ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9 ที่ปรึกษา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 48.84K
      325
      19 ก.พ. 59

     
     








    ตอนที่ 9
     







     
     
    หลังจากยอมรับกับตัวเองว่าคงหลงชอบไอ้บ้าสุดโหดถึงขั้นขอมันมานอนที่ห้อง มาถึงห้องแทนที่จะได้นอนเพราะเข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสองแล้ว ผมคิดว่าตัวเองหลับตั้งแต่เดินเข้าลิฟท์ ถึงห้องกะนอนเลย แต่ไอ้ภูมิก็ยังคงเผด็จการไม่สร่างซาบังคับขู่กรรโชกให้ผมไปอาบน้ำ





     
     ถึงผมจะคัดค้านหัวชนฝาเสียงดังโป๊กๆว่ากูจะนอนโซฟากูไม่อาบมึงก็ไม่เดือดร้อน แต่เหมือนแจ็คพ๊อตลงครับ สงสัยมันอยากเสียตัว บอกว่าให้ผมไปนอนในห้อง




    เหตุผลน่ะหรอ มันไม่อยากเปิดแอร์หลายตัวกลัวจะเปลืองไฟ แถมยังช่วยชาติไทยประหยัดพลังงานหารสองลดโลกร้อนได้อีกต่างหาก ก็เขาว่ามาซะขนาดนั้นไอ้เราจะปฏิเสธก็ยังไงๆอยู่ใช่มั้ยละครับ^^ ก็เลยเอาวะนอนก็นอน อาบก็อาบ ชุดนอนก็ชุดเดิมที่ใส่เมื่อคืน



     

    แต่จะนอนยังไงให้หลับ นี่แหละครับปัญหา เลยได้แต่นอนเอามือก่ายหน้าผาก ถ้าเอามือล้วงเข้าไปจับหัวใจให้มันเลิกเต้นจังหวะสามช่าได้ผมก็อยากจะทำ แม่งงจะตื่นเต้นอะไนหนักหนาวะ



     

     “เตี้ย”เสียงทุ้มๆของคนที่นอนอยู่ข้างๆผมโดยไม่มีหมอนข้างกั้น แล้วจะกั้นเพื่ออะไรละครับ ผู้ชายทั้งคู่นะเว้ยเฮ้ย



     
    “กูชื่อพีม”



     

    “เตี้ย” โอเค ความต้องการของผมไม่ได้รับการตอบสนอง เอาเถอะไหนๆมันก็เรียกผมแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว งั้นมึงก็เรียกต่อไปเถอะ




     
    “ อือ มีไร”


     

    “กูมาคิดๆดูแล้วนะ มึงทำตัวดี เดี๋ยวกูร่นเวลาให้ไม่ต้องอยู่ถึงสองเดือน”




     
    “ไม่เป็นไร”


     

    “หืม”เหมือนมันจะหันหน้ามามองผม แต่ผมไม่กล้าหันไปหามัน เดี๋ยวหวั่นไหวแล้วไอ้ภูมิจะไม่ปลอดภัย คิดอะไรอีกเนี่ยกู >_<




     
    “ คือกู กูลูกผู้ชายพอ คำไหนคำนั้นสองเดือนก็สองเดือน” อ๊ากกกก พูดบ้าคิดบออะไรเนี่ย แค่เสียงปริศนาที่มาจากมุมเล็กๆของความคิดกระซิบว่าอยากอยู่ใกล้ๆมัน ก็สามารถเอาชนะสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงที่มันเคยทำกับผมและคงจะทำอีกในอนาคตจนกว่าจะครบสองเดือน






     

    “หึ ก็ดี ถือว่ากูให้โอกาสแล้วนะ อย่ามาร้องไห้เสียใจทีหลังละ”




     
    “ไม่มีวันนั้นแน่นอน ส่วนมึงก็นอนได้แล้ว กูง่วง”




     

    “กล้าสั่งกูหรอ”อยู่ๆไอ้ภูมิก็ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งจ้องหน้าผม ในห้องมืดก็จริงครับแต่เพราะสายตาผมปรับเข้ากับความมืดได้แล้วเลยเห็นหน้ามันชัด







    “อะไรของมึง ฮู่ว์ นอนๆ โอ๊ย ทำไรวะ กูเจ็บ”มันเอาหมอนฟาดใส่หน้าผมเต็มแรงเลยครับ แม่งเอ๊ยกูชักมีอารมณ์แล้วนะ ผมลุกขึ้นนั่งแล้วฟาดคืนบ้าง เน้นๆกลางกบาลเลยครับ
     






     
    "ไอ้เตี้ย!!! มึงอยากลองดีกับกูใช่มั้ยห๊ะ" ไอ้ภูมิโมโหง้างหมอนที่อยู่ในมือเตรียมจู่โจมผมเต็มสูบ



     

    "เออ กูอยากรู้เหมือนกันว่ามึงมีดีอะไรให้กูลอง" ผมก็พร้อมรบทุกสถานการณ์


     
     






     
    แล้วศึกหมอนปะทะหมอนก็ถือกำเนิดขึ้น ตอนแรกผมค่อนข้างเสียเปรียบด้านสรีระ แต่อาศัยความไวเอาคืนมันได้สองครั้งติด ไอ้ภูมิมันเปลี่ยนแผนพยายามคลุกวงในเอาหมอนปิดหน้าผมกะว่าให้หายใจไม่ออก นี่จะเล่นกูถึงตายเลยใช่มั้ย ผมก็ดิ้นสิครับ เห็นกูตัวเล็กกว่าจะใช้กำลังกับกูหรอมึง ฮ่าฮ่า รู้จักไอ้พีมน้อยไปซะแล้ว ผมกัดฟันสู้ยิบตาฟัดกันไปฟัดกันมาไอ้คนไม่ค่อยออกกำลังกายวันๆมีแต่กินกับนอนอย่างผมก็ชักหมดแรง







     

    แล้วไม่รู้ผมไปทำอิท่าไหนถึงพลั้งพลาดถูกมันเอาหมอนดันลงไปนอนกับเตียงเสียงดัง อั๊ก อ๊ากก กระดูกสันหลังกู แต่ความเจ็บทั้งหลายก็ถูกพัดหนีหายไป เมื่อไอ้ภูมิเสียหลักล้มลงมาคร่อมเกยอยู่บนตัวผม
     









