ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณหมอขี้เก๊กกับนักบินจอมกวน (Season 2) (Boy's Love)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 : ฝนตก ยิ่งนึกถึงทีไรก็ยิ่งชุ่มฉ่ำ (Rain Dance)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 99
      1
      17 ต.ค. 60

    บทที่ 4 : ฝนตก ยิ่งนึกถึงทีไรก็ยิ่งชุ่มฉ่ำ (Rain Dance)

                    การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แค่ท่าทางดูมีพิรุธนิดหน่อย ก็ต้องโดนเรียกถามคุยว่า มาทำอะไรที่ไหนอย่างไร และผมกล้าบอกได้เลยว่า คนญี่ปุ่นเอง ก็เหยียดผิวพอสมควร หากไม่ได้ตาตี่ แล้วผิวคมเข้มคล้ำๆ หน่อย เท่าที่ผมสังเกตมักจะโดนเรียกค้นกระเป๋า และสอบถามตลอด...

                    ผมและบอมกำลัง เข้าคิวอยู่ โดยบอมอยู่ด้านหน้าผม พึ่งตรวจเอกสาร และผ่านเข้าไปด้านใน ในขณะที่ผมก็เป็นคิวถัดไป พนักงานตรวจเอกสารก็เริ่มมองหน้า และตรวจเอกสารว่าตรงกันหรือไม่..... และก็ผ่านไป ผมลากกระเป๋าตามเข้าไป มองซ้ายขวาแล้วไม่แน่ใจว่าบอมหายไปไหน เพราะว่าพอเข้ามาด้านใน มีการสแกนกระเป๋าตรวจสิ่งของต้องสำแดงอีกชั้นนึง ผมเข้าใจว่าบอมคงไม่ได้โดนตรวจค้นอะไร แต่ที่แน่ๆ ด่านนี้ผมไม่รอด….

    (ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่ผมแปลจากภาษาอังกฤษที่พนักงานตรวจพูดกับผม)

                    “คุณพักที่ไหนครับพนักงานกล่าวขึ้น หลังจากเรียกตัวผมไปตรวจค้น

                    ผมมีบ้านอยู่ที่ไทยครับผมพูดขึ้น

                    ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง ที่พักที่ญี่ปุ่น

                    “อ๋อ พักที่โรงแรม... เอ่อ.... จำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่อยู่ย่านชินจูกุ...

                    “ขอดูใบจองที่พักหน่อยครับ

                    “อ๋อครับ.... เอ่อ.... คือมันไม่ได้อยู่ที่ผมครับ อยู่กับเพื่อนผมที่เดินออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่แน่ใจ คุณอาจจะเห็นเขา

                    “งั้น มาพักกี่วันครับ

                    “5 วันผมเริ่มเสียงแข็ง เพราะผมไม่ชอบตอบคำถามอะไรที่น่ารำคาญเช่นนี้ (พูดง่ายๆคือเสือก)

                    “แล้ว... จะไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ

                    “เอ่อ... ไม่รู้ครับ.... คือก็ยังไม่รู้หรอก ... ผมไม่ได้คิดไว้ .... คุณถามผมมากเกินไปหรือเปล่า บางทีคนเราก็ไม่เห็นต้องวางแผนท่องเที่ยวก็ได้นี่ผมเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิด

                    รบกวนเปิดกระเป๋าเดินทางหน่อยครับพนักงานเปลี่ยนเรื่อง

                    ผมเปิดกระเป๋าแบบลวก ๆ ซึ่งข้างในมีเสื้อผ้าที่จัดวางไว้อย่างดี

                    เชิญครับผมกระแทกเสียงใส่

                    ช่วยหยิบของออก เพื่อให้ผมตรวจด้านในนิดนึงครับ

                    “อะไรนะ!!!” ผมคิดในใจ แม่ง จะอะไรกันนักกันหนาวะแต่ก็จำใจหยิบออกมา ซึ่งนั่นมันทำให้มันเละนิดหน่อย และผมรู้ทันทีว่า งานยากแล้วล่ะ ที่จะต้องเก็บกลับเข้าไป

                    พนักงานตรวจกระเป๋าอยู่พักนึงก่อนบอกว่า

                    ขอบคุณครับ ... ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวครับ

                    ผมไม่ได้ตอบอะไร มองโกรธ ๆ กลับไปและบ่นเป็นภาษาไทยอยู่หลายครับ ซึ่งพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าจะให้ย่อสั้นๆก็คงเป็น ไม่สนุกก็เพราะมึงนี่ล่ะ.....F*ck U Japan”

