ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #9 : พานพบหญิงงามอีกครา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.76K
      69
      2 ต.ค. 55

         วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาวเย็นสบาย ฟางเหวินหลงและจงซุนเสวียนหัวอาศัยรถม้า ออก

    จากตึกจงซุน
    ตั้งใจไปยังป้อมตระกูลเผิงซึ่งเป็นที่พำนักของเผิงหยางผิง

         ขณะที่นั่งโดยสารรถม้า ฟางเหวินหลงอดบังเกิดความคิดพลุ่งพล่านมิได้ ก่อนหน้าที่เขามาถึงยังอดีตกาล

    ยุคสมัยเบื้องหน้าหามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาไม่ เขาคล้ายเด็กซุกซน ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอันใดผู้หนึ่ง

    แต่หลังจากโดยสารไทม์แมชชีน โลกแห่งความฝันกลับกลายเป็นสมจริงและมีชีวิตเลือดเนื้อขึ้นมา

         ในยุคสมัยเลียดก๊ก ไม่มีสิ่งใดล้ำค่ากว่าบุคคลอีก สมมุติเช่นยุคนี้ ให้กำเนิดนักพิชัยสงครามซุนปิน

    และจักรพรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่จิ๋นซีฮ่องเต้

         ซุนปินร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามของซุนวูสิบสามบทจากกุ้ยกู่จื้อผู้เป็นอาจารย์ แต่ถูกศิษย์น้องทำร้ายสูญ

    เสียขาทั้งสองข้าง ต่อมารับใช้แคว้นฉี วางแผนยุทธศาสตร์ให้แก่แคว้นฉี หลอกล่อผังเจวียนผู้เป็นศิษย์น้องมา

    ติดกับที่ช่องแคบหม่าหลิง สุดท้ายผังเจวียนเชือดคอฆ่าตัวตาย ซุนปินก็ลาออกจากราชการใช้ชีวิตในป่าเขา

    แต่งตำราพิชัยสงครามในนามของตน ตกทอดถึงอนุชนรุ่นหลัง

         ส่วนฉินอ๋องเจิ้งหลังจากทรงกำจัดหลี่ปู้เหว่ยและเล่าไอ่ ทรงรวบรวมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินไว้ ก็เริ่ม

    ดำเนินการปราบหกแคว้นตะวันออก โดยใช้แผนการของเว่ยเหลียวและหลี่ซือใช้กลยุทธ์ไส้ศึกดำเนินการติด

    สินบนยุแยงให้แตกแยกแล้วปกครอง ทำลายล้างหกแคว้นไปตามลำดับ

         หลังจากห้าแคว้นถูกทำลายล้าง แต่แคว้นฉียังไม่ตระหนักถึงภยันอันตราย เบื้องบนตั้งแต่เจ้าแคว้น

    เบื้องล่าง
    รวมทั้งชาวฉีต่างจมอยู่กับอดีตอันเพริศแพร้วสมัยฉีหวนกงกับมหาเสนาบดีก่วนจ้ง สุดท้ายจึงถูก

    ทัพฉินทำลายล้าง

         ฟางเหวินหลงฉุกใจคิดได้ว่าในเมื่อแคว้นฉินใช้แผนจารชน เช่นนั้นภายในแคว้นฉีย่อมต้องมีไส้ศึกแอบแฝง

    หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะจึงกล่าวว่า

         "พี่เสวียนหัว แคว้นฉีเรา ผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นใคร?"

         จงซุนเสวียนหัว ถอนหายใจก่อนจะกล่าวตอบว่า

         "เปลือกนอกย่อมเป็นเจ้ารัฐฉี แต่ผู้ที่กุมชะตากรรมของรัฐฉีเราแท้จริงคือมหาเสนาบดีเถียนตาน"

          ฟางเหวินหลงเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้ในบันทึกประวัติศาสตร์  ครุ่นคิดว่าเงาของไม้ นามของคนนั้น ย่อมมี

    ที่มา คนผู้นี้ต้องเป็นยอดคนที่ไม่ธรรมดา จึงถามต่อว่า

         "จากน้ำเสียงของพี่เสวียนหัว ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงมีความรู้สึกต่อคนผู้นี้ไม่ดีสักเท่าไร?"

