คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8 :: Homeless
Chapter 8
Homeless
ตึก ตึก ตึก...
“ผมไม่ไหวแล้วพี่...อึ่ก...”
“...”
ร่างสูงก้มลงมองใครอีกคนที่ทรุดตัวลงไปนอนในโพรงหญ้าหลังจากที่พวกเขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนในจังหวะชลมุนมาไกลจนมองกลับไปข้างหลังก็ไม่พบบ้านสองชั้นที่มอดไหม้เพราะฝีมือพวกเขาแล้ว เสียงโอดครวญของใครอีกคนสร้างความหงุดหงิดให้กับเขายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ หากแต่คิมนัมจุนพยายามข่มอารมณ์โทสะเอาไว้แม่ว่ามันแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้วก็ตามที
“ผมเจ็บมากเลย...ผมเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“…”
“พ...พี่ช่วยประคองผมหน่อยได้ไหม” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยกให้เป็นหัวหน้าแก๊งหลังจากชีวิตของเขาไม่หลงเหลือใครอีกแล้ว ถึงจะอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ แต่คิมนัมจุนเป็นคนเดียวที่เขานับถือมากที่สุดแม้ว่าจะมีรุ่นพี่คนใหญ่คนโตที่เป็นพวกนักเลงหัวไม้ไปจนถึงนักโทษแหกคุกก็ตามที ร่างสูงยกยิ้มมุมปากก่อนจะนั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าอีกคนแล้วจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้น
“มึงเจ็บมากเหรอจีมิน?”
“...” เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาเสียเลือดไปเยอะเพราะบาดแผลสาหัสบนหน้าอกข้างขวา มันเจ็บปวดทุกครั้งที่เขาขยับตัว คิมนัมจุนหลุบสายตาลงต่ำมองมีดพกที่ปักอยู่ตรงหน้าอกอีกฝ่ายแล้วเงยหน้าขึ้น
“ผมเจ็บ...อึ่ก...”
“หืม?”
“ผมยังไม่อยากตาย...ช่วยผมด้วยนะพี่...”
“ได้สิ ก็เราเป็นพี่น้องกันนี่”
จีมินค่อย ๆ ยิ้มออกมาแม้ว่าเขาแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงพูดแล้วก็ตามที เด็กหนุ่มมองมือแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะวางมือลงบนมือร่างสูง คิมนัมจุนก็ดึงมีดออกจากอกเขาในทันทีโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ฉึ่ก!
“อึ่ก!!”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทุกอณูร่างกาย เขาเหลือกตามองคนตรงหน้าด้วยความทุกข์ทรมานเมื่อปลายมีดแหลมนั้นถูกซ้ำเข้ามาที่เดิมอีกครั้งทั้งยังบิดคว้านหมุนปลายมีดจนเขาอ้าปากร้องลั่น
“อ๊า...อุ่บ!!” มือแกร่งปิดริมฝีปากคนเจ็บก่อนจะกดร่างนั้นให้จมหายลงไปกับโพรงหญ้า เด็กหนุ่มตะกุยตะกายปะป่ายไปตามร่างของคนที่เรียกว่าลูกพี่ ในเวลาดึกสงัดที่ได้แสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้นที่พอจะทำให้ปาร์คจีมินมองเห็นใบหน้าอันโหดเหี้ยมของคิมนัมจุนได้...
“ชู่ว์...”
“อื้อ!!!!!!!” เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องในลำคอด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากของเขายังถูกปิดเอาไว้พร้อมกับมีดแหลมที่แทงลงมาบนร่างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย มันตีกันกับความรู้สึกเจ็บปวดจนเขาไม่สามารถเรียบเรียงความรู้สึกในตอนนี้ได้ว่าทำไมคนที่เคยหนีตายมาด้วยกันถึงได้ทำกับเขาแบบนี้...
สติเลือนราง...ทุกอย่างพร่ามัวจน ลมหายใจผะแผ่ว อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงกระทั่งมันหยุดไปในเวลาถัดมา...
ร่างสูงลุกขึ้นยืนหอบหายใจแล้วมองสภาพศพของใครอีกคนที่นอนแน่นิ่งหากแต่ดวงตาทั้งสองข้างยังเบิกค้างไว้อยู่อย่างนั้น เขาแค่นหัวเราะสมเพชกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ที่ต้องวิ่งหนีหางจุกตูดเพราะถูกคนพวกนั้นไล่ต้อน ตอนนี้เพื่อน ๆ ของเขาจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ จริงอยู่ที่คิมนัมจุนเป็นคนรักเพื่อน
แต่บางครั้งมิตรภาพก็ต้องมาทีหลังชีวิตของตัวเอง
ส่วนปาร์คจีมิน...ที่เขาต้องทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้น้องนุ่งต้องทรมานกับพิษบาดแผลที่พวกเวรนั่นเป็นคนก่อ เขาเลยสงเคราะห์ทางให้จีมินไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกยิงเข้าที่แขนขวายังไม่เจ็บเท่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ความโกรธแค้นฝังลึกจนยากที่จะหยุดยั้งได้
โอเซฮุน...ไอ้คนระยำที่เขาช่วยชีวิตมันไว้ตั้งแต่วันนั้น มันกล้าดียังไงถึงได้ทำกับเขาแบบนี้...
“กูขอสาบานกับมึงจีมิน...ว่ากูจะตามล่าไอ้เหี้ยเซฮุนกับเพื่อนใหม่ของมันมาแขวนคอแก้แค้นให้มึงแน่”
พูดจบก็ก้มลงเอามือลูบผ่านเปลือกตาคนที่นอนแน่นิ่งให้ปิดลง...เสียงกัดฟันกรอดลอดไรฟันมาพร้อมกับสายตาอาฆาตแค้น ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นกุมแขนข้างขวาที่เกิดจากการโดนยิงแล้วเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดเพื่อกลับไปหากลุ่มของเขาที่มีแต่พวกเดนตาย
...ก่อนที่ร่างของใครอีกคนที่ถูกแทงเมื่อครู่จะลุกขึ้นนั่งพร้อมกับส่งเสียงครางฮือในลำคอช่วงเวลาถัดมา...
เช้าวันรุ่งขึ้น...
