คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 :: Burn All Of Them
Chapter 7
Burn All Of Them
“ยังเหลืออีกตรงนี้ แต่ว่ามันน่าจะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง” ลู่หานพูดพร้อมกับลากนิ้วไปตามแผนที่ ๆ กางไว้บนหน้าขา อี้ฟานเอื้อมมือไปข้าง ๆ แล้วรับแผนที่มาดูขณะที่มือซ้ายของเขายังคงบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทางอย่างชำนาญ
นัยน์ตาคมมองแผนที่ในมือสลับกับถนนเบื้องหน้าเป็นระยะพร้อมกับคำนวณความเสี่ยงและความเป็นไปได้ ฝีเท้าเหยียบเบรกจนเศษใบไม้ปลิวว่อนลอยขึ้นบนอากาศกลางถนนโล่งสี่เลน เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะใช้ปากกัดฝาปากกาเอาไว้แล้วดึงแท่งมันออกมากากบาทเป้าหมายที่พวกเขาเพิ่งไปหาอาหารมาได้เพียงน้อยนิด
“นั่นคือทางขาออกไปชุงชองใต้ เห็นว่ามีค่ายช่วยเหลือผู้ประสพภัยก่อนส่งขึ้นเรืออยู่ตรงนั้น ผมได้ฟังวิทยุก่อนสัญญาณจะถูกตัดไป”
“ทำไมถึงเป็นค่ายช่วยเหลือล่ะ? ที่นั่นไม่ใช่สถานกักกันอะไรพวกนั้นหรอกเหรอ?” ชานยอลถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในวิทยุบอกว่าที่นั่นมีเรือขนส่งสินค้าเทียบจอดรอช่วยคนในภาวะฉุกเฉินอยู่”
“ซึ่งก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว เรือนั่นคงไม่อยู่ให้ปล้นของหรอก” ลู่หานพูด ทุกคนดูเคร่งเครียดกับเรื่องนี้แต่ใครคนหนึ่งกลับนั่งหลับไม่สนใจโลกภายนอกหลังจากที่เขาเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งหนีพวกกินคนมาเกือบครึ่งค่อนวัน
“เป้าหมายของเราไม่ใช่เรือ ลู่หาน”
“ถ้าพูดถึงค่ายช่วยเหลือก็น่าจะมีถุงยังชีพ ถูกไหม?” เป็นเสียงของชานยอลที่ทำให้ใครอีกสองคนชั่งใจอยู่ไม่น้อย
“...”
“ถุงยังชีพที่มีอาหารแห้ง น้ำดื่ม และของใช้จำเป็น”
“แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหลงเหลืออยู่” ลู่หานแย้งขึ้นมา ถึงเรื่องค่ายนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับวันนี้ แต่ข่าวร้ายก็คือเขาไม่รู้เลยว่าที่นั่นจะยังมีอะไรเหลืออยู่หรือเปล่า เพราะตามหลักความน่าจะเป็นแล้ว ผู้คนต่างคิดหนีเอาตัวรอด คงเป็นไปได้ยากที่จะมีความหวังกับค่ายนั้น
“แล้วคุณว่าไงอี้ฟาน?” ชานยอลถามขอความเห็นกับคนอายุมากที่สุดในรถคันนี้ ร่างสูงใช้ความคิดก่อนจะคืนแผนที่ให้ลู่หาน
“ไม่ลองไม่รู้ พวกคุณพร้อมที่จะเสี่ยงหรือยังล่ะ”
“จริง ๆ กูไม่เคยมีคำว่าพร้อมตั้งแต่แรกแล้วว่ะ” ลู่หานปรับเบาะที่นั่งแล้วเอนหลังผ่อนคลาย ชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันหน้าออกไปนอกกระจก รถกระบะหักเลี้ยวกลับไปทางเดิมเพื่อตรงไปยังเป้าหมายใหม่ ค่ายนั่นจะยังมีอะไรหลงเหลือไว้ให้พวกเขาบ้างนะ?
กึ่ก...
ร่างสูงดึงเบรกมือทั้งที่สายตาทอดไปยังค่ายเบื้องหน้าหลังจากที่พวกเขาขับรถมาเป็นระยะเวลานานเกือบสองชั่วโมง ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือบ่งบอกถึงเวลาบ่ายสองเศษ ๆ ลู่หานหรี่ตามองภาพตรงหน้าที่สภาพไม่หลงเหลืออารยะธรรมดี ๆ อีก เมื่อค่ายที่เขาจินตนาการเอาไว้ย่ำแย่กว่าที่คิด
ค่ายที่มีเต็นท์มากมายอยู่กางขวางทางถนนและรอบข้าง มีเพียงแค่ช่องทางเลนเดียวที่เปิดไว้ให้รถขับเข้าออกได้ คาดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นด่านเอาไว้ตรวจสอบคนติดเชื้อหรืออะไรสักอย่าง ทั้งสี่คนออกมาจากรถทั้งที่สายตายังคงมองไปยังเบื้องหน้า
ชานยอลอึ้งกับสิ่งที่เห็นเมื่อภาพตรงหน้ามันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ศพคนเป็นร้อยนอนราบเรียบอย่างเป็นระเบียบไปจนถึงกองทับกันเรี่ยราด จงอินเดินเข้าไปสำรวจดูใกล้ ๆ แล้วก็พบว่าทุกศพที่อยู่ระแวกนั้นส่วนใหญ่ต่างถูกกัดและมีรอยยิงเข้าที่หัวถ้าไม่รวมกับศพที่ถูกม้วนไว้ด้วยผ้าขาว
“จากสภาพ...คนพวกนี้คงติดเชื้อแล้วถูกเก็บก่อนจะเปลี่ยนเป็นพวกนั้นแน่นอน” จงอินพูดแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ศพมากมายส่งกลิ่นเหม็นจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก เสียงแมลงบินผ่านไปเกาะอยู่บนใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาจากผ้า พอยกระดับสายตาขึ้นก็พบกับทหารนายหนึ่งเดินออกมาจากเต็นท์สีขาวฉีกขาด หากแต่ชายคนนั้นกลับไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์เลย
ร่างผอมสูงในชุดลายพรางเดินโซซัดโซเซมาทางพวกเขา พร้อมกับริมฝีปากที่อ้าออกจนน้ำเหนียว ๆ สีแดงไหลลงมา หากมองต่ำลงไปคงเห็นสิ่งที่ชวนอาเจียนได้ไม่ยากนั่นก็คือตับไตเครื่องในที่ทะลักออกมาข้างนอก ใบหน้าซีดเผือดกับมือหยาบกร้านเอื้อมคว้ามาข้างหน้า แล้วก็เป็นลู่หานที่ส่ายหน้าเอือมก่อนจะดึงมีดดาบออกมาฟันคอผีดิบตนนั้นจนขาดวิ่นกลิ้งลงไปกับพื้น เขาตามไปกระทืบซ้ำจนสมองอดีตนายทหารคนนั้นทะลักออกมาและไม่ลืมที่จะตะเบ๊ะให้
“เวลาแบบนี้มึงยังจะขำ” จงอินตบหัวคนขี้เล่นไปทีหนึ่งก่อนจะดึงผ้าม่านสีขาวทางเข้าเต็นท์ออก ลู่หานกุมหัวตัวเอง เลิกคิ้วมองเพื่อนร่วมทางทั้งสามที่กำลังเดินเข้าไปแล้วก็หงุดหงิด
อะไรวะ กูจะทำเท่หน่อยก็ไม่ได้
ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังแม้ว่าข้างในเต็นท์นี้จะไม่มีตัวกินคนอย่างที่หวาดกลัวเอาไว้ สภาพตรงหน้าดูเละเทะไม่เหลือความดี เตียงคนไข้ล้มระเนระนาดอีกทั้งซากศพหมอ คนธรรมดาและทหารที่เหลือแค่ซากไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
“อีกสิบห้านาทีมาเจอกันข้างหน้า ถ้าเกิดมีอะไรฉุกเฉินให้รีบกลับไปที่รถนะ”
ลู่หานขยับหมวกอยู่ในทีก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อจงอินส่งซิกให้เขากับชายหนุ่มอีกสองคนให้แยกย้ายกันค้นหาของจำเป็นในเต็นท์ข้าง ๆ เมื่อทั้งสามคนแยกย้ายออกไปร่างหนาก็ก้มลงมองสมุดเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือซากศพที่น่าจะเสียชีวิตมานานเกินสองสัปดาห์
เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดหน้าแรกก็พบกับรอยปากกาขีดเขียนเป็นภาษาอังกฤษอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งยังมีรูปวาดที่ดูเหมือนจะเป็นผังทางด้านชีวะ ฟิสิกส์ พอเปิดหน้าถัดไปก็พบกับไดอารี่ที่เขียนเป็นภาษาเกาหลี
‘วันที่ 20 พฤษภาคม 2013
ผม...นายแพทย์ปาร์คยูชอน ทั้งที่กำลังวางแผนจะพาครอบครัวไปเที่ยวเทศกาลดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ แต่ผมกลับถูกโทรตามอย่างเร่งด่วนจนต้องละทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง
ผมได้มาเจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไข้หวัดธรรมดา อุบัติเหตุ ไปจนถึงโรคระบาดผมเคยรับมือมานักต่อนักแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเจอมันทำให้ผมสับสนไปหมด
ผมใช้เวลาช่วงพักเบรกสิบห้านาทีเพื่อมานั่งเขียนอะไรแบบนี้ คุณคงคิดว่าผมบ้าล่ะสิ? แต่สิ่งที่ผมเจอมันบ้ากว่าเป็นร้อยเท่า คุณไม่มีวันเชื่อเรื่องที่ผมเขียนลงไปในนี้แน่...นอกเสียจากว่าคุณจะมาเห็นมันด้วยตาของคุณเอง
เริ่มต้นจากผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกกัดมา รอยแผลดูเหวอะหวะอีกทั้งเลือดยังไหลไม่หยุด นี่มันไม่ใช่รอยแผลสุนัขกัดหรือรอยแผลจากสัตว์ชนิดไหน ๆ เขาโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอีกทั้งยังตะโกนโหวกเหวกไม่หยุด เขาเอาแต่พูดว่า...
‘ผมต้องตายแน่ ๆ ไม่นะ! ผมยังไม่อยากตาย ช่วยผมด้วย หมอ! มีวิธีรักษาใช่ไหม หมอรักษาพวกเราได้ใช่หรือเปล่า?’
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นคนไข้เข้ามาในเต็นท์ พวกเขามีอาการเดียวกันคือถูกกัด คนไข้ถูกเข็นเข้ามาเรื่อย ๆ ตอนนี้หมอที่เจอชะตากรรมเดียวกับผมต่างสับสนไปหมด แต่หน้าที่ของพวกเราคือรักษาอาการเบื้องต้นให้กับผู้ป่วย และไม่มีสิทธิ์ถามไถ่ในสิ่งที่อยากรู้เลยสักข้อเดียว
ผมห้ามเลือดและทำแผลให้คนไข้รายแรกเสร็จ ไม่มีเวลาให้ผมได้พักหยุดหายใจแม้แต่นาทีเดียวพยาบาลสาวเข้ามาหาผมด้วยท่าทีเร่งรีบ เธอตามผมให้ไปช่วยคนไข้รายหนึ่งที่อาการสาหัสยิ่งกว่า แขนของคนไข้รายนี้ถูกกัดขาดจนเนื้อหลุดออกเป็นริ้ว ๆ เขานอนหอบหายใจหนักก่อนจะคว้าแขนผมเอาไว้จนเสื้อกาวน์สีขาวเลอะเลือด
‘ไม่ทันหรอก...หมอไม่ต้องช่วยอะไรผมทั้งนั้น ผมกำลังจะตายและกลายเป็นเหมือนพวกมัน’
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจนกระทั่งวินาทีถัดมา ผมก็ได้รู้ว่า ‘พวกมัน’ ที่เขาหมายถึงคืออะไร...เมื่อคนไข้ที่ผมเพิ่งทำแผลไปเมื่อครู่ลุกขึ้นมาไล่กัดหมอและพยาบาลที่อยู่ใกล้มือเขาอย่างบ้าคลั่ง
เสียงหวีดร้องดังลั่น ไม่มีเวลาให้ผมช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคนไข้รายอื่นก็มีท่าทางเดียวกันกับผู้ชายคนนั้น เพียงชั่วอึดใจเดียวทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาข้างในเต็นท์พร้อมกับกราดปืนกลใส่คนไข้ที่กำลังไล่กัดกินเนื้อคนด้วยกันจนกระเด็นไปข้างหลังเพราะแรงอัด
ผมได้ยินทหารคุยกันว่าพวกเขาจะต้องเก็บคนที่ ‘ติดเชื้อ’ ตามคำสั่งของเจ้านาย ส่วนหน้าที่ของผมคือการทำแผลเบื้องต้นให้กับคนที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุเท่านั้น ถ้าหากพบเจอคนที่ถูกกัด ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที...
ผมไม่เคยคิดว่าการทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมันจะเป็นการปลิดชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทันทีที่ผมแจ้งว่าคนไข้คนนี้ติดเชื้อ เขาคนนั้นก็ถูกลากออกออกไปข้างนอกก่อนจะถูกยิงเข้าที่หัวอย่างไร้ซึ่งความปราณี...’
ร่างหนาปิดหนังสือลงพร้อมกับเก็บมันใส่กระเป๋า เขาคงไม่มีเวลามากพอที่จะนั่งอ่านมันได้ทั้งวัน ยังไงก็ตาม...หนังสือเล่มนี้น่าจะให้ข้อมูลอะไรกับเขาได้บ้าง นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมเต็นท์แล้วนั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าศพของทหารนายหนึ่งที่มือยังคงถือปืนกลเอาไว้แม้ว่าจะตายไปแล้ว
ไม่เสียเวลาสำรวจมากมาย เขาเอื้อมไปปลดอาวุธออกมาจากศพแล้วสะพายไว้ข้างหลังและไม่ลืมที่จะปะป่ายมือสำรวจหาแม็กกระสุนสำรอง เขาหันกลับไปมองข้างหลังเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ถึงจะเงียบอย่างกับป่าช้าแต่เขาก็ไม่ควรวางใจเลยเสียทีเดียว
แกร่ก...
