คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 "True Friend" (เพื่อนแท้)
Hidden Story File No.2
True Friend
(เพื่อนแท้)
***เนื้อหาต่อไปนี้คือเวอร์ชั่นแรกของหน้าที่ 50 บรรทัดที่ 22 ถึงหน้าที่ 55**
เป็นเหตุการณ์ที่ป้อฟื้นหลังจากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติขึ้น...
“คุณหนูคะ คุณหนู…”
เสียงที่คุ้นเคยอันแผ่วเบาปลุกป้อให้ค่อย ๆ ลืมตาตื่น
“น้าเหมย” ป้อเอ่ยนามสาวผิวขาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เธอสวมเสื้อยืด คาร์ดิแกนสีดำ กับกางเกงยีนสีขาว และมีใบหน้าที่อวบอิ่มดูใจดี๊ใจดี
นี่คือน้าเหมย พี่เลี้ยงของเขา
“เกิดอะไรขึ้น” ป้อสับสนเมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยและมีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่แขน คุณหมอคนสวยดูชาร์ตอาการของเขาอยู่ใกล้ ๆ ข้าง ๆ เธอมีพยายาลอีกหนึ่งคน
“คุณหนูประสบอุบัติเหตุรถจักรยานล้มจนหัวกระแทกหินแล้วสลบไป” น้าเหมยบอก
“รถจักรยานล้ม...” ป้อพูดกับตัวเองพลางทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
“นายภานุแบกคุณหนูขึ้นหลังเดินเป็นกิโล ทั้งฝนตก พายุเข้า แต่เขาก็ไม่ทิ้งคุณหนู โชคดีมีรถสองแถวขับผ่านมา ไม่งั้นป่านนี้น้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะลงเอยยังไง”
“โถ ไอ้ภานุ” ป้อถอนหายใจอย่างสลดใจ เพราะความคึกคะนองของเขาแท้ ๆ ภานุเลยต้องมาลำบากแบบนี้ “แล้วภานุเป็นไงบ้างครับ”
“อ๋อ เขาก็อยู่นี่แหละค่ะ” น้าเหมยบอก
“อยู่นี่...” ป้อฉงนใจ
แล้วทุกอย่างก็กระจ่างในไม่กี่นาทีต่อมา
บัดนี้ป้อนั่งอยู่บนรถเข็นคนไข้และกำลังเฝ้ามองภานุซึ่งนอนหลับใหลในห้องผู้ป่วยชั้นถัดไป แววตาเขาฉายชัดซึ่งความรู้สึกผิดมหันต์ สองมือป้อโอบอุ้มชาเขียวขวดหนึ่งไว้มั่น มันคือของโปรดของภานุซึ่งป้อหวังว่าเพื่อนจะตื่นขึ้นมาดื่ม
เพราะเขาแท้ ๆ ที่ทำให้ภานุต้องเป็นแบบนี้…เขาช่างเป็นเพื่อนที่แย่จริง ๆ
“คุณราตรีเล่าให้ฟังว่านายภานุไม่ยอมหลับยอมนอนเพราะนั่งทำรายงานให้คุณหนูถึงเช้า แถมก่อนที่คุณก่อเกียรติจะพานายภานุมาส่งโรงพยาบาล นายภานุยังกำชับให้หยิบรายงานเล่มนั้นไปส่งอาจารย์ให้ได้ หมอบอกว่าไข้เขาสูงถึงสี่สิบองศา จัดว่าอันตรายมากทีเดียว” น้าเหมยทอดสายตามองภานุอย่างเศร้าใจ “นายภานุรักคุณหนูมากนะคะ”
“ผมรู้ครับ” ป้อยิ้มตื้นตันใจ “มันไม่เคยทิ้งผมจริง ๆ…”
ป้อคว้ามือเพื่อนมากุมไว้อย่างซึ้งใจในมิตรภาพ เมื่อได้มองห้องพักของเพื่อนรักเขาก็อดสลดใจไม่ได้ ขณะที่เขาได้พักห้องหรูหรากว้างใหญ่ ภานุกลับต้องมาอยู่ในห้องเก่า ๆ ซอมซ่อและแย่กว่าเป็นไหน ๆ
ไม่มีเครื่องปรับอากาศสักเครื่องในห้องนี้ ไม่มีทีวีด้วยซ้ำ…
“น้าเหมย”
“คะ”
“รบกวนช่วยสั่งย้ายภานุไปห้องวีไอพีให้ผมที”