“หาววว~~~” ลู่หานอ้าปากหาวพร้อมกับยืดแขนขึ้นสุดโต่งโดยไม่แคร์ภาพลักษณ์ใด ๆ ตอนนี้รถทั้งสองคันจอดอยู่ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งหลังจากที่พวกใช้เวลาทั้งคืนในการเดินทาง รอบข้างมีเพียงซากใบไม้แห้งกับรถกระบะคันเก่า ๆ เท่านั้นที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า
จงอินเสียบที่เติมน้ำมันค้างไว้ในช่องเติมแล้วกดปริมาณทิ้งไว้และไม่ลืมที่จะเปิดประตูถ่ายเทอากาศให้คนที่นอนหลับอยู่ตรงเบาะหลัง เขาเดินสำรวจไปรอบ ๆ เพื่อหาของที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้ในขณะที่แบคฮยอนกระเผลกขาออกมานั่งพักข้างนอกระหว่างรอรถเติมน้ำมันจนเต็ม
ลมเย็นกับดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังส่องแสงสว่างในช่วงเวลาเกือบหกโมงเช้าช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาได้หลังจากที่ผ่านพ้นเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อคืนนี้
เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะต้องแยกจากพี่ชายแม้ว่าแบคโฮจะตายไปแล้ว แบคฮยอนปลอบใจตัวเองมาตลอดว่าถ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ขอแค่ให้เขาไปเยี่ยมและนั่งคุยกับหลุมศพพี่ชายทุกวันก็ยังดี
แต่ตอนนี้...บยอนแบคฮยอนไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นอีกแล้ว...
ความจริงทุกอย่างมันกดดันและบีบหัวใจเด็กน้อยอย่างเขาเสียเหลือเกิน นี่สินะโลกอันแสนโหดร้ายที่แท้จริง มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เขาต้องเข้าใจโลกให้มากกว่านี้แล้วปรับตัวเข้ากับทุกอย่างให้ได้
“ยังโชคดีที่ยังมีน้ำมันหลงเหลืออยู่” ชานยอลพูดเรียกความสนใจจากคนที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“แต่เราคงไม่โชคดีแบบนี้ไปตลอด” จงอินโยนถังใส่น้ำมันสีส้มเก่า ๆ ให้ร่างสูงสองถังซึ่งชานยอลก็รับไว้ได้ง่าย ๆ เขาเดินกลับไปที่ตู้น้ำมันอีกตัวแล้วเติมน้ำมันใส่ถังอย่างรู้งาน
พอเติมน้ำมันเต็มถังลู่หานก็เดินไปท้ายรถแล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นซากไส้พุงของตัวกินคนหลุดออกมาข้างนอกโดยฝีมือของจงอินเมื่อวานนี้ เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะขับไปจอดอยู่ตรงจุดบริการล้างรถ
ลู่หานง่วนอยู่กับอุปกรณ์อยู่ครู่หนึ่ง ดึงสายระโยงรยางค์ออกมาแล้วเปิดกระโปรงหลังออกก่อนจะนิ่วหน้า ยกมือขึ้นปิดจมูกในทันที
“เชี่ยเอ๊ย กลิ่นยิ่งกว่าศพหมาตาย”
ทุกสายตามองไปยังลู่หานที่ใช้มือข้างหนึ่งดึงข้าวของที่อยู่ท้ายกระโปรงออกมาวางไว้บนพื้นด้วยท่าทีติดรังเกียจอยู่เล็กน้อย เขาดึงมีดออกมาแทงกลางหัวผีดิบที่มีเพียงแค่ท่อนบนที่กำลังส่งเสียงครางฮือในลำคอให้ตายคาที่ก่อนจะลากออกมาทิ้งข้างนอก
ลู่หานใช้สายยางแรงอัดฉีดทำความสะอาดท้ายรถทั้งที่มือข้างหนึ่งยังปิดจมูกเอาไว้ ใช้เวลาไม่นานนักอี้ฟานเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นเขากำลังง่วนอยู่กับของใช้ที่เขาทั้งสี่คนเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มันมา ร่างสูงนั่งลงยอง ๆ แล้วคลี่ถุงออกเพื่อดูของข้างใน
“น้ำเปล่า รามยอน แคร็กเกอร์ทูน่า ถั่วลิสง? ห่าราก มันจะเอาไปแดกแกล้มเหล้าหรือไงวะ?” ลู่หานสบถอย่างหัวเสียก่อนจะมองอี้ฟานที่กำลังหยิบของอีกถุงออกมาดู
“เนยถั่ว อาหารกระป๋องจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดคงทำให้เราอยู่ได้ราว ๆ สามวัน” พูดจบชานยอลกับแบคฮยอนก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเขา
“ไม่พอยาไส้แน่ ๆ ยังไงเราก็ต้องออกไปหาใหม่อยู่ดี” ลู่หานพูดแล้วใช้ความคิด
“แคร็กเกอร์ช่วยให้อิ่มท้องได้ดีกว่าอาหารบางอย่างอีกนะ ผมเคยได้ยินมาว่าคนส่วนใหญ่นิยมซื้อไปตุนไว้ตอนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม” ชานยอลพูด
“ผมว่าที่เซจงไม่น่าอยู่แล้วล่ะ” อี้ฟานรูดปากถุงยังชีพแล้วยัดเก็บเข้าที่เดิม
เซฮุนลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกร้อนอบอ้าวหลังจากหลับอยู่ในรถมาเป็นเวลาพอสมควร เขาขยี้ตาเบา ๆ แล้วเดินออกมาจากรถก่อนจะเดินไปหาใครอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับอะไรบางอย่าง
“คุณอ่านอะไรอยู่น่ะ”
“บันทึกของหมอคนหนึ่ง ฉันเก็บได้ตอนไปหาอาหารเมื่อวานนี้” จงอินตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย นัยน์ตาคมกวาดมองไปตามตัวอักษรที่หมอปาร์คกำลังบอกเล่าอย่างตั้งใจก่อนที่คนอื่น ๆ จะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
‘วันที่ 21 พฤษภาคม 2013
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามสี่สิบห้า...หมอและพยาบาลทุกคนต่างอิดโรยจากศึกหนักเมื่อคืนนี้ พวกเราแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเลย สมาธิของผมถูกช่วงชิงไปเพราะเสียงปืนที่มีให้ได้ยินตลอดทั้งคืน ผมแอบแหวกผ้าม่านออกไปดูข้างนอก ผมเห็นทหารจำนวนมากกำลังจัดแจงวางศพให้เป็นระเบียบ หลังจากที่พวกเขาเป่าหัวผู้คนที่ ‘ติดเชื้อ’ นับไม่ถ้วน
พวกเขาฆ่าคนเหมือนผักปลา แต่ถ้ามองอีกแง่...ทหารพวกนั้นก็ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนอีกทีเหมือนกัน...เบื้องบนที่สั่งให้เก็บคนที่ติดเชื้อเพื่อที่จะไม่ให้ ‘เปลี่ยน’ ไปเป็นตัวประหลาด
ผมมีโอกาสโทรหาลูกเมียได้ไม่ถึงสองนาทีสัญญาณก็ขาดหายไป มันเป็นแบบนี้อยู่ตลอดทั้งคืน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัญญาณโทรศัพท์ ผมบอกให้ภรรยาของผมอยู่แต่ในบ้านจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ ผมคิดว่าทุกอย่างมันคงดีขึ้นถ้าโรคระบาดมันเกิดขึ้นแค่ในเซจง’
อ่านจบก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคนที่ยืนฟังเขาอยู่ มือหนาเปิดหน้าถัดไปก่อนจะพบวันที่เดิมแต่ลายมือดูตวัดมากขึ้นราวกับว่านายแพทย์ปาร์คยูชอนเร่งรีบในการเขียนหน้านี้
‘ให้ตายเถอะ! มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเซจงแล้ว ผมได้ยินจากวิทยุสื่อสารของทหารนายหนึ่งบอกว่าที่โซลเจอศึกหนักยิ่งกว่าที่ผมกำลังพบเจอ แน่นอนว่าที่นั่นมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าที่เซจงหลายเท่านัก มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแพร่เชื้อโรคออกไป!
