ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #83 : และแล้วผมก็เดินจาก มศว ประสานมิตรถึงบ้านที่สวนสยามได้สำเร็จ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.48K
      2
      28 ส.ค. 48







                       เขียนวันที่                                      จำนวนวันที่อยู่ในโปรแกรม                                น้ำหนัก



                     28 สิงหาคม 48                                              209                                                   75







                       เมื่อวานนี้เป็นวันที่ผมตื่นเต้นมากๆอีก 1 วันครับ เพราะผมเดินจาก มศว ประสานมิตร จนไปถึงบ้านที่สวนสยามเลย ใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง ผมเริ่มเดินออกจากประสานมิตรประมาณ 6 โมงเย็น ถึงบ้านก็ประมาณ 4 ทุ่ม ระยะทางที่เดินน่าจะประมาณ 25 กม. แสดงว่าผมใช้ความเร็วประมาณ 5 กม./ชม.  ถ้าดูจากหนังสือ\"ผู้ชายพร่องมันเนย\" หน้า 94 ก็พอสรุปได้ว่า เมื่อวานตอนที่ผมเดินผมเผาผลาญพลังงานไปทั้งสิ้นประมาณ 1200 แคลอรี่ และการที่ผมทำแบบนี้ได้ในวันที่ 27 สค 48 ก็เพราะผมฝึกเดินมา 7 เดือนเต็มอย่างสม่ำเสมอ





                       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่น้ำหนักผมขึ้นถึง 4 กก. ภายในสัปดาห์เดียว คือสัปดาห์ที่ 16-24 สค 48 แค่เพียง 3 วันเท่านั้น และ หลังจากผมชั่งน้ำหนักเมื่อวันที่ 24 สค 48 ผมหนัก 76.5 กก.  แต่วันนี้ผมหนัก 75 กก. น้ำหนักของผมหายไป 1.5 กก. ภายใน 4 วัน ถือว่าสุดยอดแล้วครับ แต่แผนการณ์ที่ผมคิดเอาไว้ก็คือ ผมตั้งใจจะเดินกลับบ้านทุกวันตลอดเดือน กันยายน และผมก็อาจจะเพิ่มปริมาณการกินขึ้นมาด้วย คือผมอยากจะลดน้ำหนักให้ได้ประมาณสัปดาห์ละ 1 กก. เพราะผมเองในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นที่ผมจะต้องลดน้ำหนักให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย



                      ผิดกับเมื่อตอนเดือน กพ ที่ผ่านมา ตอนนั้นผมกำลังประสบปัญหาหลายอย่างทั้งเรื่องของระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย อาการปวดข้อและยังมีอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย เพราะฉะนั้นมันก็สมเหตุสมผลดีแล้วที่ 2 เดือนแรกผมควรลดน้ำหนักให้ได้เดือนละ 10 กก. แต่พอถึงวันนี้ผมไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นที่จะต้องทำอย่างนั้นอีก เพียงเวลาไม่ถึงปี ร่างกายของผมแข็งแรงขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อวานพอเดินอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก พอกลับถึงบ้าน ผมแทบไม่มีอาการหอบและเหนื่อยแต่อย่างใดเลย





                       และผมแทบไม่มีความรู้สึกว่ามันเป็นการออกกำลังกายที่หนักเลย ผมสนุกกับมันมาก พอตื่นเช้นขึ้นมาวันนี้ แขนกับขาของผมไม่มีอาการปวดเลยแม้แต่นิดเดียว  ณ ปัจจุบันนี้เวลาผมขึ้นบันได ผมจะวิ่งเหยาะๆขึ้นทุกครั้ง ตอนขึ้นบันไดรถไฟฟ้าผมก็วิ่งเหยาะขึ้น และผมมีความรู้สึกว่า \"ทำไมบันไดรถไฟฟ้ามันเตี้ยจัง\" เหมือนกับเมื่อวานครับ ผมรู้สึกว่า ทำไมห้องทำงานที่ประสานมิตรกับห้องนอนที่บ้านสวนสยามมันใกล้กันจังเลย แค่เดินแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว ตอนนี้ผมเลยพอใจกับสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างมาก และพอใจที่เดือนนี้ผมหนัก 75 กก. ถึงแม้ผมจะทำภาพรวมผิดพลาดในสัปดาห์ที่ 16-24 สค 48 ที่ผ่านมา จนทำให้ผมน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 4 กก. ผมก็ไม่รู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังแต่ประการใด และก็ไม่รู้สึกอายด้วยที่ผมจะบอกผู้อื่นว่าสัปดาห์นั้นผมน้ำหนักขึ้น 4 กก. (เพราะมีเพื่อนผมบางคนให้ความเห็นไว้ว่า \"ห้ามบอกในเนตนะว่าเราน้ำหนักขึ้น 4 กก. เดี๋ยวยอดขายหนังสือจะตกฮวบ\" แต่ผมคิดว่าควรรายงานตามความเป็นจริง จะได้บอกน้องๆเขาได้เต็มปากว่ามาลดน้ำหนักกันแบบนี้ พอทำไปแล้วไม่ว่าจะน้ำหนักตัวคงที่หรือเกิดเหตุที่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้นถึง 4 กก. ก็ไม่ควรท้อแท้หรือสิ้นหวังแต่ประการใด)





