ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Going Crazy : เฮ้ย! นี่ผมชอบผู้ชาย : HaeEun (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #39 : ตอนพิเศษ คนมันพาล + คุยกันครั้งสุดท้ายแล้วจ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      10
      14 ธ.ค. 53

    ตอนพิเศษ คนมันพาล นะคะ
    เลื่อนลงไปล่างๆ ก็จะเจอ....เนื้อหามันอยู่ตรงนั้นค่ะ แต่ขอพื้นที่เพ้อนิดหน่อยสำหรับคนเขียนนะ

    จะเข้ามาบอกว่า หนังสือส่งไปแล้วนะคะ

    ถ้าใครได้รับแล้ว...ก็คือได้รับแล้ว !!! ฮ่าๆๆๆ

    (แอบรู้สึกไม่ดีนิดนึง เพราะเราส่งให้คนที่สั่งแค่ Going Crazy เล่มเดียวก่อน เลยส่ง EMS ได้ แต่พอจะส่งให้คนที่สั่งทั้งสองเรื่อง ค่าส่งตั้งหกสิบกว่าบาทอ่ะ เลยเปลี่ยนเป็นส่งลงทะเบียนแทน เฮ้อออ ไม่ได้ตั้งใจจะสองมาตรฐานนะ แล้วก็ตอนแรกกะจะส่งแบบกล่องพัสดุ คุณคนขายกล่องก็ถามว่าจะส่งอะไรครับ...หนังสือเหรอ ส่งเป็นซองขยายข้างก็ได้... เราเลยซื้อแบบซอง...ไม่ว่ากันเน๊อะ)

     

    ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านฟิคทั้งสองเรื่องนะจ๊ะ

    ที่จริง...แอบผิดหวังเล็กน้อย..นิด..มหาศาล!!! ที่คนสั่งจองฟิคมีไม่มาก

    เพราะตอนที่หนังสืออยู่ในมือเราแล้ว...เรารู้สึกภูมิใจกับมันมาก...เราอยากให้มันไปอยู่กับคนอ่านหลายๆ คน อยากให้ทุกคนได้อ่าน ได้จับต้อง...และพูดว่า นี่แหละคือฟิคของโก้!!! ...นี่ไง ฟิคของบลูซินโดรม....

    แต่ก็เอาเถอะ ถือว่ามันเป็นก้าวแรก ฮ่าๆๆ

     

    อ่านหนังสือตัวเองแล้ว...มีความคิดอยู่ สองสามอย่างคือ

     

    หนึ่ง..โห..ดูมันใช้คำ คิดได้ไงวะโก้..แกโคตรเก่งเลย5555 (อันนี้เป็นความคิดตอนอ่านเจอฮยอกเพ้อเจ้อ และใช้คำเปลืองๆ นะคะ มันฮาๆ ดี)

     

    สอง..ทำไมคำผิดเยอะจังวะ บางคำเพี้ยนเวอร์มากมาย บางคำก็ขาดหาย แล้วคนอ่านจะไม่หงุดหงิดเหรอเนี่ย...(คือก่อนเราส่งโรงพิมพ์เราก็ตรวจและแก้ไขพร้อมกับการจัดหน้าแล้วนะ แล้วพอก่อนทำเป็นพีดีเอฟก็ตรวจอีก...แต่ไหง๋มันลอดสายตาไปเยอะขนาดนี้ฟระ) ไอ้ตรงตอนพิเศษที่บอกว่า...จนเมื่อผมสัมผัสความอุ่นวาบที่พุ่งเข้ามาในตัวผมนั่นแหละครับ ถึงได้ตระหนักว่า...ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ถุงยางอีกแล้ว!! ขนาดดูแล้วดูอีก อ่านแล้วอ่านอีก ว่าจะแก้แล้ว แต่ทำไมมันยังเหมือนเดิมอยู่อีก (ก็เพราะว่าไม่ได้อ่ะดิ) ที่ถูกคือไม่ใช้ถุงยางนะคะ และยังมีคำผิดอีกมากมาย ต้องขอโทษด้วยนะคะ

     

    สาม...หน้าปก ปกหลังนะคะ มันโดนตัดไปคะ ที่เป็นตัวหนังสืออ่ะ ไม่โทษใครค่ะ โทษตัวเอง ฮ่าๆๆ แล้วก็ที่คั่นอาจดูแปลกๆ นะ เพราะทำเอง ไม่มีหัวด้านนี้จริงๆ เอาดีด้านงานออกแบบแบบนี้ไม่ได้หง่ะ

    สี่... และอื่นๆ ที่ตอนอ่านรู้สึกหงุดหงิดใจบ้าง แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไรบ้าง

    **คนที่ได้หนังสือแล้ว...อ่านแล้ว...เป็นยังบ้าง เข้ามาบอกกันบ้างนะคะ อิๆๆ

     

     

    มีคนถามว่า ทำไมไม่มีอะไรที่เป็นจากใจคนแต่ง...คำนิยม (ดูมันใช้คำ) กิตติกรรมประกาศ คำขอบคุณวะ...

    เราตอบเขาว่า...ก็ไม่อยากให้มีอ่ะ

    แต่ที่จริงเราคิดนะคะ...ว่าอาจมีคนไม่อยากให้มีก็ได้ เราเลยตัดสินใจไม่ใส่อะไรนอกจากเนื้อหาของฟิค อันนี้ไม่รู้ไรท์เตอร์คนอื่นเขาทำกันยังไงนะ...บางครั้งเราอาจขาดความมั่นใจ และมองตัวเองให้ต่ำต้อย (!!!!) ก็นั่นแหละคะ...โก้เป็นแบบนี้ มั้ง5555  เอาเป็นว่าจากใจคนแต่ง จะบอกไว้ในนี้นะ

     

     

    จากใจ Blue Syndrome

     

    อย่างที่เคยบอกแล้วว่า เราใช้เวลากับ Going Crazy ตั้งปีกว่าๆ นึกย้อนไป...มันนานมากเลยคะ ตอนที่ตัดสินใจให้มันจบ เรารู้สึกเฉยๆ นะ...แต่พอมาอ่านในหนังสือแล้ว...มันรู้สึกอาลัยอาวรณ์อ่ะ เฮอะๆๆ 

    อยากขอบคุณทุกคนมากที่ติดตามอ่านเรื่องนี้...โดยรวมแล้วฟิคนี้มันอาจจะยังไม่ดีพอ...แต่เราก็มีความสุขกับมันค่ะ ขอยกเอาคำพูดที่โพสต์ไว้ในตอนที่ 39 มาไว้ในนี้นะคะ

                อยากบอกคนอ่านทุกคนว่า ขอบคุณมากกกกกกนะคะ ที่ตามอ่านมาตั้งเป็นปี ที่จริงฟิคเรื่องนี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้ห่างไกลจากคำว่าฟิคดีๆ แต่เราก็ตั้งใจกับมันนะ ขอโทษที่ทำให้รอ ทำให้หงุดหงิด ทำให้ขุ่นเคือง ที่ผ่านมามีความสุขกับฟิคมากค่ะ รู้สึกดีที่ได้อ่านคอมเม้น (ทีหลังติมาก็ได้ ไม่ว่า ชอบ เฮอะๆๆๆ) ที่จริงเรายังรู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากคำว่าไรท์เตอร์มากเลยค่ะ เลยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะแทนตัวเองว่าไรท์เตอร์ แต่หลายๆ คนก็ยังอุตส่าห์เรียกเราว่าไรท์เตอร์ ขอบคุณนะคะ (ก็ที่นี่เขาเรียกกันอย่างนี้ อย่าง่าว อย่าง่าว ขอร้องเหอะโก้!!!!)  ขอโทษที่บางครั้งควบคุมความนอยด์ไม่ได้ เอามาระบายไร้สาระนะคะ

                เราเชื่อว่าคนเขียนเรื่องเกือบทุกคน เวลาเอาเรื่องมาลงให้คนอื่นอ่าน ก็หวังอยากให้มีคนเข้ามาอ่าน แต่ต่อมาก็จะอยากให้คนเข้ามาคอมเม้น แสดงความคิดเห็น จะชม จะด่า ยังไง ก็รอรับทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าโกรธกันเลยนะคะ ในบางครั้งที่เราท้อแท้ หมดกำลังใจ มันเป็นธรรมดาของคนแต่งฟิคค่ะ ความจริงแล้วแฟนฟิคส่วนมากมันจะเป็นแนว Yaoi ใช่มั๊ยคะ แต่คนรอบตัวเราไม่มีใครชอบแนวเดียวกับเราเลย มีเพื่อนที่พอพูดคุยกันได้ก็แยกย้ายกันไป  แต่เมื่อวันนึงความเป็นตัวเรามันเก็บไว้ไม่ได้ จนเราต้องเผลอแสดงออกมา หรือไม่ก็แสดงมันออกมาอย่างตั้งใจ คนที่ไม่เคยรู้อย่างที่เรารู้ เขากลับรับไม่ได้...เราจะได้รับท่าทางและคำพูด ที่เขาไม่น่าพูดแบบนี้ให้เราได้ยินเลย วันนั้นแหละค่ะ คืออีกวันนึงที่เรารู้สึกไม่ดีมากๆ...เพราะพวกเขาเหล่านั้น คือคนที่เราคิดว่าเราก็ให้ความสำคัญ บางครั้งที่เพื่อนต่อต้านเราแบบรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด เราก็อ่อนไหว น้ำตาซึมนะ...แต่มันไม่เท่า วันที่พวกเขา ไม่พูดอะไรเลย แต่เราเห็นแววตาเขา...มันบอกไว้ ว่าเรากับเขามันแปลกแยกกันแล้ว...อันนี้น้ำตาไม่ซึมค่ะ แต่มันตกใน มันไม่อยากเจอหน้าใครอีกแล้ว...