ช่วงหัวค่ำวันนี้ผมถูกเรียกไปที่เต็นท์เก็บยา ระหว่างทางผมเห็นทหารนายหนึ่งกำลังควบคุมแผงสัญญาณวิทยุ ก่อนที่ทหารยศสูงจะเดินเข้ามาสั่งการกับหทารนายนั้น
‘กระจายข่าวไปว่าที่ท่าเรือชุงช็องใต้มีเรือขนส่งสินค้าจอดเทียบรอช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ กระจายไปให้ทั่วแล้วสั่งทหารทุกนายให้เตรียมรับมือคนพวกนั้นให้พร้อม’
‘เรือขนส่งสินค้าเหรอครับนาย แต่ว่า...?’
‘ผมบอกให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตอนนี้หน้าที่ของเราคือต้องต้อนคนติดเชื้อมาที่นี่ให้ได้มากที่สุดเพื่อหยุดการแพร่ระบาด’
‘ถ้าเราประกาศไปแบบนั้นคนต้องพากันมาที่นี่หมดแน่เลยครับ ค่ายเรามีหมอไม่มากพอ พวกติดเชื้อก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทหารของเราก็ตายกันไปเยอะแล้วนะครับนาย...’
‘หยุดถาม แล้วทำตามหน้าที่ไปซะ’
หลังจากนั้นทหารยศสูงก็เดินออกไป ผมได้ยินนายทหารที่เพิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่คุยกับนายทหารอีกคน...เขาบอกว่าที่นั่นไม่มีเรือช่วยอพยพอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องแหกตาเพื่อหลอกให้ผู้คนแห่กันมาที่นี่แล้วจัดการคนที่ติดเชื้อทิ้งซะ หลังจากนั้นก็ปล่อยเข้าเมืองไป เป็นไงค่อยว่ากันอีกที...
ผมว่ามันเป็นเรื่องอัปยศที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินมา ผมเดินกลับไปหานายแพทย์จุนซูแล้วปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อผมยังไปจากค่ายไม่ได้ผมก็ต้องหาทางรอดให้กับครอบครัวผมแต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกินนอกเสียจากว่าผมจะทิ้งภาระหน้าที่นี้แล้วกลับไปหาลูกเมีย
นายแพทย์จุนซูบอกว่าถ้าเหตุการณ์มันระบาดจนยากที่จะหยุดยั้งเอาไว้ได้ ผมก็ควรหาทางเอาตัวรอดแล้วหนีไปที่ท่าเรือ ถึงแม้ว่าที่นั่นจะไม่มีเรือขนส่งสินค้าที่เอามาไว้เพื่ออพยพช่วยผู้คนก็ตามทีเถอะ แต่ที่นั่นก็ยังมีเรือลำเล็กจำนวนหนึ่งที่เอาไว้ใช้ในการหลบหนีได้’
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องแหกตาสินะ”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ?” ชานยอลถามในขณะที่จงอินหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดราวกับคิดไม่ตก
“แล้วคุณว่าไงอี้ฟาน?” จงอินหันไปขอความเห็นจากคนที่อายุมากที่สุด ยังไงเขาก็ควรให้เกียรติอี้ฟานเสนอความคิดเห็นแทนที่จะให้เขาตัดสินใจอยู่คนเดียว
“ผมอยากกลับไปเอารถที่ค่าย”
“ตอนนี้เรามีรถอยู่สามคัน ฉันว่ามันคงไม่เป็นเรื่องดีถ้าเราจะขับกันไปทั้งหมด” ลู่หานพูดขณะที่พวกเขาเดินทางมาถึงค่ายนรกที่เพิ่งเสี่ยงตายกันมาเมื่อวาน เขาห่วงว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น กลัวว่าจะพลัดหลงกันไปเพราะแยกกันขับคนละคัน
“ลู่หานพูดถูก เพราะงั้นเราต้องทิ้งรถสักคันไว้ที่นี่” จงอินเดินไปเปิดท้ายรถพร้อมกับหยิบถังสีส้มและพลาสติกสูบน้ำแบบพกพาออกมาแล้วเดินไปหาลู่หานเพื่อให้เจ้าตัวเลือกว่าจะทิ้งคันไหน
พอตัดสินใจได้ร่างหนาก็เดินไปเปิดฝาน้ำมันแล้วสอดแท่งพลาสติกเข้าไปก่อนจะใช้ปากสูบอากาศเอาน้ำมันออกมาจากรถเพื่อใส่ถังน้ำมันที่เปิดเอาไว้ ในตอนนี้น้ำมันคือสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ ในขณะที่จงอินง่วนอยู่กับการถ่ายน้ำมันออกจากรถฝั่งอี้ฟานก็กำลังยุ่งอยู่กับแผนที่ที่กางอยู่หน้ากระโปรงรถกับคนอื่น ๆ
“เราสามารถขับทะลุค่ายไปได้ทางช่องนั้น ขับไปอีกราว ๆ หกสิบกิโลก็จะเข้าถึงตัวเมืองได้”
“นี่เราจะไปชุงช็องใต้กันจริง ๆ เหรอวะ?” ลู่หานเท้าแขนถาม ตอนนี้เขาเริ่มหวั่นว่าจังหวัดนี้มันมีอะไรแปลก ๆ ไม่ชอบมาพากล
“หรือคุณอยากจะไปที่อื่นล่ะ?” อี้ฟานถามความคิดเห็นของคนรอบข้างซึ่งชานยอล เซฮุน แบคฮยอนเลือกที่จะเงียบ ไม่ออกเสียงใด ๆ
“เอาแบบความคิดโง่ ๆ เลยนะ ถ้าเกิดผมตัวคนเดียวตั้งแต่แรก แล้วรู้ว่าเกาหลีใต้กำลังเจอวิกฤติแบบนี้ ผมก็คงเลือกหาเรือดี ๆ สักลำขับไปที่ปลอดภัยสักแห่ง อาจจะเป็นเกาะ หรือประเทศเพื่อนบ้านก็ได้” จงอินเดินกลับมาสมทบ
“เพื่อนบ้านมึงนี่เกาหลีเหนือปะวะเพื่อน”
“นั่นเพื่อนพ่อมึงครับ” พูดจบก็ทำท่าเหวี่ยงฝ่ามือไปแต่ลู่หานหัวเราะแล้วหลบได้ทัน