                       จริงๆแล้ว เมื่อวานนี้ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเดินถึงบ้านหรอกนะครับ เพียงแต่ว่าพอเดินถึงหน้าสนามกีฬาหัวหมากแล้ว มันก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อย จนเดินมาถึงแยกลำสาลี มันก็ยิ่งสดชื่นขึ้นทุกขณะ พอผ่านหน้านิด้าไปแล้วยังกระชุ่มกระชวยอยู่เลย พอเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านนวธานีจิตใจก็ยิ่งฮึกเหิม พอผ่านหน้าสวนสยามไปแล้วก็ต้องเดินถึงบ้านไปเลยครับ เพราะอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านแย้ว





                       พอผมเดินมาถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผมหันหลังกลับไปมองแล้วผมก็เห็นใครบางคน ที่อ้วนถึง 107 กก. ผมมองเห็นเขาตอนต้นเดือน กพ. ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง เห็นเขาเดินอย่างขัดๆเขินๆในวันแรกด้วยรองเท้าหนังที่เก่าแล้ว พอเดินมาจนถึงแยกแถววัดภาษี เขาก็หอบแฮ่กๆ  จนต้องนั่งพักตรงป้ายรถเมล์แถวนั้นอยู่นาน ผมเฝ้ามองเขาอยู่ ตอนเขานั่งหอบพุงห้อยนั้น เขาน่ารักมากๆเลยหล่ะ หลังจากนั้นเขาก็ก้มมองรองเท้าหนังของตัวเองก็เห็นได้ว่ามันพังไปแล้ว นั่งพักอยู่ไม่นานเขาก็นั่งรถกลับบ้าน





                       พอวันรุ่งขึ้นเขาก็หารองเท้าผ้าใบมาใส่ ใส่รองเท้าผ้าใบวันแรกๆ เขาจะรู้สึกขัดๆเขินๆเอามากๆ เพราะเขาไม่เคยใส่รองเท้าผ้าใบเลยมาเป็นสิบๆปี พอตกเย็นเขาก็ตั้งใจเดินใหม่ วันนี้เขาเดินจนเลยแยกคลองตันแล้วเลี้ยวซ้ายจนไปถึงแถวนาซ่าเก่า  เขาต้องนั่งพักตรงป้ายรถเมล์แถวนั้น เพราะเหนื่อยมากๆ เขาไม่เคยเหนื่อยเท่านั้นมาก่อนเลย และมันเป็นความเหนื่อยที่มาพร้อมกับความเจ็บ เพราะที่ต้นขาที่มันสีกันนั้นมันดันไปสีกับกางเกงที่ใส่ด้วยทำให้วันนั้นมันเจ็บมากๆเลย



                       พอถึงบ้านเขาไปเช็คดูปรากฏว่า ตรงต้นขาข้างที่สีกันมันเป็นรอยแดงและเจ็บมาก เขาเลยเดินไปที่ตู้ยาแล้วหายามาทา ตอนที่เขาเดินไปหายานี่เขาก็ดูน่ารักดีนะ ผมเฝ้ามองเขาไปตลอดเลยล่ะ เขาทายาไปเจ็บไป ตอนนั้นเขามีความคิดอยู่ว่า \"จะมาทำแบบนี้ทำไมกันวะ หาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ\" แต่พอวันรุ่งขึ้นเขาก็กลับมาคิดว่า เขาควรที่จะเดินอีก คราวนี้เขาพยายามหากางเกงที่มีอยู่ที่เนื้อผ้าไม่หยาบ  และก็เอาพลาสเตอร์ปิดแผลปิดที่รอยแดงนั้นไว้ พอตกเย็นเขาก็เดินอีก เขาคิดแค่ว่าถ้าเขาไม่เดิน อนาคตข้างหน้าคงไม่รอดแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นเมื่อไหร่