ได้มาถึงสองแม็ก ถือว่าโชคดีบุญหล่นทับถ้าต้องใช้มันในยามจำเป็น ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกเขาเลยย้ายไปเต็นท์ฝั่งตรงข้ามที่มีสัญลักษณ์กากบาทซึ่งคงไม่ต้องเดาว่าข้างในนั้นคงเป็นที่ ๆ เอาไว้เก็บหยูกยาที่เตรียมไว้เพื่อเหตุการณ์ครั้งนี้
เขาเก็บปืนสั้นไว้แล้วเปลี่ยนเป็นปืนกลที่เพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ หันซ้ายขวาอยู่ในทีก่อนจะหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินมา ร่างหนาดึงมีดพกออกมาอย่างใจเย็นก่อนจะเข้าไปแทงกลางหัวผีดิบตนนั้นให้ตายภายในครั้งเดียวแล้วชักมีดออก
ส่วนฝั่งของชานยอล เขากำลังค้นถุงดำอย่างตั้งใจจนกระทั่งอี้ฟานเดินมาเห็น เขาส่งซิกขอความช่วยเหลือแล้วร่างสูงก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ
“มันเหลืออยู่แค่นี้ แต่ผมว่าถ่านกับไฟฉายก็จำเป็นเหมือนกัน”
“งั้นเก็บเลย ส่วนในกล่องยาก็หยิบแค่พาราเซตามอลก็พอ”
“อืม แล้วคุณได้อะไรมาบ้าง?” ชานยอลถาม อี้ฟานลอบถอนหายใจก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่ากับรามยอนสำเร็จรูปขึ้นมาให้ดู
“ก็ได้เรื่องอยู่” ชานยอลละความสนใจจากคนตรงหน้าแล้วรื้อถุงใหม่
“มีแค่ชิ้นละอย่าง”
“...”
“เดี๋ยวผมจะไปดู...” ยังไม่ทันพูดจบร่างสูงก็เบิกตาโพลงเมื่อสัญญาณกันขโมยดังขึ้น ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้ววิ่งออกไปดูข้างนอก และภาพที่เห็นคือลู่หานกำลังสู้กับพวกผีดิบที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้กลุ่มหนึ่ง ข้างตัวหมอนั่นมีรถยนต์คันหรูที่เปิดกระโปรงหลังทิ้งเอาไว้ ข้างในมีของใช้จำเป็นอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง
“ลู่หาน!”
ชายหนุ่มร่างสูงรีบเข้าไปช่วยเพื่อนร่วมทางที่กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยที่จงอินตามเข้าไปถึงตัวก่อน ร่างหนาปีนขึ้นไปบนหลังคารถพร้อมกับดึงคอเสื้อลู่หานให้ไถลขึ้นมาด้วยกันอย่างหวุดหงิด มือขาวซีดนับสิบตะกุยตะกายเหยื่อที่อยู่บนหลังคาจนรถส่ายไปมา
ปัง ปัง ปัง ปัง !!!
เสียงปืนลั่นก่อนที่ร่างของผีดิบบางส่วนจะทรุดตัวลงไปกับรถ จงอินมองอี้ฟานกับชานยอลที่กำลังมาช่วยเขาแล้วก็ตัดใจควักปืนกลออกมาใช้เมื่อถึงเวลาสมควร ลู่หานเอามีดดาบแทงเข้ากลางหัวผีดิบอย่างแรงก่อนจะชักกลับจนเลือดสาด อยู่ข้างบนนี้ใช้มีดไม่ถนัดเลยให้ตายเถอะ!
“อี้ฟาน ข้างหลัง!!”
จงอินตะโกนลั่นก่อนจะตั้งปืนยิงไปยังเป้าหมายจนร่างสูงทั้งสองต้องหมอบลงแล้วหันกลับไปยิงสู้ จนแล้วจนรอด เพราะเสียงปืนของพวกเขาเป็นฉนวนให้เหล่าผีดิบแห่กันมาอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่เห็นทหารคนเดียวกลับมาเพิ่มเป็นสิบ...และดูเหมือนว่ามันจะมามากกว่านี้ถ้าเกิดพวกเขาไม่รีบถอยออกมา
“เหี้ยแล้ว! พ่อมึงมา!” ลู่หานอ้าปากหวอเมื่อเห็นภาพผีดิบที่แห่กันมาจากทั่วทุกทิศ เขามองหาทางหนีทีไล่ด้วยท่าทีลนลานในขณะที่จงอินกราดยิงพวกผีดิบที่กำลังเขย่ารถและไม่ลืมที่จะช่วยอี้ฟานกับชานยอลที่กำลังจะโดนล้อมด้วย
“ลู่หาน!”
“เออ!”
“มึงกลัวตายมากแค่ไหน?”
“ถามเหี้ยไรตอนนี้วะ?”
“ถามก็ตอบดิห่า!”
“เออ! มากกว่าที่มึงรู้อ่ะ!”
“ระหว่างอดตายกับโดนพวกมันแดกมึงกลัวอะไร?!” ประโยคนี้ทำคนถูกถามชะงักไปครู่หนึ่ง ลู่หานไม่เข้าใจว่าจงอินจะสื่ออะไรจนกระทั่งจงอินพยายามประคองร่างของเขาไปตรงกระโปรงท้ายรถแล้วใช้เท้าเหยียบมันจนผีดิบสามตัวขาดครึ่งเป็นสองท่อน
“กูกลัวอดตายมากกว่าว่ะ!”
พอได้ยินคำตอบจงอินก็หันมายิ้มให้กับคนที่กำลังใช้มีดดาบต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาหันไปยิงผีดิบที่เกาะฝั่งประตูข้างคนขับเพื่อเคลียร์ทางให้และไม่ลืมที่จะยิงกระจกตรงประตูรถก่อนจะมองหน้าลู่หานด้วยแววตาจริงจัง
“ชีวิตพวกกูขึ้นอยู่กับมึงแล้วลู่หาน”
พอได้ยินคำฝากฝังลู่หานก็กัดฟันแน่น เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกระโดดลงไปข้างล่างท่ามกลางฝูงเหล่าพวกกินคนที่กำลังแห่ล้อมเข้ามา ร่างโปร่งใช้ศอกทุ้งกระจกที่ถูกยิงจนแตกเมื่อก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้งก่อนจะแทรกตัวเข้าไปข้างในโดยที่ไม่ต้องเปิดประตู
เขามองหากุญแจรถแต่กลับไม่มี อยากจะเอาหัวโขกพวงมาลัยสักร้อยครั้ง นี่เขาจะต้องใช้วิธีบ้านั่นอีกแล้วเหรอ? ลู่หานโน้มตัวลงไปเพื่อทำการต่อสายตรง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่มือของเขากำลังสั่นเทาเพราะแรงกดดัน
ลู่หานถีบหน้าตัวกินคนที่กำลังคลานเข้ามาทางหน้าต่างประตูข้างคนขับก่อนที่ร่างนั้นจะฟุบแน่นิ่งไปทันทีที่ถูกจงอินยิงเข้ากลางหัว โชคดีที่พวกมันเข้ามาข้างในไม่ได้เพราะมีศพที่ขวางทางเอาไว้
เสียงปืนยังคงดังไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ากลิ่นความตายมันแตะอยู่ใกล้จมูกแค่นี้ ริมฝีปากหยักสั่นระริกแม้ว่าจะพยายามตั้งสติสักแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องยากที่สุดในตอนนี้
“ติดสิวะ ติดสิ”
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ตุ่บ ๆ ๆ ๆ ๆ
ทั้งเสียงปืนและเสียงผีดิบทุบกระจกกดดันคนที่ได้รับภาระนี้จนแทบบ้า หยาดเหงื่อแห่งความเครียดไหลพลั่ก ๆ พร้อมกับน้ำลายเหนียวที่กลืนลงอย่างฝืดคอ เพียงแค่อึดใจนัยน์ตาเรียวก็เบิกกว้างเมื่อรถสตาร์ทติด
ครืนนน!!!