“มันคงเป็นความคิดที่โง่จริง ๆ เพราะเกาะที่คุณพูดถึงมันอยู่ตรงนี้” อี้ฟานลากปลายนิ้วลงมาที่เกาะเชจูซึ่งอยู่ข้างล่างสุดของแผนที่เกาหลีใต้ และมันคงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะนั่งเรือหาปลาหรือเรือยนต์ลำเล็ก ๆ ไปที่นั่น
“นรกแตก”
“นี่มึงเป็นคนเกาหลีจริงป่ะ” ลู่หานมองจงอินด้วยความเอือมระอา อยู่เกาหลีมาตั้งแต่เกิดเสือกไม่รู้ว่าเกาะเชจูอยู่ส่วนไหนของประเทศ
“จะไปรู้เหรอ บอกแล้วว่ากูเรียนไม่จบ เห็นว่าที่นั่นมันมีท่าเรือก็เลยคิดว่าเกาะน่าจะอยู่อีกฟากฝั่ง” จงอินแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ก่อนที่ทุกคนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่จู่ ๆ ก็มืดครึ้มขึ้นมา
“อา...เข้าหน้าฝนแล้วสินะ”
“เอาไง จะฝ่าดงตีนเข้าชุงช็องใต้หรือจะพาไอ้จงอินขับรถเล่นไปเชจู”
“ขับไปหาพ่อมึงที่ปักกิ่งกันครับ”
“5555555555555555555555555555”
“หนึ่งเสียงว่าไปชุงช็องใต้ คนอื่นว่าไง?” จงอินถามทุกคน แล้วแบคฮยอนก็ยกมือขึ้นตาม
“ผมด้วย”
“ที่ท่าเรืออาจจะมีอะไรน่าสนใจ...ผมอีกหนึ่งเสียงแล้วกัน” ชานยอลพูด
“ผมยังไงก็ได้” เซฮุนตอบก่อนจะเดินกลับไปนั่งรอในรถ
“งั้นเอาเป็นว่าไปชุงช็องใต้ ตกลงตามนี้” อี้ฟานตัดสินใจแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถโดยที่ชานยอลกับเซฮุนตามไปนั่งกับจงอิน
ฝ่าด่านนรกมาได้อย่างทุลักทุเล มันคงเป็นเรื่องยากที่จะฝ่าจากตรงนั้นมาได้ถ้าเกิดพวกเขาขับช้ากว่านี้ ล้อรถทั้งสองคันมีเศษเนื้อและเลือดสีสดติดอยู่จนน่าสยดสยองแต่ก็ได้กระแสฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าชะล้างออกให้
‘โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง’
นัยน์ตาคมเหลือบมองป้ายบอกทางที่เขาเพิ่งขับผ่านมาเมื่อครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นถนนเบื้องหน้า กระแสฝนยังตกลงมาอย่างหนักทำให้คนที่นั่งมาด้วยกันผล็อยหลับไปได้ง่าย ๆ ร่างหนาจ้องมองคนที่นอนหลับอยู่เบาะหลังแล้วก็นึกห่วงอยู่ในใจเมื่อเห็นแผลตรงขมับด้านซ้ายที่มีเลือดแห้งกรังอยู่...พวกเขาควรหาที่พักกันที่ไหนสักแห่งเพื่อทำแผลให้เซฮุนและแบคฮยอน
ครืด...
รถเก๋งคันหรูจอดเทียบข้างทางก่อนที่รถกระบะจะจอดตาม จงอินลงมาจากรถพร้อมกับยกมือบอกเป็นเชิงให้ทุกคนรออยู่ข้างในก่อนที่เขาจะหายเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า หากมองเข้าไปข้างในก็พบหุ่นลองเสื้อชายหญิงยืนคู่กัน
ไม่นานนักจงอินก็ออกมาพร้อมกับส่งสัญญาณให้ทุกคนเข้าไปข้างในได้ ทุกคนรีบวิ่งหลบฝนเข้าไปแต่ยังไงก็ไม่พ้นอยู่ดี แบคฮยอนที่ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวช้าที่สุดเพราะเจ็บขาแต่ก็ได้ชานยอลเข้าไปช่วยประคองแม้ว่าฝนจะตกหนักก็ตาม
“ข้างในนี้อุ่นกว่าเยอะ” ลู่หานถอดเสื้อนอกออกแล้วโยนทิ้งไปไกล ๆ ก่อนจะหันไปส่งซิกถามจงอินว่ามีตัวประหลาดอยู่ข้างในหรือเปล่าและก็ได้คำตอบเป็นปลายมีดแหลมที่โชกไปด้วยเลือดสีเข้ม
“ข้างในมีห้องน้ำ ใครที่กลัวเป็นหวัดก็รีบเข้าไปอาบน้ำซะ” จงอินขยี้หัวก่อนจะเสยผมขึ้นลวก ๆ แล้วมองไปยังเซฮุนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ไปอาบน้ำไป” จงอินคว้าผ้าขนหนูมียี่ห้อที่พับวางเรียงกันอยู่บนชั้นใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ เซฮุนรับมันไว้ก่อนจะพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“แบคฮยอน นายน่ะอาบต่อเซฮุนแล้วกัน” คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วรับผ้าขนหนูจากจงอินเอามาคลุมไหล่ตัวเองไว้พร้อมกับหดขาเข้าหาตัวเพราะเป็นคนขี้หนาว แบคฮยอนมองตามหลังชานยอลที่จู่ ๆ ก็คว้าผ้าขนหนูบนชั้นแล้วเดินออกไปข้างนอกด้วยความสงสัย
ชานยอลดึงฮู้ดขึ้นมาใส่ก่อนจะยื่นผ้าขนหนูไปข้างหน้าเพื่อให้เปียกน้ำฝนที่กำลังตกลงมา พอชุ่มได้ที่เขาก็เดินกลับมาหยุดตรงหน้าร้านแล้วบิดน้ำออกพอหมาด ๆ แบคฮยอนตกใจที่เห็นชานยอลเดินมาทางนี้ทั้งที่อยู่ในสภาพเปียกโชก ร่างสูงแบมือมาตรงหน้าเป็นเชิงขออนุญาตพอเห็นแบบนั้นแบคฮยอนก็ได้แต่เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
“ขอผมดูเท้าคุณหน่อย”
“ครับ?”