                       วันนั้นรู้สึกว่า เขาจะเดินไปถึงเดอะมอลล์ราม ต้องบอกว่าเขาฝืนหน่อยนึง เพราะพอถึงแยกเอวอนเขาก็เหนื่อยมากๆแล้ว พอถึงเดอะมอลล์ราม เนื่องจากปวดฉี่ด้วย เขาจึงเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากฉี่เสร็จเขาก็นั่งหอบขนานใหญ่ ช่วงเวลาเดี๋ยวนั้นมันทำให้เขาคิดถึงวันที่เขาไปนั่งแน่นท้องจะเป็นจะตายในห้องน้ำที่ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าฯ แต่วันนี้เขากลับมานั่งหอบในห้องน้ำห้างอีกครั้ง ผิดกันแต่เพียงว่าเขาเลือกที่จะเดินออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของตัวเอง







                       พอผมหันกลับเข้าไปในบ้านปรากฏว่าพ่อขึ้นนอนแล้ว เจอแต่แม่ ผมก็เล่าให้แม่ฟังว่า \"วันนี้ผมเดินจากที่ทำงานมาถึงบ้านเลยครับ\" แม่ผมตกใจแทบช้อค \"เดินมาได้ยังไงเนี่ย เดี๋ยวก็วูบหรอก แล้วหอบรึเปล่า\"   \"ไม่หอบเลยครับแม่\"    ไม่น่าแปลกหรอกครับที่แม่ของผมจะห่วงผมมากถึงขนาดนี้ เพราะผมเองเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจมานานแล้วสมัยผมยังเด็กๆอยู่ แม่เคยเล่าให้ฟังว่าขณะที่พ่อไปอยู่เวร แล้วผมเกิดอาการไม่ดี แม่อุ้มผมเดินผ่านที่เปลี่ยวมากๆๆ เพื่อจะหาแท็กซี่พาผมไปหาหมอ พอมีแท็กซี่ผ่านมาคันหนึ่ง พอแม่โบกแล้วจะขึ้นไปนั่งโดยบอกว่าจะเอาเด็กไปโรงพยาบาล คนขับก็บอกว่า \"อย่ามาขึ้นบนรถผมเลย ดูสิเด็กท่าทางจะไม่รอดแล้ว ขืนมาตายบนรถผม ผมก็ซวยนะสิ\"  แม่ผมเริ่มใจเสีย \"ไหว้ล่ะพี่ พ่อของเด็กก็ไปเข้าเวร ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว แถวนี้ก็เปลี่ยวมากเลย แท็กซี่ก็ไม่ค่อยมี ถ้าพี่ไม่รับแล้วไม่มีรถมาอีก ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี\"  แท็กซี่คงเห็นใจก็เลยบอกออกมาว่า \"เอาล่ะๆๆ ขึ้นมาๆ\"





                        หลังจากนั้นแท็กซี่ก็ต้องช้อคเมื่อแม่ยืนยันว่าให้พาผมไปโรงพยาบาลรามาฯ \"โถ แม่คุณแถวพระประแดงเนี่ยก็มีโรงพยาบาลนะ ทำไมต้องถ่อไปถึงรามาด้วย มันไกลมากเลยนะ\"  แต่แม่ผมก็ยังยืนยันว่า \"ขอร้องล่ะพี่ ลูกคนนี้เป็นความหวังเดียวของฉันนะ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  เมื่อปีที่แล้วฉันก็เพิ่งแท้งลูกไป ฉันมดลูกไม่ดี มาแท้งเอาตอน 7 เดือน เป็นพี่สาวของเขานี่แหละ พอดีเขาคลอดที่รามา ฉันก็เลยอยากเอาเขาไปที่รามาฯ ถ้าเขาตายที่รามาฉันจะไม่ว่าอะไรเลย\" จนสุดท้ายแท็กซี่คันนั้นก็ต้องยอมตามที่แม่ของผมขอร้อง





