NC Fiction Contest : เด็ก-รัก-ดี
เรื่อง : โตขึ้นหนูอยากจะเป็นอะไรเหรอ writer : แืท้เที่ยงไม่เอียงเอน (Poly1800) - เมื่อ "ความฝัน" และ "วัย" แปรผกผันกัน เรื่อง : เงาปริศนา ? writer : UnSpokenWord (LostCause) - เรื่องราวอันน่าขนพองสยองเกล้าในค่ำคื่นของ "หนุ่ม" เรื่อง : อีกมุมหนึ่งเล็กๆ w
ผู้เข้าชมรวม
880
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
"เด็ก-รัก-ดี"
เคยคิดบ้างไหมว่า เมื่อเวลาหมุนไปแต่ไม่มีหมุนกลับ ในทุกๆวินาทีที่เสียไปคุณกำลังทำอะไรอยู่ แล้วคุณเมื่อสิบวินาทีที่แล้วน่ะ กำลังคิดอะไรอยู่ จำได้หรือเปล่า แน่นอนว่าคุณอาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าลองนึกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วคุณกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะคุณย่อมนึกไม่ออก เหมือนกับผมในตอนนี้ ที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางเด็กนับร้อยนับพันโดยเป็นเป้าสายตาของคนทั่วๆไป เด็กส่วนใหญ่ที่วิ่งมาหาผมก็มักจะได้ของติดไม้ติดมือไปเสมอ บางคนก็กลัวผม ไม่ได้เดินเข้ามาหา บางคนก็หัวเราะตอนที่เห็นหน้าของผม หน้าของผมน่ะสีขาวมากจนแทบจะสะท้อนแสง จมูกก็แดงจนแสบตา ชุดที่ใส่ก็หนาๆจนตัวเกือบจะกลมเป็นลูกบอล มีเด็กวิ่งมาขอถ่ายรูปบ้าง กอดบ้าง กระโจนใส่บ้าง ไม่ก็วิ่งมาต่อย แต่ไม่ใช่ต่อยแบบประสงค์ร้าย คงเหมือนกับหมั่นเขี้ยวล่ะมั้ง
แหม...ก็เห็นหน้าผมแล้วใครก็อดหมั่นเขี้ยวหรือหมั่นไส้ไม่ได้หรอก ใช่แล้ว ผมเป็นคนที่ใส่ชุดมาสคอทแจกลูกโป่งของตลาดแห่งหนึ่งที่ให้เด็กๆมาทำกิจกรรมฉลองวันเด็ก วันนี้เป็นวันของเด็กจริงๆด้วย เท่าที่ผมมองเห็นเด็กทุกคน ในวันนี้ย่อมมีความสุข พ่อแม่หรือไม่ก็ญาติๆพาออกมาเที่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กซนสุดๆ เด็กรูปร่างท้วมผิวขาวใส่ชุดมียี่ห้อหลายคน ที่เพียงแค่ดูก็รู้ว่าไม่เคยผ่านการทำงานมาเลย เด็กผิวดำหยาบกร้านที่ช่วยพ่อแม่ทำงานเพราะมีฐานะยากจน
แต่เพราะนี่คือวันเด็ก เด็กทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน ไม่ว่าจะเด็กคนไหนก็มีสิ่งที่คล้ายๆกัน ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนมันจะหายจากผมไปนานแล้ว ผมยืนแจกลูกโป่งจนพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัว ซึ่งก็เป็นเวลาพัก ผมเดินเข้าเตนท์เพื่อรับเงิน และก็เดินออกมาพร้อมเพื่อนร่วมงานของผมที่ใส่ชุดหมีที่มาทำแทนในหน้าที่ของผม และเมื่อผมออกมาจากเตนท์แล้วผมก็เริ่มก้าวเท้าสำรวจในตลาด ภายในตลาดมีเต็นท์ปาลูกโป่ง ยิงปืน ชู๊ทลูกบาสเกตบอล แจกของฟรีสำหรับเด็ก ยิ่งมองไปผมก็ยิ้มบ้างหัวเราะบ้าง
บางครั้งผมก็นึกเสียดายเวลาที่ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยววันเด็กเลย เวลาเกือบยี่สิบปีในชีวิตผมมันหายไปไหนบ้าง เพราะผมเที่ยวงานวันเด็กครั้งสุดท้ายตอนอายุ 10 ขวบ แล้วผมก็เริ่มคิดอยากอยู่บ้าน นอนอยู่เฉยๆบ้าง เล่นเกมส์บ้าง ชีวิตผมก็เหมือนจะสุขดี แต่เมื่อผมอายุ 13 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมก็ทำให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่คิดจะเที่ยวงานวันเด็กอีก ผมยังจำได้ ... ตอนนั้น ผมอยู่ที่โรงเรียนมัธยมมีชื่อของทางจังหวัดภาคเหนือ .... และเหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตผมโดยสิ้นเชิง...