“ที่นี่ไม่มีน้ำแข็งประคบ แต่ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัวลงแล้วก็ช่วยลดอาการบวม ผมคิดว่าน้ำฝนเย็น ๆ น่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ ถึงแบคฮยอนจะดูมึน ๆ งง ๆ แต่ก็ยอมยื่นขาออกมาให้คนตรงหน้าดู
มือแกร่งประคองเท้าเล็กไว้แล้วค่อย ๆ ถอดรองเท้าผ้าใบออกให้ แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บแม้ว่าชานยอลจะจับขาเขาให้ยืดออกอย่างเบามือก็ตาม
“อ่ะ...”
“อดทนหน่อยนะ” ร่างสูงพูดขณะประคบผ้าขนหนูลงบนข้อเท้าคนตัวเล็ก แบคฮยอนจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าปาร์คชานยอลกำลังทำดีกับเขา
น้ำเสียงทุ้มต่ำ...แต่ฟังแล้วอบอุ่นดีจัง...
“เดี๋ยวผมประคบไว้เองก็ได้ คุณไปนั่งพักเถอะ” แบคฮยอนพูดแล้วทำท่าจะชักขากลับแต่ร่างสูงห้ามเอาไว้
“ไม่ได้นะ คุณต้องเหยียดขาไว้อย่างนี้ก่อน เดี๋ยวผมจะหาผ้ามาพันข้อเท้าไว้ให้คุณ” ร่างสูงมองไปรอบ ๆ หาผ้าผืนบางที่น่าจะใช้พันข้อเท้าได้
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวก็หาย”
“เดี๋ยวไม่ได้ คุณต้องทำให้ข้อเท้าส่วนที่บวมอยู่นิ่ง ๆ ไม่อย่างนั้นตรงนี้มันจะบวมกว่าเดิมนะ” ชานยอลชี้เข้าเท้าที่บวมปูดของคนตัวเล็กให้เจ้าตัวดู แบคฮยอนตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็เบ้ปากเล็กน้อยจนร่างสูงหัวเราะเบา ๆ
“เป็นไรวะ?” จงอินถามลู่หานที่ยืนค้างอยู่ในท่าเลือกเสื้อบนราวหากแต่สายตาของเขากำลังจับจ้องไปยังคนสองคนที่กำลังสร้างโลกส่วนตัว
“เปล่า กูแค่สงสัยว่าผีห่าซาตานตนไหนเข้าสิงไอ้ชานยอลมัน” พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะถอดเสื้อที่เปียกโชกออกแล้วคว้าเสื้อยืดสีดำขึ้นมาสวมลวก ๆ พร้อมกับดึงชายเสื้อลง
จงอินยิ้มขำแล้วขยับตัวเข้าไปเลือกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนใหม่บ้าง หันไปมองสองคนที่ถูกพาดพิงแล้วหันกลับมามองคนข้าง ๆ ที่ขยับปากบ่นอุบอิบอยู่คนเดียวแล้วก็ตลก
“ไม่ดีเหรอที่สองคนนั้นญาติดีกันแล้ว”
“ก็คงดีมั้ง เออ คงดีแหละ” ลู่หานยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“ที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกำลังหึงแบคฮยอนอยู่เลยว่ะ”
“ไรมึง ตลกแดกเปล่า ใครจะไปหึง” ลู่หานเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ราวกับถูกจี้ใจดำ จงอินหัวเราะร่วนจนชานยอลกับแบคฮยอนหันมามองด้วยความสงสัย
“เออ ไม่หึงก็ดีแล้ว ถ้าหึงเมื่อไหร่นี่งานหยาบเลยนะมึง” จงอินว่าก่อนจะสวมเสื้อกล้ามสีดำเข้าไป ลู่หานยืนใช้ความคิดแล้วก็เหล่มองคนข้าง ๆ
“หยาบไงวะ?”
“จริงอยู่ที่โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และตั้งแต่เกิดเรื่องเรายังไม่เจอผู้หญิงเป็น ๆ สักคน กูเข้าใจว่ามึงกำลังอดอยากปากแห้ง ซึ่งกูก็อยู่ในสถานะนั้นเหมือนกัน แต่ว่ามึงครับ...” จงอินวางมือลงบนไหล่คนตรงหน้าแล้วจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาอีกฝ่าย
“ความอยากกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอกนะ”
พูดจบก็ตบบ่าปุ ๆ ก่อนจะเดินออกมาแล้วทิ้งลู่หานให้ยืนสับสนอยู่ตรงนั้น ร่างโปร่งขยี้หัวตัวเองแรง ๆ แล้วหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายเข้าไปทางหลังร้านและไม่ลืมที่จะตะโกนด่าไปด้วยความโมโห
“พ่อมึงเหอะครับ กูไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่!”
ไม่เคยคิดมาก่อนว่ารามยอนสำเร็จรูปจะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีขนาดนี้ ถ้าหากว่าโลกไม่เปลี่ยนไป รามยอนสำเร็จรูปก็กลายเป็นแค่อาหารขยะสำหรับพวกคนร่ำคนรวยยกเว้นจงอินกับลู่หาน
ทั้งหกคนนั่งล้อมหม้อแสตนเลสพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบรามยอนขึ้นมาใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ละเลียดกิน แน่นอน...รามยอนสามห่อนี้มันช่างมีค่าเพราะอาหารที่มีอยู่มันมีไม่มากพอที่จะให้พวกเขากินได้อย่างสบายใจ อี้ฟานเป็นคนคำนวณปริมาณของกินทุกอย่างไว้และพวกเขาตั้งใจกินแค่พออยู่ท้องเท่านั้น ไม่ใช่กินเพื่อให้อิ่ม
นอกจากจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าแล้วชั้นสองยังมีห้องนอนอีกด้วย แต่สภาพมันไม่น่าดูสักเท่าไหร่เพราะซากศพและกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งกระจายไปทั่ว
หลังจากที่อาบน้ำครบทุกคนก็แยกย้ายกันหามุมเพื่อใช้เป็นที่หลับนอนชั่วคราวในค่ำคืนนี้ ลู่หานดูเหมือนจะหงุดหงิดอะไรบางอย่างแต่พอเห็นแบคฮยอนนอนอยู่ใกล้ ๆ เลยตีเนียนไปนอนข้าง ๆ แล้วชวนคุยจนคนตัวเล็กกว่าหลับไปลู่หานถึงได้ยอมนอนบ้าง
ส่วนฝั่งผู้ชายตัวสูงทั้งสองเลือกมุมนั่งคุยกันตามประสาผู้ใหญ่ ในเวลาแบบนี้มีเพียงแค่เทียนสองเล่มเท่านั้นที่ให้สว่างในห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากไซส์
จงอินกระดิกนิ้วเรียกเซฮุนที่กำลังปรือตาเตรียมจะนอน เด็กหนุ่มชี้หน้าตัวเองก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เคาน์เตอร์คิดเงิน
“ครับ?”
