คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
‘ทองเค’ เป็นนามปากกาของ ‘มโน’ นักเขียนนิยายระทึกขวัญสั่นประสาทหักมุม น้อยคนนักจะคาดเดาตอนจบได้ เช่นเดียวกับตัวตนของนักเขียนผู้นี้ สังคมรู้จักเขาในฐานะนักเขียนฝีมือฉกาจที่ชอบเก็บตัว เขาเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้และเป็นลูกที่อยู่ในโอวาทอย่างเคร่งครัดสำหรับครอบครัว
เมื่อปีก่อนมโนรู้สึกว่าได้มาถึงจุดอิ่มตัวของนิยายแนวนี้ จึงหันไปเขียนแนวอื่น แต่ยอดขายไม่ดีจึงกลับมาเขียนแนวเดิม ระหว่างนั้นเขาพักสมองอยู่ครึ่งปี พอหันมาจับปากกาอีกครั้งก็รู้สึกได้ถึงความฝืด เขาเขียนไม่ออก ทั้งสมองไม่เล่นและวิธีเขียนไม่ลื่น ตอนหัดเขียนแรกๆ ยังไม่ติดขัดเท่านี้ เขาบอกเหตุผลที่ว่านี้แก่บอกอของเขาหลังจากถูกถามถึงความคืบหน้าของงาน บอกอแนะนำอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า เขาควรหาแรงบันดาลใจในการเขียน
มโนไม่ใช่คนชอบเที่ยว เขาต้องการแค่เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน เพื่อนสนิทแนะนำสถานที่แห่งหนึ่งให้เขา มันเป็นบ้านที่คล้ายกับบ้านพักตากอากาศบนเขาที่ประกาศให้เช่ามาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเข้าไปอยู่นักเพราะห่างไกลความเจริญและเป็นบ้านเพียงหลังเดียวบนเขาลูกนั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเมืองที่เสพติดความสะดวกสบาย แต่สำหรับมโนแล้วเรื่องนั้นไม่เป็นอุปสรรคเลย เขามีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง บ้านหลังนี้จึงเป็นทางเลือกลำดับแรก ดีกว่าไปพักรีสอร์ตที่แพงกว่าไม่รู้กี่เท่าเพราะเขายังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอยู่นานเท่าไหร่
มโนพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง หนังสือนิยายของเหม เวชกรและสตีเฟ่น คิง นักเขียนเรื่องสยองขวัญคนโปรดที่เขาอ่านนับครั้งไม่ถ้วนวางเป็นลำดับสุดท้ายก่อนปิดกระเป๋า ทุกครั้งที่เขาจำต้องห่างจากตู้หนังสือจะต้องหยิบนิยายของนักเขียนคนโปรดไปด้วย เหมือนกับบางคนที่ชอบพกหนังสือสวดมนตร์ สารพัดยาสามัญประจำบ้าน
มโนมาถึงพะเยาตอนใกล้ค่ำ แสงสีส้มจับขอบฟ้าเหนือภูเขาสีอึมครึมเป็นรูปหยักซ้อนสองข้างทางจนดูเหมือนเส้นทางสัญจรเป็นเหวลึก เขารอให้ถนนว่างแล้วแอบรถข้างทางเพื่อเก็บภาพก่อนมันจะหายไปไม่กี่นาทีต่อมา เขาขับรถมาตามแผนที่และป้ายบอกทางจนมาถึงอำเภอเล็กๆ จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ เขาโทรหาผู้ใหญ่บ้านเพื่อสอบถามเส้นทาง ก่อนจะบังคับรถให้ไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่มีป้ายไม้สลักชื่อหมู่บ้านตรงทางเข้า
ถนนลูกรังสายเล็กมีบ้านเรียงรายทั้งสองข้างทางโดยมีภาพธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ซ้อนอยู่เบื้องหลังอีกชั้น น่าเสียดายที่มาถึงมืดเกินไปจึงไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามบริสุทธิ์ เขาถอนหายใจเล็กน้อยจนมาถึงบ้านไม้สองชั้นทาสีฟ้าที่เปิดไฟสว่างทั้งหลังราวกับมีงานสำคัญ