                ย่อหน้าข้างบนคือความรู้สึกของคนไม่เคยเก็บกดนะ ฮ่าๆๆ  ต่อไปนี้ฮยอกแจกับดงแฮใน Going Crazy ก็จะกลายเป็นความทรงจำแล้วค่ะ เหมือนกับ After the Sunset แต่ความรักมันยังสวยงามตลอดไปนะ (เพ้ออีก) ถ้าใครคิดถึงกัน ก็ตามเราได้นะ เราวนเวียนอยู่แถวนี้แหละ (มันก็เศร้าเหมือนกันนะเนี่ย) แต่พอแล้วค่ะ มันยาวเกินไปแล้ว คำที่อยากบอกที่สุด ก็บอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว..........ขอบคุณนะ

     

     

                                                                                                               

     

     

    Blue  Syndrome




    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ทีแรกก็ชั่งใจอยู่ว่าจะเอาตอนไหนมาลงเป็นตอนสุดท้ายดี
    ถ้าจะเอาตอน ฉันอยากกดนายบ้าง...มันก็จะมีปัญหาเรื่องเอ็นซีอีก
    เลยสรุปเป็นตอนนี้นะคะ

    ขออธิบายอีกนิดนึง (ไม่ยอมไปซักที อิๆๆ)
    คือลองอ่านตอนนี้อีกครั้ง รู้สึกตะหงิดใจชอบกล???
    สารภาพว่า เคยอ่านฟิคของนักเขียนท่านนึง (ที่โพสต์ไว้บอร์ดอื่นค่ะ) แล้วเราชอบคำพูดที่พระเอกพูดมาก เลย...แบบว่า..เก็บเอาไว้ แล้วก็เลาดูหนังรึว่าอ่านการ์ตูน คำไหนโดนๆ ก็จะเก็บไว้ รึไม่ก็ฝังจำ (???)
    ที่อยากบอกคือ..สรุปว่าตอนนี้ มีคำพูดพวกนั้น....เยอะอ่ะ ตกใจเหมือนกัน เพิ่งรู้ตัว (จริงอ่ะ....จริงสิ..)
    แอบเซ็งตัวเอง แต่ไม่อยากแก้แล้วอ่ะ (ก็พิมพ์เป็นเล่มออกมาแล้วนี่เน๊อะ)
    บอกแค่นี้แหละ ฮ่าๆๆ เหอๆๆๆ



    ตอนพิเศษ

    คนมันพาล

     

     

    Siwon’s POV

    “สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ทุกคน...คือหมายถึงเพื่อนของฉัน และก็เพื่อนของคุณคิมฮีชอลด้วยนะคะ...” ผมมองไปยังสาวสวยบนเวทีเล็ก ที่ยกสูงกว่าพื้นเล็กน้อย

    ผมยืนอยู่กับกลุ่มเพื่อนซึ่งเป็นคนสนิทของพี่ฮีชอล พี่คังอิน พี่อีทึก คยูฮยอน รยออุก คิบอม พี่เยซอง ดงแฮ ฮยอกแจ ส่วนพี่ชินดงและพี่ซองมินมาไม่ได้ ผมไม่มีเวลาและโอกาสได้ถามถึงสาเหตุจากคยูฮยอน เพราะพี่ฮันกยองอยู่ในสายตาผมตลอด พี่ฮันกยองเองก็มางานพร้อมกับคนอื่นในบ้าน เราทักทายกันปกติและผมพยายามจะไม่มอง แต่ผมยังเห็นเขาทางหางตาเสมอ

    งานนี้เป็นงานเลี้ยงของพี่ฮีชอลและว่าที่เจ้าสาว ไม่ใช่งานที่เป็นทางการ เป็นเพียงความต้องการของว่าที่เจ้าสาวที่ต้องการทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ของพี่ฮีชอล คืออยากรู้จักพี่ฮีชอลให้มากขึ้นนั่นเอง

    ผมรู้มาจากพี่เยซอง พี่คังอิน รวมถึงจากคนอื่นๆ ที่เขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พ่อแม่พี่ฮีชอลซึ่งตอนนี้ยังอยู่แคลิฟอเนีย ส่งสาวสาวยคนนี้มาเพื่อแต่งงานกับพี่ฮีชอล คงเหมือนเป็นการส่งมาทำนองเป็นการดูตัว แต่เป็นการดูตัวเชิงบังคับ...ว่ายังไงซะ ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่พ่อแม่พี่ฮีชอลเลือกแล้ว

    เนื่องจากเธอโตที่นี่ และไปอยู่แคลิฟอเนียกับครอบครัวได้แค่ 2 ปี เพื่อนของเธอส่วนใหญ่จึงอยู่ที่นี่ บรรยากาศวันนี้เลยมีแต่เพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน พี่ฮีชอลเชิญเพื่อนมาไม่มาก มีเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และก็พวกผมซึ่งเคยอยู่บ้านพี่อีทึกด้วยกัน

    ถึงจะเป็นงานที่พูดได้ว่าใม่เป็นทางการ แต่ทุกคนที่มากลับใส่สูทสุภาพ ผู้หญิงแต่งชุดสวยสุภาพแบบงานกลางคืน ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมีคอนเซปแบบนี้

    ผมเห็นพี่ฮีชอลยืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่ม และพี่ฮันกยองซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ผมก็มองไปยังพี่ฮีชอลเป็นระยะ ผมเกิดความรู้สึกอึดอัดจึงเดินเลี่ยงออกมา แกล้งทำเป็นมาเอาเครื่องดื่มและถือโอกาสมายืนข้างดงแฮแทน

    “เป็นไงบ้าง” ดงแฮถามผม แต่มันยังมองไปที่เวทีอยู่ ผมรู้ว่าดงแฮถามถึงอะไร

    “โอเค” ผมมองไปยังเวทีเช่นกัน “ฮยอกแจล่ะ”

    “เพื่อนที่มหาลัยลากไปทางไหนแล้วไมู่้” ดงแฮตอบ

    “ไม่หวงเหรอ” ผมตั้งใจจะพูดเล่นๆ

    “ไปกับรยออุก” แล้วดงแฮก็ตอบมาแบบเรียบๆ

    “นายล่ะ ไม่หวงเหรอ” อยู่ๆ ดงแฮก็พูด พร้อมกับพยักหน้าไปยังกลุ่มแขกที่อยู่ห่างออกไป ผมมองตามและเพ่งมองอยู่ว่ามีใครในนั้นที่ผมรู้จัก

    “หวงทำไมวะ” ผมหันกลับมาตอบ เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ผมลืมนึกถึงไปแล้วทั้งวัน คีย์ยืนพูดคุยอยู่กับกลุ่มรุ่นพี่ที่คงเคยอยู่ชมรมเดียวกัน และเพราะทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด ตอนนี้จึงเหมือนกับว่าผมเห็นแค่คีย์ยิ้มอยู่ท่ามกลางผู้ชายทักซิโด...คำว่า หวงทำไมวะ ที่ตอบดงแฮไป ดังขึ้นมาอีกครั้ง...พร้อมกับเสียงพูดในใจที่ผมได้ยินคนเดียว...จะยิ้มทำไมนักหนาวะ

    “ไม่เข้าไปเหรอ” ดงแฮพูด พร้อมกับยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นดื่ม

    “ไม่ ไม่ได้มาด้วยกัน” ผมบอกไปตามความจริง และต้องรีบหันหน้าหนีจากคนกลุ่มนั้น...ผมหันมาหาดงแฮ ทั้งที่ในใจรู้สึกไม่ชอบใจที่คีย์ยอมให้รุ่นพี่คนนั้นดึงคอเข้าไปกอด ถึงจะดูเหมือนทำเพราะแกล้งกันเล่นๆ แต่ผมคิดว่ามันเกินไปอยู่ดีที่เขาจูบหน้าผากคีย์อยู่ตั้งนาน

    “หึงเหรอวะ” ดงแฮหันมายิงคำถาม ผมเห็นมันยิ้มขึ้นมาที่มุมปากครู่นึง ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

    “ไร้สาระมาก...” ผมลากเสียง พร้อมกับทำหน้าเอือมกับคำถามของดงแฮ

    “สงสารพี่ฮันกยองชะมัด...ฉันว่าจะไม่พูดกับนายแล้วนะ แต่เผลอว่ะ..โทษที”

    “อืม” ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตัวเองตอนนี้ว่ายังไงเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะเข้าไปปลอบพี่ฮันกยอง หรือไม่ก่อนหน้านั้นผมอาจจะขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิอีกแล้ว...ที่สำคัญคือ ถึงผมจะเข้าไปหาเขาอีกครั้ง ผมก็ไม่ใช่คนที่ถูกเลือกอยู่ดี พี่ฮันกยองไม่มีทางเอาผมไปแทนที่พี่ฮีชอลได้