     
    เราสบตากันตามสัญชาตญาณ ผมเห็นเงาตัวเองอยู่ในตาคู่นั้น แล้วใครมันจับโลกให้หยุดหมุนวะ ดวงตาคมสีดำของมันสะกดทุกอย่าง ไม่รู้นานเท่าไรก่อนที่ใบหน้าหล่อใสไร้ที่ติของมันจะโน้มต่ำลงมาเรื่อยๆ เหมือนสมองผมไม่ทำงานจะหลบตามันหรือจะกระพริบตาดี จะหยุดหายใจหรือควรหายใจให้เร็วกว่านี้ ผมหลับตาปี๋กลั้นหายใจ(ทำไมกูไม่ขัดขืนวะ)รับรู้ถึงปลายจมูกคมๆที่เฉียดแก้มไปยังใบหูและ
     






     
     “พรุ่งนี้ซักผ้าให้กูด้วยนะเตี้ย หึหึ”เชี่ยยยยยเอ๊ย คราวนี้ผมถีบมันออกแบบไม่ต้องรีรอเลยครับ สาดดด เหมือนมีคนมาเล่นรอบกองไฟไว้บนหน้าผม ร้อนไปหมดทั้งโกรธทั้งอายยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะหึหึของมันผมก็อยากจะมุดลงไปนอนตายที่แกนโลก








    ผมคว้าผ้าห่มผืนโตขึ้นคลุมโปงแถมทับส่วนที่เหลือมาไว้คนเดียวไม่ให้ไอ้สารเลวนั่นห่มด้วย แล้วทำไมกูต้องโมโหด้วยวะ มึงเป็นอะไรไอ้พีม มึงหวังอะไร แม่งเอ๊ย







    “หึหึ แบ่งผ้าห่มให้กูด้วยดิ”ยังครับมันยังไม่เลิก แถมยังดึงผ้าห่มผมอีก“พีมครับ ภูมิขอห่มผ้าด้วยคนนะ”ไอ้เวร เสียงมึงตอแหลมาก




     

    “เลิกแกล้งกูซักที สนุกมากใช่มั้ยที่เห็นกูอารมณ์เสีย มึงสนุกมากใช่มั้ย ห๊ะ”








    “ก็มากนะ หึหึ”







    “สัด เอาไปเลย กูไม่ห่มแล้วแม่ง”ผมโยนผ้าห่มใส่หัวไอ้ภูมิ แล้วพลิกตัวหันหลังนอนตะแคงหนีมัน พอน้องผ้าห่มไม่อยู่พี่แอร์ก็เล่นกูเลยครับ หนาวสัด อ่อ ผมลืมไปว่าในห้องนี้มีนกแพนกวินอาศัยอยู่ถ้าอากาศไม่ติดลบเขาใช้ชีวิตไม่ได้








    อาศัยความเพลียที่ออกกำลังกายกับไอ้ภูมิ น่าน เด็กพวกนี้คิดอะไรกันผมหมายถึงที่เปิดศึกฟาดหมอนใส่กันต่างหากผมเลยหลับได้








    แต่ก่อนที่ผมจะหลับสนิท ตอนที่ผมกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนจะเป็นความฝันแต่มันก็คล้ายความจริงผมรับรู้เหมือนมีผ้านุ่มๆหนาๆมาคลุมตัวแต่ความรู้สึกอุ่นซ่านตรงหน้าผากมันคืออะไรนะแต่ไม่ว่ายังไงมันก็อุ่นไปถึงหัวใจและทำให้ผมฝันดี :) ^_^
     








     

    ตื่นเช้ามาผมก็เมื่อยขบไปทั้งตัว อ่ะแนะ คิดอะไรก๊านนน เจ็บเพราะศึกหมอนต่างหากครับ ไอ้ภูมิมันยังไม่ตื่นเลย แอบฆ่าปาดคอตอนมันหลับดีมั้ยฮึ  ผมหันมองคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ หล่อแม้กระทั่งตอนหลับนะมึง มันนอนคว่ำเหมือนเด็กเลยวะ หึหึ หน้าแม่งโคตรตลกแอบถ่ายรูปมันดีกว่า แล้วผมก็แชะรูปมันตอนนอนคว่ำ ปากเผยอนิดๆได้สามสี่รูป เสร็จกูละมึ้ง ประจานโว๊ยยยย







    ผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัว เมื่อคืนผมไม่ได้ห่มผ้านี่หว่า แล้วผ้ามาได้ไงวะ คงละเมอไปดึงมาจากไอ้ภูมิละมั้ง ผมเหลียวมองสำรวจห้องมัน







    แม่เจ้า!!!!!!!!OoO เท็ดดี้แบร์!!!เต็มห้อง เมื่อคืนผมคงง่วงจัดเลยไม่ได้สนใจมองอะไรตื่นมาเลยตกใจที่มีตุ๊กตาหมีทุกสีทุกไซส์ทุกขนาดและทุกอิริยาบถอยู่บนเตียง โต๊ะ ตู้ ทีวีในห้องของไอ้ภูมิ มึงเปิดพิพิธภัณฑ์ได้เลยนะเนี่ย ผมหันกลับไปมองไอ้เจ้าของห้องที่หลับอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ พาผมมาผิดห้องรึเปล่าครับคุณภูมินทร์ ชายโหดโฉดหยิ่งอย่างไอ้ภูมิชอบตุ๊กตาหมีครับพี่น้อง!!! กูอยากกู่ร้องบอกคนให้ก้องโลก








     แวรี่อิมพอสสิเบิ้ล



     

    ผมทำใจกับปรากฏการณ์เท็ดดี้แบร์ในห้องมันอยู่ซักพักก่อนจะสำรวจห้องต่อ กว้างเว่อร์  ห้องมันไม่ถึงกับรกเป็นรังหนูแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นระเบียบทุกตารางนิ้ว ก็เหมือนห้องผู้ชายวัยรุ่นทั่วๆไป จอยส์เกมส์ โน๊ตบุค แผ่นเกมส์ PSP ซากแก้วเป็บซี่กับกล่องพิซซ่า โซนนี้เริ่มเหมือนที่เก็บขยะแล้วครับ มีโปสเตอร์พี่ตูนแปะไว้ที่ประตู ชอบ bodyslam ซะด้วย มีกีตาร์นอนตายอยู่ข้างๆกองซีดีเพลง







    และกรอบรูป ไอ้ฟ่าง ทำไมมีรูปไอ้ฟ่างอยู่บนหัวเตียงไอ้ภูมิ หัวใจผมวูบไหว ในรูปคือเด็กผู้ชายสองคนใส่ชุดนักเรียนกอดคอยิ้มหล่อให้กล้อง รอยยิ้มที่สว่างสดใสราวกับมีความสุขที่สุด ไอ้แทนหรือมึงจะถูกสวมเขา