รถกระบะสีดำสมรรถนะสูง จอดโดยไม่ดับเครื่องยนต์ ผู้ที่ก้าวลงมาเป็นชายหนุ่มสูงไม่เกินร้อยแปดสิบ สวมกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำตาลอ่อน พอเขามายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ ผู้คนที่นั่งรวมกันอยู่หน้าบ้านโดยเฉพาะผู้หญิงต่างจ้องตาโต เขาตกเป็นเป้าสายตาไม่ถึงนาที ผู้ชายร่างท้วมสวมเสื้อคล้ายผ้าม่อฮ่อมสีซีดกับกางเกงขาก๊วยสีดำคาดทับด้วยผ้าขาวม้าลายแดงสลับขาว ก็แหวกผู้คนเดินตรงมายืนต่อหน้าและมองคนมาใหม่อย่างสำรวจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งยินดีว่า
“คุณทองเคใช่ไหมครับ ผมชื่อคำถงเป็นผู้ใหญ่ของหมู่บ้านนี้ ยินดีต้อนรับครับ”
“สวัสดีครับผู้ใหญ่ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน เรียกผมว่าเคก็ได้” เขายกมือไหว้ผู้อาวุโส ก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังและกราดไหว้ราวกับนักการเมืองท้องถิ่นฤดูหาเสียง
“ไม่รบกวนหรอกครับ พวกเรามานั่งสังสรรค์กันทุกเย็น แต่วันนี้ตื่นเต้นกันหน่อยเพราะคุณมา” ผู้ใหญ่ปรายตาไปด้านหลัง แม่พวกสาวๆ ท่าทางยินดีจนออกนอกหน้า ทั้งสาวรุ่นสาวแก่ นั่น...เมียเขายืนบิดจนน่าเกลียด เขากระแอมเล็กน้อยกลบเกลื่อนความเสียมารยาทของคนในปกครอง มากกว่าจะไล่ความตื่นเต้นก่อนเริ่มประโยคต่อไปแบบที่นักการเมืองกล่าวสุนทรพจน์บนเวที ที่มีผู้ถูกเกณฑ์ให้มานั่งถ่างตารอฟังนับร้อย
“ผมคงไม่อยู่นาน ถ้าทำงานเสร็จแล้วก็จะรีบกลับ” มโนออกตัว เขาไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อต้องมาอยู่ต่างถิ่น โดยเฉพาะในฐานะผู้ขอรับความช่วยเหลือ
“อยู่เป็นปีก็ได้คุณ พะเยามีที่ให้เที่ยวเยอะแยะ ถ้าคุณชอบธรรมชาติ วัดวาอาราม ของเก่าอะไรพวกนั้น ผมยินดีพาคุณเที่ยว”
“คำมอนจะพาคุณเที่ยวเองจ้ะ” เสียงเล็กๆ ดังมาก่อนตัว มโนถอนสายตามองหญิงสาวที่อายุไม่น่าเกินยี่สิบ ใบหน้าแฉล้มตัดกับปากสีสดที่สามารถเห็นได้แม้ในที่แสงน้อย กลิ่นน้ำหอมหรือแป้งเย็นสักอย่างโชยออกมาจากตัวสาวน้อยก่อนสายลมหนาวจะพัดมันออกไปจากปลายจมูกเขา
ผู้ใหญ่หันไปปรามสาวน้อยด้วยสายตา และเรื่อยไปถึงหญิงสาวอีกสองสามคนด้านหลังราวกับว่าพวกหล่อนเป็นสินค้า ที่ดาหน้าออกมาเสนอตัวให้ชายหนุ่มเลือกซื้อ
“นี่ครับกุญแจ เฉพาะประตูหน้า ห้องอื่นๆ ไม่ได้ล็อก” ผู้ใหญ่คำถงยื่นกุญแจจนเหมือนจะยัดใส่มือชายหนุ่ม เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจอยากรับลูกสาวของเขาแทนมัน
“ขาดเหลืออะไรก็บอกนะครับ โทรมาก็ได้ แต่...อย่าให้ดึกนัก...เอ่อ ผมนอนเร็ว คนแก่ก็อย่างนี้” ผู้ใหญ่หัวเราะเก้อๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มใช้สายตาประหลาดใจมองมา
“ขอบคุณครับ”
“คุณกินอะไรมาหรือยังจ๊ะ วันนี้แม่ทำต้มยำปลาช่อน...”