                        แม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ผมคลอดออกมาเมื่อวันที่ 3 ธค 2514 นั้น ผมก็อาการไม่ค่อยดี คุณหมอทำคลอดที่รามาเห็นคุณแม่บอกว่าคือคุณหมอวราวุฒิ สุมาวงศ์ คุณหมอนักแต่งเพลงที่ใช้นามปากกาว่า \"วรา วรเวท\"ที่แต่งเพลง \"เทพธิดาดอย\" ให้ พญ.พันทิวา สินรัชตนันท์ ร้อง ได้นำผมเข้าออกซิเย่นเต้นท์โดยด่วนเพราะระบบหายใจของผมมีปัญหา







                        พอแท็กซี่มาถึงโรงพยาบาล แม่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พอดีมีนักเรียนแพทย์ท่านหนึ่งอยู่เวรที่นั่น คือนักเรียนแพทย์ \"นิตยา\"  คุณแม่ยืนยันว่า ตอนนี้ท่านก็คือ พญ.นิตยา คชภักดี ตอนนั้นนักเรียนแพทย์นิตยา ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี ผมโชคดีมากที่ตอนอยู่ ม.6 ตอนนั้นผมชนะเลิศการแต่งกลอนสุภาพเนื่องในวันสุนทรภู่ 2 ปีซ้อน คือตอนอยู่ ม.5 และ ม.6 และในปีนั้นเป็นปีที่โรงพยาบาลรามาธิบดีครบรอบ 20 ปีพอดี เขามีการให้เด็กที่เกิดที่โรงพยาบาลรามาฯส่งไปรษณียบัตรเข้าไปเล่าประสบการณ์และความสามารถของตัวเอง เพื่อคัดเลือกมาแสดงความสามารถในวันงาน และผมเองก็ถูกคัดเลือกด้วย โดยต้องไปแต่งกลอนสดในวันงาน  









                        จริงๆแล้วจุดประสงค์ของผมคืออยากไปเห็นหน้า พญ.นิตยา ชัดๆ และโชคก็เข้าข้างผม เพราะตอนที่ผมอยู่หลังเวที พญ.นิตยาก็ได้เข้ามาคุยกับผม ผมยังจำได้ว่าท่านใส่ชุดสีฟ้าที่สวยมากๆ ตอนกำลังจะลาจากกัน ผมก็ยกมือไหว้ตามปกติ แต่ผมพูดในใจว่า \"ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมกับแม่ในคืนนั้น\"





                        หลังจากนั้นก็ยังมีอีกนะครับที่ผมอาการหนักตอนอายุประมาณ 13-14 ปี คืนนั้นพอเห็นท่าไม่ดี แม่ก็เลยต้องพาผมส่งโรงพยาบาลกลางดึกอีก ช่วงนั้นพ่อไปราชการต่างจังหวัดครับ แม่ก็เลยต้องดูแลผมแต่เพียงผู้เดียว คือนั้นจะมีแพทย์หลายคนที่มาช่วยผมเสียดายที่ผมจำนามสกุลไม่ได้ มีนายแพทย์วิเชียร  และก็ พญ.สุวรรณภา พอตรวจอาการผมเสร็จเห็นท่าไม่ดี พญ.สุวรรณภา ต้องเรียก พญ. สุวรรณา ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นพี่มากลางดึก คืนนั้นผมยังจำได้เลยที่ พญ.สุวรรณาเดินมาจากหอพักแพทย์ พร้อมกับตำราเล่มโต พร้อมกับความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะช่วยเหลือผม คืนนั้นผมมีอาการหอบหืดขั้นรุนแรง มีไข้และยังมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงอีกด้วย