    ดงแฮไม่ได้พูดต่อ และผมก็ยืนฟังว่าที่เจ้าสาวของพี่ฮีชอลพูดถึงจุดประสงค์ที่เธอจัดงานวันนี้ จนเมื่อเธอเริ่มพูดประโยคเด็ดขึ้นมา

     “เราจะไม่แต่งงานกันหรอกนะคะ...” เสียงพูดคุยกันค่อยๆ เงียบเสียงลง ผมคิดว่าแขกที่อยู่ในห้องนี้คงสงสัย แปลกใจ หรือไม่ก็ตกใจที่อยู่ๆ เธอก็พูดแบบนั้น ผมเห็นพี่ฮีชอลทำท่าจะเดินขึ้นไปบนเวที แต่เธอพูดห้ามไว้ก่อน

    “คุณไม่ต้องขึ้นมาค่ะ ฉันอยากพูดคนเดียว ฉันอยากอยู่บนนี้คนเดียว”

    แล้วพี่ฮีชอลก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

    “อยากบอกคุณคิมฮีชอลนะคะ ฉันรับฟังเรื่องของคุณมามากตอนฉันอยู่ที่โน้น สารภาพว่าฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่ไม่ได้เจอกัน พอพ่อแม่คุณและพ่อแม่ฉันให้ฉันมาเจอคุณ อย่างที่คุณคงรู้ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเหมือนฝันของฉัน... แต่ฉันก็ต้องขอบคุณคุณมากที่ให้ฉันเป็นคนสำคัญ ได้รู้เรื่องราวอีกส่วนของคุณ ที่ยังไม่มีใครเล่าให้ฉันฟัง ขอบคุณมากที่ไว้ใจฉัน ฉันไม่โกรธคุณเลยนะคะ.....” เธอพรั่งพรูคำพูดที่เหมือนเป็นความรู้สึกของเธอ และทุกคนก็ตั้งใจฟัง และรอเธอพูดต่อ

    “ขอบคุณเพื่อนๆ ที่มางานนี้ ขอบคุณเพื่อนคุณฮีชอลที่ให้เกียรติเราทั้งคู่ ที่จริงงานแต่งงานเรากำหนดอีก 3 เดือนข้างหน้า และคงไปแต่งกันที่โน้นนะคะ แต่วันนี้อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า...ว่าจะไม่แต่งงานกันหรอกค่ะ...ทุกคนคงเข้าใจว่ามันเป็นแค่ความพอใจของผู้ใหญ่ เรายังไม่ได้รักกันเลย ก็เลยอยากให้ทุกคนรู้ไว้ เพราะอาจเข้าใจผิดว่าอีกสามเดือนจากนี้ เราคงแต่งงานกันไปแล้ว และที่จัดงานวันนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้มันวุ่นวายหรอกนะคะ...เพราะฉันเพิ่งรู้ก่อนจะเริ่มงานนี่เอง ว่า...ว่าที่เจ้าบ่าวของฉัน...เขามีคนรักของเขาอยู่แล้ว....อย่าเครียดกันนะคะ ขอให้คิดว่านี่เป็นงานเลี้ยงพบปะระหว่างเพื่อนๆ ก็แล้วกันค่ะ ขอบคุณนะคะ”

    ผมรู้สึกงงและอึ้งไปเล็กน้อย ที่เธอประกาศแบบนั้น ทุกคนในงานก็ดูไม่ต่างจากผม แต่ในไม่ช้าความเงียบก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงบรรเลงดนตรี ฟังแล้วให้ความรู้สึกหวานซึ้ง....พี่ฮีชอลเดินเข้าไปหาเธอ แล้วผายมือเพื่อขอมือเธอ แล้วเธอก็ฝืนยิ้มให้และมอบมือให้พี่ฮีชอลจับเดินมากลางฟลอร์เต้นรำ

    ผมมองดูทั้งสองคนขยับเท้าไปตามจังหวะดนตรี ดูสวยงามเหมาะสมกันมาก จากนั้นคนอื่นๆ ก็เดินจูงมือกันเข้าไปเต้นรำบ้าง เหมือนจะทำให้บรรยากาศกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง

    “เหลือเชื่อเลย” พี่อีทึกเดินเข้ามายืนข้างผม พร้อมกับพูดให้ได้ยินกันแค่ 3 คน

    “ก็ดีแล้วเน๊อะ ไม่ได้รัก ไม่แต่งดีกว่า...ดูเน็คไทด์ให้หน่อย ตรงยัง พี่จะไปขอสาวเต้นรำ” พี่อีทึกทำหน้าเศร้า แล้วเปลี่ยนสีหน้าสดใสก่อนหันมาให้ผมดูเสื้อผ้าให้

    “หล่อแล้วครับพี่” ผมบอก แล้วพี่อีทึกก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปลากพี่คังอินไปเป็นเพื่อน

    ผมมองตามพี่อีทึกไป จากนั้นก็เปลี่ยนจุดกลับไปมองคู่เต้นรำเจ้าของงานอีกครั้ง พอดีกับที่เธอปล่อยมืออกจากพี่ฮีชอลแล้วยิ้มให้ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วเดินออกไปหากลุ่มเพื่อนของเธอ

    พี่ฮีชอลหันหน้ากลับมาหากลุ่มของพวกผม เขายิ้มพลางดึงคลายปมเน็คไทด์ แล้วเดินมายังกลุ่มของพวกเราพร้อมกับมือก็ดึงเน็คไทด์ออกมา

    ผมรู้ว่าคนเดียวที่พี่ฮีชอลกำลังมองอยู่คือพี่ฮันกยอง พวกเราต่างก็มองจนกระทั่งพี่ฮีชอลหยุดยืนอยู่หน้าพี่ฮันกยอง รอยยิ้มของพี่ฮีชอลอาบไปทั่วใบหน้าในขณะที่พี่ฮันกยองกลับยืนนิ่ง และจ้องมองคนตรงหน้า เน็คไทด์สีดำถูกเจ้าของคล้องมันไปยังคอของพี่ฮันกยอง แล้วพี่ฮีชอลก็ออกแรงดึงให้พี่ฮันกยองก้าวเข้าไปหาเขา... ผมรู้สึกเจ็บนิดๆ ที่หัวใจ เมื่อเห็นเขาสองคนจ้องมองตากัน และเจ็บมากขึ้นเมื่อเขาเริ่มยิ้มให้กัน

    พี่ฮีชอลเดินถอยหลังเข้าไปฟลอร์เต้นรำอีกครั้ง ซึ่งเขายังคงใช้เน็คไทด์เส้นนั้น คล้องคอพี่ฮันกยองให้เดินตามไป

    ผมมองตามตลอดเวลาที่เขาสองคนเต้นรำด้วยกัน ได้ยินแว่วๆ จากคนข้างๆ ซึ่งก็คือพี่เยซองกับรยออุกกำลังถกเถียงบางอย่างอยู่

    “เห็นชัดๆ แล้ว จะมองไม่ออกอะไรอีก” เสียงพี่เยซองฟังดูกวนๆ

    “ชัดยังไง” ผมได้ยินรยออุกถาม

    “ก็เมื่อกี๊พี่ฮีชอลถอดเน็คไทด์ แต่พี่ฮันกยองยังแต่งหล่อครบเครื่องอยู่...แค่นี้ก็รู้แล้วใครรุกใครรับ” พี่เยซองพูด แต่ตอนท้ายของประโยคเสียงเบาลงไปเหมือนกลัวคนอื่นจะได้ยิน ณ ตอนนั้นในขณะที่สายตาผมจับจ้องที่เขาสองคนอย่างไม่วางตา ผมก็เห็นว่าเขาสองคนยิ้มให้กันได้อย่างเต็มที่ ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดจนต้องกลับมาคิดว่าผมรู้สึกแบบไหนอยู่กันแน่

    “พี่ดงแฮไม่ไปเต้นรำเหรอฮะ พี่ฮยอกแจไม่อยู่ไปกับคีย์ก็ได้” เสียงใส เหมือนอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมหันกลับมาที่ต้นเสียงนั้น จึงเห็นคีย์ยืนยิ้มเอาใจดงแฮอยู่

    “ทำเป็นพูดดี เราน่ะไม่ได้อยากเต้นกับพี่หรอกน่า” ดงแฮเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้คีย์ แล้วยิ้มล้อๆ คีย์ทำหน้าบึ้งแล้วหันมามองผมแวบนึงก่อนจะหันกลับไปพูดกับ ดงแฮต่อ

    “ใครว่าล่ะ” คีย์ขยับไปยืนอีกข้างของดงแฮ ผมลืมตัวมองตามเลยเห็นน้องมันเกาะแขนดงแฮอยู่ ผมไม่ติดใจเรื่องคีย์กับดงแฮแล้วเพราะรู้ดียังไงก็ไม่มีทางเกินกว่านี้ ผมบอกไม่ได้ว่าผมกับคีย์ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราคืออะไร รู้แต่ว่าผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ผมทำลงไป แต่ผมกับคีย์ก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้สักครั้ง

    รู้ตัวอีกที ดงแฮก็สะกิดแขนผม หลิ่วตาไปทางคีย์แล้วมันก็เดินไปทางอื่น พอยืนอยู่ลำพังแค่ 2 คน ผมยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