“ได้แล้วโว้ยยยย!!!” ลู่หานชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่มันไม่ใช่เวลามาดีใจ พอได้ยินเสียงสตาร์ทรถติดร่างหนาก็ยิงเคลียร์ทางตรงประตูด้านข้างคนขับก่อนจะกระโดดลงจากหลังคาแล้วดึงซากศพออกจากประตูแล้วเข้าไปในตัวรถ
“เร็วเลยมึง สองคนนั้นกระสุนหมดแล้ว” จงอินพูดด้วยท่าทีร้อนใจขณะหันไปมองข้างหลัง ตอนนี้ชานยอลกับอี้ฟานกำลังเจอสถานการณ์คับขันเมื่อกระสุนของทั้งคู่หมดแล้ว ลู่หานเบิ้ลคันเร่งเรียกความสนใจอย่างที่เขาเคยทำก่อนจะเข้าเกียร์แล้วถอยหลังชนพวกกินคนในเวลาถัดมา
ชานยอลกับอี้ฟานไม่รอช้า เขาทั้งคู่รีบขึ้นมาในรถอย่างทุกลักทุเลในขณะที่จงอินกราดปืนกลออกไปข้างนอกเมื่อพวกกินคนต่างยื่นมือเข้ามาในกระจกรถฝั่งเขา
เป็นเพราะท้องฟ้าใกล้มืดเต็มทีเลยทำให้คนที่รออยู่บ้านเป็นกังวล แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะปิดผ้าม่านเมื่อไม่เห็นการกลับมาของคนที่รออยู่
นี่ก็เกือบทุ่มนึงแล้วนะ...
ร่างเล็กหันไปมองไม้เบสบอลที่วางพิงผนังห้องอยู่แล้วก็เดินไปหยิบมันมาถือไว้ หยัดตัวนั่งลงกับขอบเตียงก่อนจะลูบมันเบา ๆ เมื่อคิดถึงเจ้าของ ๆ มันที่เพิ่งจากไป
“...”
‘ไอ้นี่อย่างเก่งก็ทำได้แค่ให้พวกมันล้มลง โยนทิ้งแล้วหาอย่างอื่นใช้เถอะ’
คำพูดของจงอินผุดขึ้นมา ในเมื่อเขาทิ้งมันไปไม่ได้เห็นทีว่าบยอนแบคฮยอนควรจะทำให้มันมีประโยชน์มากขึ้นกว่านี้ ร่างเล็กลงไปข้างล่างเพื่อค้นหาค้อนกับตะปูที่อยู่ในห้องเก็บของและเดินสวนกับเซฮุนที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทั้งคู่ยิ้มให้กันแบบขอไปที ถึงจะพูดคุยกันได้เหมือนกับคนทั่วไปแต่ก็ใช่ว่าเขาทั้งคู่จะมีเรื่องขุดมาคุยกันได้ทั้งวัน
นั่งลงกับพื้นแล้ววางตะปูหลายขนาดลง สำรวจไม้เบสบอลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพิจารณาว่ามันจะออกมาเป็นอีท่าไหนหากว่าเขาจะทำไม้เบสบอลที่มีตะปูเป็นหนามออกมา
“...” ดอกแรกที่ถูกตอกลงไปสร้างความผิดหวังให้กับเด็กน้อยที่ไม่เคยมีความรู้ด้านนี้ เมื่อพบว่าตะปูมันเล็กเกินไปจนไม่สามารถทะลุออกมาอีกฝั่งของไม้เบสบอลได้ แต่ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเพียงแค่นี้ แบคฮยอนคลี่ตะปูให้กระจายออกแล้วเลือกมาว่าขนาดไหนถึงจะใช้งานได้ สุดท้าย...มันก็ใช้ไม่ได้เลยสักดอกเดียว ร่างเล็กเดินลงไปข้างล่างเพื่อค้นหาตะปูอีกครั้ง
“หาอะไรอยู่เหรอ?”
“ตะปูน่ะ” แบคฮยอนตอบทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาหาของอยู่อย่างนั้น เซฮุนเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังแล้วชะเง้อหน้ามอง
“จะเอาไปทำอะไร?”
“เอาไปตอกเข้ากับไม้เบสบอล...เจอแล้ว!” คนตัวเล็กยิ้มกว้างแล้วกำตะปูออกมา
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร ฉันอยากลองทำอะไรดูเองบ้างน่ะ” แบคฮยอนยิ้มแล้วเดินขึ้นไปบนห้อง เซฮุนมองตามอีกฝ่ายจนลับสายตาแล้วก็ยืนครุ่นคิดว่าเขาควรจะทำอะไรต่อดี...
สุดท้ายโอเซฮุนก็เลือกที่จะทำความสะอาดห้องนั่งเล่น เพราะหญ้าที่อยู่หน้าบ้านก็ถางออกจนโล่งหมดแล้ว
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากคนที่กำลังกวาดบ้านได้เป็นอย่างดี เซฮุนเดินไปเปิดประตูบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉยแม้ว่าเขาจะดีใจกับการกลับมาของเจ้าบ้านก็ตามทีเถอะ แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ต้องถอยหลังออกไปสามเก้าโดยอัตโนมัติเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คิมจงอินและคนอื่น ๆ
แต่กลับเป็นคนพวกนั้น...ที่คิดจะฆ่าเขาให้ตายเพราะความสนุก...
“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี...ไม่ดีใจที่ได้เจอพวกกูเหรอวะ?”
“...” เซฮุนถอยหลังไปทีละก้าว พอหลุบสายตาต่ำลงก็พบกับอาวุธในมือของพวกนั้นไม่ว่าจะเป็นไม้หน้าสามหรือแท่งเหล็ก
“ได้ข่าวว่ามีคนใจดีช่วยไว้ มึงนี่โคตรโชคดีเลยว่ะ สงสัยตอนนั้นยังไม่ถึงคราวตายจริง ๆ”
“...”
“แต่มึงเคยได้ยินประโยคนี้ไหม?” ชายร่างสูงค่อย ๆ เดินเข้ามาในตัวบ้านและมีชายหนุ่มวัยเดียวกันอีกสี่คนเดินตามเข้ามา
“ว่าคนเราน่ะ...พอถึงคราวตายแล้วก็ต้องตาย” ประโยคนี้มาก่อนที่ไม้หน้าสามจะเหวี่ยงมาหาร่างบาง เซฮุนก้มลงหลบได้อย่างเฉียดฉิวนั่นสร้างความโทสะให้กับอีกฝ่ายจนยากที่จะยั้งได้
เสียงกัดฟันกรอดลอดไรฟันที่ได้ยินทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา เซฮุนใช้มือทั้งสองข้างกำด้ามไม้กวาดไว้แน่นจนอีกฝ่ายแค่นหัวเราะ
“มึงคิดจะสู้กับกูด้วยไอ้นั่นน่ะเหรอ?”
