ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Break Down! ภารกิจพิชิตรักร้ายนายจอมหยิ่ง

    ลำดับตอนที่ #12 : Break 10: Inside Story [Re]

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 56




    10
     

    Inside Story

     



     

    “แซงค์ เอากาแฟไปเสิร์ฟที่โต๊ะ 4 ให้หน่อย” ฉันวางถาดสีน้ำตาลเข้มที่มีแก้วกาแฟร้อน ช้อนคน น้ำตาลซอง และกระดาษทิชชู่ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะหันไปบอกเด็กหนุ่มหน้าตาดีแต่ปากไม่ดีเหมือนหน้าตาที่กำลังยืนเช็ดกระจกตู้เค้กอยู่ให้เอาไปเสิร์ฟ แซงค์วางผ้าขี้ริ้วสีขาวผืนเล็กๆ ในมือลงบนเคาน์เตอร์แล้วหยิบถาดกาแฟไปเสิร์ฟตามที่ฉันสั่งโดยไม่ลืมที่จะ...แลบลิ้นใส่ฉันก่อนไป

    ไอ้เด็กเวรนี่ –_– เดี๋ยวแม่ก็เอาถาดฟาดหัวแตกซะหรอก!

    ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านในเคาน์เตอร์พลางใช้นิ้วเคาะกับเคาน์เตอร์ไปตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ในร้าน ไม่ใช่ว่ามีอารมณ์สุนทรีอะไรหรอกนะ แต่เบื่อต่างหากล่ะ วันนี้เป็นแรกของการเริ่มต้นเรียนและทำงานหลังจากที่หยุดยาวปีใหม่ ลูกค้าก็เลยค่อนข้างน้อยกว่าช่วงเทศกาลที่ผ่านมาชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้ บรรยากาศภายยามบ่ายภายในร้านก็เลยเงียบเหงาเป็นเป่าสาก และมันก็ทำให้ฉันอดคิดถึงเตียงนอนและหมอนนุ่มๆ ที่บ้านไม่ได้

    สรุปคือง่วงนอนนั่นเอง –*–

    “ฮ้าวววว~” ฉันยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเล็กน้อยอย่างพอเป็นมารยาท วันนี้พี่มาร์ออกไปทำธุระข้างนอก ฉันก็เลยต้องมาอยู่เฝ้าร้านกับแซงค์ที่โรงเรียนยังไม่เปิดเพียงลำพัง

    เสียงกระดิ่งที่แขวนติดกับประตูดังขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเผื่อว่าจะเป็นลูกค้า เฮนรี่เดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าที่เหมือนยังตื่นไม่ค่อยจะเต็มที่นัก เขายักคิ้วให้ฉันทีนึงก่อนจะเดินหายตัวเข้าไปหลังร้านซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทำงาน

    ฉันฟุบหัวลงกับเคาน์เตอร์ อยากกลับบ้านจัง เมื่อไหร่มีมาร์จะกลับมาเนี่ย T^T

    นับตั้งแต่วันคริสมาสต์ ฉันก็นอนขลุกอยู่แต่กับบ้าน แทบไม่ได้ย่างกายออกไปไหนเลย งานที่ร้านก็ไม่ยอมมาช่วยแม้ว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมางานจะยุ่งและลูกค้าจะแน่นจนร้านแทบแตกก็ตาม

    และแน่นอนว่า นับตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ยังไม่ได้เจอฮีวอนอีกเลย...

    ไม่ใช่เขาหรอกที่หายไป แต่เป็นฉันเองต่างหากที่กำลังพยายามจะหายออกมาจากชีวิตเขา แม้ว่าตอนปีใหม่ เขาจะโทรมาชวนให้ออกไปเคาน์ดาวน์ด้วยกัน แต่ฉันก็ปฏิเสธพร้อมกับโกหกไปว่าอยู่ต่างจังหวัดกับเพื่อนแล้วรีบปิดเครื่องหนีตัดขาดการติดต่อทันที

    “เป็นอะไรหรือเปล่าลีน” เฮนรี่ที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังร้านเอ่ยถาม ฉันยืดตัวขึ้นแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

    เป็นอะไรหรือเปล่า...