“ตอนแรกน้าก็สั่งให้เปิดห้องวีไอพี แต่พ่อแม่เขา…”
“เดี๋ยวนี้” ป้อยื่นคำขาด น้าเหมยอ้าปากค้างเหมือนอยากชี้แจงบางอย่าง
แต่เมื่อเห็นสายตาเอาจริงเอาจังของป้อ เธอจึงทำได้แค่บอกว่า “ได้ค่ะ น้าจะจัดการให้”
แล้วน้าเหมยก็จากไปอย่างจำใจ ในที่สุดป้อก็ได้อยู่กับภานุตามลำพัง
“เอ็งทำเพื่อข้ามาเยอะเหลือเกิน” ป้อยิ้มให้ร่างที่หลับใหลอย่างสำนึกในมิตรภาพ เขาวางขวดชาเขียวไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วโน้มตัวเข้าไปหาเพื่อนรัก “ถึงตาข้าทำเพื่อเอ็งบ้างละ”
ป้อหลับตาแล้ววางมือขวาลงบนหน้าผากภานุอย่างแผ่วอ่อนโยน
ทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบอาบท่วมมือเขา! - ริ้วพลังสีขาวโชยจากหน้าผากของภานุเข้าไปในอกของป้ออย่างแผ่วเบา - ใบหน้าเด็กหนุ่มที่หลับสนิทพลันเหยเกบิดเบี้ยวดิ้นไปมาดูเจ็บปวด
อึดใจต่อมาป้อก็ชักมือออกจากหน้าผากเพื่อนรักราวกับถูกไฟช็อต
แสงสว่างสีขาวที่มือป้อมลายสลายไป ป้อพลันทรุดฮวบกับพนักเก้าอี้และกอดตัวเองทั้งหนาวสั่น ริมฝีปากของเขาพลันซีดเผือด จู่ๆ ใต้ตาเขาก็หมองคล้ำชวนขนลุก ทว่าผลลัพย์ของการเสียสละก็ทำให้ป้อยิ้มได้อย่างภาคภูมิใจ
บัดนี้ภานุดูดีสดใสเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลย…
“หายกันแล้วนะเพื่อน” ป้อหัวเราะเบาๆ แล้วเผลอไอออกมาอย่างคุมตัวเองไม่อยู่ เขารู้สึกร้อนวูบวาบแสบคออย่างแสนสาหัสดุงถูกไฟเผา ป้ออ้าปากกว้างเพื่อหายใจกวาดอากาศเต็มปอด บัดนี้ดวงตาเขาหนักอึ้งเหมือนคนพร้อมจะหมดสติเสียให้ได้จริง ๆ
ทุกอย่างดูแย่กว่าที่เขาคาดไว้เหลือเกิน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” น้าเหมยกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยรอยยิ้มสดใส
เป็นเวลาเดียวกับที่ป้อส่งเสียงไอราวกับคอจะระเบิด
“คุณหนู เป็นอะไรไปคะ!” น้าเหมยปรี่เข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างตื่นตระหนก ป้อไอกระหน่ำจนหน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลสภาพเขาดูหมองโทรมจนน่าตกใจจริงๆ
“ว้ายตายแล้วคุณหนู ตัวร้อนจี๋เลย” น้าเหมยผละมือหน้าเด็กหนุ่มราวกับถูกน้ำร้อนลวก ป้อเอามือทาบอกโก่งคอไอเหมือนจะสำรอกอาเจียน เหมยถลาไปกดปุ่มฉุกเฉินข้างเตียงผู้ป่วย
“มีอะไรให้ช่วยคะ” นางพยาบาลตอบรับเสียงใส
“รีบมาที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
ป้อถูกห้ามเปลส่งเข้าห้องฉุกเฉินในทันใด
ต้องใช้พยาบาลถึงสามคนจับในการจับป้อที่ตัวสั่นเป็นผีเข้าให้นิ่งเพื่อวัดไข้ ฟันของเด็กหนุ่มสั่นกระทบกันดัง กึก ๆ ถี่รัวจนหมอน้ำเอาต้องเอาผ้าขนหนูอุดปากไม่ให้เขากัดลิ้นตัวเอง ร่างของป้อเหยียดเกร็งแข็งทื่อ ตากระพริบปรือ ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นสติเปิดเปิง เตียงที่เขานอนอยู่สั่นสะเทือนราวกับเจอแผ่นดินไหว นางพยาบาลช่วยกันเอาผ้าห่มหนา ๆ คลุมร่างเข้าไป แต่อาการป้อไม่ดีขึ้นเลย