         ขณะที่จงซุนเสวียนหัวจะตอบคำถามนี้ รถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าป้อมตระกูลเผิง จงซุนเสวียนหัวจึงกล่าวว่า

         "เรื่องนี้อย่างไร ค่ำคืนนี้รอให้ท่านกลับมา ค่อยว่ากล่าวเถอะ"

          ฟางเหวินหลงเห็นว่าเดินทางมาถึงที่นัดหมายแล้ว จึงพยักหน้าคราหนึ่ง

         จงซุนเสวียนหัว ยิ้มเล็กน้อย กล่าวต่อว่า

         "น้องเหวินหลงไปเถอะ เราผู้พี่ไม่สะดวกที่จะติดตามลงไป อย่างไรข้าพเจ้าฝากทักทายแม่นาง

    เสวี่ยเหมยแทนข้าพเจ้าด้วย"

         ฟางเหวินหลงรับคำคราหนึ่งก่อนที่จะเดินลงรถม้าไป

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------

         ตึกตระกูลเผิงเป็นตึกใหญ่โตโอฬารที่สุด ทางด้านทิศเหนือของนคร รอบตัวตึกก่อกำแพงล้อม

    ทั้งยังขุดคูคลองล้อมรอบ หนทางเข้าออกเพียงสายเดียวคือขึ้นสะพานแขวนชักขึ้นลงได้ ละแวกใกล้เคียง

    ล้วนเป็นดงไม้ ปราศจากบ้านเรือนผู้คน ยังภูมิฐานยิ่งกว่าตำหนักวังฉีอีก

         ฟางเหวินหลงติดตามพ่อบ้านข้ามสะพานแขวน เข้าทางประตูข้าง เหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนอันไพศาล

    ของตึกตระกูลเผิง หลังประตูเป็นลานฝึกซ้อมฝีมือซึ่งกว้างพอให้ผู้คนหลายพันคนฝึกวิทยายุทธพร้อมกัน

    ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกใหญ่ตระหง่านง้ำ สองฟากข้างปลูกบ้านช่องห้องหับติดต่อกัน ต่อให้ใช้เวลาตลอดทั้งวัน

    เกรงว่าเดินชมสถานที่ไม่ถ้วนทั่ว

         ในที่สุดฟางเหวินหลงพบกับเผิงหยางผิง คหบดีใหญ่ที่สร้างตัวจนมีฐานะเทียบเท่าเจ้าสูงศักดิ์ กุม

    เศรษฐกิจของแคว้นฉีไว้ในมือ

         คหบดีใหญ่ผู้นี้สวมชุดแพรสีเหลือง ประดับไปด้วยพลอยแดงเม็ดเท่าไข่ห่าน  สายรัดที่คาดเอวติดไข่มุก

    นวลใยนั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะอาหาร กึ่งกลางห้อง เชิงบันไดทางเข้าจัดนักบู๊ยี่สิบสี่นาย แยกย้ายอารักขาอยู่

    สองฟากข้าง

         ฟางเหวินหลงคุกเข่าคำนับ เผิงหยางผิงพลันลุกขึ้นยืน ขับไล่หญิงรับใช้ล่าถอยไป หัวร่อฮาฮาแล้วกล่าวว่า

         "เหวินหลง ลุกขึ้นเถอะ เรามีเรื่องจะสนทนากับเจ้า"

         ฟางเวินหลงรับคำคราหนึ่ง นั่งลงเคียงข้างเผิงหยางผิง หลังจากที่ฟางเหวินหลงนั่งลงเรียบร้อย

    เผิงหยางผิงกล่าวว่า

         "เหวินหลง บอกต่อเราตามความสัตย์ เจ้าคาดคิดว่าแคว้นฉีเราจะสามารถต่อกรกับแคว้นฉินได้หรือไม่?"