“กับข้าวพื้นๆ น่ะครับ” ผู้ใหญ่คำถงขัดขึ้นก่อนที่ลูกสาวจะแจกแจงเมนูจนหมดไส้หมดพุง ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มเป็นแขกต่างถิ่นคนแรกของที่นี่ จนเขาประหม่าไม่รู้เรื่องมารยาทในการต้อนรับ แต่แขกเหล่านั้นไม่ได้หน้าตาดีขนาดนี้ แค่นักพัฒนาชุมชนคนเดียวก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงถูก คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าถ้าชายหนุ่มจากกรุงเทพฯคนนี้มาเป็นแขกประจำ ลูกที่เพิ่งผ่านวัยสาวมาได้ไม่กี่ฝนคงได้หอบผ้าหอบผ่อนตามเขาไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเสบียงมาด้วย แต่ตอนนี้อยากนอนมากกว่า ไม่คิดว่าขับรถจะเหนื่อยขนาดนี้” มโนบีบไหล่เล็กน้อยประกอบ เกิดมาก็เพิ่งเคยเสแสร้งนี่แหละ จะว่าไปแล้วเรื่องเข้าสังคมไม่ใช่งานถนัดของเขาเพราะแทบไม่ได้ออกจากบ้าน นี่คงเป็นสัญชาตญาณของสัตว์สังคมในตัวเขาที่ต้องแสดงตามมารยาทอย่างไม่ต้องสงสัย
“คำมอนนวดเป็นจ้ะ เก่งด้วย เคยไปเรียนเอาไว้ไปทำงานที่เมืองนอก...” สาวหน้าขาววอกทำท่าจะอธิบายต่อแต่ถูกคนเป็นพ่อเบรกหัวทิ่ม
“ไม่ได้ยินเหรอคุณเค้าเหนื่อย จะรีบไปนอน”
“แต่ฉันนวดเป็นจริงๆ นี่” สาวน้อยเถียงตาใส
“คุณเคจะไปบ้านที่อยู่บนโน้นนะ” ผู้ใหญ่เน้นเสียง ไม่เพียงแต่สะกิดใจหญิงสาว คนที่ถูกพาดพิงเลิกคิ้วเล็กน้อยระหว่างมองปฏิกิริยาแบบเพิ่งจะนึกได้ของเธอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ปะ...เปล่าคุณ บนเขามันมืด ไฟทางก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก มีบ้านหลังเดียว นังคำมอนมันเป็นผู้หญิงกลับค่ำมืดไม่ค่อยปลอดภัย ถ้าคุณอยากนวดค่อยให้มันไปตอนกลางวัน”
“แค่เมื่อยนิดหน่อย ไม่รบกวนผู้ใหญ่กับลูกสาวหรอกครับ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ ผมขอตัวก่อน” เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะความมีมารยาทของเขาหรอกที่ทำให้ผู้ใหญ่คำถงมีสีหน้าดีขึ้น นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งว่าเขาไม่เหมาะกับคนหมู่มาก เขายิ้มให้หญิงสาวในความหวังดีจนออกนอกหน้าของเธอ แล้วเดินกลับไปที่รถ ขับออกไป
“แหมพ่อ ทีหลังก็เตี๊ยมกันก่อนสิ อย่างนี้คุณเขาไม่คิดว่าพ่อหวงลูกจนเสียมารยาทเหรอ” คำมอนหน้ามุ่ยแม้จะปลาบปลื้มกับรอยยิ้มสุดแสนประทับใจของชายหนุ่มก็ตาม
“อย่างเอ็งน่ะข้าไม่ห่วงเรื่องผู้ชายหรอก ที่ข้ากันเอ็งไม่ให้ไปบ้านหลังนั้นเพราะกลัวว่าแทนที่เอ็งจะได้กอดหนุ่มกรุงเทพฯ จะได้กอดผีน่ะสิ” ขาดคำผู้ใหญ่คำถง เสียงหมาหอนก็ดังขึ้นเหมือนอยู่ข้างหู จากนั้นเสียงหอนก็ดังขานรับกันเป็นทอดๆ ดูเหมือนปลายเสียงจะอยู่หน้าหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่คำถงมองบรรยากาศโดยรอบด้วยความรู้สึกที่ค่อนไปทางไม่ไว้ใจ ชะโงกหน้าไปตามทางลูกรังเห็นไฟรถเป็นจุดสีแดงเล็กๆ แล้วหันมามองลูกสาวที่ยืนกอดอกห่อไหล่ ก่อนเดินกลับเข้าไปรวมกลุ่มซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์หนุ่มแปลกหน้าจากกรุงเทพฯ โดยมีเสียงโหยหวนดังคลอเป็นระยะ