“สี่สิบเอ็ดองศาค่ะ” นางพยาบาลบอกคุณหมอ
“เป็นไปได้ยังไง?” คุณหมอน้ำกอดออกงงงัน “ทำไมจู่ๆ ไข้สูงอย่างนี้”
“ดิฉันก็ไม่รู้ค่ะ ออกไปจัดการเรื่องย้ายห้องพักให้นายภานุแป๊บเดียว กลับมาคุณหนูก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว” เหมยเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้ ภาพที่ป้อที่ทรมานอยู่บนเตียงผู้ป่วยทำเอาเธอกลัวจับใจ
“คงต้องเช็คบาดแผล อาจมีการอักเสบ หรือไม่ก็….”
“คุณหมอค่ะ” จู่ ๆ นางพยาบาลคนหนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างขวัญเสีย “เกิดเรื่องใหญ่กับคนไข้ห้องสามหนึ่งสี่แล้วล่ะค่ะ”
“อะไรกัน?” หมอน้ำถาม
“เอ่อ…คุณหมอต้องมาดูเองค่ะ” นางพยาบาลดูอ้ำอึ้งบอกไม่ถูก
“โอเค พยาบาลอุไรวรรณคะ”
“ค่ะหมอ” นางพยาบาลที่วัดไข้ให้ป้อขานรับ
“เดี๋ยวคุณฉีดยาแก้ไข้ให้คนไข้ เตรียมเช็คอาการอักเสบของบาดแผล หมอจะรีบกลับมา” คุณหมอสั่งอย่างแคล่วคล่อง
“ค่ะหมอ” อุไรวรรณลุกขึ้นรีบไปเตรียมยาตามที่หมอสั่ง ทันทีที่คุณหมอน้ำกับนางพยายาลออกจากห้องฉุกเฉินไป น้าเหมยก็รีบปรี่เข้าไปหาป้อที่นอนอยู่บนเตียงอย่างห่วงใย
“นะ นะ นะ หนาว” ป้อเปล่งเสียงสั่นระริกอย่างยากลำบากทั้งที่โดนอุดปาก
“ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู คุณหนูต้องปลอดภัย” เธอบอกด้วยรอยยิ้มแห่งความหวังและกุมเขาเขาไว้ ลมหายใจเด็กหนุ่มฟังดูขาดช่วงกระชั้นชิดน่ากลัวเมื่อเขาพยายามกลั้นหายใจข่มความสั่น มือสองข้างของป้อกำแน่นดั่งจะบอกตัวเองให้อดทนจนกว่าจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
“ปะ..ไป ดู ภานุ….” ป้อเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบาและแหบพร่า
“คะ?” เหมยโน้มตัวไปใกล้เหมือนฟังไม่ถนัด
“ไปดูภานุเร็ว…” ป้อพูดช้าๆ ชัดๆ
“ไม่นะคะ” น้าเหมยส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “คุณหนูป่วยหนักขนาดนี้ป้าจะทิ้งคุณหนูไปได้ยังไง”
“ไป….” ป้อบอกแล้วไออีกครั้ง “เดี๋ยวนี้…”
แม้แววตาคู่นั้นจะดูอ่อนล้าแต่ก็ฉาบชัดซึ่งประกายความแน่วแน่อันไม่อาจต้านทาน และมันบีบคั้นให้น้าเหมยต้องยอมจำนน
“ค่ะ” สีหน้าเธอดูปราศจากซึ่งความสุขโดยสิ้นเชิง “เดี๋ยวป้ามานะคะคุณหนู”
น้าเหมยค่อยๆ ถอยหลังจากไปอย่างห่วงใย ก่อนออกจากห้องเธอก็ไม่วายจะหันกลับมองป้ออีกครั้ง แววตาของป้อยังจับจ้องมองเธอราวกับวัดใจว่าเธอจะทำตามคำสั่งหรือไม่ ในที่สุดน้าเหมยก็จำต้องจากไป
แม้ว่าเธอจะอยากอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มมากเท่าไหร่ก็ตาม…
ผ่านไปหลายนาทีอาการสั่นของป้อก็ค่อย ๆ ทุเลาลง