         ฟางเหวินหลงกล่าวโดยไม่ขบคิดว่า

         "แค้วนฉีเรา แม้นมีบุคลากรและทรัพยากรคับคั่่ง แต่เสียดายที่ชาวฉีขาดผู้นำที่ปรีชาสามารถ เกรงว่าไม่เกิน

    สิบปี คงต้องพ่ายแพ้ต่อแคว้นฉิน"

         เผิงหยางผิงสะท้านคราหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า

         " อาศัยเจ้าชีวิตโฉดเขลาเช่นเจ้ารัฐฉี สุดท้ายแคว้นฉีคงต้องสิ้นชาติ เด็กน้อยเมื่อเจ้าคาดการณ์เช่นนี้ เจ้ามี

    ความคิดจะทำเช่นไร จะเข้าร่วมกับแคว้นฉินหรือไม่"

         ฟางเหวินหลง ทอดถอนใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

         "คนมิใช่ต้นไม้ใบหญ้า ไหนเลยไร้ซึ่งน้ำใจ ข้าพเจ้าไหนเลยหักใจปล่อยให้พวกเราถูกเข่นฆ่าทำลายล้าง

    สิ้นได้?"    

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          เผิงหยางผิง พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า

         "เราดูไม่ผิด เจ้าเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจจริงๆ"

         จากนั้นเผิงหยางผิง กล่าวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อนสืบต่อว่า

         "ตัวเราแม้นไม่ใช่ชาวฉี แต่ว่าเราก็มิอาจเข้าร่วมกับแคว้นฉินเช่นกัน ฉินอ๋อง แม้นเป็นผู้นำที่ปรีชาสามารถ

    แต่ก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน"

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิด ตามบันทึกประวัติศาสาตร์ ปฐมกษัตริย์ทุกพระองค์ต่างล้วนโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งสิ้น

    นี่จึงเป็นสาเหตุให้พระองค์สามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ

         บางครั้งความเฉียบขาดกับความอำมหิต ก็คลับคล้ายกันอย่างแยกออกได้ยากยิ่ง

         เผิงหยางผิง นิ่งงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเปิดอกเสื้อด้านหน้า เผยให้เห็นบริเวณหน้าอก หัวไหล่ ซึ่งเต็มไปด้วย

    บาดแผลที่น่าสะพรึงกลัวหลายแห่ง ดวงตารำลึกถึงความหลัง กล่าววาจาเลื่อนลอยราวถูกสะกดขึ้นว่า

         "บาดแผลเหล่านี้ เราได้รับมาเมื่อเจ็ดปีก่อน  ครั้งนั้นเราค้าขายใบหม่อนอยู่บริเวณชายแดนแคว้นหาน

    คาดคิดไม่ถึงว่าจะพบกับทหารฉินที่ยกกำลังมาบุกตีนครซินเจิ้น ซึ่งเป็นเมืองหลวงรัฐหาน

         ทหารฉินเหล่านี้ยกกำลังมายามวิกาล คิดจะใช้การจู่โจมแบบไม่คาดฝัน เพื่อเผด็จศึกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อ

    ยกกำลังมาห่างจากกำแพงเมืองสามสิบลี้ ก็มาพบกับคาราวานสินค้าของเรา

         เหล่าทหารไม่สนใจอันใด จับเราและบริวารร้อยกว่าชีวิตใส่กรงขังเบียดเสียดกันแน่น แทบไม่มีที่นอนหรือ

    เหยียดแขนขา พวกเราต้องทรมานอยู่ในกรงขังระหว่างที่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ค่ายทหารฉิน ใช้เวลาถึงห้าวันกว่า

    จะเดินทางถึงค่ายกักกัน

         ภายในค่าย ในแต่ละวันจะมีนักโทษประมาณแปดร้อยถึงพันคน ถูกอัดเพิ่มเข้ามาในกรงขังจนแทบไม่มีที่

    หลับนอน บางแห่งนักโทษถูกยัดทะนานจนไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปรอบข้างได้สะดวก

         ยามค่ำคืนพวกเราจะพากันนอนหลับทั้งนอนตามยาวหรือไขว้กันโดยเอาศีรษะหนุนเท้า คอ หน้าอก

    สลับกันไป

         พวกเราเหล่าเชลยไม่มีเวลานอนหลับสบายโดยตลอด เวลายามสี่มีเสียงกลองปลุกให้ตื่น ใครนอนขี้เซา