    “จะมองดูเขาอีกนานมั๊ย” กลับเป็นคีย์ที่พูดขึ้นก่อน ผมแสร้งมองพี่ฮีชอลและพี่ฮันกยองต่อไป ทั้งที่ภาพข้างหน้าที่ผมเห็นเริ่มพร่าเลือนและไม่มีโฟกัสใดๆ

    “เรื่อยๆ....มาได้ยังไง?” ผมตอบเนือยๆ ตามด้วยถามทั้งที่ยังไม่หันมามองคีย์

    “มากับพี่สาว เขารู้จักกันสมัยเรียน ม.ปลาย เลยลากผมมาเป็นเพื่อน” ผมรู้ว่าคีย์ก็มองไปยังกลุ่มคนที่ฟลอร์เต้นรำ

    “พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ จะกลับตอนไหน” ผมนึกขึ้นมาได้เพราะช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมรับส่งคีย์ตลอด

    “พี่เขาเจอเพื่อน คงอีกนาน”

    “งั้นเดี๋ยวไปส่ง ไปบอกพี่สิ จะยืนรออยู่ตรงนี้” ผมพูดจบ คีย์ก็หันมามองแวบนึง แล้วหันกลับไปก้มหน้ายิ้มเศร้าๆ ผมมองรอยยิ้มนั้น แล้วรู้สึกใจไม่ดี แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง

    “ผมมาคิดดูแล้ว พี่ไม่ต้องทำแบบนี้แล้วก็ได้” คีย์พูดทั้งที่ยังก้มหน้าและยังยิ้มแบบเดิม

    “ทำไม”

    “ผมเป็นผู้ชายนะ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก พี่เองก็ไม่ได้เต็มใจอยู่แล้ว มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

    “พูดต่อซิ”

    “ผมไม่โกรธพี่แล้วล่ะ ก็เลยคิดว่าพี่เลิกมาดูแลรับผิดชอบผมได้แล้ว...เพราะผมเองก็ไม่ได้ต้องการแบบนี้ ที่สำคัญเรา 2 คน ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันเลย”

    “อ๋อ ที่นายรู้สึกอะไรต่อมิอะไรด้วยก็คงมีแต่ดงแฮ ไม่งั้นก็ไอ้รุ่นพี่หน้าหม้อที่เพิ่งกอดฟัดนายอยู่ตรงนั้นสินะ”

    “ไม่ใช่!

    “แล้วยังไง กลับไปหามันสิ ไอ้พวกพี่ชมรมน่ะ นายมาบอกว่าฉันไม่เต็มใจ นั่นน่ะมันเป็นข้ออ้างรู้มั๊ย! นายเองนั่นแหละที่ชอบให้ผู้ชายรุมล้อม”

    ผมเริ่มใช้อารมณ์ รู้สึกเสียหน้ามากๆ ที่คีย์มาบอกแบบนี้ มาบอกให้ผมเลิกทั้งที่ผมไม่ได้เริ่ม ผมแค่ทำสิ่งที่ควรทำ และถ้าจะเลิก ผมก็ต้องเป็นคนเลิกไปเอง

    “ก็เป็นแบบนี้แหละ โกรธคนอื่นแล้วมาพาลที่ผม....” คีย์พูดเสียงสั่น จ้องหน้าผมด้วยดวงตาที่กำลังคลอไปด้วยน้ำใสๆ ผมรู้สึกชาวูบไปครู่นึงเมื่อรู้ว่าคีย์คงคิดถึงเรื่องวันนั้น ใช่! ในวันนั้นผมโกรธคีย์ โกรธตัวเอง น้อยใจพี่ฮันกยองและพี่ฮีชอล น้อยใจทุกสิ่งทุกอย่าง...และเพราะความขาดสติ ผมถึงได้ทำแบบนั้นกับคีย์ แต่วันนี้ผมไม่ได้  โกรธพี่ฮีชอล ไม่ได้โกรธพี่ฮันกยองอย่างที่คีย์เข้าใจ...ผมกำลังโกรธคีย์อยู่ ทำไมไม่เข้าใจบ้าง

    “โกรธใคร? นายไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิดเลยรึไง” ผมตะคอกเสียง

    “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว...” คีย์มองหน้าผมก่อนจะเดินกลับไปหารุ่นพี่กลุ่มเดิม

    ผมมองตาม ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปถึง รุ่นพี่คนเดิมที่เคยจูบหน้าหน้าผากคีย์ ก็ก้าวออกมาดึงคีย์เข้าไปในวงนั้น แถมยังเล่นผมเล่นหน้ายกใหญ่ เหมือนพวกเขาสนิทกันมาก ออกแนวเอ็นดูกันเหมือนพี่น้อง แต่ผมก็ไม่พอใจอยู่ดี ยิ่งเมื่อกี๊ทะเลาะกับผมอยู่ แต่พอเดินเข้าไปกลับยิ้มร่าเริงได้เหมือนเดิม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ รู้สึกเหมือนโดนคีย์ตบหน้าต่อหน้ารุ่นพี่เหล่านั้น

    เมื่ออารมณ์คุกรุ่นของผมไม่สามารถเย็นลงได้ จึงพาให้ร่างกายผมเดินเข้าไปหาคีย์จนได้ ผมเห็นว่าทุกคนในกลุ่มมองมาที่ผม แต่ผมไม่แคร์เดินตรงเข้าไป ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด และเอ่ยพูดอย่างพยายามให้นุ่มนวลที่สุด

    “จะกลับรึยัง” ผมถามออกไป เมื่อยืนอยู่ข้างๆ ไอ้รุ่นพี่คนนั้น และคีย์ยืนอยู่ข้างหน้าผม

    “ทำไมครับ” คีย์ตอบ ด้วยสีหน้าธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

    “เดี๋ยวพี่จะกลับแล้ว ออกไปด้วยกัน” ผมบอกพร้อมๆ กับพยายามข่มอารมณ์และสีหน้า ไม่ให้แสดงออกชัดเจนเกินไป

    “เฮ้ย จะรีบกลับไปไหนล่ะชีวอน งานยังไม่เลิกเลย” ผมหันไปหาเจ้าของคำถาม รู้สึกคุ้นๆ หน้า แต่นึกชื่อไม่ออก จากนั้นผมก็เลิกคิดแล้วหันไปหาคีย์อีกครั้ง

    “พอดีพรุ่งนี้มีธุระต้องไปทำแต่เช้าน่ะ ว่าไงคีย์” ผมตอบคนๆ นั้น ที่คงจะเป็นคนที่เคยรู้จักที่มหาวิทยาลัย แล้วถามคีย์ต่อ

    “แต่ว่า....” คีย์ทำท่าจะดื้อ ผมจึงส่งสายตาดุๆ ให้ ผมรู้คีย์อยากกวนประสาทผม แต่เพราะยังเด็กเลยไม่รู้จะปฏิเสธแบบไหนในสถานการณ์ที่มีคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้วยแบบนี้

    “พรุ่งนี้มีเรียนก็กลับไปนอนสิไอ้หนู เดี๋ยวเจอกัน” ไอ้รุ่นพี่คู่กรณีคนนั้นพูดพร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบหัวคีย์ ปัดผมที่ชี้ๆ ให้เข้าทรงดังเดิม

    “ฮะ งั้นคีย์กลับแล้วนะ” คีย์ตอบมัน แล้วหันไปยิ้มลาทุกคน

     

    เมื่อเดินออกมาถึงหน้าประตู ผมจึงหันกลับไปถามคีย์

    “แล้วไม่บอกพี่สาวก่อนรึไง” ผมพยายามทำใจเย็น ข่มน้ำเสียงไม่ให้ฟังดูห้วนเกินไป เพราะจริงๆ แล้วผมยังรู้สึกโมโหอยู่

    “เดี๋ยวโทรบอก” คีย์ตอบ แล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ผมยืนรอเงียบๆ สักครู่คีย์ก็เดินเข้ามาหา

    “เสร็จแล้ว” คีย์บอก

    เราเดินกันออกมาถึงซอกตึก ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงผลักคีย์เข้าไปติดกับผนัง ในความมืดผมเห็นดวงตาของคีย์กำลังสั่นไหว ผมถามตัวเองว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้...ผมต้องการอะไรกันแน่ แต่คำตอบจากสามัญสำนึกคือ ผมยังไม่หายโมโห ผมนึกถึงคำพูดแทนตัวที่คีย์ใช้กับผมซึ่งต่างจากเวลาคีย์พูดกับคนอื่น รอยยิ้มที่มีให้ผมและคนอื่น ทำให้รู้ว่าคีย์วางผมไว้ไกลห่างจากตัวคีย์มาก

    “พี่โกรธเขาใช่มั๊ย พี่มันคนขี้พาล พี่ทำร้ายได้แต่ผมเท่านั้นแหละ คนที่พี่ทำร้ายมีแต่ผม” เสียงสั่นเครือของคีย์ทำให้ผมขยับตัวเข้าไปดึงคีย์เข้ามากอดไว้

    “คนมันพาล เลยเป็นแบบนี้ไง จะเป็นบ้าอยู่แล้ว” ผมพูดเสียงเบา พลางรั้งตัวคีย์เข้ามากอดให้แน่นขึ้น

    “พี่ลืมเขาไม่ได้หรอก พี่ไม่มีทางทำได้ เพราะงั้นปล่อยผมไป เราไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” คีย์หายใจขัด ๆ พูดเสียงขาดๆ เหมือนกำลังกลั้นเสียงสะอื้นไว้