    “มองไรไอ้เตี้ย” ไอ้ภูมิตาปรือ ขยี้หัวยุ่งๆ มันลุกมานั่งพิงหัวเตียงถามผม


     

    “ทำไมมีรูปไอ้ฟ่างในห้องนอนมึง หรือว่ามึง…” น้ำเสียงผมตอนนี้มันดูเรียบๆนิ่งๆยังไงก็ไม่รู้


     

     “สัด คิดอะไรของมึง กูจะมีรูปพี่ชายอยู่ในห้องผิดตรงไหนวะ”



     

    “ห๊ะ!! พี่ชาย!!OoO”โอ้มายบุดด้า เรื่องนี้ช็อคยิ่งกว่ามันมีตุ๊กตาหมีเต็มห้องอีกครับพี่น้องครับ!!!!ไอ้ภูมิกับไอ้ฟางเนี่ยนะเป็นพี่น้องกัน ตาผมคงแหกไปแล้วแน่ๆ ปากก็อ้าค้างหุบไม่ลง

    “จริงดิ เฮ้ย เล่าให้กูฟังหน่อย”







    “ขี้เกียจ มึงไปซักผ้านู่นไป” แล้วมันก็ไม่สนใจผมและไม่รอช้าโทรลงไปออฟฟิศของคอนโดให้คุณแม่บ้านเอากะละมัง ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มขึ้นมาบนห้อง มึงเอาไปส่งซักเหมือนเดิมไม่ง่ายกว่ารึไง ควายเอ้ย








    สรุปผมก็ไม่ได้รายละเอียดเรื่องที่มันบอกว่าเป็นพี่น้องกับไอ้ข้าวฟ่าง ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลายก็ไม่มีใครบอกกูเล้ยว่าไอ้ฟ่างกับไอ้ภูมิเป็นพี่น้องกัน คิดว่ากูมีญานหยั่งรู้ด้วยตัวเองรึไงวะ ถึงว่าทำไมไอ้ภูมิไม่ค่อยกล้าหือกับไอ้ฟ่างเท่าไรแล้วผมก็ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้ฟ่างมันจะดุๆโหดๆกับไอ้แทน แม่งนิสัยเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง







    ผมกระแทกเท้าอารมณ์เสียไปรับของจากคุณป้าแม่บ้านที่กดกริ่งเรียกอยู่หน้าห้อง ก่อนจะเดินหัวฟูเข้าห้องน้ำ ตอนที่ผมเดินออกมาเอาตะกร้าผ้า ไอ้ภูมินั่งยิ้มยักคิ้วยกนิ้วโป้งให้ผม ผมเลยแจกนิ้วกลางกลับไปให้มัน ไม่มีการแยกผ้าขาวผ้าสีใดๆทั้งสิ้นครับซักแม่งรวมกันหมดนี่แหละ แยกแค่เสื้อนักศึกษากับเสื้อช้อปออก นอกนั้นก็ใช้ฝ่าตีนลงเหยียบในกะละมัง คิดว่าเป็นน่าไอ้ภูมิ กระทืบๆๆๆๆ ฮ่าๆๆสะใจโว้ยยย







    ซักตากผ้าเสร็จ ก็ต้องปัดกวาดเช็ดถู ทำกับข้าวอีก ไอ้ภูมินี่ก็บ้ามันยังกล้าใช้ผมทำกับข้าวอีกเนาะ สงสัยไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เมื่อวานอาหารอาจจะเค็มไปหน่อย(ใช่เหรอ)วันนี้ผมเลยเอาขวดน้ำปลากับเกลือไปไว้ห่างๆมือเดี๋ยวไอ้ภูมิจะเป็นโรคไตตายก่อนจะใช้ผมครบสองเดือน




     

    คิดไปคิดมาเหมือนเมียทาสทำงานใช้หนี้เลยกู
     






    “เตี้ย กางเกงในกูละ”


     

    “ไอ่ฟาย กูจะไปรู้กับมึงมั้ย ไข่ใครไข่มันโว้ย”ผมตะโกนด่ามันกลับไป เพราะกำลังจัดระเบียบขวดน้ำในตู้เย็น เสร็จงานนี้ผมก็กลับได้แล้วครับ ใช้เวรใช้กรรมหมดแล้วสำหรับวันนี้




     

    “กูหาไม่เจอ มาหาดิ๊ เร็ว กูจะดูโคนัน” ผมกระแทกฝาตู้เย็นดังโครม เดินไปหามันในห้องนอน มันนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันเอวโชว์หุ่นแมนๆซิกแพคเท่ห์ๆเดินวนรอบห้อง สีหน้าหงุดหงิดขยี้หัวเปียกๆอย่างอารมณ์เสีย แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงเอาน้องลิงไปเก็บไว้ที่ไหน ผมก็เปิดๆรื้อๆตู้เสื้อผ้ามันมั่วซั่วเลยครับ



     

    “นี่ไง หาของน่ะหัดใช้ตาหาซะบ้างอย่าใช้แต่ปากหา แม่ง หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย กูจะกลับบ้าน” ห่าเอ๊ยได้กางเกงในแล้วก็ไปใส่เสื้อผ้าซักทียืนโชว์ผิวขาวอมชมพูเป็นพรีเซนเตอร์ซิสต้าอยู่ได้ กูไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะมึง






    “ก็กลับดิ ใครมัดขามึงไว้”มันแต่งตัวสบายๆเหมือนจะไม่ออกไปไหน กวนตีนผมเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียง ผมจ้องหน้ามันซักพักอย่างระงับความหงุดหงิด ผู้ชายคนนี้มีความสามารถในการปั่นอารมณ์ผมจริงๆ มันนอนกอดลูกหมีพร้อมส่งยิ้มกระดิกตีนมองผม กูคิดผิดหรือคิดถูกที่ชอบมึง สงสัยต้องกลับไปคิดใหม่แล้ววะ







    ผมออกจากห้องมันด้วยอาการนอยส์แดก ห้องนี้แม่งมีอาถรรพ์มาครั้งแรกเสียหอม มาครั้งที่สองเกือบเสียจูบ กูมาครั้งที่สามจะเสียอะไรวะ 

                                          








     
                                ………………………………………………








     
    ระหว่างทางกลับบ้านทั้งตอนนั่งรถเมล์แบบเบียดๆและตอนต่อบีทีเอสแบบเบียดกว่า ผมก็เฝ้าถามตัวเองว่า ชอบไอ้ภูมิได้ยังไง มันทำอะไรให้ประทับใจหรือก็เปล่า ผมต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าไอ้ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้มันคืออะไร ผมชอบมันจริงๆหรือแค่อารมณ์หวั่นไหวแบบเด็กๆ ผมชอบมันหรือแค่ความผูกพัน ชอบมันหรือแค่ใกล้ชิดจนคิดไปเอง
     