                       ผมยังจำได้เลยว่าขณะที่นั่งแท็กซี่ผ่านอนุเสาวรีย์ชัย มุมนั้นในวันนั้นอนุเสาวรีย์ชัยสวยมากๆ  แต่ผมนี่สิแทบจะหมดสติอยู่แล้ว แพทย์หลายท่านช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงดีแล้วท่านก็ตัดสินใจรักษาไปจนผมรอดมาจนถึงทุกวันนี้ สมัยเด็กๆตอนที่ผมยังป่วยๆหายๆหมอจิม ซึ่งเป็นหมอเด็กที่รามาฯดูแลผมเป็นอย่างดี ผมไม่แน่ใจ่ท่านเป็นชาวอะไร ผมไปหาท่านบ่อยมากจนผมติดหมอจิมที่แผนกผู้ป่วยเด็กของรามาฯไปเลย ผมชอบสำเนียงการพูดของหมอจิมมาก ท่านพูดไทยสำเนียงฝรั่งได้ไพเราะน่าฟัง วันที่หมอจิมพูดกับผมว่า \"วันนี้เราคงเจอกันเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ เพราะต้องอายุ 15 แล้ว มาหาหมอคราวต่อไปต้องไปหาแผนกผู้ใหญ่แล้วนะ มาหาหมอจิมไม่ได้อีกแล้ว\" ด้วยความที่ผมผูกพันธ์กับหมอจิมมาก วันนั้นหัวใจผมแทบสลาย หมอจิมเห็นผมหงอยลงไปก็เลยพูดกับผมอีกว่า \"อย่าท้อแท้และสิ้นหวังนะ คิดว่าอาการที่ต้องเป็น สักวันมันต้องหาย ยังมีหวังนะ พอหายแล้วก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีนะ จะได้เป็นที่พึ่งของแม่ได้ ดูสิแม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลหลายครั้ง บางวันก็ไม่ได้หลับได้นอนเลย เพราะต้องมาดูแลเรา\"





                       รู้สึกเสียใจเหมือนกันครับที่พอหายจะโรคหอบหืดและโรคต่างๆอย่างเด็ดขาดโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าหายได้ยังไง ผมก็ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับหมอจิม โดยหลงใหลกับวัฒนธรรม \"บริโภคนิยม\"จนเลยเถิด  กินจนทำร้ายตัวเองและมีน้ำหนักมากถึง 107 กก. โชคดีที่ผมยังกลับตัวทัน ผมอยากจะพูดกับหมอจิมว่า \"หมอจิมครับ ตอนนี้ผมมีสุขภาพที่ดีแล้วนะครับ เดินจากประสานมิตรมาถึงบ้านสวนสยามโดยไม่หยุดพักเลยและไม่เหนื่อยด้วย และอีกอย่าง หมอจิมต้องนึกไม่ถึงด้วยว่า ผมยังเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายๆคนลดน้ำหนักอย่างถนอมสุขภาพเหมือนผมด้วยนะครับ หมอจิมจะได้ไม่ผิดหวังในตัวผม หมอจิมเคยบอกว่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นหมอเด็กที่ประเทศไทยก็เพราะอยากให้เด็กไทยมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า ตอนนี้ผมมีโอกาสช่วยหมอจิมอีกแรงแล้วนะครับ ช่วยเหมือนกับตอนที่หมอจิมช่วยผมตอนที่ผมแทบจะไม่มีความหวังเลย ไม่ว่าหมอจิมจะอยู่ที่ไหน ผมยังจำหน้าหมอจิมได้นะครับ ผมอยากจะบอกว่าผมรักหมอจิมมากๆเลยครับ\"







                        แล้วคนที่ขาดไม่ได้ก็คือแม่ แม่ที่ห่วงใยและดูแลผมตลอดมา ยังเสียใจอยู่เหมือนกันนะ ที่ตอนที่ผมเรียน รด วันแรกคือผมก็อยากเรียนกับเพื่อนอ่ะครับ  แต่ด้วยความเป็นห่วงของแม่ แม่ก็ยืนยันว่าจะไปส่ง ผมก็ว่ายังไงๆอยู่นะ ใส่ชุดทหารทั้งที ความรู้สึกตอนนั้นก็คืออายเพื่อนอ่ะครับ แต่แม่ก็ยังจะยืนยันไปส่งผมอีก ผมก็เอาวะ ขึ้นรถเมล์ไปด้วยกัน แต่พอถึงกรม รด ผมแอบลงทางประตูหลังแล้วให้แม่นั่งเลยไปเลย ตกเย็นกลับถึงบ้านแม่เอ็ดใหญ่เลย แต่ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า ผมไม่อยากให้เพื่อนๆล้อทั้งกองพัน