“ต้องการอะไรอีก มึงก็ปล่อยให้กูตายอยู่ตรงนั้นแล้วไง” พอได้ยินร่างบางตอบด้วยประโยคนั้นร่างสูงก็หัวเราะออกมาทันที
“เดี๋ยวนี้มึงกล้าหยาบคายกับกูแล้วเหรอหื้ม? ไหนบอกมาซิว่าใครสั่งใครสอนให้มึงพูดแบบนี้?” ไม่ถามอย่างเดียว ร่างสูงเดินปรี่เข้าไปหาหากแต่ต้องเบี่ยงตัวกลับเมื่อเซฮุนฟาดไม้กวาดมาข้างหน้าเพื่อป้องกันตัว
“โอ้โห...มันกล้าสู้มึงด้วยว่ะนัมจุน”
“เล่นแม่งเลยเปล่าวะ กูชักจะคันตีนละ”
“เออ เอาเลย เดี๋ยวกูกระทืบซ้ำทีหลัง”
“...”
ได้ยินเสียงสนับสนุนหัวหน้ากลุ่มแล้วก็พอจะรู้ชะตากรรมตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกมันจะกลับมาตามไล่บี้เขาอีกครั้ง ทั้งที่พวกมันหายไปแล้วเป็นอาทิตย์
“เซฮุน คุณอี้ฟานกลับมาแล้วเหรอ?!”
เสียงที่มาจากชั้นสองทำให้เจ้าของชื่อเผลอหันกลับไปมอง นั่นเป็นจังหวะที่ร่างสูงเหวี่ยงไม้หน้าสามใส่ขมับร่างบางอย่างจังจนล้มลงไปกับพื้นในทันที
แบคฮยอนตะลึงกับภาพที่เห็น เขามองเซฮุนที่กำลังพยายามหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความลำบากก่อนจะมองผู้ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางน่ากลัว
“ห...หนีไปแบคฮยอน…”
“...!!!”
“หนีไป!!! อั่ก!!” ร่างบางนิ่วหน้าอีกครั้งเมื่อถูกเท้าของใครอีกคนเหยียบเข้าที่หน้าแล้วกดลงกับพื้นไม้ เลือดสีสดไหลออกมาจากขมับจนเลอะกับพื้นพร้อมกับสติที่พร่ามัวเพราะแรงฟาดเมื่อครู่ เสียงหัวเราะพอใจของชายกลุ่มนั้นดังก้องอยู่ใกล้หู...ดูเหมือนว่าตอนนี้เป้าหมายของพวกมันจะไม่ได้มีแค่เขาอีกต่อไป
“สงสัยเด็กเปรตนั่นอยากเล่นซ่อนแอบ พวกมึงไปลากคอมันมาให้กูซิ”
“จัดให้เดี๋ยวนี้~ 55555”
“...”
เซฮุนกัดฟันกรอดพร้อมกับกำหมัดแน่น เสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดนั่นเขาไม่รู้ว่าเป็นของแบคฮยอนหรือของพวกลูกน้องของคิมนัมจุน แต่ไม่ทันได้คิดอะไรร่างของเขาก็ถูกจับพลิกให้นอนหงายขึ้นและนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เซฮุนฟาดด้ามไม้กวาดเข้าที่หน้าจนร่างสูงเสียหลัก
ร่างบางพยายามคลานหนีออกจากตรงนั้นแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องเก็บของที่เคยใช้ขังเขากับแบคโฮเอาไว้แล้วปิดในทันทีก่อนที่เสียงทุบประตูจะดังขึ้นในเวลาถัดมา
“มึงออกมาเดี๋ยวนี้นะเซฮุน ไอ้สัด!”
“...!!!” ร่างบางยืนพิงประตูพร้อมกับหอบหายใจหนัก ก่อนจะปาดคราบเลือดออกจากโครงหน้าด้านซ้าย
หันมองดูรอบข้างแล้วก็รีบไปดันโซฟาเก่า ๆ มาขวางประตูก่อนจะเอาเก้าอี้มาถือไว้เป็นอาวุธ เขายืนมองประตูที่ยังคงสั่นเพราะแรงทุบแล้วถอยออกมาสองสามก้าว ตอนนี้แบคฮยอนจะเป็นยังไงบ้าง...เขาเองก็ไม่รู้
ปัง!!
ประตูเปิดออกพร้อมกับชายร่างผอมโปร่งที่เข้ามาในห้องมืดสนิทหลังจากดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว นัยน์ตาคมกวาดมองหาเป้าหมายแต่ก็ต้องแหกปากร้องลั่นเมื่อถูกตีหัวเข้าอย่างจังโดยคนตัวเล็กที่ยืนแอบอยู่ข้าง ๆ ประตูด้วยไม้เบสบอลที่ถูกตอกด้วยตะปู
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
แบคฮยอนตัวสั่นเพราะความกลัวแม้ว่าใครอีกคนจะล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้ว เลือดสีสดติดอยู่ตามตะปูส่งกลิ่นคาวคลุ้งจนต้องนิ่วหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำร้ายร่างกายมนุษย์ด้วยกัน...
“เฮ้ย โฮซอก!!” เสียงผู้มาใหม่เรียกสติให้แบคฮยอนรีบเข้าไปขวางประตูเอาไว้กันไม่ให้อีกคนเข้ามา ร่างเล็กใช้ไหล่ดันเท่าไหร่แต่ดูเหมือนว่าจะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้จนเสียหลักล้มลงไปกับพื้น
“มึงทำอะไรเพื่อนกู ห๊า?” เสียงแห่งความโทสะที่มาก่อนหมัดลุ่น ๆ แบคฮยอนหน้าหันไปอีกทางอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและล้มไปอีกครั้งเพราะถูกชกหน้า
“อึ่ก...”
มือเล็กพยายามเอื้อมไปหยิบไม้เบสบอลพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา วินาทีที่เขารู้สึกอ่อนแอที่สุดและอยากให้บยอนแบคโฮผู้ซึ่งเป็นพี่ชายมาปกป้อง...แต่ทุกอย่างมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก” แบคฮยอนร้องลั่นเมือถูกรองเท้าสนีกเกอร์สีขาวเหยียบเข้าที่มืออย่างแรงอีกทั้งยังบี้ราวกับมือของเขาเป็นก้นบุหรี่
“มึงซ่าเหรอ หื้ม?”
“...!!!”
“มึงไหวป่ะวะโฮซอก?”
“ไหวห่าไรล่ะ แม่งเจ็บชิบหาย!!!!”
“เจ็บก็มาลงกับไอ้ห่านี่ดิวะ ลุกขึ้นเร็ว!” มือแกร่งประคองเพื่อนที่ถูกฟาดด้วยไม้เบสบอลขึ้นมาก่อนจะก้มลงไปจิกหัวแบคฮยอนให้ลุกขึ้นตาม ร่างเล็กใช้จังหวะนั้นค่อย ๆ ดึงมีดพกออกมาจากข้างหลังแล้วก็แทงเข้าไปกลางอกนั่นในทันที
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“จีมิน!”