     
    และแม้จะยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ แต่ก็มีคำหนึ่งมานั่งยิ้มเล่นในหัวผมว่าเรื่องระหว่างผมกับมันคง “เป็นไปไม่ได้” การที่เราจะยอมรับกับตัวเองว่ามีความรู้สึกดีๆให้กับอีกคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผมคิดจนหัวจะระเบิด สมองตื้อไปหมด ห่าเอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งสับสน กูปวดหัวโว้ยยย
     



     
    ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมต้องบ้าตายแน่ๆ ต้องระบาย กูต้องหาใครซักคนมารับฟัง แล้วจะปรึกษาใครดีวะ ไอ้คิว ไม่ไหวๆ ไอ้นั่นยิ่งจะทำให้ผมประสาทแดกหนักกว่าเดิมอีก ไอ้เชน ป่านนี้คงนอนหลับคาอกใครซักคน ไอ้ปันยิ่งไม่ได้เดี๋ยวมันโวยวายเป็นเด็กๆอีก ไอ้แทนยิ่งแล้วใหญ่ถ้ามันเล่าให้ไอ้ฟ่างฟังเกิดไอ้ฟ่างเอาไปบอกน้องมันผมก็ซวยดิ







    โลกใบนี้มีใครเหลืออีกมั้ยคร้าบบบบบ ช่วยผมด้วยหรือกูจะออกบวชดี ควายเอ๊ย เอ๊ะ ควายหรอ ไอ้เบียร์!!!ใช่ ไอ้ควายเบียร์นี่แหละตัวช่วยของผม
     




     
    โทรศัพท์มันอยู่กับผม เอาอันนี้เป็นข้องอ้างก็แล้วกัน ว่าแต่ว่าบ้านไอ้เบียร์อยู่ไหนน๊อ




     

    (ฮัลโหล) ผมฟังเสียงพี่ป้าง นครินทร์ร้องเพลงรอสายไม่นานปลายสายก็รับ แต่เสียงใครวะไม่ใช่เสียงไอ้แทน


     
    “ฟ่างหรอ”ได้ยินเสียงไอ้ฟ่างผมก็อยากถามเรื่องไอ้ภูมิ แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อน



     

    (เออ กูเอง ไอ้แทนอาบน้ำอยู่มีไรมึง)นี่พวกมึงหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปอยู่ด้วยกันแล้วใช่มั้ย


     
    “กูจะถามว่าบ้านไอ้เบียร์อยู่ไหน”


     

    (หึหึ ลอยกระทงด้วยกันคืนเดียว จะตามถึงบ้านเลยหรอมึง)



     
    “เชี่ย กูมีธุระเว้ย จะเอาโทรศัพท์ไปคืนมัน”

     

    (โอ๊ย!!!แทน กูหนัก ลุก)(คุยกับใคร หื้ม)มึงจะเล่นหนังสดให้กูฟังใช่มั้ย(คุยกับเพื่อนมึง อื้อออ แทนปล่อยกู)บอกที่อยู่ไอ้เบียร์มาเห้อ กูจะได้วางแล้วพวกมึงจะทำอะไรกันก็ค่อยไปทำ ไอ้ฟ่างโวยวายซักพักก็มีเสียงเหมือนคนตกเตียง(แม่งถีบทำไมวะ กูเจ็บนะฟ่าง)






    (กูบอกให้มึงปล่อยดีๆไม่ชอบ เออพีม บ้านไอ้เบียร์อยู่นวมินทร์ยี่… โอ๊ยยไอ้แทน พ่อเป็นหมาหรอสัด กัดกู อื้อออ)โอเค กูวางก็ได้ มันอยู่ห้องนอนหรืออิรักวะ ครึกโครมชิบ เกือบไปแล้วพีมเกือบได้ฟังหนังสดแล้วกู
     
     
                               











                                        ………………………………………
     
     







     
     
    ผมเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง ลงจากรถไฟใต้ดินเตรียมบินสู่นวมินทร์ แม่งไกลวะ แต่ไม่ช้าไม่นานผมก็มายืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเหมือนวังเก่าเสียมากกว่า บ้านร่มรื่นดูเงียบสงบมีเสียงนกร้องสบายหูตัวบ้านเป็นบ้านไทยเก่าสไตล์โคโลเนียล(เป็นที่นิยมในสมัย ร.5 -ร.6 ดีนะครับที่เรียนด้านศิลปะ





     


    ทำไมบรรยากาศมันผู้ดี๊ผู้ดีจังวะ ผมเงยหน้ามองป้ายที่สลักเป็นตัวหนังสือลายไทยสลักไว้ที่ประตูสีขาวสูงตระหง่านอย่างวิจิตรงดงาม นามสกุลไอ้เบียร์ติดโลโก้ ณ  วันนี้มีเรื่องทำให้ผมเซอร์ไพร์ได้ทุกๆยี่สิบนาทีจริงๆ






    “สวัสดีคะ มาหาใครคะ”



     
    “มาหาไอ้ เอ่อ มาหาเบียร์ครับ ผมเป็นเพื่อนมัน”



     

    “อ่อคะ งั้นเชิญด้านในเลยคะ” แค่แม่บ้านยังแต่งตัวเหมือนแม่บ้านของพวกผู้ดีสมัยเก่าเสื้อสีขาวนุ่งผ้าถุงสีน้ำเงิน แม่เจ้า กูหลุดเข้ามาในบรรยากาศมาลัยสามชายป่ะวะ อย่าให้เจอทองไพรรำนะมึง พ่อจะซัดให้หายอยาก







    “นั่งรอสักครู่นะคะอิชั้นจะไปเรียนคุณชายว่าเพื่อนมาพบ” อื้อหื้อออ คุณชายเลยหรอ ผมก้มหัวกล่าวขอบคุณจนหัวแทบจรดหัวเข่า นอกบ้านว่าผู้ดีแล้ว ในบ้านยิ่งหนักครับ รูปท่านเจ้าปู่เจ้าคุณถือไม้เท้าเรียงกันเป็นรุ่นๆ ผมมองสำรวจบ้านไอ้เบียร์ฆ่าเวลา พูดแล้วขนลุกครับนี่ผมรู้จักมักจี่กับคนชนชั้นสูงหรือนี่ ป๊าดด ชีวิต