“แผลเป็นไงบ้าง?” สิ้นสุดคำถามเซฮุนก็จับลงบนหัวไหล่ตัวเอง พอเห็นอย่างนั้นร่างหนาก็ถอนหายใจแล้วชี้ที่ขมับของเขา
“ฉันหมายถึงตรงนี้”
“อ๋อ ก็เจ็บนะครับ”
ก็เจ็บนะครับงั้นเหรอ -_-
“เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้ ดีใจไหม?”
“ผมต้องดีใจเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว มีใครที่ไหนอีกที่จะเข้ามาทำแผลให้นายแบบนี้นอกจากฉันน่ะ” จงอินทำหน้าตายในขณะมองสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย
“ผมต่างหากที่เดินเข้ามาหาคุณ”
“เออ! ก็เหมือนกันนั่นแหละ จะถกไปทำไมให้เสียเวล่ำเวลาวะ เห็นไหมว่าคนอื่นเขาหลับนอนกันแล้ว” เมื่อถูกย้อนเขาก็หงิดขึ้นมา ไอ้เด็กนี่แทนที่จะสำนึกแล้วทำท่าคะเขินเหมือนแบคฮยอนตอนที่ชานยอลทำแผลให้บ้างแต่ดูมันดิ...
“มีแต่แบคฮยอนกับลู่หานนะครับที่หลับไปแล้ว”
กราบมึงเถอะครับโอเซฮุน กราบบบบบบบบบบบ
“เออ เดี๋ยวชานยอลก็จะตามไปติด ๆ อี้ฟานก็ด้วย”
“เขายังคุยกันอยู่เลย”
“นี่น้องครับ สะกดคำว่าตามน้ำเป็นไหม” เริ่มชักจะมีน้ำโห ไอ้เด็กนี่มันจะขวางโลกไปไหนวะ!
“ครับ งั้นทำแผลให้ผมเถอะ”
“พูดงี้แต่แรกก็จบละ...” ร่างหนาพึมพำแล้วใช้นิ้วก้อยแหวกกลุ่มผมออกจากขมับด้านซ้ายของคนตรงหน้าเบา ๆ และจังหวะนั้นเองที่เขาเผลอหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของไอ้เด็กบ้านี่เข้า
ใบหน้า...ที่อยู่ห่างกันแค่ช่วงหายใจเท่านั้น
“...”
“...”
“มีอะไรเหรอครับ” เซฮุนถามเมื่อจู่ ๆ คนป่าเถื่อนก็หยุดชะงักไปแล้วเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น จงอินเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพื่อตั้งหลักก่อนจะหันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เปล่า เดี๋ยวจะทำแผลให้แล้ว ถ้าเจ็บก็กัดฟันเอาไว้ ห้ามร้องนะ โอเค๊?”
“ครับ” เซฮุนตอบรับอย่างว่าง่าย เขาล่ะหงุดหงิดไอ้เด็กนี่จริง ๆ ทำไมถึงเป็นคนกวนส้นตีนหน้าตายได้ขนาดนี้วะ
“โอเซฮุน”
“ครับคิมจงอิน”
สัด มึงขานตอบอย่างเดียวก็ได้นะ -_-
“ทำไมอาบน้ำนานจังวะ” จงอินถามขณะที่เขากำลังแตะสำลีลงบนแผลให้อีกคนก่อนจะเอาผ้าก๊อซมาแปะไว้ให้
“นานเหรอครับ แค่สิบห้านาทีเอง”
“นานดิ ผู้ชายที่ไหนจะอาบนานขนาดนั้น แอบช่วยตัวเองก็บอกมา”
“คุณนี่นะ...” เซฮุนช้อนตามองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มพอใจ กูชนะเรื่องอื่นไม่ได้ แต่กูชนะเรื่องใต้สะดือโว้ย!
“ใช่ไหมล่ะ?”
“คุณใช้เวลาช่วยตัวเองประมาณกี่นาทีเหรอครับจงอิน”
“ถามทำไม จะเอาไปเปรียบเทียบกับของตัวเองล่ะสิ?” จงอินเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างมีชัย เซฮุนแค่นยิ้มแล้วมองหน้ารอคำตอบ
“ถ้าอยากมาก ๆ ห้านาทีก็เสร็จละ”
“แล้วอาบน้ำกี่นาทีครับ”
“สามนาทีก็เกินพอ ขัด ๆ ถูก ๆ ล้างสบู่ออกจบ ขืนอาบนานกว่านั้นชีวิตไม่ต้องทำห่าอะไรกันพอดีดิครับน้อง” จงอินหัวเราะแล้วแปะสก๊อตเทปเป็นอย่างสุดท้าย เซฮุนหลุดยิ้มออกมาจนร่างหนาประหลาดใจ เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ แล้วจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาอีกคน
“อาบน้ำสามนาที ช่วยตัวเองห้านาที โดยรวมแล้วแปดนาที คุณนี่...เสร็จง่ายจังเลยนะครับ”
“...”
“ฮึ...” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงหน้าหากแต่คนปากดีกลับช็อคจนพูดไม่ออก เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้ไอ้เด็กเซฮุนมันแอบด่าเขาทางอ้อมว่ากระจอกอ่อนด๋อยใช่ไหม?!
“โอเซฮุน!!”
“ขอบคุณที่ทำแผลให้...ราตรีสวัสดิ์นะครับจงอิน” เด็กหนุ่มกลั้นขำแล้วกลับไปนั่งพิงตู้ที่เดิมแล้วเอาผ้าขนหนูมาห่มตัวไว้ท่ามกลางความงุนงงของชานยอลกับอี้ฟานที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่แรก
เดี๋ยวเหอะมึง...เผลอเมื่อไหร่กูเอาคืนแน่!