บัดนี้ทั้งห้องฉุกเฉินเงียบสนิท ไม่มีใครนอกจากป้อที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เขากำลังพริ้มตากะว่าจะหลับให้สบายใจ - และเขาคงได้หลับสมใจถ้าไม่บังเอิญได้ยินอะไรบางอย่าง
“ทำไมจู่ๆ ไข้ขึ้นสูงขนาดนั้นล่ะ”
เสียงหนึ่งดังผ่านประตูห้องที่น้าเหมยบังเอิญเปิดแง้มไว้
“ไม่รู้ซิ อาจจะติดมาจากลูกยัยแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวนั่นล่ะมั้ง”
อีกเสียงตอบกลับไป ป้อลืมตาตื่นทันใด
“แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวอะไร?”
“ก็คนไข้ห้องสามหนึ่งสี่ไง เขาเป็นลูกแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดน่ะ”
เสียงของยัยพยาบาลที่ชื่ออุไรวรรณไม่ผิดแน่ ป้อจำได้
“เหรอ เธอเคยกินมะ?”
“ก็เคย เฉยๆ นะ” อุไรวรรณตอบ “ถ้าไม่มีครอบครัวเพื่อนเขาช่วยไว้เด็กนั่นก็คงต้องอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไปต่อไป มีเพื่อนรวยก็ดีอย่างนี้”
“ก็จริง” เพื่อนพยายาบาลส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
ป้อกัดฟันกรอดและกำหมัดอย่างโกรธแค้น เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังเป็นจังหวะๆ เข้ามาใกล้ แล้วในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นางพยาบาลอุไรวรรณปรากฏกายพร้อมขวดยากับเข็มฉีดยาบนถาดโลหะสีเงิน ป้อแกล้งหลับทั้งที่ใจเต้นรัวอย่างเกรี้ยวกราด เขาได้ยินเสียงเกร๊งกร๊างของอุปกรณ์การแพทย์ คาดว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงพร้อม
และเขาก็พร้อมจะทำสอนบทเรียนบางอย่างให้คนปากมอมเช่นกัน
เหมยรีบเดินไปยังห้องพักของภานุอย่างร้อนใจ
แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เธอก็ต้องพบกับเรื่องชวนฉงน
ภานุนั่งอยู่บนเตียงซึ่งรายล้อมไปด้วยคุณหมอกับเหล่าพยาบาลและมือขวาของเขาถือขวดชาเขียว ภาพของภานุนั้นดูสดใสปกติจนไม่น่าเชื่อ เสียงเปิดประตูฉุดให้ภานุหันมองตาม เมื่อเห็นน้าเหมย เด็กหนุ่มก็ตาลุกวาวอย่างตั้งคำถาม
“น้าเหมย?...” แล้วรอยยิ้มแห่งความยินดีก็ปรากฏตามมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือนายภานุ?” เหมยรีบเดินเข้ามาหาเขา
“ผมก็ไม่รู้ แต่ดูนี่ซิ ผมหายดีแล้ว!” ภานุดูมือดูไม้ตัวเองอย่างอัศจรรย์ใจ ขณะที่เหมยหันมองหมอน้ำอย่างต้องการคำตอบ
“เขาไม่มีไข้แล้ว อาการอักเสบในคอ เสมหะ และอาการอื่นๆ ดูเหมือนจะ เอ่อ…หายไปซะเฉยๆ” คุณหมอน้ำอธิบายอย่างเง็งใจ
“มัน….เป็นไปได้ยังไงคะ?” น้าเหมยสงสัย
“ก็ไม่รู้จะอธิบายทางการแพทย์ยังไง” หมอน้ำกอดอกใช้ความคิด “แต่ถ้าจะหาคำอธิบายแบบบ้าๆ บอๆ ก็คือ….อาการทั้งหมดของเขาเหมือนจะไปตกอยู่ที่ป้อแล้ว”
“ป้อ?” ภานุสะบัดหน้าไปมองหมอน้ำอย่างตกใจ “หมายความว่ายังไงครับ?”