    นั่นสิ ตัวฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร มันแบบ...อธิบายไม่ถูก

    รู้สึกแย่ๆ เบื่อๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

    รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอน นอน นอน แล้วก็นอน เฮ้ออออ

    “แน่ใจนะ พักนี้ลีนดูไม่ค่อยสดใสเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ” เฮนรี่ถามย้ำอีกครั้ง แล้วหมอนี่มานั่งจับผิดฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันขอให้มาช่วยงานในร้าน ไม่ได้ขอให้มาช่วยสังเกตความผิดปกติในตัวฉันซะหน่อย เดี๋ยวแม่ก็หักเงินเดือนอีกคนซะหรอก!

    “ฉันก็ปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”

    “จริงรึ”

    “จริงสิ”

    “แน่นะ”

    “อ๋อแน่สิ”

    “ไม่ยั่วนะ”

    “มายั่วสิ”

    “คนอวดดี”

    “จะอวดดี”

    “งั้นพี่จะไป”

    “จะไปไหนก็ไป ตลกละ –_–” ฉันตัดบทก่อนที่เราสองคนจะเล่นต่อคำกันจนจบเพลง เฮนรี่จิ๊ปากใส่ฉันก่อนจะเอนตัวพิงเคาน์เตอร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

    “เรารู้ว่าลีนไม่ปกติ”

    “นี่แกจะหาว่าฉันบ้าเหรอ!

    “ไม่ใช่แบบนั้น! เราหมายความว่าเรารู้ว่าลีนกำลังมีเรื่องอะไรไม่สบายใจต่างหาก มีอะไรก็เล่าให้เราฟังได้นะลีน เธอไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว” เฮนรี่บอกพร้อมกับบีบไหล่ฉันเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

    ฉันรู้ดีว่าทุกครั้งที่เฮนรี่บอกว่า มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ นั่นหมายถึงว่าเขากำลังรอฟังและเป็นการบอกบังคับให้ฉันเล่าให้ฟังทางอ้อม แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ ที่รู้ว่ายังมีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ ความรู้สึกแย่ๆ บางอย่างที่อัดแน่นมาเป็นอาทิตย์บีบหัวใจจนฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาซะให้รู้แล้วรู้รอด มันหงุดหงิดจริงๆ นะเวลาที่รู้สึกแย่แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรและอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้อ่ะ

    ฉันตัดสินใจเริ่มเล่าทุกอย่างให้เฮนรี่ฟัง เอ่อ...ทุกอย่างในที่นี้หมายถึงเรื่องรูปที่วิสกี้เอามาแบล็คเมล์ฉันน่ะ เฮนรี่ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นโดยไม่ปริปากพูดหรือถามอะไรสักคำจนกระทั่งฉันเล่าจบ

    “แค่นี้เหรอ”

    คำถามสามพยางค์ของเฮนรี่ทำเอาฉันแปลกใจเล็กน้อย นี่เพื่อนแกโดนแบล็คเมล์นะเฮ้ย ถามมาได้ยังไงว่าแค่นี้เหรอ!

    “แกหมายความว่าไง”

    “ก็...ไม่รู้สิ เรารู้จักลีนดี ดีพอที่จะรู้ว่าลีนไม่ใช่คนที่จะมานั่งซึมแบบนี้เพราะแค่ถูกพี่มาการองดุหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ ลีนข้ามอะไรไปหรือเปล่า”

    ใช่ ฉันไม่ได้เล่าว่าถูกพี่มาร์สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับฮีวอนอีก

    แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ซะหน่อย...

    หรือจะใช่...