                        พอพูดถึง รด ขอพูดถึงเหตุการณ์ที่ผมป่วยด้วยอาการหอบหืดอย่างรุนแรงครั้งสุดท้ายก่อนนะครับ ตอนนั้นหลายคนไม่อยากให้ผมไปเขาชนไก่เลย เพราะกลัวอาการจะกำเริบ เพราะช่วงนั้นผมอาการดีขึ้นมาก แต่ผมก็ยืนยันว่าจะไป การได้ไปเขาชนไก่กับเพื่อนนับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากและผมพลาดไม่ได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ตอนเดินทางไกลแค่ไม่กี่โลในวันที่ 3  อาการของผมก็กำเริบหนัก ครูฝึกสั่งให้เพื่อน 2 คนช่วยกันหิ้ววปีกผมกลับฐาน และไม่ให้ผมไปฝึกในป่าในวันที่ 3 และ 4 แต่ให้ผมพักอยู่ที่ฐาน ช่วงนั้นก็มีนายทหารหลายท่านเข้ามาเยี่ยมอาการ และแนะนำถึงการนั่งสมาธิเพื่อช่วยรักษาโรคหอบหืด และหลังจากนั้นผมก็ฝึกนั่งสมาธิกับแม่ ผมว่ามันน่าจะมีส่วนช่วยปรับระบบทางเดินหายใจของผม ช่วงนั้นแม่ทำเซอร์ไพร์สด้วยการโผล่มาเยี่ยมที่ค่ายที่เขาชนไก่เลย  





                        พ่อเล่าให้ฟังว่า ทนคำรบเร้าของแม่ไม่ไหวเลยต้องพามา พอมาถึงจังหวัดกาญฯก็ต้องวานให้เพื่อนชาวอุตุฯจังหวัดกาญฯช่วยดูแลเรื่องที่พักให้ คือพ่อผมเขาทำงานที่กรมอุตุนิยมวิทยาครับ ตอนนี้เกษียณแล้ว





                        โชคดีมากที่อาการของผมหายดี และยังกลับเข้าไปฝึกร่วมกับเพื่อนๆได้อีกในวันที่ 5 -7 ของการฝึกที่เขาชนไก่ ช่วงนั้นผมประทับใจมากเลย เพราะเป็นช่วงที่มีพี่ปี 5 มาช่วยฝึกด้วย ตอนแรกพี่เขาก็ฝึกโหดหน่อยจนทำให้มีเรื่องบาดหมางกันบ้าง แต่พอพวกเราเข้าใจว่าพี่เขาตั้งใจฝึกให้พวกเราขนาดไหน พวกเราทุกคนก็รู้สึกเคารพรักในตัวพี่เขามากๆเลย พอถึงวันที่ 7 พวกเราไม่อยากให้พี่เขาไปเลย แต่พี่ รด ปีห้า เขาต้องไปปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับชุมชนต่อ ผมยังจำได้ติดตาถึงวันที่รถบรรทุกของทหารมารับพวกพี่ๆ รด ปี 5 ตอนนั้นน่าจะประมาณ 6 โมงเย็น พอพี่ๆเขาขึ้นรถไปกันหมดแล้ว พวกเราหลายคนก็มายืนออกันท้ายรถ ขอจับมือพี่เขาบ้าง มายืนยิ้มแบบไม่รู้จะพูดอะไรบ้าง มีเพื่อนบางคนเข้าไปเรียกเพื่อนที่กำลังอาบน้ำอยู่ว่า \"พี่เขาจะไปแล้วโว้ย ออกมาส่งกันหน่อย\" หลายคนรีบวิ่งออกมาทั้งๆที่นุ่งกางเกงในเพียงตัวเดียว บางคนยังมีสบู่อยู่เต็มตัวไปหมด



