ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณหมอขี้เก๊กกับนักบินจอมกวน (Season 2) (Boy's Love)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 : ห้องน้ำรวม (Everyone in line in the bathroom)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 38
      1
      20 ต.ค. 60

                    ผมมีความรู้สึกว่างานนี้ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ถึงแม้ว่าเก๊ทจะดูตื่นเต้นกับขบวนรถไฟหน้าตาแปลก ๆ และภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย แต่อากาศในวันนี้ดูไม่ค่อยจะเป็นใจนัก

                    ฝนโปรยปรายกระทบกับหน้าต่างรถไฟอย่างหนัก นั่นทำให้ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ และกลับรู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่ไม่ได้นั่งริมหน้าต่าง

                    ผมพลิกตัวเล็กน้อยเพื่อจัดท่านอนของตัวเอง เก้าอี้ปรับเอนได้ก็จริง แต่มันก็ไม่สบายเหมือนเตียงนอนนัก

                    “เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยเก๊ทถามขึ้น

                    เปล่า นอนไม่ค่อยถนัด

                    “เอานี่ไปหนุนไหมเก๊ทม้วนเสื้อโค้ตอย่างลวก ๆ ทำเป็นมอนหนาๆพอประมาณ และจัดหัวผมยกขึ้น และเอาโค้ตรองรับศีรษะของผม

                    ขอบคุณนะ

     

                    ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อตื่นขึ้นมา รถไฟขบวนนี้ก็ยังไม่ถึงที่หมาย แต่ก็อีกไม่นานนัก ผมจัดของต่างๆ ให้เป็นระเบียบ ทั้งของตัวผมและของเก๊ท ซึ่งตอนนี้หลับไปเรียบร้อยแล้ว (เข้าใจว่าน่าจะเบื่อเพราะมองไม่เห็นอะไรเนื่องจากฝนตก)

                    ผมพาดเสื้อโค้ตของเก๊ทไว้ให้พร้อมที่จะหยิบตอนลงจากรถไฟ ผมเปิดคู่มือนำเที่ยวขึ้นมาดูเล็กน้อย ทบทวนเส้นทางที่จะต้องไป ซึ่งดูแล้ว งงงวยพอสมควร และค้นพบว่า คงจะหลงเป็นแน่แท้ล่ะงานนี้

                    เก๊ท ตื่นได้แล้วล่ะ ใกล้ถึงละนะ

                    “หื้อออ ยังไม่ถึงไม่ใช่หรอ อีกแป๊…” เก๊ทพูดอย่างงัวเงีย และหลับต่อ

                    ถ้ายังไม่ตื่น จะจูบจริงๆด้วยนะผมท้า

                    “……” เก๊ทเงียบอยู่พักใหญ่ ก็จูบดิเก๊ทพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

                    สักพักเก๊ทก็ลืมตาขึ้น..... ด้วยสัญชาตญาณ ผมโน้มตัวไปหาเก๊ทอย่างช้าๆ ... เก๊ทมองผมด้วยสายตาสั่น ๆ ... และเริ่มหลับตาและขยับหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ... ปลายจมูกของผมก็เข้าไปสัมผัสปลายจมูกของเก๊ทอย่างเบา ๆ .....

     

                    โป๊กกก!!!

     

                    “โอ๊ยยยยย....อ๊ากก...สึสสส...เก๊ทร้องเสียงหลง เพราะผมเอาหน้าผากกระแทก (เบาๆเองนะ) ใส่อย่างจัง

                    ฮ่า ๆๆๆ เตรียมตัวเดี๋ยวนี้เลย

                    “บอม....จิ๊.... แม่ง....โอ๊ยยย.... ไม่ต้องเอามือมาจับเลย...ทำไรเนี่ย เจ็บชิบ

                    “โทษๆ ก็บอกให้ตื่นดีๆไม่ตื่น

                    “จิ๊.... ตื่นแล้วเว้ย .... เจ็บชะมัด แม่ง...

                    “โอ๋ๆๆๆผมกอดเก๊ทเพื่อจะปลอบ

                    ไม่ต้องมากอดเลยเก๊ทพยายามดิ้น

                    “โอ๋ๆๆ ฟู่วววว หายนะตัวเล็ก เพี้ยง

     

                    เก๊ททำหน้างอเล็กน้อยก่อนจะพยายามทำเป็นจัดของให้เรียบร้อย ซึ่งจริงๆผมจัดมันไปแล้วรอบนึง เห็นได้ชัดว่าเวลาเก๊ทเขินเนี่ย ... ตลกชะมัด

                   

                    ไม่นานนักรถไฟก็เทียบท่าที่สถานีชินจูกุ ผมและเก๊ทต่างใส่โอเวอร์โค้ตตัวหนา และลากกระเป๋าออกจากรถไฟ