คำมอนตาโตลูบแขนราวกับจะปลุกปลอบร่างกายที่ตอบสนองต่อบรรยากาศวังเวง เธอชะโงกหน้าออกไปมองรถกระบะสีดำบ้างแต่ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดที่ชวนขนหัวลุกอันคุ้นเคย จากนั้นรีบวิ่งไปรวมกลุ่มและไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปอยู่ในบ้านตามลำพัง
รถกระบะสีดำไต่ขึ้นเขาด้วยความระมัดระวัง ส่วนหนึ่งเพราะคนขับไม่ชินทาง อีกประการที่สำคัญคือเขากำลังมองหาจุดหมายที่น่าจะซ่อนตัวอยู่ใต้แนวไม้สูงใหญ่ เช่นเดียวกับที่มันบดบังไฟทางจนเกือบมิด อย่างไรก็ตามมโนไม่แน่ใจไฟทางที่ทิ้งช่วงมากขนาดนั้นจะช่วยให้คนหลงทางพบทางออกหรือไม่ นั่นไม่นับรวมกับประสิทธิภาพที่อ่อนด้อยของมัน เขาคิดเมื่อเงยหน้ามองเงาทะมึนของต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วบังเอิญเห็นเสาเหล็กที่ยืนตัวลีบข้างๆ กัน
อาจเพราะความมืดที่โอบล้อมถนนลูกรังสายเล็กนี้ก็ได้ ทำให้เขาพลาดรายละเอียดที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นที่อยู่อาศัยเหมือนทางเข้าหมู่บ้านเมื่อสิบห้านาทีก่อน เขาสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยว การเป็นปัจเจกที่อยู่นอกเหนือกฎของสัตว์สังคม พื้นที่ซึ่งประจักษ์แก่สายตาแห่งนี้มีเพียงสีของธรรมชาติที่เรียกว่าอันธกาล ผิดกับสังคมเมืองที่มีเกือบทุกสีราวกับจะกลบเกลื่อนธรรมชาติอย่างที่มนุษย์ชอบปกปิดความจริง
“ทางซ้าย” เขาพึมพำหลังจากทางไต่ระดับค่อยๆ อยู่ในแนวระนาบ ถึงจะท่องอย่างนั้นแต่เขาก็อดที่จะกลอกตาไปทางขวาไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วบรรยากาศทางซ้ายก็เหมือนกับทางขวาพอๆ กับภาพข้างหน้าก็เหมือนกับข้างหลัง อย่างไรก็ตามเขาหวังว่าแสงของวันพรุ่งนี้จะทำให้ความแตกต่างแสดงตัวออกมา
หลังจากผ่านกองเกียรติยศของทิวไม้สองข้างทางที่ยืนรอต้อนรับเขาอย่างสงบนิ่งนั้น มโนคิดว่าถึงเวลาที่ต้องจอดรถ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะขับเลยไปถึงยอดเขาก็ได้ แน่ล่ะที่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้ ปารุจหรือไอ้รุจเคยเตือนว่าเส้นทางบนภูเขาไม่ได้ราบเรียบเหมือนถนนหลวง มันเป็นแค่ทางที่ใครบางคนไปขออำเภอให้เข้าไปเร่งจัดการเพื่อที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะใช้ประโยชน์จากมัน เหมือนกับการขอน้ำขอไฟ แต่บางคนก็ทำทางเองเพราะไม่อาจรอทางราชการที่มักล่าช้าเพราะเอกสารและขั้นตอนมากมาย นี่ล่ะที่สร้างความกังวลใจเพราะบ้านเพียงหลังเดียวบนเขาไม่น่าจะอยู่ห่างจากผู้คนมากขนาดยี่สิบนาทีแล้วยังไม่เห็นบ้านสักหลัง มโนหยิบโทรศัพท์เพื่อจะสอบถามเส้นทางจากเพื่อนสนิท ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณ
“หรือจะย้อนกลับ” เขาคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น กลับไปเริ่มต้นจากจุดที่ไต่เนินเขาแล้วจับเวลา หรือจะไปหาผู้ใหญ่คำถงให้ใครนั่งมาเป็นเพื่อนเขาเพื่อชี้พิกัดก่อนที่เขาจะพากลับไปส่งอีกครั้ง