    “อ้าวเฮ้ย มึง มาได้ไงวะ”ไอ้เบียร์ทำหน้าตกใจโชว์รอยยิ้มแบบคาดไม่ถึง “เฮ้ย กูเซอร์ไพร์ส์นะเนี่ย ป่ะๆขึ้นห้องๆมาได้ไงวะ มึงรู้จักบ้านกูได้ไง นมนวลครับเดี๋ยวเอาของว่างขึ้นมาให้ชายด้วยนะครับ”







    “คะคุณชาย”คุณแม่บ้านมีสีหน้าตกใจคำพูดของผมกับไอ้เบียร์อย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เธอจะหายไป ส่วนไอ้เบียร์มันพาผมเดินขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน





    “บ้านมึงแม่งผู้ดีโคตรๆ”พอหลุดมาอยู่สองคนผมก็เผยความเป็นผู้ดี(น้อย)ทันที



     
    “ผู้ดีตรงไหนวะ ก็ชาวบ้านธรรมดา”


     

    “ชาวบ้านห่าไร นามสกุลมึง ณ ตัวเป้งๆ มีเชื่อเจ้าเชื้อผู้ดีเก่านี่หว่า”


     
    “ทำไมวะ แค่นามสกุล ณ ต้องมีเชื้อเจ้าต้องเป็นผู้ดีด้วยหรอ”




     

    “ก็มันจริงนี่หว่า แล้วนี่มึงอยู่บ้านคนเดียวหรอ”มันเปิดประตูให้ผมเข้าห้องไป ก่อนจะปิดประตูตามหลัง ลมเย็นเอื่อยๆที่พัดผ้าม่านสีขาวลูกไม้บางๆพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ผมนั่งลงปลายเตียงส่วนมันนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือเอาเท้าเหยียบเก้าอี้ มันจะไม่เป็นผู้ดีก็ตรงนี้แหละ ไม่นานคุณแม่บ้านก็เอาน้ำแดงกับขนมไทยมาให้




     

    “อือ พ่อกับแม่กูไปทำงาน พี่สาวกูแต่งงานแล้วก็ไปอยู่บ้านแฟนเขา ว่าแต่มึงเถอะมาหากูถึงบ้านมีอะไร อย่าบอกนะว่ามาเพื่อชื่นชมนามสกุลกู”



     

    “เชี่ยจะเอามั้ย C7ของมึงน่ะ แต่กูชอบห้องมึงวะ สว่างดี”
     



     
    “เอ๊าไอ่นี่ ไม่จบซักที ย้ายมาอยู่เลยมั้ย” มันยืดตัวมารับโทรศัพท์จากผม



     

    “ไม่เอา เดี๋ยวเสนียดติดบ้านมึง มึงไม่ค่อยอยู่บ้านหรอวะไม่ค่อยมีของเยอะ” มีหนังสือไม่กี่เล่มเองมั้ง ถ้าไม่นับของตกแต่งอย่างอื่นน่ะนะ






    “อืม จริงๆกูไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก อยู่คอนโดใกล้ๆม. ขืนขับรถไปกลับเปลืองน้ำมันตายชัก ดีไม่ดีกูเหนื่อยตายก่อนเรียนจบ นี่มึงโชคดีนะเว้ยที่มาแล้วเจอกูอยู่บ้าน”



     

    “เออวะ เนอะโชคดี แหะๆ” มาถึงตรงนี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์หลักที่ผมมาหามันถึงบ้านคืออะไร แต่เอาเข้าจริงไม่กล้าวะ


     
     “ตกลงมึงมาแค่นี้ แค่เอาโทรศัพท์มาคืนกู”มันยิ้มหวานปานจะย้อย แต่มีแววรู้ทันล้อเลียนอยู่ในตาคมๆคู่นั้น ผมไม่ชอบคนแบบไอ้เบียร์ ไม่รู้สิผมไม่ไว้ใจมันเท่าไร ชอบทำหน้ารู้ทัน ผมไม่ชอบเพราะมันจะทำให้ผมดูเหมือนโง่ “ว่าไง ตกลงมีอะไรครับคุณมึง”




     

    พอถูกถามผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไง ทั้งที่อยากจะระบายให้ใครซักคนฟัง เผื่อไอ้ที่อัดกันอยู่ในหัวมันจะทุเลาเบาบางลงบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีมั้ย






    “เฮ้อออ” ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสีขาวสะอาด มองออกไปยังหน้าต่าง เห็นทิวทัศน์ภายนอกเท่าที่กรอบหน้าต่างจะอำนวย ต้นปีปสูงใหญ่ออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมอบอวลเต็มต้น เห็นท้องฟ้าสีฟ้าเกือบสดใสและไร้ก้อนเมฆสีขาว โลกร้อนทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปจริงๆสินะ


     

    “มึงมีเรื่องไม่สบายใจใช่มั้ยพีม”


     

    …………………………”



     

    “ ถึงมึงกับกูจะรู้จักกันไม่นาน แต่เราก็แปะคำว่าเพื่อนใส่หน้ากันแล้วนะ มีอะไรบอกกูได้ ไม่ใช่สิ มาถึงนี่แล้ว ก็บอกกูเถอะ”ผมหันกลับมาวางสายตาไว้ที่หน้าไอ้เบียร์ที่ไม่เหลือความล้อเล่น แต่หน้ามันยังเจือรอยยิ้มเสมอ




     

    “กูก็ไม่รู้วะ กู….ไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง”







    “เรื่องไอ้ภูมิใช่มั้ย”ผมถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ารับ



     

    “ชอบมันละสิ”หัวใจผมเต้นแรง แต่ไม่นานก็สงบลงเป็นปกติ ผมคิดไว้แล้วว่าไอ้เบียร์มันคงรู้ เพราะจากหลายๆคำพูดและหลายๆการกระทำของมันเมื่อวานที่ทำเหมือนรู้อะไรบางอย่าง








    “กูเป็นเพื่อนไอ้ภูมิมาไม่รู้กี่ปี ทำไมจะไม่รู้ว่ามันเป็นคนยังไง แล้วมันจะจัดการกับคนที่กล้าหยามมัน หึหึ อีกอย่างเมื่อวานกูเห็นมึงออกมาจากคอนโดมัน ก็พอจะเดาได้ ไอ้ภูมิเป็นคนดูออกง่ายจะตาย”







    “กูสับสนวะ กูชอบผู้ชายรึเปล่าวะเบียร์”ผมลุกขึ้นนั่ง แต่ตากลับมองไปยังกองหนังสือไม่กี่เล่มของมัน






    “อยากรู้เหรอ”




     

    “อืม เฮ้ย!!!”ไอ้เบียร์กระโจนลงมาคร่อมผม มือกับตีนผมทำงานอย่างอัตโนมัติทันที






    “โอ๊ยยย!!!”