แบคฮยอนรีบก้มลงคว้าไม้เบสบอลขึ้นมาแล้วฟาดหัวคนตรงหน้าที่กำลังยืนมึนงงอย่างแรงจนล้มลงไปทั้งคู่ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังขึ้นมาบนชั้นสอง...เห็นทีว่าบยอนแบคฮยอนคงอยู่ในนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
ร่างเล็กเปิดหน้าต่างออกชะเง้อหน้ามองทางหนีทีไล่ก่อนจะปีนออกมาด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากชั้นล่างพร้อมกับเสียงทุบประตู...ตอนนี้เซฮุนจะเป็นยังไงบ้างนะ?
“กูให้เวลามึงอีกสามสิบวินาที...ถ้ามึงยังไม่ออกมา...กูจะฆ่าไอ้เด็กนั่นซะ”
“...”
“เซฮุน...มึงคิดว่าจะหนีกูไปได้สักกี่น้ำหื้ม? ออกมาเถอะน่า...แล้วกูจะลดโทษให้มึงครึ่งนึง”
“...”
“มึงไม่ยอมออกมาสินะ...”
ร่างสูงเหยียดยิ้มก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยิ้มอย่างรู้กันแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินไปที่รถและกลับมาพร้อมกับถังสีส้ม และราดน้ำมันไปทั่วบ้าน มือแกร่งล้วงไฟแช็คออกมาจากระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้กับลูกน้อง เขาเดินออกไปรอหน้าบ้านเพื่อยืนรอชมผลงาน พอแบคฮยอนเห็นอย่างนั้นก็รีบย่อตัวลงแล้วย่องไปตามหลังคาในความมืด
“พวกมึงไปโดนห่าอะไรมาวะ?” ร่างสูงถามเมื่อเห็นลูกนิ้วหิ้วปีกกันออกมาข้างนอก
“ไอ้เด็กเปรตนั่นแม่งฤทธิ์เยอะชิบหาย ไอ้จีมินจะไม่ไหวแล้วพี่!”
“...”
“โอ๊ย...”
“มึงจะร้องหาสวรรค์อะไรวะ?! เจ็บก็กดทนเอาไว้!”
แสงสีส้มที่เกิดจากไฟลุกโชนตามน้ำมันที่ราดเอาไว้ เซฮุนเบิกตากว้างเมื่อเห็นแสงสว่างลอดเข้ามาข้างในก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ไปทั่ว
“แค่ก ๆ !!!” ร่างบางยกมือขึ้นปิดจมูกเมือรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศโดยรอบ ไอ้พวกสารเลวนั่นคิดจะเอาเขาให้ตายจริง ๆ สินะ
เซฮุนสำรวจมองข้าวของเครื่องใช้ที่น่าจะเป็นประโยชน์ในนาทีนี้ได้ก่อนที่เขาจะถูกไฟคลอกตายไปเสียก่อน ร่างบางคว้าเอาเก้าอี้ไม้ขึ้นมาฟาดกับผนังห้องที่ทำด้วยไม้อย่างแรงแต่ก็ไม่เป็นผล กลับกันแล้วมันยิ่งทำให้เขาเจ็บเพราะแรงอัดอีกต่างหาก
“แค่ก ๆ !!!”
ร่างผอมบางทรุดลงกับพื้นในขณะที่ไฟสว่างจ้ากำลังแผดเผาทุกอย่างให้หมอดไหม้ทุกวินาที เขาถอดเสื้อออกมาคลุมหัวตัวเองไว้แล้วแนบหน้าลงกับช่องทางรอยต่อของพื้นไม้เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์แม้ว่ามันจะช่วยเขาได้เพียงน้อยนิดก็ตาม...
“เฮ้ย ๆ ...นั่น?” ลู่หานชี้ไปยังบ้านของอี้ฟานที่เขาใช้อยู่อาศัยมานานให้ทุกคนในรถดู ร่างสูงเบิกตากว้างเมื่อพบว่าบ้านของเขากำลังไฟลุกโชนก่อนที่ลู่หานเหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อนึกถึงแบคฮยอนกับเซฮุนที่อยู่ข้างในนั้น แต่พอขับเข้าไปใกล้ ๆ ก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจเมื่อพบรถคันปริศนาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเขาพร้อมกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง
“เฮ้ย! มีคนมา!” เสียงของเด็กหนุ่มที่ตามมาพร้อมกับลูกตะกั่ว ทุกคนในรถหมอบลงพร้อม ๆ กันในขณะที่ฝ่ายยังคงยิงมาทางนี้อย่างต่อเนื่อง
“เหี้ยเอ๊ย” จงอินสบถแล้วควักปืนพกออกมา เขาไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่ในเมื่อมันกล้าเปิดศึกก่อนแบบนี้เห็นทีว่าเขาคงทนอยู่เฉย ๆ แล้วลงไปเจรจาไม่ได้ ร่างหนาโผล่หัวขึ้นมาได้แค่ครู่เดียวก็ต้องหมอบลงเมื่อทางนั้นกราดปืนมาอย่างต่อเนื่อง
“พวกมันมีอาวุธกันทุกคน ตอนนี้เราเป็นเป้านิ่งให้มันยิงเล่น คงรู้นะว่าต้องทำอะไร” ทุกคนที่กำลังก้มหน้าอยู่สบตากันอย่างรู้งานก่อนที่จงอินจะลงไปเป็นคนแรกเพื่อยิงเปิดทางให้กับลู่หานและคนอื่น ๆ ที่มีเพียงมีดดาบกับปืนที่กระสุนหมดแล้ว
เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นกระจัดกระจายกันหาที่หลบเมื่อเจ้าบ้านที่เพิ่งกลับมาคิดสู้กับพวกเขาด้วยสิ่งที่มีเหมือนกันคือปืน เป็นเพราะตอนกลางคืนเลยทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเด็กหนุ่มคนหนึ่งเลยเสียหลักล้มลงไปกับพื้นหลังจากถูกชานยอลเอาก้อนหินฟาดหัวเข้าไปเต็มแรง ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังสู้กันอี้ฟานเลิกคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจเมื่อจงอินยื่นปืนให้กับเขาพร้อมกับแม็กกระสุนสำรอง
“อันสุดท้ายแล้ว ใช้ให้คุ้มล่ะ เดี๋ยวผมจะเข้าไปช่วยแบคฮยอนกับเซฮุน คุณช่วยยิงคุ้มกันให้ผมด้วย” อี้ฟานพยักหน้ารับแล้วเล็งปืนไปที่คนกลุ่มนั้นก่อนจะยิงคุ้มกันให้กับจงอินที่กำลังวิ่งเลียบไปทางข้างบ้าน
“อึ่ก!” ร่างหนาหยุดชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกระโดดลงมาจากชั้นสองจนต้องรีบเข้าไปประคองตัวเอาไว้ แบคฮยอนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะปรือตามองคนตรงหน้า
“จงอิน? คุณกลับมาแล้ว! รีบไปช่วยเซฮุนเร็วเข้า!”
“หมอนั่นอยู่ไหน?”
“เขาอยู่ในบ้าน แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน...โอ๊ย!”
“พวกมันทำอะไรนาย?”
“เปล่า...ผมขาแพลงตอนกระโดดลงมาน่ะ...คุณรีบเข้าไปช่วยเซฮุนเถอะ ผมยังไหว!” ถึงแบคฮยอนจะตอบแบบนั้นแต่เขาก็วางใจไม่ได้ ร่างหนาหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นชานยอลที่กำลังกระทืบเด็กคนหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะใช้สองนิ้วกดริมฝีปากแล้วส่งเสียงหวีดเพื่อเรียกร่างสูงให้หันมาทางนี้ ชานยอลรีบวิ่งมาในทันทีก่อนที่จงอินจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ฝากดูแบคฮยอนด้วย”
“แล้วเซฮุนล่ะ?”