มโนกวาดตาหาทางโล่งๆ เพื่อกลับรถ แล้วเขาก็เห็นทางหนึ่งข้างหน้าใต้แสงไฟที่ให้ความสว่างราวกับพระจันทร์เต็มดวง เขาพิศวงยิ่งนักยามที่แสงสว่างนั้นให้รัศมีค่อนข้างไกล ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไฟทางที่ให้แสงสว่างมากที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นเขามา รถกระบะสีดำประกายเงาวับขณะที่ถอยหลังเพื่อกลับรถใต้แสงนั้น แต่แทนที่มันจะแล่นออกไปยังทิศทางเดิม มันกลับหยุดนิ่งคล้ายถูกสะกด
“อะไรวะนั่น” เมื่อสองสามนาทีก่อนขณะที่มโนกำลังถอยหลัง เขามองกระจกเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถอยไปถูกสิ่งกีดขวางอะไร แต่แทนที่จะเป็นความมืดมิดดังเช่นสิ่งแวดล้อมตลอดสองข้างทางก่อนหน้านี้ เบื้องหลังของเขาคือสิ่งก่อสร้างที่อยู่ลึกเข้าไปในดงไม้ มันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมสามเหลี่ยมหรืออะไรก็ตามที่ผิดแผกไปจากขบวนแถวเกียรติยศที่รอต้อนรับเขาสองข้างถนนลูกรังเมื่อกี้
เขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ตามหาจนเกือบถอดใจ เขาเหยียบคันเร่งถอยหลังจนได้ระยะที่สามารถหักหน้ารถมุ่งสู่ตัวบ้านได้ แสงไฟจากหน้ารถทำให้มองเห็นที่ซุกหัวนอนชัดขึ้น มโนก้าวลงจากรถด้วยความปรีดา บ้านที่มีลักษณะเหมือนบ้านพักตากอากาศจำพวกรีสอร์ตที่ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นทางเหนือและความสะดวกสบายอย่างชีวิตคนเมือง นอกจากความใหญ่โตเกินกว่าจะเป็นแค่ที่พักชั่วคราวที่ทำให้เขาแปลกใจแล้ว มันยังให้ความรู้สึกที่ทำให้ขนในตัวเขาลุกเกรียว
ถ้ามโนไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป บ้านหลังนี้แหละคือบ้านผีสิงในนิยายเรื่องใหม่ของเขา!
มโนเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้ขณะเดินขึ้นบันไดสามขั้นไปที่ประตูหน้า มีอะไรบางอย่างอยู่ตรงบริเวณประตูครึ่งบนที่เป็นกระจกสะท้อนแสงไฟจนเกิดเงาวูบวาบคล้ายมีคนข้างในสาดไฟออกมา ดีที่เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย ต้องขอบคุณครอบครัวที่มอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่เขา บางทีเขาอาจจะเป็นนักเขียนนิยายลึกลับเขย่าขวัญในจำนวนน้อยคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาห่างศาสนา เขายึดหลักคำสอนของศาสดาเอกของโลกท่านหนึ่งอย่างเคร่งครัด และดูแคลนพวกที่ใช้คำสอนนั้นมาดัดแปลงเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัว เขาล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงสอดเข้าช่องกุญแจ เสียงของมันแทรกความมืดสร้างความสะพรึงได้อย่างน่าประหลาด
‘แค่เสียงกุญแจเนี่ยนะ’ เขายิ้มพอใจ ประสบการณ์จริงหล่อเลี้ยงจินตนาการของเขาให้อิ่มเอม เสียงอะไรก็ตามที่ดังในความเงียบสงัด แม้กระทั่งเข็มเล่มเดียวก็อาจทำให้ใครตื่นเต้นจนเลือดในตัวแข็งเหมือนแช่ช่องแช่แข็งก็ได้