“จู่ๆ ป้อก็ป่วยหนัก เป็นไข้หวัดใหญ่ ขณะที่เธอหายจากไข้หวัดใหญ่เป็นปลิดทิ้ง” คุณหมอน้ำยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “หมอก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงละ”
ภานุก้มหน้าสายตาล่อกแล่กดูหวั่นวิตก
“มีอะไรหรือภานุ?” น้าเหมยถาม ภานุเหลือบมองขวดชาเขียวในมือแล้วเงยหน้ามองเธอทันใด
“รีบพาผมไปหาป้อเถอะครับ”
ในที่สุดยาลดไข้ก็ถูกบรรจุลงเข็มขีดยาเรียบร้อย
เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังมาตามพื้นห้องบอกป้อซึ่งแกล้งหลับให้รู้ว่านางพยาบาลปากเสียกำลังใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มลอบเอาฝ่ามือนาบกับลำตัวโดยอีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็น ทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างอาบฝ่ามือเขา
บัดนี้นางพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียงแล้ว
ป้อบอกตัวเองในใจว่า “เหยื่อกินเบ็ดแล้ว…”
“ขออนุญาตฉีดยานะคะ” อุไรวรรณบอก แต่ป้อทำแกล้งหลับไม่ตอบนางพยาบาลใช้สายยางสีเหลืองอ่อนรัดแขนเขา สำลีชุบแอลกอฮอลล์ถูกเช็ดที่แขนเขา เธอเอาสองมือประคองเข็มฉีดยาหันขึ้นเพดานแล้วใช้นิ้วโป้งดันเข็มไล่อากาศ จากนั้นก็บรรจงจับแขนของเด็กหนุ่ม เข็มฉีดยากำลังจะถูกจิ้มลงไปในอีกไม่กี่อึดใจ
ทันใดนั้นควันสีขาวที่ฝ่ามือป้อก็พุ่งเข้าใส่อุไรวรรณเต็มแผ่นหลัง!
ดวงตาของเธอเบิกถลึง และล้มไปกองกับพื้นทันใด!
เข็มฉีดยา และถาดโลหะ หล่นลงพื้นกระจัดกระจายดังเกร๊งกร๊าง หญิงสาวดิ้นพล่านอย่างทุรนทุรายดั่งร่างกายถูกแผดเผา ลำคอของเธอร้อนระอุ ดวงตาหนักอึ้ง ริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าที่เคยผ่องใสกลับหมองคล้ำชวนสยองในพริบตา! วินาทีต่อมาเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งศีรษะ!! อุไรวรรณกรีดร้องลั่นยกสองมือกุมหัว สัมผัสจากของเหลวข้นหนืดอาบลงบนมือเธอ
และเมื่อแบมือดูเธอก็พบว่ามันคือเลือด!!