“หมอนั่นติดอยู่ข้างใน ฉันไม่มีเวลาแล้ว” พูดจบร่างหนาก็รีบวิ่งไปทางหลังบ้านก่อนจะตักน้ำราดตัวจนเปียกชุ่มแล้วเปิดประตูเข้าไป
ทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็ต้องยกมือขึ้นบังหน้าเอาไว้เมื่อรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมาข้างนอก เสาหลักของบ้านที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟล้มลงทับข้าวของจนยากทีเขาจะแทรกตัวเข้าไปได้ ร่างหนากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเข้าไปในห้องเก็บของเป็นที่แรกแต่ก็พบว่าประตูล็อค
ร่างหนาสบถอย่างหัวเสียก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเอาไหล่ผลักประตูอย่างแรง...ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่กลับไม่เป็นผล เด็กบ้านั่นต้องอยู่ในนั้นแน่ ๆ
“โอเซฮุน!!!”
ตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างในแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา เขาวิ่งออกไปหลังบ้านเพื่อเอาขวานมาจามกำแพงห้องเก็บของ ใช้เวลาอยู่ราว ๆ สามนาทีจนกระทั่งใช้เท้าถีบไม้ให้หักออกจนเป็นช่องกว้างมากพอที่เขาจะลอดเข้าไปได้แล้วก็พบเซฮุนนอนหน้าคว่ำกับพื้น
“เซฮุน?!”
จงอินรีบเข้าแทรกตัวเข้ามาข้างในก่อนจะประคองร่างที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกับตบแก้มเรียกสติหากแต่อีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไม่ขยับตัว
“เฮ้! หูแตกหรือไง?! โอเซฮุน!!”
“...”
“ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”
“...”
“ถูกกัดยังไม่ตาย จะมาตายเพราะไฟคลอกแค่นี้น่ะเหรอ ฉันบอกให้ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ไง!” เขาเริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นเจ้าเด็กนี่นอนแน่นิ่งไปแบบนี้
มือหนาลูบไปตามคราบเลือดตามขมับก่อนจะวางร่างบางลงแล้วถอดเสื้อที่เปียกชุ่มออกเพื่อซับดวงหน้าหวาน เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า คนการศึกษาน้อยอย่างเขาอย่างเก่งก็ทำได้แค่ให้ร่างบางรู้สึกได้ถึงความเย็นจากเสื้อตัวนี้ จงอินเบิกตากว้างเมื่อเซฮุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“คุณ...จงอิน...”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” เขายิ้มแล้วจูบหน้าผากอีกคนอย่างแรงก่อนที่ทั้งคู่จะสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงปืนจากข้างนอก
“เอาล่ะ เราไม่มีเวลาแล้ว นายลุกไหวไหม?”
“ไหวครับ...”
“ดี เราต้องออกไปจากที่นี่ ฉันคงไม่มีปัญญาอุ้มนายออกไปด้วยท่าเจ้าหญิงแน่อย่าฝัน เพราะฉะนั้น...” ร่างสูงเอาเสื้อของเขาสวมเข้าหัวคนตรงหน้าจนเซฮุนเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ
“ใส่มันเข้าไปซะ แล้วรีบขึ้นมาก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ” จงอินหันหลังให้พร้อมกับนั่งย่อขาลงราวกับจะให้เขาขี่หลัง ทั้งคู่สบตากันแค่ชั่วอึดใจจนกระทั่งเซฮุนรีบสวมเสื้อที่อีกฝ่ายใส่ให้แล้วโอบรอบคอหนาไว้เป็นหลัก
จงอินหยัดตัวลุกขึ้นยืนโดยที่มีร่างบางอยู่ข้างหลัง กระชับขาเรียวอยู่ในทีเพื่อตั้งหลักแล้วก็หันไปเห็นโซฟาที่ขวางอยู่ตรงประตูและนั่นมันทำให้เขาเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ร่างหนาเดินไปหยุดอยู่ตรงทางที่เขาเพิ่งใช้ขวานจามเข้ามาแล้วใช้เท้าถีบให้กว้างขึ้นก่อนจะพาเซฮุนออกมาได้อย่างหวุดหวิด
“โอ๊ย! ปล่อยผมเถอะนะครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
จงอินและเซฮุนมองไปยังเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยที่มีชานยอล อี้ฟาน ลู่หานยืนคุมอยู่และแบคฮยอนที่นั่งพักอยู่ข้างหลัง
“ไอ้เหี้ยไหนสั่งให้มึงทำแบบนี้” ลู่หานถามพร้อมกับใช้เท้าถีบอีกฝ่ายจนเซล้มไปทับกัน เขาโมโหจนมือสั่นทันทีที่เห็นหน้าแบคฮยอนมีรอยฟกช้ำ
“...”
“กูถามทำไมไม่ตอบ!”
“ใจเย็นก่อน” ชานยอลเอามือขวางลู่หานไว้ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงห้าม ร่างโปร่งหายใจฮึดฮัดแล้วเตะก้อนหินใส่เด็กกลุ่มนั้นจนยกมือบังกันแทบไม่ทัน
“ใจเย็นเหรอ? ดูสิ เห็นนั่นไหม?” ลู่หานชี้ไปยังบ้านสองชั้นที่ไฟกำลังลุกโชนแล้วหันไปขอความเห็นจากอี้ฟานที่จ้องมองบ้านของอดีตภรรยาด้วยความอาลัยอาวรณ์ ลู่หานถึงได้ยอมหยุด
“...”
“พี่นัมจุนบอกให้พวกเราทำแบบนี้ เราไม่ได้อยากฆ่าใครเลย รวมถึงไอ้เซฮุนด้วย”
“...”
“อ่ะ! เซฮุน! มึงบอกเขาให้ปล่อยพวกกูสิ นะเพื่อน...” เสียงนึงพูดขึ้นเมื่อเห็นเซฮุนขี่หลังจงอินมาทางนี้ ร่างบางปรายตามองด้วยแววตาเฉยชาก่อนจะลงจากหลังร่างหนา
“ใช่! มึงต้องช่วยกูนะเซฮุน เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“...”