...
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสิบโมงเช้า ผมอยู่ในห้องเรียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้องหนึ่ง และเพื่อนผมก็เรียกผมด้วยถ้อยคำที่พูดกันปกติ
"เฮ้ยฉัตร วันนี้เราโดดเถอะว่ะ ชั่วโมงนี้น่ารำคาญ อ.จรินทร์ก็คงสอนประวัติศาสตร์อะไรไม่รู้ฟังๆไปก็หลับเหมือนเดิมนั่นแหละ" เสียงวิทยา หรือ วิทย์ เพื่อนซี้ของผมกระซิบช่วงพัก 5 นาทีของแต่ละคาบ
"จะดีเหรอวิทย์ ถ้าโดนจับได้ล่ะวะ ข้าไม่อยากจะเข้าห้องปกครองนะเว้ย"ในนาทีนั้นผมคิดว่าผมควรจะนั่งเรียนเพื่อให้ได้คะแนนสูงๆ วิชาประวัติศาสตร์ที่ผมเกลียดที่สุด
"วันนี้ข้ามีของดีจะให้เอ็งดูนะฉัตร เชื่อข้าเถอะน่า โดดชั่วโมงเดียวมาขอสมุดจดพวกผู้หญิงไปลอกก็ได้"วิทย์พยายามรบเร้าให้ผมไปด้วย ในตอนนั้นคุณคิดว่าผมจะตอบว่าอะไรล่ะ กับวิชาที่ผมสุดแสนจะเกลียด แถมอาจารย์ก็ยังไม่ชอบขี้หน้าผมอีกด้วย แน่นอนครับ คำตอบของผมคือ
"เออ ไปก็ไปวะ งั้นโดดคาบบ่ายหมด 3 คาบเลยแล้วกัน"ผมตอบวิทย์แล้วรวบกระเป๋าขึ้นหลังค่อยๆวิ่งไปแอบในห้องน้ำชายของตึกเรียนทันที
ผมเริ่มสงสัยว่าวิทย์มันมีของดีอะไรของมัน ผมก็เริ่มวางกระเป๋าไว้ในห้องน้ำแล้วไปยึดห้องน้ำห้องท้ายสุด แต่ว่าผมเจอกับเด็กรุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง ตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3รุ่นพี่ ม.5 ม.6 นับสิบคนนั่งรออยู่พร้อมกับเจ้าวิทย์มัน ในมือมีบุหรี่อยู่คนละมวนสองมวน ไพ่อีกกองหนึ่ง โพยพนันบอล ขวดน้ำเก๊กฮวย รวมทั้งสิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะมี นั่นคือก็ยาบ้านั่นเอง ....
