ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #10 : แรกแสดงฝีมือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.38K
      31
      8 ต.ค. 55

         ขณะที่ฟางเหวินหลงจะเดินตามทางไปที่ห้องโถงเพื่อไปพบเผิงหยางผิง เขาฉุกคิดขึ้นว่าตามหลักแล้ว
     
    เผิงหยางผิงเมื่อออกปากให้เขามาพบกับหลี่เสวี่ยเหมยผู้เป็นหลานสาวแล้ว ไม่ควรที่จะเรียกหาเขากลับไป

    รวดเร็วเช่นนี้

         เมื่อเขาคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็สะกิดปลายเท้าโผบินขึ้นไปบนคาคบกิ่งไม้ ราวกับปักษาตัวใหญ่ จากนั้นลอยตัว

    ติดตามหลังสาวใช้นางนั้นไปอย่างกระชั้นชิด

         หญิงรับใช้นางนั้นเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ดอกอย่างเร่งร้อน ฟางเหวินหลงครุ่นคิดในใจว่าหญิงรับใช้

    นางนี้มีพิรุธจริงๆ เขาร่อนตัวลงมาเบื้องหลังหญิงรับใช้นางนั้นอย่างเงียบเชียบ จากนั้นหยิบเอามีดสั้นใน

    อกเสื้อออกมาจ่อพาดกับลำคอนาง กล่าวเสียงเย็นชาว่า

         "ใครใช้ท่านมา? ขอเพียงโป้ปดคำเดียว มีดสั้นนี้จะเชือดคอหอยท่านขาดไป"

         หญิงรับใช้จำเสียงจากบื้องหลังของฟางเหวินหลงได้ นางแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ สะอึกสะอื้น

    พลางกล่าวว่า

         "บ่าว...บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่รู้เห็นอันใด? เป็น...เป็นนายน้อยกุ้ยถิงบังคับบ่าว"

         ฟางเหวินหลง ถามสืบต่อว่า

         "นายน้อยกุ้ยถิงเป็นใคร? จงบอกมาตามความสัตย์ มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าพเจ้าไร้ความปราณี!"

         หญิงรับใช้ ไหนเลยจะเคยพบเจอเหตุการณ์ที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ รีบบอกเล่าถึงประวัตืความเป็นมา

    ของกุ้ยถิงออกมา ชนิดที่ว่าเขามีไส้กี่ขด ชมชอบอะไร รังเกียจอาหารชนิดใดล้วนบอกกล่าวออกมาอย่าง

    หมดเปลือก

         ฟางเหวินหลงเมื่อรับทราบข้อมูลที่ต้องการแล้ว ก็กดนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เข้าไปที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่

    บริเวณต้นคอของนาง นางก็สิ้นสติทรุดกายล้มลง

         จากคำบอกเล่า กุ้ยถิงผู้นี้คือเผิงกุ้ยถิงเป็นหลานชายคนโตของเผิงหยางผิง คนผู้นี้คิดครอบครอง

    หลี่เสวี่ยเหมย ทุกวันจะเข้าไปพะเน้าพะนอเอาใจนาง แต่หลี่เสวี่ยเหมยเฝ้าแต่คิดคำนึงถึงตน ไม่สนใจใยดีมัน

    เผิงกุ้ยถิงรู้สึกเคียดแค้น จึงคิดลอบทำร้ายสังหารตน

         ฟางเหวินหลงไม่ชมชอบการต่อสู้ฟาดฟัน แต่คราวนี้ต้องให้บทเรียนกับคนเหล่านี้ซักครั้ง คิดดังนั้นแล้ว

    เขาพุ่งตัวลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ ใบหูทั้งสองข้างก็สดับฟังเสียงรอบข้าง

         ชั่วครู่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนหลายคนอยู่ห่างออกไปทางด้านข้างห่างออกไปห้าวา เขาสาดสายตา

    คมกล้าผ่านแว่นตรวจจับคลื่นความร้อนที่เอาออกมาสวมใส่ นับจำนวนศัตรูเบื้องหน้าได้ประมาณสามสิบคน

         ฟางเหวินหลงลอยตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้เบื้องหน้าอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาอ้อมไปยังด้านหลังของเหล่านักบู๊

    ที่ซุ่มดักทำร้าย

         ฟางเหวินหลงล่วงรู้หลักเหตุผลของการชิงลงมือ อย่าว่าแต่ศัตรูมีกำลังพวกมาก จับโจรต้องจับหัวหน้า

    ดังนั้นชักดาบในมือออกมา กลิ้งตัวไปในขบวนนักบู๊ แค่นหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวว่า

         "คิดลอบทำร้ายข้าพเจ้า?"