    ไม่หรอก

    “ลีน ตกลงว่ายังไง” เฮนรี่ถามย้ำเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป

    “ก็ได้ๆ ฉันถูกพี่มาร์สั่งห้ามไม่ให้ไปพบไปเจอหรือพูดคุยกับฮีวอนอีกเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดและเพื่ออะไรก็ตาม”

    “เธอก็เลยซึมแบบนี้สินะ”

    “ใช่ซะที่ไหนล่ะ” ฉันตวัดหางตามองเฮนรี่

    “ถ้าไม่ใช่แล้วจะอะไรอีก ลีนโก...” เฮนรี่ตั้งหน้าตั้งตาเหมือนจะเถียง แต่แล้วก็หยุดพูดไปซะเฉยๆ

    “ฉันทำไมยะ”

    “เปล่า ไปทำงานละ ต้องเอาขยะไปทิ้งอีก”

    เฮนรี่ตัดบทแล้วรีบเดินหนีไปพร้อมกับถุงดำใบใหญ่ในมือ พอดีกับมีลูกค้าเดินเข้ามาสั่งเค้ก ฉันก็เลยพลาดโอกาสที่จะกระชากคอหมอนั่นกลับมาคุยให้รู้เรื่อง

    ฉัน...ฉันทำไม จะพูดก็ไม่พูดให้จบ –*–

    เอ๊ะ แล้วนี่อะไร

    ฉันก้มลงมองถุงขยะอีกใบที่วางอยู่บนพื้นเพราะเท้าบังเอิญไปเตะมันเข้า สงสัยเฮนรี่จะลืมหยิบออกไปด้วย และด้วยความที่มีน้ำใจงามเหมือนหน้าตาที่บุพการีบรรจงปั้นมา ฉันก็เลยต้องแบกมันเดินตามเฮนรี่ออกมาจากร้านหลังจากรับลูกค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    จะว่าไป กะอีแค่เอาขยะมาทิ้งหน้าร้าน เล่นหายหัวมาเป็นชาติเลยนะ คิดจะอู้งานหรือไงยะ!

    “เฮนรี่ นายลืม...” ฉันอ้ากปากตะโกนเรียกเฮนรี่แต่แล้วก็ต้องค้างกลางอากาศเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    ไม่ใช่เฮนรี่...

    แต่ฉันหมายถึงคนที่กำลังยืนคุยกับเฮนรี่อยู่ต่างหาก!

    คังฮีวอน...เขามาทำอะไรที่นี่!

    “เข้าไปข้างในก่อนลีน”

    เฮนรี่เดินมาคว้าถุงขยะไปจากมือฉันแล้วดันให้ฉันเดินกลับเข้าไปในร้านตามเดิม ฉันหันไปมองหน้าฮีวอนเล็กน้อย เหมือนเขาจะมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกกับฉัน แต่ด้วยความรู้สึกลึกๆ ข้างในที่ยังไม่พร้อมจะคุยกับอะไรกับใครในตอนนี้ ฉันก็เลยเลือกที่จะทำตามที่เฮนรี่บอกคือเดินกลับเข้าไปในร้าน แต่แทนที่เฮนรี่จะเดินตามฉันเข้ามาเขากลับเดินกลับไปคุยกับฮีวอนต่อ...

    เดี๋ยวนะ! คุยอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเฮนรี่ไปหาเรื่องหมอนั่นนะ –O–

    ฉันย่องกลับมาแอบฟังพวกเขาคุยกันด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าจะมีเรื่องกัน เฮนรี่เหวี่ยงถุงขยะลงถังก่อนจะหันกลับไปหาฮีวอน

    “แกกลับไปเถอะ อย่ามายุ่งกับลีนสักพัก”

    แก...เฮนรี่เนี่ยนะเรียกฮีวอนว่า แก

    ขนาดกับฉันที่เป็นเพื่อนสนิทยังแทบจะนับครั้งได้เลยที่หมอนั่นจะหลุดปากเรียกฉันว่า เธอ

    เฮนรี่เป็นคนปากหวาน เขาพูดจาสุภาพแม้แต่กับเพื่อนสนิทอย่างฉัน มีแต่ฉันเนี่ยแหละที่พูดจาไม่ค่อยจะสมกับเป็นกุลสตรีศรีสยามสักเท่าไหร่กับเขา

    “แต่ฉันอยากคุยกับลีนก่อน”

    “แกกลับไปเถอะ ก่อนที่ฉันจะเห็นหน้าแกนานไปกว่านี้แล้วเกิดโมโหขึ้นมาอีก แกไม่รู้หรือไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับลีนบ้าง!