เขาค่อยๆ เปิดประตู เสียงบานพับลั่นเอี๊ยดเหมือนในหนังสยองขวัญ แสงไฟจากหน้ารถช่วยให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในบ้านได้ไม่ทั้งหมด ความหนาวเย็นสะกิดขนในกายของเขาให้ลุกพึ่บทั้งตัว เขามองไปที่ผนังหลังจากกวาดตามองเงาสลัวของบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ตอบรับตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นเขาจึงหาสวิตซ์ไฟ
มโนกะพริบตาถี่ๆ เมื่อแสงสว่างจากไฟหลุมอย่างน้อยสองดวงพร้อมใจกันทำงาน จนเขาปรับสายตาได้แล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน ลมหนาวจากภายนอกหอบหนึ่งวิ่งผ่านประตูเข้ามาแถมยังใจดีช่วยปิดประตูให้ มโนสะดุ้งเล็กน้อย ยิ้มให้กับการตอบสนองของตัวเอง
โถงด้านหน้าคงเป็นที่สำหรับรับแขกเพราะเฟอร์นิเจอร์มากชิ้นคลุมทับด้วยผ้าสีขาว ด้านขวาเป็นห้องสำหรับนั่งเล่นที่เชื่อมต่อกับครัวที่มีชุดครัวค่อนข้างทันสมัยซึ่งมีประตูสีขาวบานหนึ่งในนั้น คงเป็นประตูด้านหลังสำหรับพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน สุดโถงรับแขกคือบันไดที่โค้งเล็กน้อยสอดรับกับชานพักที่มีทางเดินยาว บันไดดังเอี๊ยดอ๊าดขานรับการมาเยือนของผู้มาใหม่ มโนเดินมาถึงบริเวณชั้นสองของบ้าน สุดทางเดินด้านขวามีสองห้องเช่นเดียวกับสุดทางเดินด้านซ้าย
เขาใช้เวลาสำรวจห้องทั้งสี่ไม่นาน ห้องทางซ้ายของบันไดคือห้องนอนใหญ่ ห้องใกล้บันไดห้องหนึ่งเป็นห้องหนังสือ ส่วนอีกห้องเป็นห้องนอนเช่นเดียวกับห้องขวาสุด มโนค่อนข้างพอใจสำหรับการสำรวจเล็กๆ ในค่ำคืนนี้ เขากลับลงมาแล้วขนของในรถเข้าไปเก็บไว้ในบ้าน เปิดไฟตรงชานหน้าบ้านแล้วล็อกประตู ดึงผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์ออก เปิดพัดลมเพดานระบายอากาศ แล้วจัดการเสบียงอย่างรวดเร็ว บ้านนี้อะไรก็ดี เสียอย่างเดียวไม่มีทีวี เขาส่ายหน้าแล้วเอนตัวนอนบนโซฟาตัวยาว ไม่นานก็ผล็อยหลับ
‘โครม!’
มโนขมวดคิ้ว หนังตายุกยิก ตอบสนองเสียงประหลาดที่ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง มันหนักหน่วงแต่ไม่ดังเท่าที่ควรคล้ายกับของสิ่งนั้นหล่นในกล่องหรือห้อง อย่างไรก็ตามมันไม่ได้หยุดสร้างความแปลกใจให้เขาแค่นั้น เสียงแกรกกรากดังจากที่ไกลๆ และใกล้ขึ้นจนเหมือนเสียงนั้นดังอยู่ในบ้าน และแล้วเสียงนั่นก็หยุดเหมือนกำลังขอความเห็นจากหนังตาที่ปิดสนิทของเขา
ใช่...เขาอยากจะบอกว่ามันน่าสนใจมาก ยิ่งรู้ว่าบ้านหลังนี้มีเขาอยู่คนเดียว แต่เขาช่วยมันไม่ได้ มันคงต้องใช้ความพยายามอีกหน่อยที่จะปลุกเขา หัวเจ้ากรรมหนักอึ้งยิ่งร่างกายไม่ต้องพูดถึง มันขยับไม่ได้แม้เขาอยากจะลุกขึ้นไปดูไอ้เสียงนั่นใจจะขาด
ครืด...ครืด...ครืด
เสียงใหม่แปลกกว่าสองเสียงแรก มันคงพยายามจนถึงที่สุดนั่นแหละ มันทำให้เขาต่อสู้กับตัวเอง มโนไม่รู้หรอกว่าตัวเองกระสับกระส่ายจนน่าตกใจ เขาไม่ได้นอนดิ้นจนน่ากลัวจะตกจากโซฟา แต่เหมือนกำลังดิ้นหนีจากอะไรบางอย่างที่กดทับตัวเขาไว้ด้วยพลังมหาศาล!
โครม!...
พลั่กๆ...