"ไงไอ้ฉัตร ข้าบอกแล้วมาที่นี่น่ะ มีแต่ของแจ๋วๆ ดีกว่าในห้องเรียนตั้งเยอะ"วิทย์พูดแล้วหัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
"เอ็งให้ข้ามาที่นี่ทำไมวะ ! ไอ้วิทย์ ข้าไม่นึกเลยว่าเอ็งจะ ... อึก !"ผมต่อว่ามันเป็นชุด แต่โดนรุ่นพี่คนหนึ่งปิดปากไว้
"ลองก่อนเถอะน่า ! แล้วค่อยบ่น"วิทย์บอกผมแล้วยื่นขวดน้ำเก๊กฮวยให้ผม
"นี่อะไร ?"ผมถามมันด้วยเสียงตะคอก ได้ผล มันตอบผมอย่างรวดเร็ว
"เหล้า"มันยื่นให้ผม ผมก็ลองชิมไปพอเป็นพิธี แต่ก็เล่นเอาผมมึนหัวตึ้บๆ
เมื่อผมได้ลองชิมเหล้านั่นแล้วผมก็เริ่มอยากชิมใหม่ ค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่วันต่อมาผมก็เริ่มสูบบุหรี่เหมือนคนอื่นๆ จนกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มคนหนีเรียน จากการโดดเรียนคาบบ่าย ผมก็เริ่มโดดคาบเช้าบ้าง โดดคาบที่ผมไม่อยากเรียน และสุดท้าย สิ่งที่ผมทำก็คือการไม่ไปโรงเรียน และพาสมาชิกคนอื่นๆมาเช่าหอพักกินเหล้าสูบบุหรี่กันตามใจชอบ ผมว่าชีวิตผมช่วงนั้นมันมีสีสัน
.... แต่ผมไม่รู้เลยว่าสีสันที่ผมกำลังแต่งแต้มชีวิตสุดท้ายแล้วมันจะรวมกันเป็นสีดำ
"เหลืออีกอย่างว่ะฉัตร"วิทย์เดินมาบอกผมพร้อมกับยื่นยาบ้ามาให้
"เฮ้ยอันนี้ข้าขอเหอะว่ะ ไม่อยาก"ผมรีบปฏิเสธมัน แล้วมันก็ส่ายหน้า
"ไม่ได้ให้เสพโว้ย ให้เอาไปส่ง ราคาเม็ดละเท่าไร ข้าให้ 20 เปอร์เซ็นเลยเป็นไง"วิทย์ยื่นยามาให้ผมเป็นถุงๆ น่าจะมีสัก 500 เม็ดได้ มันบอกว่ามันขายเม็ดละ 100 บาท งั้นเงินที่ผมได้ต่อเม็ดก็คือ 20 บาทเชียว กินก๋วยเตี๋ยวได้เลยนะนั่น ... แถมมีตั้ง 500 เม็ด เงินที่ผมจะได้ก็เยอะแยะเลยน่ะสิ ...ผมจึงตอบรับมันทันที ด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกกลุ่มแล้วผมก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้
ผมยังจำวันนั้นได้ดี ... ผมขับรถยนต์ไปที่จังหวัดข้างเคียง แต่สิ่งที่ผมเจอมันน่ากลัวที่สุดชีวิตผม ผมเจอด่านตรวจของตำรวจนั่นเอง ผมค่อยๆจอดแล้วเปิดกระจกคุยกับตำรวจ
"สวัสดีครับมีอะไรหรือครับ"ผมพูดกับนายตำรวจยศติดดาวอยู่คนหนึ่ง
"ตอนนี้ทางการตรวจเข้มด้านยาเสพติดครับ กรุณาให้ความร่วมมือลงจากรถแล้วเชิญทางด้านโน้นเลยนะครับ"นายตำรวจคนนั้นบอกผม ผมก็ยอมทำตามแต่โดยดี
ผมเดินไปถึงป้อม ข้างในเป็นตำรวจคนหนึ่ง ให้ผมถอดเสื้อถอดกางเกงแล้วเช็คทุกจุดในร่างกายของผม และผมก็ผ่านมาโดยปลอดภัย แต่เหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตำรวจเปิดถังน้ำมันดูแล้วพบยาที่ผมซ่อนไว้ ผมโดนจับไปอยู่ที่สถานีตำรวจ หรือภาษาชาวบ้านคือโรงพัก
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พ่อกับแม่ผมมาถึงที่โรงพัก ต่อว่าผมจนผมรู้สึกสำนึกผิด และสารภาพทั้งหมดว่าที่ผ่านมาผมได้ทำอะไรไปบ้าง พ่อกับแม่ผมบอกเพียงแค่ว่าให้ผมเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ไม่นานผมก็เข้าไปในสถานพินิจ จนกระทั่งผมถูกปล่อยตัวออกมา ผมไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่เพื่อนสนิท เพื่อนหลายๆคนไม่คบผมเพราะเห็นผมเป็นคนขี้คุกบ้าง คนส่งยาบ้าง เป็นไอ้ขี้เหล้าบ้าง ผมคิดว่าผมคงไม่เหลือใครอีกแล้ว
...