    “เกิดอะไรขึ้น หมายความว่าไง” ฮีวอนทำหน้างง

    “ลีนไปหาแกเมื่อวันคริสมาสต์แต่กลับบ้านมาด้วยสภาพเละดูไม่ได้เพราะโดนเพื่อนแกทำร้าย แถมยังเอารูปที่พวกแกไปเที่ยวทะเลกันส่งให้พี่สาวลีนเพื่อแบล็คเมล์ลีนกับอีก” น้ำเสียงเฮนรี่จริงจังมากจนฉันรู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีจริงๆ

    “ลีนไปหาฉัน? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง แล้วรูปอะไร ทำไมต้องแบล็คเมล์” แต่ฮีวอนกลับงงหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากคนตรงหน้า

    “ก็รูปของแกกับลีนบนเตียงนั่นไง ฉันรู้ว่ามันไม่มีอะไร ฉันเชื่อใจเพื่อนฉัน แต่มันทำให้ลีนถูกพี่มาการองเข้าใจผิด แล้วตอนนี้ก็ลีนถูกสั่งห้ามไม่ให้เจอกับแกอยู่ แกกลับไปเถอะ ฉันไม่ได้โมโหแกเรื่องนี้ แต่ฉันโมโหที่เพื่อนฉันถูกทำร้าย ลีนต้องเจ็บตัวเพราะแก!

    “แต่ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะเว้ย”

    “ก็เพราะแกไม่รู้เรื่องนั่นแหละยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิด!!” เฮนรี่กระชากคอเสื้อฮีวอน ฉันตกใจจนเกือบจะวิ่งออกไปห้ามแต่ก็ยั้งขาตัวเองเอาไว้ทัน

    “แกช่วยฉันหน่อยสิ ฉันอยากคุยกับลีนจริงๆ นะ ขอร้องแหละ”

    “ช่วยเหรอ แกจะให้ฉันช่วยอะไรอีก ฉันช่วยแกมามากพอแล้ว!

    หมายความว่ายังไง...

    มากพอแล้ว?

    “ฉันช่วยให้แกรู้จักกับลีนเพราะเห็นว่าแกเองก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน แล้วแกก็ชอบลีนจริงๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะปล่อยให้แกทำยังไงกับลีนก็ได้นะ!

    เพื่อน...

    เมื่อกี้เฮนรี่บอกว่าฮีวอนเป็นเพื่อนเขางั้นเหรอ

    ช่วยให้ฉันกับฮีวอนรู้จักกัน...หมายความว่าเรื่องโปรโมชั่นที่บอกให้ฉันไปหาทางเอาตัวฮีวอนมาทำงานที่ร้านให้ได้นั่นก็เป็นแค่เรื่องที่สร้างขึ้นมางั้นเหรอ

    เพราะฮีวอนชอบฉันงั้นเหรอ...

    “เฮนรี่...แกอธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิว่าทั้งหมดมันคืออะไร” ฉันก้าวขาออกไปแล้วเอ่ยถามเฮนรี่เสียงสั่น ทั้งสองคนหันมามองฉันด้วยสีหน้าตกใจ เฮนรี่ปล่อยมือจากคอเสื้อฮีวอนแล้วรีบเดินเข้ามาหาฉัน

    “บอกให้เข้าไปข้างในไงลีน”

    “ถ้าเข้าไปแล้วจะรู้เหรอว่าแกหลอกฉันมาตลอด”

    “เราไม่ได้หลอกลีนนะ”

    “แล้วนี่อะไร แกกับเขา...เป็นเพื่อนกัน?” ฉันมองสลับระหว่างเฮนรี่และฮีวอนด้วยความสับสน ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้ก็พาลจะไหลออกมา

    “เราขอโทษ”

    “มาเดอลีน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ฮีวอนเดินเข้ามาหาฉัน แต่เฮนรี่พยายามกั้นระหว่างฉันกับเขาเอาไว้

    “แต่ฉันยังไม่อยากคุยกับใคร...ทั้งนั้น”  ฉันพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นระหว่างที่ตอบเขาและเน้นเสียงหนักในท้ายประโยคพร้อมกับมองหน้าเฮนรี่ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในร้าน

    ฮีวอนเป็นเพื่อนกับเฮนรี่...