                    ผมใช้เวลาสักพักที่จะจัดของกลับไป จะเรียกว่าบางส่วนก็ต้องยัดมันลงไปมากกว่า และเดินออกไป... ผมมองเห็นบอมอยู่ในระยะห่างออกไปสักหน่อย ซึ่งผมเข้าใจว่าบอมคงรออยู่พักใหญ่แล้ว

                    เกิดไรขึ้นหรอบอมถามอย่างเป็นห่วง

                    แม่ง... ช่างเหอะไว้เล่าให้ฟังทีหลัง... รีบออกจากสนามบินบ้าๆนี่เถอะผมตอบไปแบบนั้น เพราะผมไม่อยากพาลใส่คนสำคัญของผม และยิ่งมันเป็นเวลาที่สำคัญและน่าจดจำ ผมอยากจะมีความสุขกับมันมากกว่า

     

     

                    พวกเราออกมาบริเวณส่วนรับรองผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนาริตะ บอมอาสาที่จะเป็นคนเปิดคู่มือนำเที่ยว และรู้ว่าเราจะต้องนั่งรถไฟสายที่เป็น JR PASS โดยการซื้อตั๋วแบบเหมา ๆ เพื่อจะได้ท่องเที่ยวกันได้สบายใจโดยไม่มีอุปสรรคในเรื่องการเดินทาง

                    อากาศภายในอาคารผู้โดยสารอยู่ในระดับที่เรียกว่าอุ่น แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าด้านนอกนั้นช่างหนาวเย็นอยู่ทีเดียว ผมและบอมหยิบเสื้อคลุม Overcoat ขึ้นมาคนละตัวเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ส่วนผมก็จะมีผ้าพันคอเท่ๆเพิ่มเติมหนึ่งผืน

                    ไหนหว่าไม่เห็นมีเคาเตอร์ JR Railway เลยนะ มีแต่ Metro Line” บอมพูดขึ้น

                    ในคู่มือนำเที่ยวบอกไว้ว่า ถ้าซื้อ JR จะถูกกว่า และประหยัดกว่า นอกจากนี้สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นทีที่รถไฟสาย JR วิ่งผ่าน

                    งั้นเดี๋ยวเราไปถามเขาให้ละกัน....ผมอาสา

                    เราถามเองดีกว่า... ถ้าเป็นเรื่องภาษาน่ะนะบอมปฏิเสธ

                    แหม .... นี่เดี๋ยวคอยดู ภาษาเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ... คอยดูพี่เอาไว้ให้ดีๆนะน้องชาย

                    “อ่ะจ้า ... จะคอยดูบอมยียวนกวนบาทาผม

                    ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ได้ความว่า เราจะต้องเดินลงไปด้านล่างเพื่อเข้าสถานี และสามารถซื้อตั๋วได้จากบริเวณนั้น

                    เป็นไงล่ะผมยิ้มเยาะ เมื่อเราสองคนลงมาด้านล่างเรียบร้อย และเจอกับสถานที่จำหน่ายตั๋ว

                    ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จริง ๆ แล้วค่าครองชีพไม่ได้สูง ถ้าเทียบกับเงินที่หาได้ หากเรารู้จักอยู่อย่างพอเพียง แต่สิ่งที่ไม่ได้รวมอยู่ในค่ากินอยู่ คือค่าเดินทางนี่แหละที่แพงกว่า นั่นเป็นเพราะว่ารถไฟฟ้าหลายๆสายนั้น ล้วนแต่เป็นการบริหารงานโดยเอกชนทั้งสิ้น และรถไฟ เป็นเส้นเลือดใหญ่ของญี่ปุ่นเลยก็ได้ เพราะทุกคนเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก

                    ที่ผมเรียกว่า รถไฟผมไม่ได้เขียนผิดหรอกนะ เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ รางรถไฟ หลายๆส่วน มันก็เหมือนกับรางรถไฟธรรมดาๆที่เป็นหัวจักรเหมือนประเทศไทยนี่แหละ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ หัวกระสุนรถไฟที่ญี่ปุ่นใช้เป็นระบบไฟฟ้า