                    อ๊ากกกกกกผมและเก๊ทร้องพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

                    หนาวโคตรเก๊ทพูดขึ้น

                    ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้ .... ลมอีก .... แรงมากๆผมเสริม

                    ขอไปหลบตรงนั้นก่อนนะไม่ไหวละเก๊ทพูดจบก็รีบวิ่งไปหลบด้านหลังของเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ ซึ่งเหมือนจะไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ เพราะลมมาจากทุกทิศทุกทางเลย

                    เก๊ทเปิดกระเป๋าและหยิบถุงมือขึ้นมา 2 คู่ และยื่นให้ผมใส่ ผมรู้สึกว่าโชคดีสุดๆ เพราะเมื่อใส่ถุงมือแล้วมันช่วยได้เยอะ เพียงแต่ว่า ที่หนาวคือทั้งตัว โดยเฉพาะเสื้อหลายชั้นที่ใส่อยู่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย

                    เรายืนอยู่สักพักใหญ่ เพื่อดูทีท่าฝนซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักนิด นั่นเลยทำให้ผมตัดสินใจว่า ยืนงี้ต่อไปต้องหนาวตายก่อนแน่ๆ

                    ไปเถอะผมบอกเก๊ท และหันซ้ายขวา มองหาทางออกจากสถานี ซึ่งผมไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

                    รู้หรอว่า ไปทางไหน

                    “เอาเถอะ เดิน ๆ ไปก่อนละกัน อย่างน้อยรีบไปในตึก น่าจะอุ่นกว่า

                    และก็เป็นเช่นนั้นจริง เราสองคนเดินออกจากตัวสถานี ไปตามทางเรื่อย (ซึ่งสับสนมากๆ) จนกระทั่งเจอทางออก แต่นั่นทำให้เรางงกว่าเดิม เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ฝนก็ยังคงตกไมหยุด ลมก็แรงและอากาศก็หนาวสุดๆ แต่ผมก็ยังแอบเห็นสาวญี่ปุ่นหลายๆคน ใส่สั้นมาก ประหนึ่งเป็นหน้าร้อน คือแบบ.... รู้สึกตัวเองไม่แมนเลยแหะ (...ก็อาจจะไม่แมนจริงๆ...)

                    ณ เวลานี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงโรงแรมเร็ว ๆ และตอนนี้ผมต้องการตัวช่วยสักหน่อย ผมมองเห็นวัยรุ่นญี่ปุ่น จับคุยกันอยู่สองสามคน จึงเข้าไปถามทาง ซึ่งผมพอทราบว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง จึงเลือกเป็นเด็กๆนักเรียนวัยรุ่น..... แต่ผมคิดผิดมาก เพราะแม้แต่วัยรุ่นเองภาษาก็ไม่ได้เรื่องเช่นกัน สื่อสารกันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นพาพวกผมไปส่งให้คุยกับตำรวจท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งตำรวจท่องเที่ยวก็กางแผนที่และแนะนำให้ได้เป็นอย่างดี

                    หลังจากเดินตากฝนกับเก๊ทกันมาสักพัก เราก็มาถึงที่พัก ซึ่งจริงๆแล้วผมแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในตึกขนาดใหญ่ที่เรียงรายติดกัน มันจะมีที่พักอยู่ด้านบน มันเหมือนคุณไปตึกเจ๊เล๊งพลาซ่า แต่มีที่พักอยู่ด้านบน โดยที่ด้านล่างมีป้ายบอกว่าแต่ละชั้นมีอะไรอยู่บ้าง ชั้น 2, 3 เป็นร้านอาหารและผับบาร์ ชั้น 4 เป็นคาราโอเกะ ส่วนโรงแรมจะอยู่ชั้น 5 และชั้นถัดๆไป ซึ่งมีการแยกชั้นผู้หญิงและผู้ชายออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

                    เราขึ้นมาถึงโซนต้อนรับของโรงแรม ซึ่งเมื่อเปิดลิฟต์มาเราก็พบฝูงชนประมาณนึง มีทั้งชาวต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นเอง พร้อมทั้งชั้นรองเท้าและรองเท้าที่เฉอะแฉะถูกวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ พร้อมทั้งส่งกลิ่นอับอันน่ารังเกียจออกมาอย่างไม่ปราณี