    หรือสะลึมสะลือ จะถูกปลุกด้วยกระบอง บางครั้งถูกราดด้วยน้ำทั้งถังจนเปียกโชก ทุกคนต้องวิ่งออกไป

    เข้าแถวตรวจนับ ทุกวันจะมีผู้คนที่ทนไม่ไหว เสียชีวิตวันละสิบกว่าคน ศพคนตายทั้งหมดจะต้องนำมาเข้าแถว

    ทั้งๆที่บางศพดูน่าเกลียดน่ากลัว

         สภาพของศพอยู่ในลักษณะเปลือยกาย แข็งทื่อ คอพับ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ศพจะถูกพยุงยืนอยู่ในแถว

    จนกว่าการขานชื่อนักโทษจะเสร็จสิ้น

         พวกเราต้องทนสู้กับความหนาวเหน็บและความหิวกระหายที่เกาะกุมจิตใจอยู่ทกเวลา อาหารที่ได้รับแจก

    สกปรกพอๆกับมูลสุนัข รสชาติเฝื่อน มีกลิ่นเน่าเหม็น แต่ทุกคนต้องกล้ำกลืนเพื่อความอยู่รอด

         พวกเราแทบจะลืมเลือนชื่อแซ่ของตนเอง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่"

         ฟางเหวินหลง ฟังเรื่องราวที่เผิงหยางผิงเล่ามาด้วยความหนาวเหน็บ ครุ่นคิดว่ายุคการศึกสงครามช่าง

    น่าสะพรึงกลัวนัก เพื่อชัยชนะถึงกับยอมทำสิ่งที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์เช่นนี้ จากนั้นกล่าวว่า

         "สุดท้ายท่านลุงสามารถหนีรอดออกมาได้อย่างไร?"

         เผิงหยางผิง ใบหน้าปรากฎประกายน้ำตาก่อนจะกล่าวว่า

         "เหล่าบริวารที่ภักดีต่อเราหลายคนอาศัยช่วงเวลาที่ผู้คุมนักโทษหละหลวม ใช้ชีวิตเข้าแลก ล่อหลอกให้

    ทหารฉินไล่ตามไป ก่อนที่จะคุ้มกันเราตีฝ่าออกมา แต่เมื่อเราหลบหนีมาพบเจอกองทัพทหารจ้าวของหลี่มู่

    ผู้คุ้มกันสองคนสุดท้ายทนพิษบาดแผลหลายแห่งไม่ไหว เหลือเพียงเราที่ร่อแร่ปางตายแต่เพียงผู้เดียว"

         ฟางเหวินหลงคิดไม่ถึงว่าเผิงหยางผิงซึงมีความเป็นอยู่เลิศหรู จะเคยมีอดีตที่ยากแค้นลำเค็ญถึงเพียงนี้

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

         เผิงหยางผิง เห็นว่าฟางเหวินหลงนิ่งเงียบไป จึงกล่าวว่า

         "เรื่องการศึกระหว่างแคว้น ขณะนี้เจ้ายังไม่ต้องใส่ใจ ตอนนี้ควรเพ่งสมาธิไปที่การแย่งชิงตำแหน่ง

    มือกระบี่หน้าบัลลังค์เป็นอันดับแรก ถึงแม้นเจ้าจะมีฝีมือเลิศล้ำ แต่ขอให้ระวังคนผู้หนึ่งเอาไว้ คนผู้นี้นามว่า

    ฉีเฟย"

         ฟางเหวินหลง กล่าวอย่างสงสัยว่า

         "ฉีเฟย?"

         เผิงหยางผิง ผงกศีรษะ กล่าวว่า

         "มือกระบี่ผู้นี้ เป็นคนที่เถียนเหวินซาน บุตรชายของเถียนตานเชิญตัวมา ไม่ว่าวิชากระบี่ ขี่ม้า ยิงธนูล้วน

    จัดอยู่แถวหน้าของแคว้นเรา"

         ฟางเหวินหลงสูดลมหายใจเข้าไปคำหนึ่ง ด้านเพลงกระบี่ ตัวเขายังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่วิชาขี่ม้า