    “ไม่ปล่อยหรอก ไม่ปล่อยไปไหนหรอก” ผมกระซิบบอก

    “พี่ทำให้ผมสับสน”

    “นายก็ทำให้พี่สับสน” ผมบอกในสิ่งที่ผมคิด จริงอยู่ผมยังหยุดคิดเรื่องพี่ฮีชอลกับพี่ฮันกยองไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งผมที่ผมคิดตอนนี้นี่ ผมยังมีเรื่องคีย์ให้คิด ให้โกรธ ให้โมโห อดน้อยใจไม่ได้ที่คีย์เอาแต่คิดว่าผมกับคีย์ไม่ได้มีอะไรต่อกัน...เอาแต่คิดว่าผมโกรธ ผมพาลเรื่องพี่ฮีชอลกับพี่ฮันกยอง ทั้งที่เมื่อกี๊ผมโกรธไอ้รุ่นพี่คนนั้น ที่มันเอ็นดูคีย์จนออกนอกหน้านอกตา แต่ผมกลับได้แต่ยืนดูเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลย

    “กลับเถอะ วันนี้ไปห้องพี่นะ” ผมบอกแล้วขยับตัวออกมา โอบเอวคีย์ให้เดินไปพร้อมๆ กัน แต่ก็ต้องเลื่อนแขนขึ้นไปกอดคอแทนเมื่อมีคนเดินสวนมา เพราะมันดูเหมือนผู้ชายเดินด้วยกันมากกว่า เรื่องแบบนี้เปิดเผยนักไม่เป็นผลดี เพราะคนในสังคมมีความคิดไม่เหมือนกัน บางคนอาจต่อต้านรุนแรงกว่าที่เราคิดไว้มากนัก

    ผมขับรถโดยไม่หันไปมองหน้าคีย์ คีย์เองก็นั่งเงียบๆ เราต่างเงียบโดยไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอะไรต่อกัน

    “เรียนเป็นไงบ้าง” ผมเอ่ยปาก ชวนคุย

    “ตอนนี้เที่ยงคืน” คีย์ตอบ ผมเลยงง

    “อะไร”

    “ก็พี่ถามเรื่องเรียนตอนเที่ยงคืน ผมไม่มีอารมณ์ตอบ”

    “อ๋อ มีอารมณ์อย่างอื่นใช่มั๊ย” ผมถามพรางยิ้มขำอยู่คนเดียว

    “คิดได้แค่นี้แหละ” คีย์พูดเสียงเคร่งเครียด ผมเลยพลอยหงุดหงิดขึ้นมาอีก ผมพยายามสร้างบรรยากาศแล้วแท้ๆ

    “พูดกันดีๆ สิ พี่พยายามแล้วนะ” ผมเริ่มพูดเสียงเครียดเหมือนกัน

    “................” แล้วคีย์ก็เงียบไปอีกพักใหญ่

    “บางทีผมก็คิดนะ ว่าพี่ต้องการอะไรจากผม พี่คาดหวังอะไรในตัวผม พี่ช่วยบอกผมหน่อย” คีย์พูดทำลายความเงียบ แต่กลับทำให้ผมชะงัก...ผมต้องการอะไร

    ผมชะลอรถแล้วแอบเข้าข้างถนนก่อนจะจอดรถ แล้วหันไปพูดกับคีย์

    “คีย์ให้เวลาพี่หน่อยได้มั๊ย ตอนนี้พี่ยังไม่รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับคีย์...พี่บอกว่าพี่รักคีย์ไม่ได้ แต่พี่ไม่อยากให้ใครมาดูแลนายนอกจากพี่ เรื่องพี่ฮีชอลกับพี่ฮันกยอง...พี่ต้องใช้เวลา...ไม่รู้นานแค่ไหน...แต่ให้คีย์แน่ใจไว้เลยว่ามันจบแล้ว” ผมบอก คีย์จ้องหน้าผมตลอดวลาที่ผมพูด ไม่ได้ยิ้มและไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็น...แต่มันเอ่อคลออยู่ในดวงตา

    “ขอบคุณนะครับ” คีย์บอก เรามองหน้ากันอยู่ในความเงียบ จนเมื่อคีย์เลื่อนสายตามาจ้องมองที่ริมฝีปากผม...ผมจึงค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหา และเอื้อมมือไปรั้งคอคีย์เข้ามา...สัมผัสนิ่มหวาน แปลกใหม่ ผมไล่ลิ้นชิมไปทั่วเรียวปากนุ่มก่อนจะแทรกปลายลิ้นเข้าไปหาความหวานที่คงมีมากขึ้นในโพรงปากเล็กนี้...ไม่รู้ตัวว่ามือได้เลื้อยสอดเข้าไปใต้ปกเสื้อสูทเข้าไปลูบหน้าอกของคีย์ผ่านเสื้ออีกตัวที่ติดกระดุมครบทุกเม็ด ซ้ำยังมีเน็คไทด์ผูกไว้แน่นอีกชั้น เพราะปลายลิ้นของผมได้สัมผัสกับปลายลิ้นของคีย์ ยิ่งทำให้ผมได้ใจ จูบเร้าด้วยแรงอารมณ์มากขึ้น ผมปลดกระดุมเสื้อตัวข้างในของคีย์บางเม็ด แล้วสอดมือเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเปลือยเปล่าของคีย์ รู้สึกได้ว่าคีย์พยายามจะขยับตัวออกไปแต่ผมใช้อีกมือกอดเอวคีย์ไว้แล้วดึงเข้ามาหาอีก

    “พอนะฮะ” คีย์พูดลมหายใจขาดห้วง เมื่อผมยอมผละปากที่จูบออกมา

    “พรุ่งนี้คีย์มีเรียน” คีย์พูดต่อ ซึ่งทำให้ผมยิ้มออกมาได้...

    “พูดว่าอะไรนะ...เมื่อกี๊เรียกตัวเองว่าไงนะ” ผมแกล้งถาม พร้อมกับยิ้มล้อ

    “ช่างเหอะน่า ไปเถอะ...ครับ” ตอนแรกคีย์พูดห้วน...แต่ผมส่งสายตาดุเอาไว้ก่อน...ถึงยอมพูดครับในตอนท้าย

    “พี่ขอโทษนะครับ ต่อไปพี่จะดูแลคีย์เอง” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวคีย์เบาๆ และคีย์ก็ยิ้มให้ผม

    ผมโน้มตัวเข้าไปหา ตั้งใจจะให้หน้าเราใกล้กันที่สุด...ผมเองก็อยากเห็นปฏิกิริยาของคีย์เวลาแบบนี้...ชอบที่หน้าจะแดงมากเวลาเขินอาย แก้มใสน่าสัมผัสคอยแต่จะเบือนหนี คีย์ทำตัวลีบดันตัวเองอยู่กับเบาะรถราวกับว่าถ้าฝังตัวเองเข้าไปได้คงทำแล้ว ผมหัวเราะในลำคอ แล้วติดกระดุมสองเม็ดที่เสื้อของคีย์ช้าๆ อย่างเบามือ พลางเงยหน้ามอง...แกล้งโน้มใบหน้าเข้าไปจนชิดจมูกของคีย์ และเป็นผมเองที่อดใจไม่ไหว...จูบคีย์ไปอีกทีหนึ่ง ถึงผละออกมานั่งที่นั่งตัวเอง...เฮ้อออ เด็กนี่ก็ทำผมใจเต้นได้เหมือนกันนะ

    อย่างที่บอกคีย์ไป ผมยังเลิกคิดเรื่องในอดีตของผมไม่ได้ แต่ผมโล่งใจมากอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ตอนที่ยืนมองพี่ฮีชอลกับพี่ฮันกยองเต้นรำกัน มันอาจเป็นความยินดีที่เจ็บปวดบ้าง แต่เมื่อผมตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะเดินออกมาจากชีวิตของเขาทั้งสองคน...ผมก็ต้องพยายามจะไม่ปล่อยใจปล่อยความรู้สึกให้เจ็บปวดแบบเดิมๆ อีก และตอนนี้ผมเองก็มีความรู้สึก...ที่ยังอธิบายไม่ได้กับเด็กเจ้าอารมณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่ ผมควรจะให้ความสำคัญกับเขามากกว่านี้

    ใช่...ผมให้ความสำคัญกับคีย์ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้...แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมคาใจและยังไม่ได้บอกคีย์ ผมจึงผ่อนน้ำหนักเท้าเพื่อชะลอความเร็วของรถ

    “ทีหลังอย่าให้ใครเขากอดรัดแบบนั้นอีก” ผมบอกทันที่ที่นึกถึงภาพไอ้รุ่นพี่นั่นยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ คีย์

    “หา” คีย์หันมาทำหน้างง

    “แล้วยังปล่อยให้มันจูบหน้าผากอีก อย่าให้เห็นอีกเข้าใจรึเปล่า”

    “...........” คีย์เงียบ ก็จริงนี่นา ให้คนนั้นคนนี่ลูบหน้าลูบตาอยู่ได้ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไม่คิดอะไรด้วย ขนาดผม..ตั้งแต่ตั้งใจจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ผมยังไม่เคยได้สัมผัสใครในทำนองนี้เลย

    “อ้อ...มีอีกนะ อย่าอ้อนดงแฮต่อหน้าพี่ พี่ไม่อยากเห็น”

    “ไม่ได้....” ผมรีบหันขวับไปมองเมื่อได้ยินคำตอบ

    “คีย์...รักพี่ดงแฮ” ยิ่งทำให้ผมอึ้งหนักเลยคราวนี้

    “.................” ผมเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ทำไมถึงคุยยากเย็นนัก นึกว่าจะเข้าใจกันแล้วเชียว

    “พี่ดงแฮอ่ะ เป็นเหมือนพี่ชายของคีย์ไปแล้ว ให้เลิกอ้อนไม่ได้หรอก แล้วคีย์ก็ไม่ได้อ้อนน่าเกลียดหนิ แค่คุยธรรมดาเองไม่ใช่เหรอ” ผมรู้สึกโล่งใจนิดๆ ที่ได้ยินแบบนี้

    “งั้นก็ต้องอ้อนพี่ด้วย” ผมบอกพลางยิ้ม เพราะจินตนาการภาพไปแล้ว

    “ไม่...”