     

    “ไอ่สัด!! มึงทำไรวะ!!!”




    “ตีนหนักวะพีม”



     

    “กูไม่ถีบขาคู่ก็บุญหัวมึงแล้วไอ้เวร เล่นอะไรพิเรนๆ”



     

    “ก็มึงอยากรู้ไม่ใช่หรอว่าชอบผู้ชายรึเปล่า กูก็จะช่วยพิสูจน์ไง หึ ถ้ามึงชอบผู้ชายนะ มึงไม่ถีบหน้ากูออกมาแบบนี้หรอก”มันกุมท้องตัวเอง ส่วนผมกระเถิบหนีมาติดหัวเตียงตอนไหนก็ไม่รู้






    “มึงจะทำอะไรก็บอกกูก่อนเหอะ แม่งตกใจชิบหาย”ผมหอบหายใจด่ามัน ยิ่งมองหน้ามันแล้วอยากจะถีบยอดหน้าแม่งอีกซักครั้งสองครั้ง มีอย่างที่ไหนอยู่ๆก็กระโดดมาปล้ำผม โอยยย ชีวิต ส่วนมันก็ยิ้มโชว์ฟันแบบไม่สะทกสะท้าน






    “เราลองจูบกันมั้ย”



     
    “ห๊ะ” คราวนี้ผมหันคอเป็นวงกลมกลับไปจ้องหน้าไอ้เบียร์



     

    “จะได้รู้” เพราะผมมัวแต่อึ้งเลยลืมวิ่งหนี ไอ้เบียร์มันล็อคหน้าผมไว้ หน้าขาวใสของมันเคลื่อนคล้อยเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หัวใจผมยิ่งเต้นหนักเมื่อมือมันรวบข้อมือผมไว้ ผมหลับตาพยายามตั้งสติถ้าผมสามารถยอมให้ปากมันมาแตะปากผมได้ผมก็จะยอมรับทุกอย่างแต่ตัวผมกลับเกร็ง



     

    ยิ่งมันเข้ามาใกล้มากเท่าไรผมก็ยิ่งพยายามฝืนคออกจากมือมันอีกข้างที่รั้งท้ายทอยผมไว้มากเท่านั้น อยู่ๆหน้าไอ้ภูมิก็ลอยเข้ามาในหัว ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนเข้ามาในความคิด หน้าไอ้ภูมิที่ก้มมาใกล้ๆใบหน้าของผม มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมผลักไอ้เบียร์ออกเต็มแรง




     

    “กูทำไม่ได้วะ จะอ้วก”เหมือนไอ้ที่อยู่ในท้องผมมันดันขึ้นมา ทั้งคลื่นไส้ทั้งขนลุก ไอ้เบียร์ก็ดูพะอืดพะอมไม่ต่างกันเลย นี่พวกผมทำอะไรลงป๊ายยย อั๊ววววววก



     

    “เคราะห์ดีที่มึงหน้าตาน่ารัก กูเลยพอหลับหูหลับตาข่มความสยองได้วะ”



     

    “ถ้ากูไม่ห้าม มึงจะจูบกูจริงๆมั้ยเบียร์”



     

    “หึหึ กูรู้ว่ายังไงมึงก็ห้าม มึงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกพีม มึงแค่ชอบไอ้ภูมิ



     

    “มันก็ไม่ได้ทำให้กูรู้สึกแย่น้อยลงเลยวะ”ผมขอมันเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา ขนแขนลุกยังไม่ยอมนั่งเลยครับ บรึ๋ยๆๆๆ สยองวะ ทำไมกับไอ้ภูมิไม่เห็นรู้สึกรังเกียจแบบนี้บ้างวะ มีบทบาทกับชีวิตกูจังนะมึง ผมออกมาจากห้องน้ำก็เจอไอ้คุณชายชาตแบตโทรศัพท์ เออใช่แบตมันหมดตั้งแต่เมื่อคืน







    “ประมวลกฎหมาย? มึงมีด้วยหรอวะเบียร์”




     
    “มีดิก็กูเรียนนิติ ไม่มีประมวลกฎหมายจะเรียนยังไง”
     

    “อ้าวมึงไม่ได้เรียนวิศวะหรอ”



     
    “ฮื่อ ทำไมวะ หน้ากูมีคำว่าแคลคูลัสกับตรีโกนโชว์หรอมึง ”





    “ก็กูเห็นมึงอยู่กับไอ้แทนกูนึกว่ามึงเรียนวิศวะ”



     
    “กูเรียนนิติ พวกเรียนวิศวะก็มีไอ้ภูมิ ไอ้แทน ไอ้มิค ส่วนไอ้ฟ่างเรียนถาปัตถ์” ถึงว่าไอ้ฟ่างดูติสๆแถมผมกับมันยังจูนกันง่าย ว่ากันว่าถาปัตกับศิลกรรมเป็นญาติกัน มีอะไรคล้ายๆกัน แต่มีข้อสังเกตครับสถาปัตย์เขาจะเซอร์ ติส แนว ศิลกรรมจะซกมก สกปรก ไม่เต็ม




     

    “มึงอยากเป็นผู้พิพากษาว่างั้น แต่หน้ามึงดูคดโกงไร้ความยุติธรรมมากเบียร์ ฮ่าๆๆ”




     

    “เชี่ยพีม พ่อกูเป็นเว้ยสัด เขาอยากให้กูเรียน แต่กูยังไงก็ได้เรียนกฎหมายก็สนุกดี” ผมหัวเราะพยักหน้ารับรู้ จะว่าไปก็น่าเห็นใจมันเหมือนกัน ไม่ใช่เวลาแค่สี่ปีที่ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ แต่มันหมายถึงทั้งชีวิตในสายงาน แต่ก็ช่างเถอะจบนิติก็ใช่ว่าต้องเป็นแค่อัยการผู้พิพากษาชีวิตคนเราไม่แน่นอนนิครับ ผมถือว่าโชคดีมากที่ได้เลือกทางเดินให้กับตัวเอง ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ แต่ไส้แห้งชิบหาย เกาะพ่อเกาะแม่กินดีมั้ยเนี่ย
     


     
     “เออเบียร์ กูมีเรื่องจะถามไอ้ภูมิกับไอ้ฟ่างเป็นพี่น้องกันหรอวะ”


     
    “อ้าว มึงไม่รู้หรอ ไอ้ฟ่างเป็นพี่ชายไอ้ภูมิ”