                    คือถ้ากลิ่นแบบนี้มันฆ่าคนได้ เราว่าคนพวกนี้คงมีชีวิตไม่ยืนยาวแน่ๆเก๊ทพูดขึ้นก่อน

                    ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะอยากจะรีบเดินหนีไปเร็วๆ พนักงานต้อนรับสอบถามข้อมูลการจองกับเราสองคน น่าประหลาดมากที่พนักงานต้อนรับมีคนนึงเป็นคนไทย นั่นก็หมายความว่าที่นี่คงมีคนไทยมาเข้าพักเยอะ เขาแนะนำว่าโรงแรมเป็นลักษณะคล้ายโรงแรมแคปซูล คือแยกนอนเป็นรูๆกันไป และให้กุญแจล็อคเกอร์เราคนละ 1 ดอกแยกเก็บของกัน หลังจากฟังคำแนะนำเรียบร้อยเราก็เข้าไปเก็บของที่ล็อคเกอร์ เก๊ทฝากผมเก็บของเข้าให้ เก๊ทให้เหตุผลว่า

    ก็นายเก็บของเป็นระเบียบ ซึ่งเป็นความสามารถเดียวที่เราไม่มี แบบนี้ล่ะ Work .... ไปห้องน้ำก่อนนะ

    น่าแปลกที่ผมก็ไม่ได้อิดออดอะไรกับประโยคนี้นัก ก่อนที่จะเริ่มเก็บทุกสิ่งอย่าง เตรียมของที่คิดว่าจะใช้ออกมาก่อน และจัดให้เข้าที่เข้าทางกับล็อคเกอร์ 2 อันนี้มีทั้งของๆผมและเก๊ทปนๆกันเล็กน้อย ก่อนที่จะเรียบร้อย อยู่ดีๆ เก๊ทก็เดินกึ่งวิ่งอย่างน่าตาตื่นเข้ามาหาผม

    บอมๆๆ เราว่าย้ายโรงแรมกันเหอะเก๊ทพูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ

    อ้าวทำไมล่ะ กลิ่นไม่โอเคหรอ หรือว่าห้องน้ำไม่ดีผมถามขึ้น

    ไม่เชิงอ่ะ.... คือว่าห้องน้ำไม่ได้แย่หรือว่าไม่ดีหรอก.... แต่นายรู้ใช่ไหมว่ามันคือห้องน้ำรวม.... คือเรารู้ว่ามันคือห้องน้ำรวม.... แต่ไม่คิดว่าจะรวมขนาดนี้

    รวมขนาดไหนคือผมยังงงอยู่เพราะเข้าใจว่า มันก็น่าจะเหมือนกับ Hostel ที่ผมเคยไปพักคือมีห้องน้ำส่วนที่ใช้ร่วมกันและห้องอาบน้ำแยกห้องต่างหาก

    รวมทุกขนาด ..... นายไปดูเองดีกว่าเก๊ทพูด

    ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าอะไรของมัน ผมเดินออกจากห้องล็อคเกอร์ ตรงไปโซนที่เป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำ และก็ได้พบว่า เป็นจริงอย่างที่เก๊ทว่าไม่มีผิด คือ รวมทุกขนาด .... S M L XL XXL XXXL’ ในห้องอาบน้ำมันคือห้องอาบน้ำที่เรียกว่า การอาบน้ำรวมที่แท้ทรูถึงแม้ว่าประตูก่อนเข้าอาบน้ำ จะมีกระจกซึ่งมีไอน้ำขึ้นอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอมองเห็น ร่างเล็กร่างใหญ่ ของผู้ชายหลายๆขนาด เอ้ย! หลายๆสัญชาติ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนตั้งสติแล้วเดินกลับไป ด้วยความช็อคเล็กน้อย


    เป็นไงล่ะ.... เอาไงดีล่ะเก๊ทพูดขั้นทันทีที่ผมเดินมาถึง

    เอาไงอะไรล่ะ เก๊ทจองไม่ใช่หรอ

    คือ.... ก็ไม่รู้ว่ามันจะขนาดนี้ไง

    พูดยังไม่ทันจบก็มีกลุ่มวัยรุ่นฝรั่ง 3 คนเดินเข้ามาในโซนล็อคเกอร์ พร้อมกับถอดเสื้อผ้าจนล่อนจ้อน จนเราสองคนต้องเหลือบตาไปดู

    เก๊ท อายป่ะล่ะ .... คือบอมว่าถ้ามันจะขนาดนี้น่ะนะ คงไม่มีใครมานั่งสนใจหรอกมั้ง ยกเว้นเราเองที่อาจจะ .... ไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

    อายก็อายแหละมั้ง แต่ว่าให้หาที่ใหม่ กับอากาศหนาวขนาดนี้ ก็คงไม่ไหว ยังไงลองพักดูไปก่อนละกัน ไม่ไหวจริงๆค่อยเปลี่ยนดีไหม