         จากนั้นฟันดาบในมือเตะเท้าหักศอก ทำร้ายผู้คนติดต่อกันหลายคน เหล่านักบู๊ถูกจู่โจมอย่างกระทันหัน

    ไม่ทันตั้งรับ เห็นฟางเหวินหลงห้าวหาญดุดัน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าปะทะเพียงสู้อย่างเปะปะเท่านั้น

         ฟางเหวินหลงอาศัยท่าร่างประเปรียวดุจมัจฉา จู่โจมใส่นักบู๊หลายคนผ่านจากแง่มุมที่แตกต่างสิบกว่าดาบ

    ฟาดฟันคนเหล่านั้นถอยร่นไม่เป็นขบวน เหล่านักบู๊ไหนเลยเคยเผชิญกับวิชาการต่อสู้เช่นนี้ ล้วนถูกคมดาบ

    ฟาดฟัน ทิ่มแทงใส่ช่วงเอวและเท้า เซถลาล่าถอยไป

         ฟางเหวินหลงร่ายรำเพลงดาบอัสนีอย่างเต็มที่ ในสภาวะโอ่อ่าผ่าเผย แฝงท่วงท่าละเอียดลึกซึ้ง บวกกับ

    เดี๋ยวรุก เดี๋ยวถอย บางครั้งลอยตัวเตะเท้า เพียงชั่วขณะก็โค่นศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นขบวนพากันรับบาดเจ็บ

    ลุกไม่ขึ้น หลงเหลือนักบู๊ที่คุ้มกันบุรุษที่สวมชุดแพรอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเพียงสิบคน

         ฟางเหวินหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชา สองตาสาดประกายเย็นเยียบจับจ้องมองหน้าบุรุษผู้นั้นซึ่งคาดการณ์

    ว่าเป็นเผิงกุ้ยถิงเสียแปดส่วน จ่อปลายดาบไปเบื้องหน้า สืบเท้าเข้าหาเผิงกุ้ยถิงและนักบู๊สิบคนนั้น

         เผิงกุ้ยถิงคิดไม่ถึงว่าฟางเหวินหลงโค่นศัตรูล้มลงสิบกว่าคน กระทั่งลมหายใจยังไม่หอบถี่ รู้สึกขนลุกเกรียว

    ไปทั่วร่าง ปากบงการให้บริวารลงมือ ตัวเองกลับถอยร่นไปด้านหลัง

         ฟางเหวินหลงพุ่งตัวออกไป ฟาดฟันดาบเข้าใส่ นักบู๊ผู้หนึ่งยกกระบี่ต้านทาน เสียงตังคราหนึ่ง นักบู๊นั้นถูก

    กระแทกง่ามมือฉีกขาด กระบี่ไม่ทันตกถึงพื้น ก็ถูกเขาเตะใส่หว่างขา แผดร้องคุกเข่าลง

         ฟางเหวินหลงหยุดยืนห่างจากเผิงกุ้ยผิงสองวา ท่ามกลางเหล่าบริวารของมันที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน

    ยกดาบในมือชี้ปลายดาบไปที่เบื้องหน้า กล่าววาจาเสียงทุ้มหนักว่า

         "เผิงกุ้ยถิง เราทั้งสองไม่มีข้อบาดหมาง ท่านกลับส่งคนมาลอบทำร้ายข้าพเจ้า จะนับเป็นลูกผู้ชายได้

    อย่างไร? หากเห็นข้าพเจ้าเป็นที่ขัดตา ก็เข้ามาเข่นฆ่าข้าพเจ้าเถอะ!"

         ฟางเหวินหลงตาสาดประกายดุร้าย เขม้นจ้องหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง เผิงกุ้ยถิงประสานสายตาคู่นี้ อดใจ

    สั่นสะท้านมิได้ กล่าววาจาด้วยเสียงสั่นสะท้านขึ้นว่า

         "บังอาจ เจ้า...เจ้ากล้าเสียมารยาทต่อเรา? คุกเข่า....ลงให้แก่ข้าพเจ้า!"

         ฟางเหวินหลงแหงนหน้าหัวร่อดังยาวนานกล่าวว่า

         "หัวเข่าลูกผู้ชายมีค่าดั่งเพชรทอง เศษสวะเช่นท่านยังไม่คู่ควร!"