    ยิงธนูเป็นที่แน่ใจว่าอย่างไรก็คงไม่อาจเทียบกับนักบู๊ในอดีตกาลได้ ยิ่งเป็นระดับยอดฝีมือด้วยแล้ว เป็นที่

    แน่ใจว่าไม่อาจเห็นหลังได้

         เผิงหยางผิง ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า

         "เราสนทนากับเจ้าจนลืมเวลาไป ตอนนี้เสวี่ยเหมยคงรอคอยเจ้าจนคอยืดยาวแล้ว หนึ่งเดือนมานี้ เจ้าคง

    ไม่ทราบว่านางเป็นห่วงเจ้าเพียงใด? เจ้ารีบไปพบนางเถอะ"

         ฟางเหวินหลง สลัดความกลัดกลุ้ม ยิ้มรับคำคราหนึ่ง จากนั้นติดตามหญิงรับใช้ที่นำทางเขาผ่านสวนไม้ดอก

    อันกว้างขวาง และหอน้อยสูงสองชั้นที่ปลูกสร้างอยู่กลางสวน

         ระหว่างที่ติดตามหญิงรับใช้ ฟางเหวินหลงมีความรู้สึกว่า เผิงหยางผิงและจงซุนหลงสองพ่อลูก ต่างกำลัง

    แย่งชิงอำนาจกับเถียนตาน ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจและทรงอิทธิพลในแคว้นฉี คนทั้งสามล้วนต้องการพึ่งพา

    ไหวพริบและเพลงดาบของเขาในการต่อกรกับมหาเสนาบดีผู้เรืองอำนาจผู้นี้

         ศึกสงครามภายนอก แคว้นฉินก็กำลังรุกไล่แย่งชิงดินแดน ในเมื่อเขารู้ว่าสุดท้ายดินแดนแห่งนี้อย่างไรก็

    ไม่อาจรอดพ้นความล่มสลาย คำพูดที่ตนเองรับปากปราชญ์กระบี่กับเผิงหยางผิงว่าจะปกป้องแคว้นฉี

    ภายภาคหน้าจะทำให้เขาต้องจบชีวิตลงหรือไม่?

         หญิงรับใช้นำทางฟางเหวินหลงเดินล่วงลึกเข้าไปภายในสวน ท่ามกลางเสียงนกขับขานหนอนแมลงร่ำร้อง

    เขาเพ่งมองข้ามไหล่หญิงรับใช่ไปพบเห็นเงาหลังของสตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์นางหนึ่งกำลังตัดแต่งไม้ดอก

    ภายในสวน

         ขณะที่หญิงรับใช้กำลังจะเปล่งเสียงร้องเรียกนาง ฟางเหวินหลงก็โบกมือทัดทานเอาไว้ แล้วกล่าวอย่าง

    แผ่วเบาว่า

         "ข้าพเจ้าไม่ต้องการรบกวนความสงบของคุณหนูหลี่ ขอพี่สาวโปรดรอคอยสักครู่เถอะ"

         หญิงรับใช้ยิ้มเล็กน้อย ผงกศีรษะอย่างรู้ใจ จากนั้นย่อตัวคำนับเขาแล้วหันกายก้าวเท้าเดินล่าถอยไปอย่าง

    เงียบงัน

         จากที่มองจากด้านข้าง ภายใต้แสงแดดอ่อนๆที่ตกกระทบผมดำขลับ ขับเน้นผิวกายของหลี่เสวี่ยเหมยให้

    ยิ่งขาวผ่องเป็นยองใย ตากลมโตบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างที่ประดับอยู่บนใบหน้างามผุดผาด จดจ่ออยู่กับการตัดแต่ง

    ไม้ดอก

         ชุดแพรบางที่คลุมกายนาง ไม่ทราบทำจากวัสดุใด อาจเป็นใยจากหม่อนไหมที่หาได้ยาก สะท้อนประกาย

    นวลใย บนมวยผมเสียบปิ่นหยกอันหนึ่ง ตลอดทั้งร่างระเหยกลิ่นหอมสดชื่นกระทบจมูกเขาที่อยู่ห่างออกไป

    สามวาเป็นระยะ

         ภาพเบื้องหน้า ทำให้ฟางเหวินหลงรู้สึกราวกับว่าหญิงสาวผู้นี้สูงส่งดุจนางเซียนจากสวรรค์