    และฉันก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่งที่โดนพวกเขาหลอกมาตลอดสามเดือนเต็ม...

    หรือไม่...ก็เป็นแค่ตัวตลก

    ...ที่พวกเขาเอาไว้ปั่นหัวเล่นอย่างสนุกสนาน!

    “เดี๋ยวลีน! จะไปไหน” เฮนรี่คว้าข้อมือฉันไว้เมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะเดินออกจากร้าน ฉันไม่เห็นฮีวอนแล้ว ดูเหมือนเฮนรี่เพิ่งจะไล่เขากลับไปได้สำเร็จ

    “กลับบ้าน”

    “แต่เราต้องคุยกัน”

    “แน่นอน แต่ไม่ตอนนี้ ฉันบอกแล้วไงว่ายังไม่อยากคุยกับใคร” ฉันบอกเสียงแข็งก่อนจะสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเฮนรี่ราวกับนางเอกที่กำลังงอนเพราะเมื่อคืนพระเอกไม่ยอมทำการบ้านยังไงยังงั้น เอ๊ะ! นี่ฉันบรรยายอะไรออกไป ฉันเป็นนางเอกนิยายที่สวยสดงดงาม บอบบางและน่าทะนุถนอมนะ ไม่สมควรจะพูดจาน่าเกลียดอะไรเยี่ยงนั้น (ไม่ทันแล้วป่ะ)

    “แต่เราอยากคุยตอนนี้ ทำไมจะต้องรอ” เฮนรี่ยังคงดื้อดึง

    “งั้นแกก็บอกฉันมาสิว่าทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องจริง แกกับฮีวอนไม่เคยรู้จักกัน แกไม่เคยหลอกฉัน และเขาก็ไม่ได้ชอบฉันเหมือนที่แกพูด แกบอกมาสิเฮนรี่! บอกมาสิ!!” ฉันตวาดลั่นอย่างหมดความอดทน คนทั้งร้านต่างหยุดการกระทำทุกสิ่งอย่างและหันมามองพวกเราเป็นตาเดียวกัน แม้ว่าแซงค์จะพยายามเรียกร้องความสนใจกลับไปที่เขาเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ละครน้ำเน่าของฉันกับเฮนรี่จะเรตติ้งกว่าหน้าหล่อโฉดของหมอนั่นซะแล้ว

    เฮนรี่เงียบไปก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนฉัน ไม่มีคำปฏิเสธ ไม่มีคำอธิบาย มีเพียงแค่...

    “เราขอโทษ”

    น้ำตาฉันแทบจะไหลออกมาหลังได้ยินคำขอโทษ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างถูกฮีวอนหลอกกับถูกเฮนรี่ที่เป็นเพียงคนเดียวที่ฉันกล้าเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อนรักหลอก...แบบไหนมันเจ็บกว่ากัน

     “ฉันสัญญานะเฮนรี่ พรุ่งนี้ฉันจะกลับมาเป็นมาเดอลีนคนเดิม แต่ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากคุยอะไรกับใครทั้งนั้น” ฉันบอกเฮนรี่แล้วรีบหมุนตัวเดินออกมาจากร้านก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลออกมา

    ฉันแยกไม่ออก แยกไม่ออกจริงๆ ว่าแบบไหนมันเจ็บกว่ากัน...

    เพราะพวกเขาสองคน...เล่นหลอกฉันพร้อมกันในเวลาเดียว!

    To be continued…

    ติดตามเรื่องนี้ Click!
    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×