จู่ๆ ศีรษะเธอก็แตกเป็นแผลเละเลือดไหลพรากอย่างไร้ที่มา นางพยาบาลอุไรวรรณกรีดร้องลั่น! วินาทีหลังจากนั้น ภานุ น้าเหมย คุณหมอน้ำและเหล่านางพยาบาลก็โผล่พรวดเข้ามาในห้อง
ภาพที่เห็นพาให้ทุกคนหายใจกระตุกหยุดเคลื่อนไหว
บัดนี้อุไรวรรณกำลังคลานตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น สองมือยันตัวมาข้างหน้าสองขาพับไปด้านหลัง ชุดสีขาวของพยาบาลเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงฉาน หน้าผากมีแผละเหวอะเหมือนด้วยกระแทกด้วยของแข็ง ดวงตาของเธอคล้ำดำเข้ม ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากซีดเผือด ใบหน้าหมองดูสยองราวกับคนโดนของ
“ช่วยด้วย” เธอเอื้อมมือขวาไขว่คว้าในอากาศตะเกียกตะกายหาทางรอดก่อนจะทรุดฮวบไปชักสั่นกับพื้น หมอน้ำกับเพื่อนนางพยาบาลปรี่เข้าไปช่วยเธออย่างตื่นตกใจ
แต่ไม่มีใครมองเห็นป้อที่แกล้งหลับและอมยิ้มอย่างชั่วร้ายเลยสักคน…
แม้จะไม่มีใครรู้ว่าสองเพื่อนซี้หายจากอาการป่วยได้ยังไง แต่เมื่อภานุกับป้อดูปกติดีหมอน้ำก็อนุญาตให้พวกเขากลับบ้านได้
น้าเหมยดูปีติยืนดีจนสั่งพ่อครัวให้จัดอาหารต้อนรับพวกเขาเซ็ตใหญ่ บัดนี้ตรงหน้าภานุกับป้อคือสเต็กเนื้อโคขุน สปาเกตตี้ และหอยแมลงภู่อบเนย หากไปทานตามภัตตาคารมื้อเย็นคงฟาดไปหลายพัน
“กินเยอะ ๆ เลยนะคะคุณหนู จะได้แข็งแรง” น้าเหมยพูดขณะรินน้ำทับทิมคั้นสดให้ป้อด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ
“ขอบใจ” ป้อยิ้มให้เธอ
“ขอบคุณครับ” ภานุยกมือไหว้เมื่อน้าเหมยรินน้ำทับทิมให้เขา
“ตามสบายนะคะ” น้าเหมยวางเหยือกน้ำไว้กลางโต๊ะแล้วเดินฮัมเพลงออกจากห้องอาหารไป
“แด่มิตรภาพของเรา” ป้อชูแก้วขึ้น
“แด่มิตรภาพของเรา” ภานุพูดแล้วชนแก้วกับเพื่อนเบา ๆ
“เอ็งคือมิตรแท้ที่ข้าคงไม่อาจหาได้จากที่ไหน ขอบใจเว้ย” ป้อบอก
“เช่นกัน” ภานุยิ้มรับอย่างประทับใจ แต่ขณะที่ป้อเริ่มจัดการสเต็กบนจาน ภานุกลับไม่สามารถละสายตาจากเพื่อนได้ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างคาใจและอยากรู้คำตอบเหลือเกิน
“เกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ เอ็งถึงหายเป็นปกติ” ภานุทำเป็นหยิบแก้วน้ำมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่รู้ดิ” ป้อยักไหล่และกินอาหารต่อโดยไม่สบตาเพื่อน “โรคภัยไข้เจ็บก็แบบนี้ เราคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก”
“นั่นสินะ ถึงขนาดหายขาดโดยไม่มีบาดแผลเลย” ภานุทำหัวเราะ “ตอนแรกข้าถามหมอ หมอบอกว่าแผลที่หัวเอ็งกว่าจะหายก็เป็นเดือน แต่นี่วันเดียวก็หายแล้ว สุดยอดจริง ๆ”
“ปาฏิหาริย์ละมั้ง” ป้อหัวเราะเบา ๆ
“ไม่มีแม้แต่สะเก็ด” ภานุพูดต่อ
“อะไรก็เกิดขึ้นได้”
“แม้แต่ตัวข้าที่ป่วยหนักแทบตายจู่ ๆ ก็หายซะเฉย ๆ”
“ใครจะรู้” ป้อทำเป็นจิบน้ำ ภานุจ้องเขาไม่กระพริบ
“แล้วที่จู่ๆ นางพยาบาลคนนั้นป่วยหนักขึ้นมาล่ะ”
“อ้อ ไม่รู้สิ” ป้อยักไหล่แล้วกินต่อ