         บรรยากาศเขม็งเคร่งเครียดถึงขีดสุด

         นักบู๊ข้างกายเผิงกุ้ยถิงผู้หนึ่ง พลันโน้มหน้าไป กระซิบข้างหูมันหลายประโยค

         คำพูดเหล่านี้มิอาจหลุดพ้นโสตประสาทการรับฟังอันพิศดารของฟางเหวินหลง บริวารของเผิงกุ้ยถิง

    บอกกล่าวให้มันอดกลั้นเอาไว้ก่อน มันมีแผนที่จะจัดการกับตน

         ฟางเหวินหลงลอบทอดถอนใจ คนเหล่านี้วางอำนาจบาตรใหญ่ ถ้าไม่ได้รับบทเรียนคงจะไม่รู้จักเข็ดหลาบ

         เผิงกุ้ยถิงผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวกับฟางเหวินหลงว่า

        "วันนี้...ถือว่่าเจ้า...เจ้ายังโชคดี ข้าพเจ้าจะคอยดูว่าตัวบัดซบเช่นเจ้าจะมีชีวิตอีกกี่วัน?"

         กล่าวจบ นำกำลังทั้งหมดจากไป

         ฟางเหวินหลง เมื่อเห็นว่าสิ้นเรื่องราวแล้ว จึงเข้าไปกล่าวคำอำลาเผิงหยางผิง โดยที่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราว

    ที่เกิดขึ้นให้รับฟัง เพราะคาดคำนวณจิตใจของผู้ยิ่งใหญ่ด้านการค้าผู้นี้ไม่ออกว่าจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

         อย่างไรเขาก็ยังเป็นเพียงคนนอก ในเมื่อตนยังเป็นคนที่มาใหม่ ไม่ทราบว่าเผิงหยางผิงเป็นผู้ที่มีจิตใจ

    เปิดกว้างหรือไม่?  เช่นนี้เขาควรจะซุกงำเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดูจะเหมาะสมกว่า......

         เมื่อฟางเหวินหลงเดินทางกลับมาถึงเรือนรับรอง ก็เป็นเวลายามหนึ่ง อาทิตย์ใกล้ลับลาขอบฟ้า

    จงซุนเสวียนหัวกลับดักรออยู่หน้าประตูใหญ่ ฉุดลากเขาออกไปบอกกล่าวกับเขาว่าจะพาเขาไปเปิดหูเปิดตา

    ภายนอก

         ฟางเหวินหลงติดตามจงซุนเสวียนหัวลดเลี้ยวจากตึกจงซุนลดเลี้ยวสู่ถนนใหญ่ที่ทอดถึงประตูเมือง

    ตะวันออก เนื่องจากฟางเหวินหลงมีรูปลักษณ์พิเศษ ประกอบกับคนทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่  เมื่อเดินเคียงคู่กัน

    ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน เหล่าอิสตรีพากันชม้ายชายตาให้

         ฟางเหวินหลงกวาดตามอง เห็นภายในเมืองคลาคล่ำด้วยผู้คน โรงเตี้ยมและร้านอาหารแน่นขนัด คึกคัก

    ครึกครื้นยิ่งนัก

         ภายใต้การนำของจงซุนเสวียนหัว ทั้งสองมาถึงถนนสายที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลินจวือ

         จงซุนเสวียนหัวชี้มือไปยังตึกรามที่ฝั่งตรงข้ามหลังหนึ่ง กล่าวว่า

         "ที่แห่งนี้เป็นซ่องนางโลมที่มีชื่อที่สุดของนครหลินจวือเรา เรียกว่าหอจันทร์เมามาย น้องเหวินหลงเชิญ

    เข้าไปชมดู"

         ยามนี้อาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ร้านรวงทุกร้านจุดโคมไฟ ทำให้เพิ่มความสว่างไสว

         หอจันทร์เมามายสมกับเป็นซ่องนางโลมที่ภูมิฐานที่สุดของนครหลินจวือ การออกแบบจัดสร้างโดดเด่น

    เป็นพิเศษ ทุกระยะหลายก้าวแขวนโคมชาววังดวงหนึ่ง สาดส่องจนรอบบริเวณสว่างไสว บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง

         จงซุนเสวียนหัวคล้องแขนฟางเหวินหลงก้าวเท้ายาวๆเข้าไปภายในตัวตึก ปราากฏชายกลางคนร่าง

    ผอมซูบสวมชุดเลิศหรูผู้หนึ่งออกมาต้อนรับ กล่าวว่า

         "ขอต้อนรับท่านจงซุน ขอเชิญนายท่านทั้งสองเข้าไปยังห้องด้านใน"

         สถานที่คนผู้นั้นนำไปอยู่ที่ตึกหลังเรียกว่าเรือนหลงเลือนตน ประกอบด้วยหอสูงสามชั้นจำนวนสี่หลัง

    กึ่งกลางเป็นสวนไม้ดอก แต่ละชั้นของหอประกอบด้วยห้องสิบกว่าห้อง สร้างบานหน้าต่างหันหาสวนไม้ดอก