    คาดคิดไม่ถึงว่าผ่านช่วงระยะเวลามาเพียงไม่นาน ความงามผุดผาดที่เคยมีเเปรเปลี่ยนเป็นความงามพิลาส

    ล่มเมือง

         สวรรค์ ในโลกหล้ามีหญิงงามเช่นนี้หรือ? คราครั้งนั้นเสวี่ยเหมย เนื่องจากอยู่ระหว่างหลบหนีจากศัตรู

    การแต่งกายคลับคล้ายกับบุรุษ แต่เมื่อนางกลับมาสวมใส่อาภรณ์ของสตรี เสน่ห์ความงามเมื่อเทียบกับ

    หญิงสาวที่เขาเคยพานพบมาในชีวิตกับโฉมสะคราญเบื้องหน้าแล้ว เปรียบดั่งแสงดวงดาวท่ามกลางแสงจันทร์

    กลางเวหน

         ฟางเหวินหลงปลุกปลอบจิตใจที่หวั่นไหว สาวเท้าถึงเบื้องหน้านาง ห่างประมาณห้าก้าว น้อมกายคารวะ

    กล่าวว่า

         "ฟางเหวินหลงคำนับแม่นางหลี่"

         หลี่เสวี่ยเหมย เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหู กรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ก็ร่วงหล่นจากมือที่ขาวละเอียดแทบ

    โปร่งใสด้วยอาการสั่นเทา จากนั้นก็หมุนกายกลับมา เมื่อพบเห็นภาพบุรุษที่เบื้องหน้า แม้นว่านางจะจดจำภาพ

    ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมที่ช่วยเหลือนางกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ช้ดเจน แต่นางยังคงจดจำดวงตาสุกใส

    ที่เรียวยาวของฟางเหวินหลงประทับไว้ในจิตใจได้ไม่ลืมเลือน

         จากนั้นน้ำตาสุกใสเกลือกกลิ้งจากดวงตาดำขลับ ไหลลงอาบแก้มผุดผาด กล่าววาจาด้วยเสียง

    อันสั่นเครือว่า

         "ท่าน....ท่านคือ...พี่เหวินหลง"

         ฟางเหวินหลง ยิ้มอย่างสง่างาม กล่าวว่า

         "ถูกแล้ว เสวี่ยเหมย พี่เหวินหลงกลับมาพบท่านตามสัญญาแล้ว"

         ท่ามกลางสวนไม้ดอกอันวิจิตร ชายหนุ่มหญิงสาว หลังจากผ่านช่วงเวลาวิกฤติคับขัน ทำให้ก่อเกิดน้ำใจ

    อันลึกซึ้งต่อกัน ร้อยวาจาพันวจีไม่ต้องเอื้อนเอ่ย คนทั้งสองก็เข้าถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของกันและกัน 

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

         หลี่เสวี่ยเหมยกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาขึ้นว่า

          "คืนนั้น ข้าพเจ้าขอเทพยดาฟ้าดินคุ้มครองท่าน กาลก่อนข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวบนบานร้องขอสิ่งใด มีเพียง

    ครั้งนี้ที่ข้าพเจ้าพบว่าหากปราศจากท่าน ข้าพเจ้าอาจไม่ขอมีชีวิตสืบไป"

         ฟางเหวินหลงทราบว่า สาวงามนางนี้บังเกิดรักแท้ต่อเขา จึงโอบรั้งนางเข้ามาในอ้อมอก ยื่นมือเชยคาง

    กลมมนของนาง ให้นางเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสุกใสของนางพอประสานสบตากับเขา ต้องก้มศีรษะลงใหม่

    ท่วงท่าที่ทั้งเอียงอายทั้งยินดี ความรักครั้งแรกของหญิงสาวอ่อนเยาว์ ชวนให้ผู้คนวาบหวามยิ่ง

         ฟางเหวินหลง กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

         "เสวี่ยเหมย ไม่เชื่อมั่นในตัวข้าพเจ้าหรือ เราฟางเหวินหลงไม่ใช่ผู้ที่ตกตายง่ายดายปานนั้นหรอก"