หลายวันผ่านไป...เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิดว่าอาหารทั้งหมดอยู่ได้แค่ไม่เกินสามวัน ถึงจะเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยแต่ยังไงเสียพวกเขาก็ต้องออกไปข้างนอกเพื่อหาอาหารมาเพิ่มเติมอยู่ดี แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่จะให้แบ่งคนออกไป
ทุกคนเลือกเสื้อผ้าที่จำเป็นมาเก็บไว้หลังรถก่อนเตรียมตัวออกไปหาที่อยู่ใหม่หลังจากใช้ร้านขายเสื้อผ้าเป็นที่พักพิงชั่วคราว พื้นถนนชื้นแฉะหลังฝนตกและท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้พวกเขารู้สึกท้ออยู่ในใจ ไม่มีที่ไหนจะรู้สึกปลอดภัยเท่ากับบ้านของภรรยาอี้ฟานอีกคงไม่มีแล้ว
ใช้เวลาขับรถราว ๆ สามชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย ท่าเรือเงียบสงบที่มีนกพิราบแห้งตายอยู่บนพื้นไม่ต่างจากศพที่นอนไส้ทะลักอยู่ระแวกนั้น ทุกคนยกเว้นเซฮุนกับแบคฮยอนหยิบอาวุธเตรียมพร้อมแล้วเดินเข้าหาตัวกินคนที่มีอยู่ไม่กี่ตัวก่อนจะปลิดชีวิตพวกมันด้วยการแทงเข้าที่หัวภายในครั้งเดียว
“นายควรนั่งพักอยู่ข้างใน”
“ขาฉันดีขึ้นมากแล้วน่า” แบคฮยอนพูดแต่คนตัวเล็กก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อถูกเซฮุนผลักให้กลับเข้าไปในรถเมื่อมีตัวกินคนเดินมาข้างหลัง
เซฮุนถีบเข้าที่กลางอกผีดิบในชุดชาวประมงให้เซถอยหลังกลับไปก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วเก็บแท่งเหล็กที่กองอยู่ข้าง ๆ มาแล้วแทงแสกเข้ากลางหน้ามันอย่างจังจนทะลุไปข้างหลัง แบคฮยอนเบิกตากว้างกับสิ่งที่เซฮุนทำลงไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าเซฮุนคงเป็นพวกเดียวกับเขาที่ทำอะไรไม่เป็นเลย ร่างบางหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งอ้าปากค้างอยู่ในรถก่อนที่คนอื่น ๆ จะเดินกลับมาทางนี้ เซฮุนโยนท่อนเหล็กลงบนพื้น ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่ตกใจแต่คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“ใช้ได้นี่หว่า” ลู่หานแซว
“นี่คือสิ่งที่พวกนั้นสอนผมน่ะ เอาล่ะ...เราจะเอายังไงกันต่อ?” เซฮุนถามเมื่อพวกเขามาถึงเป้าหมายแล้ว แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า...
นั่น...เรือขนส่งสินค้า...
“มันมีอยู่จริง”
“สรุปมันยังไงกันแน่วะ ไอ้หมอห่านั่นโกหกเหรอ?”
“จะยังไงก็เถอะ ถ้าเราจะนั่งเรือไปที่อื่น เราก็ต้องหาสะเบียงก่อน” อี้ฟานพูดแล้วเดินนำไปหยุดอยู่ที่ทางขึ้นเรือ
“มีใครอยากขึ้นไปดูกับผมไหม?”
‘อย่าเข้าไป คนตายอยู่ในนั้น’
ทุกคนหยุดกึ่กเมื่อเห็นคำบอกเล่าจากสเปรย์กระป๋องสีแดงที่พ่นอยู่ตรงทางเข้าเรือ อี้ฟานที่อยู่ข้างหน้าสุดดึงมีดออกมาถือไว้เพื่อเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะพบเจอในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน จงอินเลือกที่จะเดินตามหลังเพื่อคุ้มกันคนอื่น ๆ
ขายาวก้าวเข้าไปในตัวเรืออย่างระมัดระวัง มือข้างหนึ่งจุดไฟแช็คเพื่อให้แสงสว่างในขณะที่มืออีกข้างไขว้กันเอาไว้ ร่างสูงหยุดเดินแล้วยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นผีดิบในชุดกะลาสีเรือสีขาวยืนอยู่ทางออกประตูชั้นดาดฟ้า
ลู่หานเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วก็พบว่าผีดิบตัวนี้ถูกล่ามโซ่เอาไว้และปากของมันถูกเลาะฟันออกจนหมด อดีตลูกเรือครางฮือในลำคอพร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้าก่อนที่ร่างโปร่งจะปลิดชีวิตมันแล้วเปิดประตูออกให้แสงสว่างลอดเข้ามา
“ทำไมเขาถึงถูกล่ามเอาไว้แบบนั้นนะ” เป็นแบคฮยอนที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา ถึงทุกคนจะสงสัยอยู่เหมือนกันแต่ก็โยนความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อพวกเขาเห็นลานกว้างของเรือที่มีผ้ายางสีเขียวขี้ม้าปกคลุมอะไรบางอย่างไว้เป็นทางยาว ยืนใช้ความคิดแค่ครู่เดียวอี้ฟาน จงอิน และลู่หานก็เข้าไปสำรวจสิ่งของที่อยู่ใต้ผ้ายางนั่น
“เฮ้ย!!!”
“...”
“เอาละมึง!”
ลู่หานกับจงอินยิ้มกว้างก่อนจะหันไปแท็กมือกันด้วยความดีใจเมื่อพบว่าของที่อยู่ใต้ผ้ายางนั่นคือกระสอบข้าวสารจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องดีเรื่องแรกที่เขาได้พบเจอถ้าเทียบกับหลายวันที่ผ่านมา หากแต่ยิ้มไปได้ไม่เท่าไหร่แบคฮยอนก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกใครคนหนึ่งล็อคคอจากข้างหลัง
“แบคฮยอน?!”