ความอยากรู้ทำให้มโนเอาชนะกับอะไรก็ตามที่ตรึงร่างกายของเขาไว้ทุกส่วน เขาทะลึ่งนั่ง แสงไฟในห้องนั่งเล่นยังคงสว่างเหมือนก่อนที่เขาจะหลับ ไฟจากชานบันไดเปิดทิ้งไว้หมดข้อสงสัยที่ว่าเสียงโครมกับเสียงกลิ้งหลุนๆ ดังมาจากตรงนั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งนั้นไม่ยอมให้เขาหมดความกังขา มันยังคงเรียกร้องความสนใจที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ฝัน มโนลุกขึ้นแล้วเริ่มกวาดตาหาสิ่งที่ปลุกเขายามวิกาล นาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลาตีสามห้านาที เขาเดินไปที่ประตู อลูมิเนียมชุบทองลวดลายคล้ายเถาวัลย์เกาะอยู่บนบานกระจกนี่เอง ที่ก่อนหน้านั้นเขานึกว่ามีใครสาดไฟออกมาจากในบ้าน มโนถอนหายใจเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ทะลุออกไปที่ครัวและย้อนกลับออกมาที่ห้องโถง ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่เสียงนั้นก็ยังดังอยู่เรื่อยๆ คราวนี้เหมือนเสียงฝีเท้าใครบางคนกำลังทิ้งน้ำหนักบนบันได
ตอนนี้เขาเผชิญหน้าอยู่กับบันได ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ทฤษฏีเสียงประหลาดมักท้าทายนักสำรวจซึ่งสุดท้ายจะได้บทสรุปเดียวกัน ว่ามันคือเสียงของสิ่งลี้ลับที่ไร้เหตุผลและวิจารณญาณ เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยท้าทายมันเพราะเขามีบทสรุปอยู่แล้ว
‘ความกลัว’
เขาไม่ได้เก่งกล้ามาจากไหน แต่บทเรียนจากอดีตคือของขวัญล้ำค่าสำหรับปัจจุบัน เขาได้บทเรียนว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความฉ้อฉลของจิตใจมนุษย์ ถึงจะเอาแต่เก็บตัวอยู่กับบ้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขารู้จักเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์น้อยลง บางทีอาจมีใครเล่นตลกกับเขา เป็นหนทางที่เป็นไปได้ที่สุด สถานที่แห่งนี้หลีกเร้นจากชุมชน ซ่อนตัวกับธรรมชาติ มีใครบางคนเคยพูดไว้ว่า ‘ควรเก็บเพื่อนไว้ใกล้ตัว แต่ควรเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า’ แต่ตอนนี้เขายืนคนละข้างกับทฤษฏีนั้น เขาไม่มีเพื่อนและยิ่งไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู อาจมีใครสักคนกำลังคิดไม่ดีกับคนแปลกหน้าที่อาศัยอยู่ตามลำพังในที่เปลี่ยว
อย่างไรก็ตามเขาคิดว่ามันเป็นวิธีที่ค่อนข้างอึกทึกทีเดียวสำหรับการคิดร้ายต่อคนอื่น
มือค่อนข้างแข็งแรงที่ถูกหล่อหลอมมาจากความลำเข็ญในวัยเด็ก หยิบชะแลงที่ซ่อนอยู่ในชั้นวางของทำเลียนแบบเตาผิงตรงข้ามโซฟาที่ใช้นอน หลังจากสำรวจหนึ่งรอบแล้วก็ยังไม่พบที่มาของเสียง เขาไม่กลัวแต่ไม่อาจแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินได้ มันรำคาญมากถ้าต้องฟังเสียงนี้ทุกคืน นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาต้องมาถึงที่นี่ก่อนตะวันตกดิน เขาควรฟังคำเตือนของเพื่อน มันน่าจะดีกว่านี้ที่เราจะเห็นความแปลกใหม่ไม่ใช่คลำหาหรือจินตนาการเอง
มโนถือชะแลงขณะเดินสำรวจแทบจะทุกซอกทุกมุมภายในบ้าน เสียงนั้นไม่น่าจะดังมาจากข้างนอกเพราะมันอยู่ใกล้เหมือนอยู่ร่วมชายคากับเขา พอเขาหยุดค้นหามันก็ดังขึ้นอีก พอเริ่มออกสำรวจมันก็เงียบราวกับกำลังเล่นซ่อนหา ตอนนี้ตีสามครึ่ง เขาอยากนอนมากกว่าอะไรทั้งหมด มโนถอนหายใจอย่างตัดสินใจเลิกค้นหา เขาหยิบขวดน้ำแล้วเดินขึ้นบันได ระหว่างนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้น เขาก้มลงมองเท้าตัวเอง มีที่หนึ่งที่เขายังไม่ได้ไปดู...