                    บางทีผมก็สงสัยว่าทำไมประเทศไทย เอารถไฟฟ้า มาวิ่งบนรางรถไฟแทนบ้าง เพราะรางรถไฟแทบไม่ต่างกัน เพียงแค่พัฒนาของเก่าให้มันดีกว่าเดิม หรือชาวญี่ปุ่นเขาเรียกว่า ‘Kaizen’ นั่นเอง (ประเทศเราสร้างเสร็จก็ทิ้ง เก่าปุ๊บ ก็สร้างใหม่) ที่ญี่ปุ่นนั้น ไม่วางจะรางแบบเก่าหรือแบบใหม่ รถไฟของเขาจะสามารถวิ่งได้ทั้งหมด

                    “โคตรแพงบอมบ่นขึ้น

                    อะไรล่ะ... มันก็ราคานี้แหละผมตอบ

                    ก็แหม ดูดิ กระดาษไปเดียว เที่ยวสามสี่วัน ราคาเกือบหมื่นบาท ... นี่ถ้าหล่นหายไปนี่น้ำตาเล็ดบอมพูดพลางโบกกระดาษ JR PASS ไปมา (JR Pass เป็นลักษณะคล้ายๆกระดาษกึ่งสมุด ใช้สำหรับผ่านเข้าออกรถไฟฟ้า JR เพียงแค่ยื่นบัตรก็สามารถผ่านเข้าไปได้เลย

                    อย่าบ่น เดี๋ยวซัดตู้มผมปัดรังควาญ (ขนาดนั้นเลย)


                    การเดินทางจากสนามบินนาริตะ ไปยังที่พักของเรานั้น ไม่ได้ลำบากนัก เพราะเราแค่นั่งรถไฟความเร็วสูง ชินคันเซ็น ที่ชื่อว่า NEX (Narita Express) ก็ไปถึงได้อย่างสบายๆ แต่ถึงแม้มันจะความเร็วสูงแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังใช้เวลานานอยู่ดี

                    สมัยก่อนนั้น สนามบินนานาชาติของญี่ปุ่นจะเป็นสนามบินฮาเนดะ ซึ่งมีความใกล้กับเมืองโตเกียวมากกว่า ในขณะที่สนามบินนาริตะนั้นจะห่างไกลกว่ามากนัก ถึงกระนั้น เครื่องบินส่วนใหญ่ก็มักจะไปลงที่นาริตะมากกว่า มีแต่สายการบินขนาดเล็ก หรือสายการบินในประเทศเท่านั้นที่ยังทำการบินอยู่ที่สนามบินฮาเนดะ (แต่บางสายการบินเช่น การบินไทย ก็ยังมีบริการลงทั้ง 2 สนามบินเลยนะ)

                    ไม่นานนักรถไฟ NEX ก็เทียบท่าเข้าชานชาลา แบบตรงเวลาเป๊ะเวอร์ ผมรู้มาว่ารถไฟทุกขบวนจะตรงเวลามาก ๆ เดือน ๆ นึง ถ้านับความล่าช้าของรถไฟทุกขบวนรวมกัน ยังอยู่ในแค่ระดับนาทีเท่านั้นเอง


                    รถไฟ NEX นั้นเป็นหนึ่งในรถไฟที่ผมรู้สึกว่า หล่อมาก คือมันไม่ได้หัวลู่ลมเหมือนกับชินคันเซ็นรุ่นพี่ของมัน แต่ผมชอบเรื่องสีของมัน ตัวขบวนเป็นสีขาว และคาดด้วยเส้นดำแดง ดูโดดเด่น ที่สำคัญคือ ด้านนอกขบวนรถไฟนี่สะอาดมากเลยนะ ถ้าเอามือไปจับที่ตัวขบวนนี่แทบจะไม่มีฝุ่นติดมือมาเลย ไม่รู้ว่ามันอาบน้ำทุกวันหรืออย่างไร

                    บอมและผมลากกระเป๋าขึ้นขบวนรถไฟ และไปยังที่นั่งของเรา ซึ่งได้จองเอาไว้ ตอนที่ซื้อตั๋ว JR PASS

                    สิ่งที่ต้องระวังคือ นักท่องเที่ยวที่มาใหม่ ๆ มักไม่ทราบว่ารถไฟชินคันเซ็น อย่างเช่น NEX อันนี้ จะมีโบกี้สำหรับคนทั่วไป และคนที่จองที่นั่งไว้แล้ว เราต้องเข้าไปนั่งให้ถูกโบกี้ เพราะระหว่างทางก็จะมีคนมาตรวจตั๋ว และถ้าเรานั่งผิด เขาจะไล่ไปนั่งโบกี้ที่ถูกต้อง ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไม่ทราบตรงนี้ จึงเข้าไปมั่วๆ