         หลี่เสวี่ยเหมย ถูกโอบกอดจนรู้สึกวาบหวาม สีแดงซ่านแผ่กระจายทั่วใบหน้า กระทั่งใบหูลำคอยัง

    ร้อนผะผ่าว ทอดถอนใจเบาๆกล่าวว่า

         "ตั้งแต่เราทั้งสองจากกันครั้งนั้น ผู้อื่นเข้าใจว่าท่านคงประสบเภทภัย เป็นเหตุให้ผู้อิ่นถูกท่านทำร้าย

    จนสาหัส"

         ฟางเหวินหลง กล่าวอย่างสงสัยใจว่า

         "ข้าพเจ้าทำร้ายท่านสาหัสอย่างไร?"

         ดวงตาหลี่เสวี่ยเหมยทอประกายความรัก กล่าวอย่างเอียงอายว่า

         "ยังไม่ทำร้ายคนอีกหรือ? หนึ่งเดือนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ค่อยพบหน้าท่าน ทำให้ผู้คนคิดถึงจนผมขาวไป

    หลายเส้น"

         ฟางเหวินหลงยิ้มมุมปาก กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

         "หากเส้นผมของท่านไม่มุมานะถึงเพียงนี้ เราจะทำโทษท่าน"

         หลี่เสวี่ยเหมย จ้องมองเขาด้วยตากลมโตที่งามซึ้ง กล่าวอย่างสงสัยว่า

         "ทำโทษ? ท่านจะทำเช่นไร?"

         ฟางเหวินหลงยิ้มเล็กน้อย ก้มหน้าลงประทับจุมพิตริมฝีปากบางเบา หลี่เสวี่ยเหมยทั้งแตกตื่นทั้งอับอาย

    ฟันที่ขบแน่นถูกลิ้นของอีกฝ่ายชำแรกเข้ามา รู้สึกเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำต่อจูบแรกของบุรุษสร้างความกระสันรัญจวน

    แก่นางอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

         ฟางเหวินหลงประทับจูบยาวนานค่อยถอนริมฝีปากห่างจากริมฝีปากอันร้อนผ่าวของนางช้าๆ ก้มศีรษะ

    เพ่งพิศวงหน้านางโดยละเอียด หลี่เสวี่ยเหมยหอบหายใจอย่างเร่งร้อนจนต้องอ้าปากน้อยๆ ลืมตาขึ้นอย่าง

    อ่อนล้า ค้อนเขาเป็นเชิงตัดพ้อแง่งอนวงหนึ่ง จากนั้นหลับตาลงด้วยความอุธัจเอียงอาย

         ขณะที่คนทั้งสองเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำกับการเสียดสีสัมผัสที่ลึกซึ้งกร่อนวิญญาณ พลันได้ยินเสียงร้องเรียก

    ของหญิงรับใช้ดังแว่วมา ทั้งสองสะดุ้งเฮือกใหญ่ แยกย้ายผละจากกัน

         ฟางเหวินหลงรีบออกจากดงไม้ดอกไปรับหน้า สกัดหญิงรับใช้นางนั้นไว้ ถามว่า

         "เรื่องอันใด?"

         หญิงรับใช้นั้นย่อกายคารวะกล่าวว่า

         "นายผู้เฒ่าให้บ่าวมาเชิญท่านฟางกลับไปพบที่ห้องโถงใหญ่"

         ฟางเหวินหลงกล่าวว่า

         "รบกวนพี่สาวบอกนายท่านว่า ข้าพเจ้าจะติดตามไป"

         หญิงรับใช้นั้น แย้มยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน หันกายจากไป

         ฟางเหวินหลงกลับเข้ากลางดงไม้ดอก พบว่าหลี่เสวี่ยเหมยหนีหน้าไปแต่แรก ต้องฝืนยิ้มคราหนึ่ง รุดกลับ

    ไปยังห้องโถงพบกับเผิงหยางผิง




                                                         (จบตอน)

    ปล.ตอนหน้าจะมาแบบทีเดียวจบตอนเลย (ใช้เวลาหน่อยนะครับ)

     

     

     

     

            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×