แต่ยังมีคนสองคนที่ยังคอยให้โอกาสผมเสมอ ... พ่อกับแม่ผม ไม่ว่าผมจะทำผิดอะไรมากแค่ไหนท่านก็ยังคงมองเห็นผมเป็นลูกเสมอ แม้ผมจะโกรธแค้นพ่อแม่ที่ด่าผมว่าได้เกรดน้อยบ้าง จนผมไม่อยากอยู่บ้าน จนต้องหนีโรงเรียนเพราะรู้ว่าพยายามไม่ไหว แต่สุดท้ายก็รู้ว่าพ่อแม่โมโหเพราะหวังดี อยากให้ผมมีอนาคต ไม่ว่าผมจะโตขึ้นขนาดไหนก็ตาม พ่อกับแม่ก็ยังเห็นผมเป็นเด็กที่เอาเกรดสูงๆมาอวดตอนประถม อวดภาษาอังกฤษง่ายๆที่พ่อแม่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ให้ฟังแล้วก็ลงท้ายด้วยฮ.นกฮูกตาโต ท่องสูตรคูณแล้วพ่อแม่ก็ต้องปรบมือให้ ผมค่อยๆนึกไป น้ำตาผมเริ่มจะไหล ... แต่แล้ว เด็กอายุประมาณ 8 ปีคนหนึ่งก็เดินมาทักผม
"พี่ครับ พี่เต้นได้ตลกมากเลยนะ"เด็กคนนั้นทักผมแล้วก็ยิ้มให้
"เต้นอะไรเหรอครับ ?"ผมถามน้องคนนั้นอย่างสงสัยว
"ก็พี่เป็นมาสคอทโจ๊กเกอร์ใช่มั้ยล่ะครับ ผมชอบที่พี่เต้นมากเลยนะ ผมว่าถ้างานนี้ไม่มีพี่คงเงียบกว่านี้แน่ๆเลย ลูกโป่งนี่ก็ด้วย"เด็กคนนั้นพูดกับผม
"แล้วรู้ได้ยังไงครับว่าพี่เป็นมาสคอทโจ๊กเกอร์"ผมยิงคำถามไปอีก
"ก็พี่ลืมถอดรองเท้ามาสคอทนี่ครับ"เด็กคนนั้นพูดขึ้น ผมจึงกวาดสายตาลงล่าง เห็นรองเท้าโจ๊กเกอร์ถูกสวมอยู่ มีขนปุกปุยเต็มไปหมด ผมถึงกับต้องหัวเราะจนแทบค้าง ถึงว่าสิ ทำไมคนถึงได้มองผมกันทั้งตลาด
"อ้อ ครับ เห็นแล้วล่ะครับ น้องนี่ช่างสังเกตดีนะครับ ชื่ออะไรเหรอครับ แล้วโตขึ้นไปจะเป็นอะไรน่ะ"ผมถามน้องที่ไม่รู้จักชื่ออีกครั้ง แต่คราวนี้เด็กชายค่อยๆเดินมาใกล้ๆผมแล้วบอกผมว่า
"ผมชื่ออาร์ทครับ โตไปอยากเป็นตำรวจ ผมอยากช่วยคนที่เดือดร้อน"น้องอาร์ทพูดขึ้นแล้วก็บอกลาผมเดินไปกับพ่อแม่ของเขา
ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่ผมจะกลับบ้าน ไปหาพ่อแม่ของผมบ้าง สุดท้ายที่ผมเคยคิดว่าเมื่อสิบปีที่แล้วน่ะผมคิดอะไรอยู่ ผมคงคิดออกแล้วล่ะครับ ....
"ผมอยากเป็นเด็กดีของพ่อแม่ครับ"
ผลงานอื่นๆ ของ แมวกำลังบิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ แมวกำลังบิน
ความคิดเห็น