“น่าสนใจสิ เขาดูเหมือนเป็นโรคของข้าและเอ็งเลยนะ”
เมื่อสิ้นประโยคนั้นทั้งป้อและภานุก็ประสานตากัน
ในวินาทีแห่งความเงียบงันสายตาของป้อกำลังสื่อความหมายประมาณว่า ‘นายรู้อะไรเข้าให้งั้นหรือ’ ส่วนภานุก็จ้องป้อด้วยสายตาที่สื่อความนัยว่า ‘นายมีอะไรจะบอกหรือเปล่าล่ะ’ บังเกิดความเงียบอันแสนอึดอัดจนทั้งสองไม่แม้แต่จะกระดิก
ช่วงเวลาแห่งการจับผิดแม้จะแสนสั้น แต่ก็ช่างยาวนานในความรู้สึกจริง ๆ
“เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเราได้เสมอโดยไม่ทันตั้งตัว” ป้อเอ่ยอย่างเงียบขรึม “สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ปกป้องตัวเราและคนที่เรารักจากเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น”
ภานุหรี่ตาอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ป้อหัวเราะในลำคอและยิ้มนิด ๆ
“บางทีเราไม่เห็นต้องสนใจว่าใครจะเป็นยังไง แค่สนว่าเรากับคนที่เรารักตอนนี้เป็นยังไงก็เพียงพอแล้ว” ป้อสบตาเพื่อนอย่างจริงใจ ภานุรู้สึกได้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องเกิดขึ้น
เหลือแค่หาคำตอบว่ามันคืออะไรก็เท่านั้น…
“คุณหนูคะๆ”
จู่ๆ น้าเหมยก็วิ่งเข้ามาหาพวกเขาหน้าระรื่น มือขวาของเธอกำโทรศัพท์บ้านไร้สายไว้มั่นเหมาะ สองคู่หูหันไปมองเธออย่างฉงนใจ
“มีอะไร?” ป้อถาม
“คุณนายโทรมาค่ะ!!” เหมยพูดด้วยน้ำเสียงแม่ค้าถูกหวย ภานุอ้าปากค้าง สีหน้าของป้อดูก่ำกึ่งระหว่างช๊อคกับดีใจ “นี่ค่ะ”
เหมยส่งโทรศัพท์ให้เด็กหนุ่ม ป้อรับมันมาด้วยท่าทางราวกับลังเลว่าสิ่งนี้ปนเปื้อนสารพิษหรือไม่ ภานุกับเหมยหันมายิ้มให้กันอย่างตื่นเต้นดีใจ ป้อค่อย ๆ เอาโทรศัพท์มาแนบหู…
“ฮัลโล” น้ำเสียงของป้อช่างแผ่วเบาเหมือนมีอะไรติดคอ และเขาไม่อาจสะกดรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากตัวเองด้วย
“เป็นไง” ทว่าเสียงคู่สนทนาที่ตอบกลับมาช่างเย็นชาเหลือเกิน
รอยยิ้มของป้อมลายหายทันใด… ภานุกับเหมยมองกันราวกับต่างฝ่ายต่างงงว่าเกิดอะไรขึ้น ป้อถอนหายใจ เชิดหน้า วางมาดหยิ่งผยองแล้วพูดว่า
“แค่เกือบตาย”
มีร่องรอยความสะใจให้น้ำเสียงนั้นจนภานุรู้สึกได้ ความยินดีที่เคยเกิดขึ้นกับป้อสั้น ๆ ตอนนี้ไม่มีแล้ว
“แต่ไม่ตายใช่ไหม?” แม่ถาม
“ถ้าตายจะมารับโทรศัพท์ได้หรือ?” ป้อยอกย้อน ภานุส่ายหน้าอย่างตำหนิ เขาดูเหมือนกำลังห้ามตัวเองไม่ให้ถลาเขาไปเอามือปิดปากเพื่อน
“เงินพอใช้นะ”
“อืม”
“ก็ดี แค่นี้ล่ะ”
เสียงสัญญาณ ตู๊ด ตู๊ด ที่เล็ดรอดมาจากหูโทรศัพท์บ่งบอกว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ภานุฟังออกว่ามันเป็นกิริยาการวางสายที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก…ผ่านไปหลายอึดใจป้อยังคงแนบโทรศัพท์ไว้กับหูอย่างนิ่งขรึม ความเงียบงันอันแสนหดหู่สะกดทุกคนจนไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงใดๆ
ภายใต้ภาพลักษณ์ที่แสดงตนว่าแข็งแกร่ง แววตาของป้อช่างดูเศร้าหมองเหลือเกิน..