    “เล่าให้กูฟังหน่อยดิ มันเป็นฝาแฝดหรอแต่หน้าก็ไม่เหมือนกันแล้วทำไมมันเรียนอยู่ปีเดียวกันได้วะ”
     “แหมๆสนใจจังนะ ฮ่าๆไม่ต้องมองกูแบบนั้นเลยมึง เออๆจะเล่าให้ฟัง ไอ้ฟ่างมันแก่กว่าพวกเราปีนึง จริงๆตอนนี้มันต้องอยู่ปีสาม ครอบครัวไอ้ภูมิมีพี่น้องสามคนพี่ข้าวโอ๊ต ไอ้ข้าวฟ่าง แล้วก็ไอ้ภูมิ


    ถ้าจะถามว่าทำไมมันถึงชื่อต่างจากพี่ๆอันนี้กูไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกมันเป็นลูกหัวปีท้ายปี ไอ้ภูมิมันติดพี่มาก พอไอ้ฟ่างเข้าอนุบาลต้องไปโรงเรียนไอ้ภูมิก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังไม่ยอมท่าเดียว พ่อกับแม่มันก็ไม่รู้จะทำยังไง จะให้ไอ้ภูมิไปเรียนพร้อมไอ้ฟ่างอายุไอ้ภูมิก็ไม่ถึงเกณฑ์ เลยให้ไอ้ฟ่างมาอยู่บ้านเรียนโฮมสคูลแล้วก็เข้าโรงเรียนพร้อมไอ้ภูมิ”





    “เอาแต่ใจตั้งแต่เด็กเลยว่างั้น”


     
    “การที่คนๆหนึ่งจะมีนิสัยบางอย่าง มันย่อมมีเหตุผลทั้งนั้น”

     

    “มึงรู้เรื่องมันละเอียดเลยวะ มึงเป็น googleใช่มั้ยบอกกูมานะ”


     

    “หึหึ ไอ่เชี่ยพีม พวกกูหัดคลานมาด้วยกันเว้ย ตอนที่มันร้องไห้ตามไอ้ฟ่างกูยังต้องแบ่งช๊อกโกแลตปลอบมันเลย”เด็กมีอันจะกินเขาแบ่งช็อคโกแลตครับ ถ้าเป็นผมคงแบ่งขนมครกไม่ก็น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋



     

    “ที่มึงเห็นไอ้ภูมิมันไม่ยอมคน มันเอาแต่ใจ จริงๆแล้วมันเป็นคนอ่อนไหวง่ายจะตาย ถ้ามึงรู้จักมันจริงๆจะรู้ว่าทั้งหมดก็แค่เปลือกภายนอกที่มันสร้างป้องกันตัวเอง มันถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก มีช่วงนึงไม่รู้พ่อมันคิดอะไรให้ลูกไปอยู่เมืองนอก มึงคิดดูเด็กที่เคยมีเพื่อน ติดแม่ติดพี่ชาย ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เขาพูดอะไรกันก็ฟังไม่รู้เรื่อง มันเลยเป็นเด็กเก็บกด เก็บตัว อยู่ในห้องกับตุ๊กกตาที่แม่ซื้อให้ไว้ดูต่างหน้า”


     

    “ตุ๊กตาหมีใช่มั้ย”



     
    “อ่ะแนะๆ ได้เข้าห้องมันแล้วละสิ ไวนี่หว่า”



     
    “หมาเบียร์ เล่าต่อดิ”หูผมรับฟังเรื่องราวจากปากไอ้เบียร์แต่ใจผมกำลังรับรู้ถึงความอ้างว้างเจ็บปวดของเด็กชายอีกคน







    “พอตอนป.3 หรือป.4วะ เออนั่นแหละไอ้ภูมิก็กลับมาอยู่เมืองไทย แต่พ่อแม่มันก็ไม่มีเวลา ทำงานปล่อยให้เงินเลี้ยงลูก หึ แต่เงินมันไม่มีเลือดไม่มีแขนหรืออ้อมกอดอุ่นๆนี่หว่า ถึงจะมีพี่โอ๊ตไอ้ฟ่างคอยดูแลก็เถอะมันก็ไม่เหมือนพ่อกับแม่อยู่ดี กูก็ไม่แน่ใจหรอกนะแต่คิดว่าเรื่องนี้แหละที่ทำให้มันให้เป็นคนแบบนี้”






    บางครั้งเหมือนผมจะรู้จักไอ้ภูมิดี แต่เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้าผมเป็นมันผมจะยังเข้มแข็งอยู่มาได้ขนาดนี้มั้ย ครอบครัวผมอบอุ่น เราเข้าใจใกล้ชิดกันมาก ถ้าผมเป็นแบบไอ้ภูมิ แค่คิดเล่นๆยังรู้สึกเหงาจนหัวใจมันหวิวแปลกๆเลย






    “ที่มึงชอบมัน คงเพราะมึงเป็นคนดี กูหมายถึงใจมึงมันบริสุทธิ์น่ะ เคยมีคนบอกมึงมั้ยพีม ตามึงโคตรใส คงเพราะมึงเป็นคนดี มึงอาจจะสัมผัสกับความโดดเดี่ยวของไอ้ภูมิก็ได้”ผมเกาหัวเขินๆ แม่งมาชมกันซึ่งๆหน้า ตาสงตาใสอาร๊ายยย



    “มึงเรียนจิตวิทยาควบคู่กฎหมายรึไงเบียร์”ไอ้เบียร์พยักหน้ารับพร้อมกับบอกว่าเรียนเป็นวิชาโท อ้าวเวร ผมแค่ประชดแต่มันดันเรียนจริงๆซะได้ บ๊ะ กูซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ




    “แต่จะพูดให้ง่ายกว่านี้ ไอ้ภูมิคงเป็นคนที่ใช่สำหรับมึง

     

    “คนที่ใช่หรอ เฮอะ ทั้งด่าทั้งแกล้ง ทั้งทำเรื่องอะไรสารพัด มันมีตรงไหนเหลือไว้ให้ใช่สำหรับกูอีกวะ อีกอย่างกูก็เพิ่งรู้จักมันไม่นาน แม่งไม่มีเหตุผลเลยวะ”ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ยิ่งคิดยิ่งพูดก็ยิ่งกลุ้ม






     “ถ้าการที่เรารักใครซักคนมันต้องใช้เวลาต้องมีเหตุมีผล แล้วจะมีคำว่ารักแรกพบหรอวะ”




     
    “ห่าเบียร์ กูไม่ได้รักมัน แค่ชอบ”




     

    “เออ ชอบเป็นขั้นแรกของรัก ตอนนี้ชอบอีกหน่อยก็รัก”


     

    “มึงกับมันก็สนิทกันมากเลยสิ” ลองนึกภาพผู้ชายตัวควายๆสองคนมานั่งพูดเรื่องรักๆใคร่ๆนะครับ มันก็ยังไงๆอยู่นะ อีกอย่างสมองผมก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีก เลยพามันเปลี่ยนเรื่อง