                        พอใกล้ตอนที่รถกำลังจะออก ก็มีไอ้ประธานกองพันมาดแมนตะโกนนำคำขวัญของหน่วยเราพร้อมกับชูมือขวาขึ้นมาจนทำให้พวกเราตะโกนตามกันอย่างพร้อมเพรียงว่า \"สกอเปี้ยน สกอเปี้ยน สกอเปี้ยน รวดเร็ว รุนแรง เรียบร้อย สกอเปี้ยน สกอเปี้ยน สกอเปี้ยน \" เสียงนั้นดังจนทำให้พี่ๆ ปี ห้า ตะโกนพร้อมไปกับพวกเราด้วย พอรถค่อยๆแล่นออกไป พวกเราบางคนก็เดินตามรถไปด้วย ทั้งพี่ทั้งน้องก็ต่างส่งเสียงคำขวัญของหมวดเราโดยพร้อมเพรียงกันและดังมาก จนลั่นไปทั้งป่าเขาชนไก่ พอรถลับตาไปแล้ว แต่พวกพี่ๆยังส่งเสียง \"สกอเปี้ยน...สกอเปี้ยน\"กันอยู่เลย ทำให้พวกเราทราบว่าพวกพี่ๆเขาก็ประทับใจในตัวพวกเราเหมือนกัน หลังจากนั้นพวกเราก็ซึมกันอยู่พักหนึ่งจนครูฝึกตะโกนถึงไอ้พวกที่ใส่กางเกงในตัวเดียวว่า \"พวกมึงรีบไปอาบน้ำให้เสร็จไวๆ กูนับหนึ่งถึงห้า ถ้าพวกมึงยังวิ่งไม่ถึงโรงอาบน้ำล่ะก็กูจะเอาพวกมึงไปลุยโคลนทั้งคืนให้เข็ดเลย\" พวกเราถึงได้คืนสติ





                          ขอกลับมาพูดถึงแม่อีกครั้งครับว่า แม่เหนื่อยกับผมมาทั้งชีวิตเลย แต่ด้วยความดีของแม่ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและการทำงานทำให้แม่ของผมได้ถูกคัดเลือกให้เป็นข้าราชการดีเด่นของกรมโยธาธิการและผังเมืองเมื่อปีที่แล้ว ผมอ่ะดีใจมากกว่าตอนที่ตัวเองรับปริญญาเสียอีก และเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดงานเกษียณฯให้กับข้าราชการทุกคนที่โรงแรมสวิส โฮเต็ล ฯ แถวรัชดา พอดีท่านอธิบดีสว่างท่านเกษียณในปีนี้ด้วย งานจึงจัดใหญ่โตและแม่ผมก็ได้รับเกียรติให้ไปในงานนี้ด้วย ผมเองก็ไปครับ พลาดไม่ได้เลยแหละ แม่ผมใส่ชุดที่สวยมากๆแม่ผมเข้าโปรแกรมตามผมจนท่านลดน้ำหนักจาก 72 เหลือ 64 จนใส่ชุดได้พอดี แล้วท่านก็ไม่ลืมที่จะใส่แหวนเพชรที่ผมซื้อให้ท่านเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด วันแม่ และวันเกษียณปีนี้อีกด้วย เบื้องหลังนั้นผมต้องหาเวลาไปที่ร้านและเลือกแบบตั้ง 3 ชม.เต็มๆ ก็เพิ่งรู้ครับว่า แบบแหวนสมัยนี้มีหลากหลายมาก







                           หลังจากท่านอธิบดีมอบโล่ห์ให้ทุกคนที่เกษียณในปีนี้รวมทั้งแม่ของผมด้วยแล้ว ท่านก็กล่าวโอวาทให้กับผู้ที่เกษียณอายุและท่านอื่นๆที่มาร่วมงานและยังกล่าวปิดท้ายด้วยว่า \"นอกจากพวกเราจะทำงานกันอย่างดีแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเลี้ยงลูกให้ดีดังตัวอย่างของคุณประภัทร์ศรี \"    พอท่านเอ่ยชื่อแม่ผมเป็นการปิดท้ายแล้ว ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ภาพที่แม่ลำบากมาทั้งชีวิตทั้งจากที่ผมเห็นเองและปากคำที่แม่เล่าก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งวันที่ผมเกิด วันที่แม่อ้อนวอนแท็กซี่คันนั้น และยังวันอื่นๆอีกมากมาย





                           ที่เล่ามาซะยืดยาวก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากจะบอกทั้ง แม่ หมอจิม หมอที่รามาฯ ทหารที่ รด และทุกท่านที่ช่วยกันดูแลผมมาตอนที่ผมป่วยเป็นหอบหืดขั้นรุนแรงจนเดินแทบไม่ได้ว่า ตอนนี้ผมแข็งแรงแล้วนะ และผมก็เดินจาก มศว ประสานมิตรถึงบ้านที่สวนสยามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย และยังเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนรักสุขภาพของตนโดยที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาได้ สิ่งที่หลายๆคนทุ่มเทแรงใจช่วยประคับประคองสุขภาพของผมมานับว่าไม่เสียแรงเปล่าจริงๆครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม

                              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×