“วันนี้นอนเป็นเพื่อนข้าได้ไหม?” ป้อถามภานุทั้งไม่มองหน้าแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“ได้ซิ” ภานุตอบทันใด ป้อเหลือบหางตามองโทรศัพท์อย่างจงเกลียดจงชังก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วทานอาหารต่อไป เสียงเกร๊งกร๊างของช้อนซ้อมกระทบจานคือเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบในตอนนี้ ป้อไม่สนใจภานุที่มองเขาอย่างเห็นใจ ไม่แยแสเหมยที่หน้าสลดเหมือนจะร้องไห้ และภานุไม่ได้ตาฝาดที่เห็นน้ำใส ๆ เอ่อล้นในตาเพื่อน ความเศร้าของป้อถ่ายทอดมาถึงเขาได้อย่างเจ็บปวดเหลือเกิน…เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนไปไหน
คืนนี้เขาจะดูแลป้อเอง...
**อ่านต่อได้ในหนังสือหน้าที่ 56 เป็นต้นไป**
===== Dr.Pop View =====
ผมเปลี่ยนเนื้อเรื่องในส่วนนี้ออกไป เพราะคิดว่ามันจะดูแปลก ๆ หากหมอน้ำจู่ๆ จะมาตรวจป้อ แล้วก็รีบไปหาภานุซะเฉยๆ เนื้อเรื่องในหนังสือจึงกลายเป็นป้อใช้พลังกับคนที่ผ่านมาแถวนั้นพอดี ส่วนที่ตัดไปเลยคือเนื้อหาเกี่ยวกับแม่ของป้อ ตอนแรกผมกะจะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาครอบครัวของคนที่เราคิดว่าเขาเพอร์เฟค หล่อ ดูดีไปซะทุกอย่าง แต่ท้ายที่สุดผมก็เลือกจะตัดมันไป เพื่อให้การปรากฏตัวของพ่อแม่ป้อในภายหลังนำมาซึ่งคำถามความสงสัย ซึ่งผมบอกได้เลยว่าพ่อแม่ป้อจะมีบทบาทอย่างมากในภาคต่อ
ที่ผมจะบอกต่อก็คือ "เมื่อป้อชวนภานุนอนบ้าน มันจะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเช่นกัน"
แต่ที่ผมตัดมันออก เพราะเหตุการณ์นั้นค่อนข้างเสี่ยงต่อการตีความหมายบางอย่าง
และคุณจะได้อ่านเหตุการณ์นั้นในเร็ว ๆ นี้ :)
ปล ตอนนี้มี "แฟนฟิค ป้อกับภานุ" โผล่มาด้วย มันจะเป็นอย่างไรไปอ่านกัน > คลิก
ดีใจที่ผู้อ่านไปต่อยอดจินตนาการตัวเอง ^^
=======================================================
…To Be Continued…
(ทุกคอมเมนต์ของคุณมีค่า เราจะเอาไว้แจกรางวัล หากชอบฝาก Share ด้วยครับ)
Dr.Pop Facebook : www.facebook.com/drpopworld
Dr.Pop Twitter : http://twitter.com/drpoppop
Boys & A Doll Facebook : https://www.facebook.com/boysandadoll
ความคิดเห็น