    “มันมากกว่าคำว่าสนิท โตมาด้วยกัน เรียนเล่นมาด้วยกัน ทั้งมัน กู ไอ้ฟ่างไอ้มิค ก็เหมือนมึงกับพวกไอ้แทน มันยิ่งใหญ่กว่าคำว่าเพื่อน”







    “แม่งเท่ห์ว่ะ รวมกลุ่มเราเข้าด้วยกันกี่คนวะ”



     
    “เก้า”


     

    “ตั้งวงบอยแบนด์ได้เลยนะเว้ย ฮ่าๆมึงว่ามั้ย"



     
    “หึหึ เออจริงวะ กูเป็นหัวหน้านะเพราะกูหล่อสุด”มันอวยตัวเองครับ

     

    “ฟายย ถ้ามึงเป็นหัวหน้ากูว่าตั้งวงหมอลำดีกว่าวะ ท่าจะรุ่งกว่า ฮ่าๆๆๆ”




     
    “หึ ยิ้มได้แล้วสิมึง แม่งทำหน้าอมทุกข์แล้วไม่เข้า ยิ้มแบบนี้แหละดีแล้ว”





    “อือ ขอบใจมึงนะเบียร์ เดี๋ยวกูหาสาวแจ่มๆมาเซ่น”ผมยักคิ้ว ตบไหล่มันปุๆสองสามที ผมรู้สึกขอบคุณมันจากใจจริงๆ แม้มันจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดแต่มันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก


     

    “ไม่คิดว่ากูอยากได้ผู้ชายเจ๋งๆบ้างหรอ”



     
    “หึหึ ไอ่ฟาย เหลือไว้ให้ผู้หญิงบ้างเถอะ เฮ้อออ กูคงตัดใจวะมึง เดี๋ยวก็จะครบสองเดือนแล้ว จะได้เป็นเพื่อนกันรึเปล่าก็ไม่รู้”






    “ตัดใจทำไมวะไอ้ภูมิมันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มึงก็รู้”




     
    “อืม แต่กูกับมันก็คงเป็นไปไม่ได้ มึงก็…น่าจะรู้”


     

    “งั้นก็ตามใจมึงแล้วกัน แล้วมันใช้งานมึงหนักมั้ยวะ ให้ทำไรบ้าง”




     
    “ก็แล้วแต่มันจะนิมิตได้ เมื่อเช้ากูยังต้องหากางเกงในให้มันเลย แม่งคิดไปคิดมามันโคตรเด็กอ่ะมึง”





    “ฮ่าๆๆ จริงหรอวะ นั่นแหละภูมิตัวจริง ไอ้ที่เห็นหล่อๆทำหน้าขรึมๆโชว์สาว ฟอร์มทั้งน้านน”



     
    “เออกูก็ว่างั้นวะ เฮ้อออ งั้นกูกลับแล้วนะเบียร์ ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่รับฟังกู”


     

    “เออ มีไรก็บอกกูได้เสมอ”มันตบไหล่ให้กำลังใจผม ผมยิ้มรับ เราคุยเล่นกันอีกซักพักมันก็เดินลงมาส่งผมหน้าบ้าน ตอนแรกมันจะให้คนไปส่งผม ไอ้เรามันคนเดินดินธรรมดาที่มีปัญญากลับบ้านเองถูก เลยไม่ขอรบกวน






    “เจอกันที่มหาลัยนะมึง ว่างๆไปจิบกาแฟที่ร้านกูก็ได้กูเลี้ยง”ผมโบกมือให้มันก่อนจะโบกพี่แท็กที่นานมากกกถึงจะผ่านมา ย่านผู้ดีเก่าเขาคงไม่ค่อยนั่งพี่แท็กเท่าไร ไอ้เบียร์ยิ้มพยักหน้ารับ


     

    “พีม”



     
    “ว่าไงมึง” ตอนที่รถยังไม่มาก็ไม่เสือกเรียกหรอก ขากูก้าวไปอยู่ในรถข้างนึง




     

    “ถ้าเจอใครอีกซักคนแบบมึงคงดีวะ”ผมยิ้มให้ไอ้เบียร์ ยิ้มเหมือนที่ยิ้มให้พวกไอ้คิว





    “คนดีๆอย่างมึง ต้องเจอคนที่ดีแน่นอน เพื่อน”และผมก็ได้รับรอยยิ้มแบบเดียวกันกลับมา










    ตลอดทางกลับบ้านผมก็ยังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทั้งเรื่องของภูมิที่เพิ่งได้รับรู้จากเบียร์ ทั้งเรื่องความรู้สึกของตัวเอง  ไอ้การที่ผมไม่เกลียดมันแม้จะถูกมันแกล้งสารพัด ไอ้ความรู้สึกที่อยากอยู่ข้างๆและความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นจนหาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ คือผมสัมผัสถึงตัวตนไอ้ภูมิงั้นเหรอ







    แล้วจะเอายังไงต่อ จะทำยังไงต่อไป ตัดใจดีมั้ย ใช่ ตัดใจซะพีม มึงต้องตัดใจ นี่มันแค่เริ่มต้นจะตัดใจตอนนี้ก็ไม่สาย ยังทัน มะเร็งระยะเริ่มแรกเขายังรักษาหาย ประสาอะไรกับความรู้สึกดีๆที่เพิ่งเริ่มมี  เฮ้ออ ขอให้เราเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันก็พอนะ
     











     
     
     
     
    TBC>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     





     
     

     ……………………………………
     
     












     
    Talk : ตอนนี้ปล่อยมุมมืดของภูมิมาให้สาวๆได้เห็นคะ จะให้น้องภูมิเล่าเองก็ไม่ได้เพราะภูมิเขาเงียบชอบทำมากกว่าพูดคะ เลยฝากน้องเบียร์(ของเจ้ หุหุ)เพื่อนสนิทเป็นคนเล่าให้ฟัง ฮ่าฮ่า ส่วนพีมก็สับสนต่อไป ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้แหละเนอะ
    สุดท้ายขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ว่านิยายชั้นรั่วอ่านคอมเม้นพวกเทอยิ่งฮากว่าอีก บ้าทั้งคนแต่งคนอ่าน แอบมีคอมเม้นภาษาอังกฤษด้วยคร๊า แลดูเหมือนนิยายอิชั้นโกอินเตอร์ กร๊ากกกก ขอบคุณทุกคอมเม้นอีกครั้งนะคะ จุ๊บๆ ^__^
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×