว่าถ้าขึ้นไปชั้นสองอาจจะเจออีกตัวถึงสองตัว กลิ่นเหม็นเน่าที่อบอวลอยู่โดยรบบอกให้เขารีบเร่งมือให้เร็วกว่านี้

    ซีวอนถอนหายใจแล้วเดินไปเก็บกระเป๋าเป้ที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนจะสะดุดตากับกรอบรูปที่ตกแตกตอนเขาต่อสู้กับผีดิบเมื่อครู่นี้

    มือแกร่งปัดเศษกระจกออกแล้วเอาไฟฉายส่อง ภาพครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกกำลังยิ้มอย่างมีความสุขนั้นทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

    ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้ววางกรอบรูปไว้ที่เดิม ชเวซีวอนเชื่อว่าครั้งหนึ่งคนในกรอบรูปคงเป็นครอบครัวอบอุ่นอีกครอบครัวหนึ่ง ผู้หญิงที่เขาเพิ่งจัดการไปเมื่อครู่นี้คงเป็นแม่สินะ เขาได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ กับชีวิตครอบครัวดี ๆ ที่ไม่น่าจะจบลงแบบนี้

    สายตาพลันหยุดอยู่กับใบหน้าของเด็กหนุ่มในกรอบรูป ถ้าให้เดาอายุก็น่าจะพอ ๆ กับซูโฮ พอเห็นอย่างนั้นก็อดนึกไปถึงลูกชายที่คงนั่งทำหน้าบึ้งตึงรอพ่อกลับไปง้อที่อุทยานไม่ได้ เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เด็กคนนั้นนิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิด

    แต่ซูโฮเป็นเด็กดี ชเวซีวอนเชื่อว่าถ้าอธิบายเหตุผลสักหน่อย เด็กคนนั้นก็พร้อมที่จะเข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันอย่างจริงจัง แต่เขาไม่ได้เข้าไปง้อในทันที จะเรียกว่าทะเลาะได้ไหมนะ อันที่จริงต้องเรียกว่าถูกลูกงอนสิถึงจะถูก

    ซีวอนมองไปยังเด็กหนุ่มในกรอบรูปนั้นอีกครั้งก่อนจะยิ้มบาง ๆ เขาอยากให้ลูกชายรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนในโลกที่จะสำคัญไปกว่าลูกอีก...ไม่มี...

     

     

     
     

    รอก่อนนะซูโฮ...พ่อกำลังจะกลับไปหาลูกเดี๋ยวนี้

     

     


     

     

    TBC

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×