“ถอยออกไปห่าง ๆ จากของ ๆ ฉัน”
น้ำเสียงเย็นชาที่มาพร้อมกับนัยน์ตาคมราวกับใบมีด เด็กหนุ่มผมสีดำสนิทขอบตาคล้ำกำลังยืนล็อคคอแบคฮยอนพร้อมกับเล็งปืนไปที่หัว ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับหมอนั่นเดินเข้ามาสบทบอีกราว ๆ หกเจ็ดคน
“เราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ลดปืนลงเถอะครับ” อี้ฟานพยายามเกลี้ยกล่อมแม้จะหวั่นใจอยู่บ้างว่าเด็กกลุ่มนี้คงไม่ฟังที่เขาพูด
“ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่แค่จะเอาข้าวไปใช่ไหม?”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงใช่” จงอินพูดขึ้นมา “เรือลำนี้ของนายหรือไง ทำไมถึงได้หวงอย่างกับเป็นของ ๆ ตัวเอง?” เขาพูดต่อ พอได้ยินคำถามนั้นเด็กหนุ่มเลยผลักแบคฮยอนออกไปข้างหน้าแล้วลดปืนลงข้างตัว ชานยอลประคองร่างคนตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะหันกลับไปมองอีกฝ่าย
“ก่อนหน้านี้น่ะไม่ใช่”
“อ่อ ไอ้คำเตือนทางเข้าเรือนั่นก็ฝีมือนายเองสินะ”
“ฉลาดดีนี่...แต่ทำไมถึงไม่กลัวตายกันบ้างนะ?” เด็กหนุ่มยกยิ้ม เขาปรายตามองเป้าหมายทีละคนอย่างใจเย็น
“เราเพิ่งเจอเรื่องร้าย ๆ มา พวกเราต้องการอาหารเหมือนกันกับคุณ” ชานยอลพูด
“แน่นอน ทุกคนต่างก็เจอเรื่องร้าย ๆ มาเหมือนกันทั้งนั้น” เด็กหนุ่มยิ้มมุมปาก
“งั้นก็ขอแบ่งหน่อยไม่ได้หรือไง ที่นี่ก็มีข้าวอีกตั้งเยอะแยะ” ลู่หานดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ทำไมเขาต้องมาต่อปากต่อคำกับเด็กเมื่อวานซืนแบบนี้ด้วยวะ
“พวกเราเสียทั้งเพื่อน เสียเวลาไปเท่าไหร่กว่าจะเคลียร์ทางให้พวกนายเดินตัวเบาขึ้นมาบนนี้ได้ จู่ ๆ จะมาขอแบ่งข้าวไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ?”
“หมายความว่าคุณมาก่อนหน้านี้แล้วงั้นเหรอ?” ชานยอลถาม
“ใช่ ที่นี่คือคลังเก็บข้าวของพวกเรา ใครเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น” ถึงจะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่พวกเขาก็พอจะเข้าใจว่าตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว มันคงเป็นไปได้ยากที่มนุษย์จะหยิบยื่นน้ำใจให้กันเหมือนก่อนหน้านี้
“ฉันก็ไม่ยอมเดินลงไปมือเปล่าเหมือนกัน” ลู่หานว่าก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้นซึ่งนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
“เกิดอะไรขึ้นเหรอจื่อเทา?”
ทุกสายตาหันไปมองผู้มาใหม่ที่ทำให้ใครหลายคนต้องอ้าปากค้างหนึ่งในนั้นก็คือลู่หาน ผู้หญิงผอมสูงหุ่นสปอร์ตเดินตามมาสมทบกับพวกแก๊งเด็กเมื่อวานซืน เธอหยุดยืนคุยกับเด็กพวกนั้นก่อนจะมองมาที่พวกเขาด้วยความสงสัย
“นั่น?”
“ผู้บุกรุกครับครู”
“ใครบุกรุกวะ ที่นี่ไม่เห็นมีเขียนบอกสักหน่อยว่าใครเป็นเจ้าของ” ลู่หานเถียงกลับแต่ก็ไม่ลืมส่งยิ้มให้กับสาวรุ่นพี่
“คุณต้องการอะไร?” เธอถาม จากรูปการแล้วผู้หญิงคนนี้คงเป็นครูของเด็กพวกนั้นสินะ
“เราไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร พวกเราก็เหมือนกับคุณที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเหตุการณ์แบบนี้” อี้ฟานพยายามใจเย็นและอธิบายให้คนที่เด็กพวกนั้นเรียกว่าครูได้เข้าใจ ใบหน้าสวยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“พวกคุณมาจากไหน?”
“โซล/เซจง”
“อ้าว ไม่ได้มาด้วยกันแต่แรกหรอกเหรอ?”
“พวกเราหนีตายมาเจอกันน่ะ” จงอินตอบ
“อืม...พวกคุณฆ่าพวกนั้นไปแล้วกี่ตัว?”
“นับไม่ถ้วน” จงอินกับลู่หานตอบพร้อมกันนั่นเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
“มาไกลขนาดนี้...แสดงว่าพวกคุณยังไม่มีที่อยู่น่ะสิ?”
“บ้านเขาเพิ่งถูกเผาไปเมื่อหลายวันก่อนนี้เอง ถูกก่อกวนจากพวกเด็กเปรตน่ะ” เป็นลู่หานที่ตอบแทนอี้ฟาน ร่างสูงยังคงยืนเก็บสีหน้าไว้ได้ดีก่อนที่เด็กหนุ่มตัวสูงคนนั้นจะเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอ
“จะแบ่งข้าวให้มันเหรอครับครู?”
“ขอครูคุยกับเขาก่อนนะเทา”
“ครับ” เด็กหนุ่มโค้งหัวอย่างมีมารยาททิ้งคราบนักเลงหัวไม้ไปโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้
“ถ้าพวกคุณไม่มีที่ไปจะมาพักอยู่กับพวกเราที่โรงเรียนไหมล่ะคะ?”
“หา?”
“โรงเรียนเหรอ?”
“ครูกาฮี?!”
“ครูครับ ที่โรงเรียนเรา...”
“ชู่ว์...ไม่เอาน่า” นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากเด็กหนุ่มเพื่อห้ามไม่ให้พูดอะไรต่อ เธอหันมายิ้มให้ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้า
“ฉันปาร์คกาฮี เป็นครูคุมหอโรงเรียนชุงช็องใต้ค่ะ”
“ผมอู๋อี้ฟานครับ” ร่างสูงจับมือตอบ
“ส่วนเด็กคนนั้น...” เธอหันกลับไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังราวกับเป็นคำสั่งให้เขาเดินเข้ามา
แม้จะมีสีหน้าไม่เต็มใจเท่าไหร่ที่ได้เจอคนแปลกหน้าอีกทั้งยังต้องพากลับไปอาศัยที่โรงเรียนด้วยกันอีก เด็กหนุ่มตัวผอมสูงยื่นมือไปข้างหน้าจงอินพร้อมกับปั้นหน้ากวนประสาท
“หวงจื่อเทา ยินดีที่ได้รู้จักก็ได้”
TBC
ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรเลย แต่ตอนหน้าก็คงไม่มีอะไรอีกนั่นแหละมั้ง #แกร๊ง
55555555555555 จะได้ไปอยู่ในโรงเรียนแล้ว จะเป็นยังไงน้อ~~~ จะเจออะไรอีกอย่าทิ้งฟิคเรื่องนี้น้า สุดท้ายนี้...แก๊งนี้อย่างกับจับวางเจงๆ
#ficzombie
ความคิดเห็น