“จำตอนที่เราไปขับรถเล่นด้วยกันได้ไหม ที่พวกกูสอนให้มึงขับรถอ่ะ”
“...” ทุกสายตามองไปยังเซฮุนที่ยืนทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ซาบซึ้งกับอดีตที่เคยมีร่วมกัน จนกระทั่งจงอินสะกิดลู่หานแล้วทั้งคู่ก็หายเข้าไปทางหลังบ้านและออกมาพร้อมกับรถคันที่ขับมาจากโซล ทุกคนมองจงอินที่เปลือยท่อนบน เขามาพร้อมกับเชือกเส้นใหญ่ในมือก่อนจะยื่นให้ลู่หานเป็นคนถือไว้
“คุณจะทำอะไรน่ะจงอิน?” ชานยอลถามเมื่อเห็นจงอินลากคอเด็กหนุ่มที่ถูกยิงเข้าที่ขาขึ้นมาแล้วให้ลู่หานมัดมือเอาไว้ เขาทำอย่างนั้นกับทุกคนภายในเชือกเส้นเดียวกันก่อนจะใช้ความยาวของเชือกที่เหลือมัดตัวเด็กกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยกันทั้งหมด
ลู่หานตรงดิ่งไปอุ้มแบคฮยอนขึ้นลอยจากพื้นจนร่างเล็กต้องคว้ารอบคออีกฝ่ายเอาไว้ในทันที แบคฮยอนเบิกตาโพลงพร้อมกับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายที่อยู่ห่างกันเพียงน้อยนิด
“ขอโทษที่กลับมาช้า งอนป่ะเนี่ย”
“บ้าเหรอ? ฉันจะงอนนายทำไม วางฉันลงได้แล้ว”
“ไม่วาง ขาแพลงไม่ใช่หรือไง อย่ามาดื้อนะไอ้เตี้ย”
“สูงตายแหละนายน่ะ”
“ก็สูงกว่านายแล้วกัน เตี้ยหมาตืด”
“...”
แบคฮยอนเงียบในขณะที่ลู่หานกำลังอุ้มเขาไปขึ้นรถ หมอนี่เอาแต่ยิ้มอยู่ได้ไม่รู้มีอะไรตลก...
“เดี๋ยว! ไม้เบสบอลของพี่แบคโฮ!” ร่างเล็กหันกลับไปแล้วก็พบว่าชานยอลก้มลงเก็บขึ้นมาให้แล้ว ร่างสูงยิ้มบาง ๆ หากแต่แบคฮยอนกลับนิ่งเงียบ พูดไม่ออก
‘คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?’
‘ผมไม่เป็นไร...คุณรีบไปช่วยอี้ฟานเถอะ’
‘ผมไปแน่ แต่ก่อนอื่น...ผมต้องแน่ใจเสียก่อนว่าคุณอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว’
‘ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ’
‘...’
‘มีอะไรเหรอ?’
แบคฮยอนมองเข้าไปยังนัยน์ตาอีกคนก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วหัวแม่มือของคนตรงหน้ากำลังไล้แก้มเขาอย่างเบามือ...รอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของร่างสูงนั้นแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง รอยยิ้ม...ที่มาจากคนที่คิดว่าเย็นชาที่สุด...
‘ขอบคุณที่ยังอยู่กับผมนะ...แบคฮยอน’
“เฮ้ย!! พี่จะทำอะไรพวกเราน่ะ?!!”
“อย่าถึงกับฆ่ากันเลย ยังไงเราก็คนด้วยกัน” อี้ฟานวางมือลงบนไหล่กว้าง ถึงคนพวกนี้จะเผาบ้านของภรรยาเขา แต่ก็ใช่ว่าอู๋อี้ฟานจะจิตใจต่ำขนาดฆ่าแกงคนด้วยกันได้ลงคอ ที่ยิงไปก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตั้งใจยิงให้ถูกคนด้วยซ้ำจนกระทั่งเห็นเด็กคนหนึ่งจะยิงลู่หานเขาถึงได้ยิงเข้าที่ขาให้เสียหลัก
“ก็ไม่ได้ว่าจะฆ่าสักหน่อยนี่...”
จงอินตอบเสียงเรียบราวกับไม่ยี่หระ ลู่หานเดินกลับมาพร้อมกับยิ้มมุมปากหลังจากที่พาแบคฮยอนไปนั่งพักบนรถแล้ว เขากระตุกเชือกให้แน่นขึ้นแล้วลากไปผูกไว้กับต้นเสาที่เป็นฐานไว้ตรึงลวดหนามโดยที่มีจงอินถีบไล่ต้อนให้ไปตามแรงดึงของลู่หาน ร่างโปร่งก้มลงผูกเชือกไว้แน่นหนาแม้ว่าเด็กกลุ่มนี้กำลังดิ้นพล่านพยายามให้หลุดออกก็ตามที
เซฮุนเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เด็กวัยเดียวกันที่กำลังโอดครวญร้องขอความช่วยเหลือ คราวซวยของพวกมันที่พกกระสุนมาน้อยเลยทำให้อี้ฟาน ลู่หาน และชานยอลเข้าประชิดตัวได้ไม่ยาก จนต้องยอมคุกเข่าขอโทษเพื่อร้องขอชีวิตในขณะที่ลูกพี่ของมันชิ่งหนีเอาตัวรอดไปแล้ว...
“เซฮุน ช่วยกูด้วย”
“...”
“ไปกันเถอะ” เซฮุนหันไปพยักหน้าเมื่อร่างหนาเรียกให้เขาไปขึ้นรถ
ชานยอลเดินตามลู่หานมาขึ้นคันเดียวกันโดยที่จงอิน อี้ฟาน กับเซฮุนไปขึ้นอีกคันเพราะรถคันเดียวคงไม่สามารถจุได้ถึงหกคน
แบคฮยอนเกาะเบาะหลังมองบ้านที่กำลังมอดไหม้ เขาจะต้องจากที่นี่ไปจริง ๆ สินะ...ที่ให้เขาพักอาศัยในวันที่เขาไม่มีบ้านอยู่และเป็นที่ ๆ ใช้ฝังศพพี่ชายของเขาด้วย...
ชานยอลเอี้ยวตัวหันกลับไปตรงเบาะหลังเพื่อวางไม้เบสบอลไว้ให้ แบคฮยอนหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเศร้าหมองก่อนที่ร่างสูงจะยิ้มบาง ๆ เพื่อให้กำลังใจ
ว่ายังมีเขา...ที่ยังอยู่ตรงนี้อีกคน
“เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ จะพากลับมาเยี่ยมหลุมศพไอ้ตืดนั่น ตอนนี้ห้ามร้องไห้ล่ะ เข้าใจที่พูดใช่ไหม?” เป็นลู่หานที่พูดขณะมองร่างเล็กจากกระจกมองหลัง แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
ปัง!
ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่นก่อนที่จงอินจะเข้ามานั่งข้างใน เซฮุนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเมื่อเห็นผู้ชายนิสัยห่ามกำลังผิวปากอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ร่างสูงอย่างรู้กัน
“นายนี่นะ...” อี้ฟานยิ้มขำแล้วส่ายหน้าเอือมกับพฤติกรรมของจงอิน มันก็จริงอย่างที่บอก...
ว่าเขาจะไม่ฆ่าพวกเด็กเวรนี่...
แต่ที่ทำก็แค่ยิงปืนบอกพิกัดให้พวกกินคนมาถูกทางก็เท่านั้น...
“ไม่นะ! อย่าทิ้งเราไว้แบบนี้ ม่ายยยยยยยยยยยยย!”
“เฮ้ย...นั่นมัน?”
“ฮือออออ.....”
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!!”
“มันกำลังมาทางนี้แล้ว ตรงนั้นก็ด้วย!!!”
“ไม่นะ อย่าาาาาา!!!!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
TBC
ตั้งแต่เขียนมา 8 ตอนรวมอินโทรด้วย คือตอนนี้เหนื่อยมากที่สุด ไม่รู้ทำไม แฮ่กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ชอบกดโหวต ฟินเมนท์เป็นกำลังใจให้ทีนะคะ มลินจะมีกำลังใจเขียนตอนต่อไป ส่วนแท๊กในทวิตก็เหมือนเดิมค่า #ficzombie
ความคิดเห็น