เขาถอนหายใจหนักหน่วงขณะเดินอ้อมไปที่ใต้บันได เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ มีประตูเล็กๆ อยู่ข้างใต้ เขามองมันอย่างชั่งใจ มีอะไรในห้องเก็บของใต้บันได ซึ่งสิ่งนั้นคงหนีไม่พ้นสัตว์จำพวกหนูหรืออาจเป็นนกสักตัวที่พยายามดิ้นรนหาอิสรภาพ ใบหน้าคมคร้ามส่ายไปมาเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอุทิศเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ
นิ้วเรียวใหญ่ขยับกลอนขึ้นสนิม เศษสนิมร่วงสัมผัสมือขณะออกแรงดึง เสียงบานพับดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนประตูหน้า เขาขยับตัวหลีกทางให้กับบานประตูที่เขาดึงเปิดจนสุด กลิ่นอับบางอย่างพุ่งออกมา มโนยกมือปิดจมูก
‘กลิ่นอะไรวะเหม็นฉิบ’
เขาชะโงกผ่านกรอบประตูเข้าไป มือเท้าผนังด้านนอกขณะคลำหาสวิตซ์ไฟ เสียงหลอดไฟลั่นเปรี๊ยะพร้อมกับชะตาของมันขาดผึง ยังเหลืออีกดวงหนึ่งใกล้กับศีรษะของเขา ซึ่งเพียงพอที่จะเปลี่ยนความคิดของชายหนุ่ม สิ่งที่อยู่ใต้บันไดไม่ใช่ห้องเก็บของ มันเป็นห้องใต้ดินที่ไม่อาจคะเนความลึกได้ด้วยไฟขมุกขมัวเพียงดวงเดียว
ครืด...ครืด...ครืด
เสียงนั่นดังมาจากข้างล่าง มโนขมวดคิ้วใช้สติที่ไม่เคยแตกอย่างน้อยก็เก้าปีที่ผ่านมา ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่อาจจะเป็นที่มาของเสียง มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการกระทำของสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ อาจเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ งูหรือตัวเงินตัวทองน่าจะเข้าท่าสุด มโนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ขณะก้าวข้ามธรณีประตู เขาไม่ลืมหยิบชะแลงติดตัวลงมาด้วย ไฟจากโทรศัพท์ที่ทันสมัยที่สุดของโลกส่องให้เห็นบันไดไม้อย่างน้อยสามขั้นในแต่ละก้าว เขาแหงนกลับขึ้นไปมองที่ประตู เขามาไกลเกินไปและเสียงนั่นก็หยุดแล้ว คงเป็นสัตว์จริงๆ พอได้กลิ่นสัตว์ที่อันตรายที่สุดในโลก สัญชาตญาณระวังภัยก็บอกให้มันซ่อนตัว
ก็ดี...ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยลงมาดู หรือไม่ก็ขังมันไว้ที่นี่แหละ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่แค่ชั่วคราว ระหว่างนี้ต่างคนต่างอยู่เถอะ
คิดได้ดังนั้นแล้วมโนก็หันกลับเดินขึ้นไป ทว่าขณะที่ขาข้างหนึ่งขยับก้าวแต่ขาอีกข้างหนึ่งกลับเหมือนถูกยึดไว้โดยอะไรก็ตามที่พันอยู่ข้อเท้าของเขา มโนค่อยๆ หันกลับมา ความตกใจทำให้หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วินาทีนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาสัมผัสคืออะไร มือข้างที่ถือโทรศัพท์สั่นขณะยกขึ้นช้าๆ ส่องลงไปข้างล่างอีกครั้ง
คุณพระช่วย!
มันไม่ใช่งู ไม่ใช่ตัวเงินตัวทองหรือนกหนูที่ต้องการอิสระ แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายคน...ผู้หญิงผมยาวที่ใช้มือขาวราวกับขนมตังเมยักษ์พันที่ข้อเท้าของเขา
มโนถอยหลังจนลำตัวกระแทกกับผนังด้านหนึ่ง สมองโล่งว่างเปล่า แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์สั่นระริก เหมือนสิ่งนั้นรู้ว่าต้องทำอะไร มันเริ่มขยับคล้ายกับกำลังจะคลานขึ้นบันได เพียงแต่ติดว่ามันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้กระทั่งเท้าของเขาแหย่ลงไป พอได้ที่เกาะมันก็คลานขึ้นมาทีละขั้น ตอนนี้มโนแน่ใจว่าศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมสีดำนั้นกำลังอยู่ในลักษณะคอพับไปข้างหนึ่ง
เขากำลังสติแตก นัยน์ตาดำขยายใหญ่ เขาพยายามขยับขาแต่ดูเหมือนว่ามันมีพละกำลังเหนือกว่าเขามาก ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างที่กำชะแลงก็สะบัดลงไป เขาหลับตาแน่น เสียงที่ผ่านหูคล้ายกับมะพร้าวถูกทุบ เขาค่อยๆ ลืมตา แล้วก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นถูกชะแลงของเขาจนคอพับไปอีกข้าง แต่เขารู้ว่าหล่อนยังไม่ตาย เพราะหล่อนใช้ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องกลับมาจนเขาต้องตะโกนด้วยความกลัวสุดขีด!
ความคิดเห็น