    ดังนั้นผู้คนในห้องข้างสามารถมองเห็นไม้ดอกภายในสวน

         นางคณิกาและหญิงรับใช้ล้วนแต่งกายเฉิดฉัน กรีดกรายไปมาระหว่างห้องต่างๆ

         คนทั้งสองขึ้นไปยังห้องด้านบนหอสูงหลังหนึ่ง เข้าห้องข้างทรุดนั่งกับพื้นพรมผืนใหญ่ ภายในห้องตกแต่ง

    อย่างภูมิฐาน บนผนังแขวนภาพวาดทิวทัศน์ด้วยสีสันอันสดใส ลวดลายก้อนเมฆ ชวนให้สบายตา

         หญิงรับใช้ยกสุราอาหารมา จากนั้นแม่เล้านางหนึ่งเข้ามาต้อนรับขับสู้ นางเป็นสตรีวัยกลางคน แต่ตกแต่ง

    ประทินโฉมบวกกับรักษารูปร่างเอาไว้ ยังคงมีท่วงท่ายั่วยวนกวนราคะเห็นฟางเหวินหลงเป็นชายหนุ่มรูปงาม

    เหนือธรรมดา จึงกล่าว

         "ท่านจงซุน ตอนนี้หอจันทร์เมามายเรามีหญิงงามมาใหม่หลายนาง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองต้องการทดสอบ

    สินค้าสดใหม่หรือไม่?"

         จงซุนเสวียนหัว หัวร่อฮาฮาคำหนึ่ง เอ่ยปากกล่าวว่า

         "เหมยเหม่ย ข้าพเจ้าเป็นลูกค้าเก่าแก่ หวังว่าท่านคงไม่นำสินค้าย้อมแมวมาหลอกลวงเรากระมัง?"

         แม่เล้านางนั้น ปิดปากหัวเราะเสียงเจื้อยแจ้ว กล่าวตอบว่า

         "ท่านจงซุนมีอารมณ์ขันยิ่งนัก เหมยเหม่ยต่อให้มีขวัญเทียมฟ้าก็มิกล้านำสินค้ามีตำหนิมามอบให้

    นักตรวจสอบหยกผู้ช่ำชองเช่นนายท่านแน่นอน"  กล่าวจบก็บิดเอวส่ายตะโพกล่าถอยไป

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิด มิน่าเล่านางคณิกาถือเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สุด ตั้งแต่ยุคสมัยเลียดก๊กจนถึงโลกใน

    อนาคตของตน แต่ผู้ที่คิดจะดำเนินกิจการให้สะดวกราบรื่น มิใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด

    ต้องอาศัยสายสนกลในรวมถึงการเข้าถึงผู้มีอำนาจและอิทธิพลหลายฝ่าย แต่ถึงจะต้องเผชิญกับ

    ความยุ่งยากเพียงใด ก็มีผู้ต้องการจะทำเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะกิจการเช่นนี้เป็นเครื่องจักรผลิต

    เงินทองโดยแท้

         หลังจากที่แม่เล้าเหมยเหม่ยเดินออกนอกประตูไปแล้ว จงซุนเสวียนหัวก็หันกลับมาเทสุราลงจอกเบื้องหน้า

    ฟางเหวินหลงแล้วกล่าวลอยๆราวกับว่าไม่มีอันใดขึ้นว่า

         "น้องเหวินหลง ท่านทราบหรือไม่ว่าวันนี้ข้าพเจ้านำพาท่านมาที่นี้ เพราะเหตุใด?"

         ฟางเหวินหลง ส่ายศีรษะเป็นความหมายว่าไม่ทราบได้ จงซุนเสวียนหัวจึงกล่าวสืบต่อว่า

         "วันนี้ข้าพเจ้าได้รับรายงานว่า เถียนเหวินซานและเหล่าบริวารจะมายังสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าคาดว่า

    มันคงนำ 'ฉีเฟย' มาด้วยเป็นแน่ คำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เราผู้พี่เลยนำท่านมาพบเจอมัน

    เผื่อว่าอาจจะได้หยั่งเชิงกำลังของคู่ต่อสู้ในการประลองในอีกสองเดือนข้างหน้าซักครั้ง"

         ฟางเหวินหลงยิ้มมุมปาก กล่าวอย่างรู้้ใจว่า

         "พี่เสวียนหัวกล่าวเช่นนี้ หมายถึงว่าวันนี้ เราจะมา 'ก่อกวนมารดามัน' ให้ถล่มทลายกระมัง?"

         จงซุนเสวียนหัว หัวร่อฮาฮา กล่าวอย่างถูกอกถูกใจว่า

        "คำ"ถล่มมารดามัน' ช่างกล่าวได้ประเสริฐแท้"

         คนทั้งสองหัวร่อฮาฮา ยกจอกสุราขึ้นชนกันคราหนึ่ง ก่อนจะต่างดื่มสุราในจอกจนหมด..........

                                                       (จบตอน)

        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×