    “ทำไม” ผมหุบยิ้มทันที

    “ไม่รู้..ไม่เคยทำ”

    “ก็ลองทำสิ”

    “...............”

    “ว่าไง” ผมทำเสียงคาดคั้น

    “.................” ยังเงียบต่ออีก ผมเลยไม่อยากแกล้งแล้ว กลัวขวัญเสียและกลัวจะอึดอัดไปกันใหญ่ แต่พอผมจะเปลี่ยนเกียร์ มือเล็กๆ นุ่มๆ นั้น ก็คว้าจับมือผมไว้ก่อน ผมหันไปมองหน้าคีย์ ไอ้เด็กเจ้าอารมณ์ก็เอาแต่ก้มหน้า

    “อะไร จับมือพี่ทำไมครับ” ผมพอจะเดาออก ว่าคีย์คงอยากทำอะไรอยู่แน่ แต่เพราะรวบรวมความกล้าอยู่ถึงได้ไม่ทำอะไรต่อสักที

    “เอ่อ.....” คีย์ครางพึมพำ แล้วจับมือผมขึ้นไปจูบเบาๆ ผมอึ้งไปเลย...

    “พี่ชีวอน รีบพาคีย์กลับบ้านนะฮะ พรุ่งนี้คีย์มีเรียน” คีย์พูดแล้ววางมือผมไว้ตามเดิม น่ารักจังแฮะ

    “ครับ...พี่จะขับเร็วหน่อยนะ.... ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ก็เป็นนี่หว่า” ผมบอกคีย์ แล้วหันมามองถนนพร้อมกับพึมพำคนเดียว

    จะบอกว่าผมสามารถอมยิ้มได้ตลอดทาง บางครั้งที่นึกแปลกใจว่าความทุกข์ก่อนหน้านี้ของผมมันเบาบางลงไปได้เพราะอะไร...เหมือนคำตอบจะอยู่ใกล้ๆ ตัวผมนี่เอง

     

     

     

    Hyukjae’s POV

                “ใครใช้ให้เดินมาหลบอยู่ตรงนี้” เสียงพูดลอยๆ เหมือนไม่คาดหวังคำตอบดังอยู่ข้างหลังผม ผมแกล้งทำเมินไม่สนใจ จนกระทั่งมันมายืนอยู่ข้างผม..จะตามมาทำไมฟะ กำลังของขึ้นเลย โมโหครับ

                “มาเอง” ผมตอบห้วนๆ

                “อ๋อ หนีความผิดอ่ะดิ ประจำแหละ” โหย ฟังมันพูดดิครับ จะบอกว่าเมื่อกี๊ที่ผมกลับจากคุยกับเพื่อนที่อยู่อีกฝั่งของห้องจัดเลี้ยง ผมก็เดินกลับมา พอดีเห็นคิบอม ยืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปคุย...บอกเลยนะครับว่าคุยกันปกติไม่มีอะไรเลย ส่วนรยออุกเดินไปหาพี่เยซองซึ่งก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ดงแฮกับชีวอนนั่นแหละ เผลอแปบเดียวหันไปอีกที ดงแฮมันก็มีน้องคีย์เกาะแขนอยู่แล้ว พูดคุยยิ้มแย้มกัน จนผมอดคิดไม่ได้...

                ถึงจะพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่รู้ทำไม ทำไมผมกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้วะ เซ็งตัวเองจริงๆ

                “พูดดีๆ นะเว้ย ฉันทำอะไรผิด” ผมเริ่มโวย

                “อย่าทำเป็นไม่รู้ เมื่อกี๊อ่ะ ฉันเห็นนะ ว่าคิบอมมันมองนายยังไงบ้าง” ดงแฮหยิบแก้วในมือผมไป แล้วเดินเอาไปวางตรงขอบระเบียง มันเดินกลับมายืนท่าเดียวกับผม คือหันหลังให้คนในงาน หันหน้าไปยังห้องโถงข้างล่าง สองแขนก็เท้าอยู่กับระเบียง

                “ก็ฉันบริสุทธิ์ใจ” ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนโมโหมันนะครับ ผมพูดความจริง

                “กับไอ้พวกเพื่อน พี่ๆ คณะก็เหมือนกัน อย่าทำตัวให้เนื้อหอมนัก เข้าใจรึเปล่า แฟนนายอ่ะยืนอยู่ตรงนี้” มันพูดเสียงจริงจัง ผมเลยหันไปมอง ตกลงมันพูดเล่นรึว่าจริงจังวะเนี่ย

                “อย่ามามั่วนะเว้ย ใครที่ไหน นายดูตัวเองบ้างรึเปล่าเนี่ย” ไม่ไหวแล้วครับ ผมไม่ใช่เหรอที่กำลังโมโหมันอยู่ แต่มันกลับมารัวผมเป็นชุดเลย

                “ทำไม ฉันทำอะไร” ไม่รู้ตัวอีก...ผมเห็นมันพูดยิ้มๆ แต่ยังเก๊กหน้าเหมือนหาเรื่องอยู่ อารมณ์ไหนของมันวะ

                “ก็...” จะให้ผมพูดว่ายังไงล่ะครับ เพราะรู้ทั้งรู้ว่าคีย์อ่ะ...เอ่อ...ประมาณว่าอยู่ในความดูแลของชีวอนไปแล้ว...แต่ผมก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีหนิครับ ผมรู้ว่าอาจจะคิดมากจนงี่เง่าเกินไป แต่มันรู้สึกอ่ะครับ...ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้

                “แล้วก็ไม่พูด...อย่าบอกนะว่าที่หลบมาอยู่คนเดียว เพราะคิดเรื่องฉันกับคีย์ขึ้นมาอีก” โห มันโคตรฉลาดเลยครับ แสนรู้ชะมัด

                “...............” แต่ผมพูดไม่ออกครับ เลยเงียบไปอีก

                “ว่าไง” มันยังถามคาดคั้นแบบดุๆ

                “ก็ฉันมันงี่เง่า ทนไม่ได้แล้วใช่มั๊ยล่ะ” อาการน้อยใจกำเริบครับ

                “นายมันโคตรโง่ชะมัดเลยว่ะฮยอกแจ พูดอะไรไปไม่เคยจำ” อ้าว ด่าอีก

                “พูดอะไร?” ผมคิดไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไรของมัน

                “ยังจะถาม...กวนตรีน เดี๋ยวจะโดน...” มันทำตาดุใส่ผมอีกแล้วครับ ก็ฉันจำไม่ได้จริงๆ นะเว้ยยย ที่พูดหมายถึงเรื่องไหน ตอนไหนวะ เมื่อผมเห็นมันเริ่มจะทำหน้าบึ้งซะจริงจัง ผมเลยกลัวมันจะโกรธจริงๆ จนผมต้องรีบปรับอารมณ์และสีหน้า หันไปยิ้มให้มัน

                “ที่รักพูดเรื่องอะไรเหรอครับ ผมจำไม่ได้อ่ะ ไม่บอก ผมก็ไม่ตรัสรู้นะครับ” ผมทำเสียงปัญญาอ่อน

                “เออ โง่ต่อไป เซ็งชิบ” คำตอบของดงแฮแหละครับ

                “อ้าว พูดไม่เพราะ” ผมแกล้งว่ามัน หวังจะสร้างบรรยากาศเท่านั้นเอง

                “เลิกเล่น ฉันจริงจัง... ” ผมหุบปาก ก้มหน้าเป็นหมาหงอยทันที

                “ฉันเคยบอกว่าฉันจะมีรักจริงจังแค่คนเดียว และก็รู้สึกจะบอกไปแล้วว่าคนนั้นก็คือนาย...เสือกไม่ฟังอะไร  นิดๆ หน่อยๆ ก็บอกเลิก...ขอเลยนะนิสัยแบบนี้อ่ะ” อ้าวนั่นไงครับ มันเอาเรื่องที่ผมบอกเลิกมาพูดอีกแล้ว

                “ก็...ภาพวันนั้นมันติดตานี่นา คิดดูนะ ลองเห็นแบบนั้นอ่ะ เป็นใครมาเห็น เขาก็คิดแบบฉันทั้งนั้นแหละ” ผมเริ่มอ้างคำพูดเดิมๆ คือวันนั้นที่ผมพูดหมายถึงวันที่ผมเห็นดงแฮกอดคีย์นั่นแหละครับ