    ตกลงตามนั้น .... แล้วเข้าห้องน้ำเรียบร้อยหรือยัง

    เออ ลืมเลย รอแป๊บ

    ช่างเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เสียจริง แต่ว่ามันก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะมั้ง ... ซึ่งเอาจริงๆแล้วสิ่งที่แย่กว่าคือการที่วันนี้ทั้งวันฝนตกอยู่ตลอดนั่นเอง เราสองคนรีบเตรียมของและออกจากที่พัก เตรียมจะไปเที่ยววัดอาซากุสะ หรือ ภาษาถิ่นจะเรียกว่า วัดเซนโซจินั่นเอง แต่ด้วยสถานการณ์และสภาพอากาศตอนนี้นั้น แม้แต่เก๊ทที่จริงๆแล้วมีความกระตือรือร้นกับการเที่ยวมาก ถึงกับขอยกเลิกการเดินทางระหว่างนั่งรถไฟไป นั่นทำให้ผมแอบหงุดหงิดเล็กๆ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ฝนตกขนาดนี้ ไปถึงก็อาจจะไม่สนุก ถ่ายรูปอะไรไม่ได้อยู่ดี

    จะไปไหนดีล่ะ ผิดแผนเลยเก๊ทพูดขึ้น

    ไม่รู้ดิ อากาศแบบนี้ เที่ยวที่ไหนคงไม่ได้ .... เอางี้มะ ไหนๆก็ฝนตก ก็นั่งชินคันเซ็นไปเรื่อยๆดีไหม เพราะตั๋วที่เราซื้อมันสามารถนั่งชินคันเซ็นได้อยู่แล้ว และเราก็ลองดูว่าในบรรดาสถานีที่เราผ่านมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนน่าสนใจบ้าง

    เอาแบบนั้นก็ได้

    รถไฟชินคันเซ็น มาถึงสถานีอย่างตรงเวลา เอาจริงๆแล้วมาก่อนเวลาเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่ออกตรงเวลา เราสองคนเลือกที่จะลงทะเบียนจองที่นั่ง เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีที่นั่งไหม แต่ภายในขบวนรถไฟนั้นโล่งกว่าที่คิดนัก เราไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าเราเลือกไปที่สถานีไหน เราแจ้งกับพนักงานที่ซื้อตั๋วว่า เราจะเดินทางไปสุดทางของรถไฟ แต่ว่าเราอาจจะลงก่อน เขาบอกว่าสามารถทำได้


    ระหว่างนั่งรถไฟไปนั้น เราสองคนก็พยายามหาสถานที่ท่องเที่ยวว่า จะไปลงกันที่ไหนดี โดยคิดว่าไหนๆก็นั่งรถไฟหัวจรวดนี้แล้ว ก็น่าจะออกไปไกลๆจากเมืองหลวงสักหน่อย

    ที่นี่ไหม Karuizawa มีหิมะด้วยนะ แล้วก็ลานสกี แล้วก็ Outlet” เก๊ทพูดขึ้นหลังบ่นพึมพำอะไรกับตัวเองอยู่พักใหญ่ๆ

    “2 อย่างแรกเนี่ยไม่เกี่ยวใช่ไหม Main idea อยู่ที่ Outlet ใช่ป่ะ

    บอมก็พูดเกินไป เอาจริงๆแล้วเรายังไม่เคยเห็นหิมะเลยสักครั้งเดียว... เอ่อ ถ้าไม่นับเมืองหิมะปลอมๆที่ Dream World น่ะนะ ซึ่งนั่นก็นานมากแล้ว

    เคยไปด้วยหรอ Dream World” ผมสงสัย

    โอ๊ย นานมากแล้วล่ะ ทัศนศึกษาที่โรงเรียนน่ะ ไปอ้วกแตกด้วยนะ เจอเครื่องเล่นเรือใบไวกิ้งเข้าไป ลงมานี่อ้วกเลย

    น่าสงสาร

    น่าอายมากกว่า คนอื่นเขา วู้ๆ เย่ๆ สนุกสนาน เรานี่นั่งหลับตาอยากให้มันหยุด

    แต่โตมาก็ดูสนุกสนานกับเครื่องเล่นที่สิงคโปร์นะ

    ใช่ โตมาแล้วแข็ง.... แรง

    หรอๆๆ ..... เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้ว่า แข็ง.....แรง จริงหรือเปล่า

    หยุดความคิดนั้นไปซะเดี๋ยวนี้นะ

    ผมยักไหล่ให้หนึ่งทีก่อนทำหูทวนลมไปตามเรื่องตามราว แต่อย่างน้อยทั้งเก๊ทและผมก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ฝนก็เริ่มจะซาลงแล้ว มองเห็นวิวภายนอกได้มากขึ้น พร้อมเริ่มเห็นหิมะ ตามทางบ้างประปราย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×