                    โหหหหหหผมพูดขึ้น และตะลึงกับภาพที่เห็นภายในโบกี้

                    ดูดีมากบอมเสริม

                    ขอบคุณนะ เขินเลย

                    “ไม่ใช่แก เก็ท ... รถไฟตะหากบอมพูด

                    ผมโยกหัวไปมา เพื่อกวนตีนบอม

                    ที่นั่งอยู่ตรงไหนนี่บอมตัดบท

                    คิดว่าคงอยู่ข้างหน้านี้..... เอ่อ.... โน่นไงตรงนั้น


                    เราสองคนมองหน้ากันหนึ่งที แล้วก็เหมือนไม่ได้นัดหมาย ... เราสองคนวิ่งตรงและดึงห้ามอีกฝ่ายเพื่อแย่งที่นั่งริมหน้าต่าง

                    เห้ย มานี่ !” บอมดึงเสื้อและพยายามแทรกตัวผ่านไป

                    อะไรเล่าเราจะนั่งข้างหน้าต่างบนเครื่องบินนายนั่งไปแล้วนี่ผมขวางเอาไว้ได้ทัน

                    ไม่เกี่ยวเฟ้ย เก็ทขอแลกเองนี่

                    “อะไรกันเล่า ต้องให้แฟนนั่งดิผมพูดค้าน

                    “เราก็แฟนป่ะ เหมือนกันล่ะ...

                    เห้อ... ปัญญาอ่อนชะมัด เล่นเป็นเด็กๆไปได้ นี่ยังดีนะที่ไม่มีใครอยู่ในโบกี้เลย และผลสุดท้าย ผมเป็นผู้ชนะ ฮ่าๆๆๆ

                    “….” ผมทำหน้ายิ้มเยาะ

                    วุ้ย ... เล่นอะไรไม่รู้เรื่องบอมนั่งลงในเก้าอี้ตัวถัดไป

                    มานั่งทำไมเนี่ย.... ไปลากกระเป๋ามาดิ เดี๋ยวใครเข้ามาก็เกะกะเขาหมด กระเป๋าเบ้อเริ่มผมออกคำสั่ง

                    “….อุว๊ะ … “ บอมลุกจากที่นั่งอย่างเกียจคร้าน แล้วไปลากกระเป๋าสองใบที่วางทิ้งอยู่ด้านหน้า เพราะแย่งที่นั่งริมหน้าต่าง

                    บอมลากกระเป๋ามาและจัดวางให้เรียบร้อย แล้วหันมามองผมด้วยสายตาเอือมระอา

                    อะไรผมเลิกคิ้วแล้วก็หันไปมองหน้าต่างอย่างช้า ๆ และฮัมเพลงเบาๆ

                    บอมถอนหายใจยาว ๆ หนึ่งที

                    นอนล่ะ ถึงแล้วปลุกละกัน

                    บอมถอดเสื้อตัวนอกออก เนื่องจากในรถไฟนั้นค่อนข้างอุ่นมากอยู่แล้ว จากนั้นเอียงตัวไปอีกด้าน แล้วแล้วเอาเสื้อตัวนอกที่ถอดออกคลุมโปงจนเกือบมิดหน้า เหลือไว้แต่ลูกตา และคิ้วเข้มๆหนาๆของบอม

                    แอะ ... นอนจริงอ่ะผมแกล้งบอมต่อโดยดึงเสื้อออกนิดนึง

                    เออบอมตอบพลางดึงเสื้อคลุมเพิ่มขึ้น

                    จริงอ่ะผมจิ้มเอวบอมหนึ่งที จนบอมกระตุกหนึ่งที

                    เออออออ ไปๆๆๆ ไปดูหน้าต่างนู่น

                    ตอนแรกผมก็ว่าจะแกล้งต่ออีกสักสองสามที แต่คิดไปคิดมา อย่าดีกว่า เดี๋ยวแม่งโกรธจริง

                    ไม่นานนักรถไฟก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลา แล่นอยู่ใต้ดิน และเมื่อผ่านไปสักพักก็ขึ้นมาบนพื้นดินเข้ารางปกติ และสิ่งที่ผมรู้สึกว่า ท่าจะแย่แล้วคือ.... ฝนกำลังจะเริ่มตกลงมาในไม่กี่ชั่วโมงนี้นั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×