                “ไอ้ขี้พาล” มันด่าผมอ่ะครับ “เรื่องวันนั้น เอามาโกรธวันนี้ ทำได้ไงวะ”

                “เออ คนมันพาล” ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชาย “นายก็ไม่ได้พาลเลยนะ” ผมประชดมันไป

                “พาลอะไร ตรงไหน”

                “ก็เมื่อกี๊ใครวะ ที่มันว่าฉันอ่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรกับใครเลย มาทำเหวี่ยงใส่ฉัน โด่..” เอาคืนครับ

                “ฉันเห็น ฉันถึงพูดหรอกน่า” มันยังไม่ยอมครับ “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ได้มั๊ย”

                “ได้...มาพูดให้เคลียร์เลย” ผมบอก

                “บอกมาดิ ว่าที่นายเห็นฉันกอดคีย์น่ะ กอดแบบไหน” มันทำเป็นถาม คิดจะลองเชิงผม รึไม่ก็เช็คความมั่นใจของผมแหงๆ

                “ก็...นายกอดอ่ะ ปลอบใจด้วย ฉันเลยคิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ คีย์ถึงร้องไห้แบบนั้น...แล้วก็คิดว่านายวิ่งตามาง้ออะไรประมาณนั้น” ผมพูดในสิ่งที่เคยคิด

                “โคตรจะอัจฉริยะ” มันส่ายหัว ทำหน้าอึ้งในความสามารถของผม แล้วเปลี่ยนสีหน้านิ่งพร้อมยกมือขึ้นมา...ดีดหน้าผากผมทีหนึ่ง

                “คิดไปเองสุดๆ” พร้อมกับชมผมอีกครั้ง

                “นายก็คิดไปเองเหมือนกัน ฉันยังไม่ได้ทำอะไรกับคิบอมเลยนะเว้ย” ผมหมายถึงวันที่มีเรื่องกันโน้นนะครับ

                “กรณีของนายมันร้ายแรงกว่า ก็เห็นชัดๆ อยู่” ดงแฮตอบหน้าตาย...ผมอยากเถียงนะครับ แต่ไม่กล้า เพราะผมเองดันรู้สึกผิดขึ้นมา...ผมเลยเงียบ

                “เวลานายแสดงออกว่าหวง ฉันก็รู้สึกดีนะ...ที่ผ่านมาไม่เคยมีด้วยซ้ำ แต่หึงครั้งแรกเป็นเรื่องเลยนี่สิ” มันพูดยิ้มๆ อารมณ์กำลังดีขึ้นมาอีกครั้ง

                “ไม่ได้หึงเว้ยยยย”

                “แล้วมันคืออะไรล่ะครับ” มันตอบกวนตรีนผมครับ

                “ก็...ฉันไม่ชอบให้แฟนฉันไปมองคนอื่นนี่หว่า” ผมก้มหน้าตอบ

                “ว่าไงนะ” ผมได้ยินมันหัวเราะชอบใจ “ฉันไม่มองใครหรอกฮยอกแจ ฉันมีแต่นายคนเดียว” เสียงดงแฮกลับกลายเป็นจริงจังจนผมเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน ผมหันไปมองก็เห็นมันมองผมอยู่

                “คนรักกันกอดกันน่ะ เค้าต้องกอดแบบนี้” อยู่ๆ มันก็พูดแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ผมยกแขนขึ้นกอดมันเช่นกัน นั่นสิครับ...เวลาเรากอดคนรักแล้วเราจะมีความสุขใจแบบนี้สินะ

                “แล้วก็ต้องทำแบบนี้” เสียงดงแฮดังอยู่ที่ข้างหูผม มันกดจูบลงที่ขมับผม ผมก็ยิ้มอีกครับ...ชอบอ่ะ มันน่ารักมากเลย

                “แล้วก็แบบนี้” ดงแฮผละหน้าออกมามองหน้าผม แล้วเคลื่อนเข้ามาจูบที่ปากแค่สัมผัสเบาๆ ก่อนจะผละออกไปอีก แต่ใบหน้ามันยังอยู่ปลายจมูกผมนี่เอง

                “เข้าใจมั๊ยครับคุณลีฮยอกแจ” ก่อนที่ผมจะตอบ ดงแฮก็จูบผมอีกครั้ง และคราวนี้มันดื่มด่ำ ยาวนานกว่า...ผมก็เคลิ้มนะครับ แต่ยังสำนึกอยู่ว่าอาจมีคนมาเห็นเข้า เลยดันหน้าอกมันออกไป

                “ไม่แก้ผ้าเลยล่ะครับ” ผมประชดมันครับ ไม่รู้เป็นอะไรช่วงนี้ขี้ประชดจัง

                “โหย คนเยอะ กลับไปต่อที่บ้านดีกว่า” มันพูดพร้อมกับทำหน้า...เจ้าเล่ห์และหื่นเอามากๆ

                “บ้าว่ะ เข้าไปในงานมั๊ย ออกมานานแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง ที่จริงก็แอบเขินเหมือนกันนะครับ แต่จากประสบการณ์ทำให้กลบเกลื่อนเก่งขึ้น

                ผมเดินนำดงแฮเข้ามาในงาน พอเข้ามาอยู่ต่อหน้าผู้คน ดงแฮมันก็ไม่ค่อยกล้าคลอเคลียผมมากหรอกครับ ออกจะยืนห่างๆ ผมด้วยซ้ำ ดงแฮจะเป็นแบบนี้ครับ...ตั้งแต่คบกันจริงๆ จังๆ มันก็ไม่ค่อยเข้ามาตอแยผมต่อหน้าคนอื่น ผมว่ามันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะ

                เพิ่งรู้จากรยออุกว่าชีวอนกลับไปแล้ว ดงแฮมันเลยมองผมแวบนึง...ผมรู้มันคงอยากกลับแล้วเหมือนกัน แต่พอผมจะขยับไปหามันก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง

                “น้องฮยอกแจครับ” ใคร? ผมหันกลับไปมอง อ๋อ พี่คณะน่ะครับ เพื่อนพี่ฮีชอล

                “ครับ”

                “คือ พี่ยังไม่ขอเบอร์น้องฮยอกแจไว้เลย ขอไว้นะครับเผื่อได้คุยกัน” ผมไม่แปลกใจนะครับที่เขาขอเบอร์ผม เพราะเราทำงานในแวดวงเดียวกัน

                “ได้ครับ” ผมรับโทรศัพท์ในมือพี่เขามากดเบอร์ให้ แล้วยื่นคืนให้

                “พี่ยิงมาเลยนะครับ” ผมบอกแล้วยิ้มให้

                “ครับ แล้วนี่น้องฮยอกแจกลับยังไงครับ บ้านอยู่ไหนนะ” พี่เขายังทำท่าเหมือนจะอยากคุยต่อ แต่ดงแฮมันเดินมายืนอยู่ข้างๆ ผมแล้ว มันมองหน้ามันแวบนึงก็เห็นมันยืนทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ อยู่ มันโคตรจะเก๊กเลยครับ

    ผมหันไปบอกแถวๆ บ้านของผม พี่เขาก็บอกว่าทางเดียวกับบ้านเขาเลย

    “แล้วกลับยังไงครับ” เขายังถามต่ออีก ผมชักจะรู้สึกถึงออร่าร้อนๆ จากคนข้างตัวแล้วสิครับ ดงแฮมันนิ่งจนผมรู้สึกได้...มันจะโกรธผมอีกรึเปล่าเนี่ย

    “เอ่อ กลับกับเพื่อนนะครับ อ้อ...นี่ดงแฮเพื่อนผมครับ” ลืมแนะนำจริงๆ นะครับ เพิ่งนึกได้ แล้วพวกมัน 2 คนก็พยักหน้าทำความรู้จักกัน แต่พี่เขายังไม่วาย หันมาชวนผมคุยอีก

    “เดี๋ยวว่างๆ พี่โทรไปคุยด้วยนะครับ กลับบ้านดีๆ ล่ะ” เฮ้อ โล่งอกครับ พี่เขาเดินกลับไป ทิ้งผมไว้กับดวงตาคาดโทษของคนข้างๆ

    “นายนี่มันเผลอไม่ได้เลยฮยอกแจ” เอาแล้วมั๊ยล่ะครับ

    “ฉันไม่คิดว่าเขาจะ...มาคุยแบบนี้นี่หว่า” ผมก็ว่าผมพอรู้นะครับว่าพี่เขาอยากสานสัมพันธ์กับผมแบบไหน แต่ก่อนหน้านี้ผมดันคิดว่าเป็นแค่พี่น้อง เป็นคนทำงานสายเดียวกันเฉยๆ เลยให้เบอร์โทรศัพท์ไปง่ายๆ

    “ไม่ต้องเลย นายมันชอบเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง” โห ผมอึ้งไปเลยครับ มันหลอกด่าผม...ไม่สิมันด่าผมแบบไม่อ้อมค้อมเลย

    “จะกลับแล้วเหรอฮยอกแจ”

    เสียงนี่ ก็ทำผมสะดุ้งอีกรอบ แถมเจ้าของเสียงยังวางมือบนไหล่ผมทันทีที่เดินมาถึงตัวอีกต่างหาก

    “อืม แล้วนายจะกลับตอนไหนอ่ะคิบอม” ผมถามทั้งที่ตาผมยังมองหน้าดงแฮอยู่ และก็เห็นว่าดงแฮมันจ้องเขม็งมาที่มือคิบอมที่โอบไหล่ผมอยู่ สายตามันเปลี่ยนจุดโฟกัสมาที่หน้าคิบอม และคิบอมก็เหมือนจะโรคจิตอีกคน รู้ว่าดงแฮมองแต่ยังเลื่อนมือช้าๆ ไปตามแนวไหล่ผม...

    “ฉันว่า นายเอามือออกดีกว่าคิบอม ก่อนที่ฉันจะทนไม่ได้จริงๆ” ดงแฮพูดเสียงเย็น บรรยากาศมาคุมากครับ

    “ฉันแค่แกล้งเล่นๆ เท่านั้นล่ะน่า นายมันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยว่ะ” คิบอมยิ้มให้ดงแฮ แล้วเอามือลงจากไหล่ผม “นายจะคิดมากทำไมวะ ฉันกับฮยอกแจก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว นานครั้งถึงได้เจอ ไม่ต้องระแวงฉันแล้วเว้ย ที่สำคัญฉันกับฮยอกแจคุยกันเรียบร้อยแล้ว” ขอบใจมากว่ะคิบอม แต่นายไม่ต้องพูดอะไรเลยจะดีกว่า

    “ก็ดีแล้ว” ดงแฮตอบ แต่สายตามันไม่ใช่แบบนั้นเลยสิครับ จะเผาผมให้ไหม้ไปตอนนี้เลย

     

     

    ผมกับดงแฮออกมาจากงานเกือบตีหนึ่ง มันเงียบเกือบตลอดทาง ถามคำตอบคำ...แต่พอผมแค่พูดเปรยๆ ว่า ไม่ได้กลับไปนอนบ้าน 2 วันแล้ว มันก็รีบพูดหาเรื่องทันที

    “ทำไม ทำผิดแล้วจะหนีกลับบ้านรึไง” สีหน้ามันวอนส้นเท้าข้างขวามากเลยครับ

    “ไอ้ขี้พาล” ผมเอาคำที่มันด่าผมมาใช้ด่ามันกลับบ้าง ผมไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่มันดันบึ้งตึงกับผมแบบนี้ มันพาลมั๊ยล่ะครับ

    “อย่ามากวนโมโหได้มั๊ยฮยอกแจ” เสียงมันเย็นๆ ผมไม่รู้นะว่ามันโกรธจริงจังแค่ไหน เพราะผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

    “ไม่ได้กวน” ผมตอบ เสียงตัวเองแผ่วๆ ลง

    “นายเคลียร์กับคิบอมแบบไหน” คำถามที่ไม่อยากตอบเอาซะเลย

    “ก็คุยกัน...รู้เรื่องแล้ว” ผมตอบเสียงเบา คิดว่ารู้เรื่องแล้วนะ...

    “ที่จริงฉันไม่เคยอยากรู้เลยนะ ว่าคิบอมมันเข้าหานายยังไงบ้าง รู้แต่ว่าฉันโมโหทุกครั้งที่เห็น แต่ครั้งนี้ฉันอยากให้นายเล่าให้ฉันฟัง” เสียงดงแฮอ่อนลง มันคงไม่สบายใจแหละครับ

    “ฉันบอกว่า...” ที่จริงผมยังไม่ได้บอกอะไรที่ชัดเจนกับคิบอมเลยครับ “บอกว่า....”

    “บอกอะไร” ดงแฮคาดคั้นผม

    “ก็คิบอมถามว่าให้มันอยู่ข้างๆ ฉันได้มั๊ย ฉันเลยตอบว่า...ฉันไม่อยากอึดอัด”

    “แค่นี้เหรอ” ดงแฮทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ

    “คิบอมบอกว่า สำหรับฉัน มันเป็นอะไรก็ได้” ผมจำทุกคำมาพูดให้ดงแฮฟังเลยนะเนี่ย พอดงแฮมันเงียบผมเลยพูดต่อ “ก็ฉันไม่อยากใช้คำรุนแรง ทำร้ายจิตใจคิบอมนี่นา ฉันสงสารมันอ่ะ”

    “นายไม่เด็ดขาดฮยอกแจ แทนที่นายจะบอกว่าเราเป็นอะไรกัน” ดงแฮยังอยู่ในโหมดนิ่งต่อไปครับ

    “ก็...มันน่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ วันนั้นอ่ะ นายบอกมันไปแล้ว...” ผมยังพยายามเอาเหตุผลของตัวเองมาใช้

    “มันไม่เหมือนกัน บอกคิบอมไปซะ มันจะได้เลิกมีความหวังซักที”

    “ทุกวันนี้ ฉันก็คุยกับมันได้ปกตินะ” แล้วผมจะค้านมันทำไมนะ

    “นายไม่เห็นเหรอ สายตาที่มันมองนาย” โห คิบอมมันก็ไม่ได้มองอะไรมากมายหรอกน่า

    “ไม่มั้ง มันคงเลิกคิดไปแล้วล่ะ” ก็ผมมีแฟนแล้ว คิบอมคงพยายามจะเลิกคิดอยู่ มันคงไม่มาจมปรักอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ หรอกครับ

    “ฉันไม่อยากเห็นมันมองนายแบบนั้น นายไม่เป็นฉันไม่รู้หรอกฮยอกแจ เวลานายยิ้มให้ฉัน ฉันมีความสุข แต่พอหันไปเห็นคิบอมมองเราเศร้าๆ อยู่...ฉันจะยังยิ้มได้เต็มที่อยู่รึเปล่า สำหรับฉันนะ ความรู้สึกแรกคือฉันไม่พอใจ นายเป็นแฟนฉัน...ฉันไม่อยากให้ใครมามองด้วยสายตาแบบนี้ แต่คิบอมมันเป็นเพื่อน ฉันจะโกรธมันตลอดไปได้ไง” ยาวเลยครับ

    “อืม แล้วให้ทำไง”

    “บอกคิบอมไป ว่าเรากำลังคบกัน บอกมันว่านายรักฉัน”

    “อะไรนะ”

    “หูหนวกก็ไม่บอก” กวนตรีน

    “แล้วนายล่ะรักฉันรึเปล่า” จะให้ผมไปบอกคนอื่น แต่มันยังไม่เคยบอกรักผมในสถานการณ์ปกติแบบนี้เลยนี่นา

    “ฮยอกแจ ฉันเคยคิดนะว่านายซื่อบื้อ แต่วันนี้ฉันเพิ่งรู้ว่านายมันโคตรจะความจำสั้นเลยวะ” อ้าว

    “ก็ นายบอกฉันครั้งเดียวเองนะเว้ย แถมยังเป็นตอน...ตอนแบบนั้นด้วย” ผมก็มีเหตุผลนะครับ

    “แล้วไม่พอรึไง ใครเขาให้พูดพร่ำเพรื่อล่ะ” ก็เพราะมันไม่พอจริงๆ นะครับ ผมไม่แน่ใจ กลัวดงแฮจำไม่ได้...แต่เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ยอมก็ได้ครับ ไม่ฟังมันแล้วก็ได้

    “อืม” ผมนี่ชักจะเหมือนผู้หญิงไปทุกวัน นิสัยชอบคิดเล็กคิดน้อยเนี่ย มันมาได้ไง...เอาออกไปจากตัวผมที

    ไม่กี่นาทีเราก็มาถึงคอนโดของดงแฮ ในใจผมคิดถึงแต่เรื่องที่เราคุยกัน จนเมื่อมาอยู่ในลิฟต์กันแค่สองคน ผมเลยพูดขึ้น

    “แต่ฉันอยากบอกนายอีกที...ก่อนที่จะไปบอกคิบอม”

    “...........” ดงแฮมันหันมามองหน้าผม รอให้ผมพูดต่อ

    “ฉันรักนาย”

    “...............” มันนิ่งครับ ไม่ใช่นิ่งอึ้ง แต่นิ่งมองหน้าผม...นายจะไม่บอกฉันจริงๆ เหรอวะ เมื่อผมรู้แน่ว่าดงแฮคงไม่บอกรักตอบ ผมเลยก้มหน้ารอลิฟต์ไปถึงชั้นที่อยู่ของห้อง

    “งอนอีก” เสียงกวนๆ ชวนให้อยากเตะ

    “ไม่เคย” ผมตอบ แต่ยังก้มหน้า

    “โกรธ?” มันยังกวนตรีนต่อ

    “เฉยๆ” ผมตอบไป ทั้งที่ความจริงแล้ว ความรู้สึกคือน้อยใจมาก ดงแฮคงรู้แหละว่าผมประชดมันนิดหน่อย

    “เงยหน้าสิครับคุณฮยอกแจ” มันจะมาไม้ไหนกับผมอีกครับ แต่ผมก็เงยตามที่มันบอกนะ พอเงยก็เห็นมันยิ้มรออยู่แล้ว ดงแฮโน้มมาจูบผม มือมันข้างนึงจับเบาๆ ที่คางของผม แล้วก็เน้นจูบที่มุมปาก ผมชอบอ่ะครับจูบแบบนี้ มันให้ความรู้สึก...มากกว่าอารมณ์ พอมันผละปากออก มันก็เคลื่อนใบหน้าไปข้างๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูผม

    “ฉันรักนาย ฮยอกแจ”

     

     

     

     

    จบ ตอนพิเศษ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×