ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #43 : มาวคีลี เมมบี (Mokele Mbembe) สัตว์ยักษ์ผู้ขวางสายน้ำ (ตอนที่ 1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.67K
      8
      25 ส.ค. 51


    มาวคีลี เมมบี (
    Mokele Mbembe)

     

    ทวีปแอฟริกานับว่าเป็นทวีปที่มีเนื้อที่กว้างขวางเต็มไปด้วยสัตว์หลากหลายพันธุ์ และมีหลายตัวที่ไม่ค่อยรู้จักเพราะมีจำนวนน้อย ไปจนถึงที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็มี หรือมีแบบตกสำรวจ ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ไมว่าจะเป็นปลาพันธุ์ใหม่ สัตว์เลี้อยคลานพันธุ์ใหม่ แมลงพันธุ์ใหม่ หรือแม้แต่

                    ไดโนเสาร์....!!

    เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อ 200 ปีก่อน ซึ่งกระแสข่าวที่เล่าขานมันบอกว่ารูปร่างของมันไม่ตรงกัน แต่พอสรุปได้ว่ามันคือไดโนเสาร์....... แต่ยังไม่มีใครบอกว่ามันคืออะไรกันแน่ เพียงแต่ว่าคนพื้นเมืองรู้จักเจ้าตัวนี้เป็นอย่างดี และเรียกมันในชื่อต่างๆ กันไป มันเป็นได้ทั้งไดโนเสาร์ หรือไม่ก็แรด ก็ได้ทั้งนั้น

    เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือมาวคีลี เมมบี "Mokele Mbembe" หรือในความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"

                    เจ้าตัวที่ว่านี้อยู่สาธารณคองโก (บางทีก็มีคนเห็นตัวมันตรงบริเวณคาเมอรูน กาบอง ด้วย เนื่องจากสามประเทศนี้มีเนื้อที่เชื่อมติดกัน) ซึ่งพื้นที่ที่พบตัวมันก็เต็มไปด้วยป่าทึบขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งร้อนและชื้น มีสายน้ำและหนองน้ำ บึงอยู่เป็นจุดๆ ทั่วไป และที่สำคัญในบรรดาหนองน้ำเหล่านี้ มีแห่งหนึ่งที่นับว่าใหญ่ที่สุดในโลก มันคือบึงลิโกอูอาลาเนื้อที่ราว 55,000 ตารางไมล์ ใหญ่กว่ารัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกาทั้งรัฐ

                    ที่สำคัญที่สุด พื้นที่ของคองโกกว่า 80% ยังตกสำรวจอยู่เลยครับท่าน...!

                    แม้หลายคนเรียกสัตว์ลึกลับนี้ว่า มาวคีลี เมมบี แต่บางเผ่าก็เรียกมันแตกต่างกันออกไป เช่น อีเมร่า อืนตูกา(Emela Natouka)เป็นภาษาลิงกาลาแปลว่าผู้ฆ่าช้าง หรือ ช้างน้ำ นอกนากนี้ก็มี อเสกา โมเก, อัมกัมบา นาแม, และอีมีอา อืมตูกา(จำยากจัง)

    จากบันทึกและคำบอกเล่าต่างๆ สรุปได้ว่ามาวคีลี เมมมบี มีขนาดพอๆ กับช้างหรืออาจใหญ่กว่าช้าง หากหนักเหมือนจระเข้ มีเขาเดี่ยว หรืออาจเรียกว่านอเดี่ยวตั้งอยู่กลางหัว คล้ายงาของช้างสีผิวของมันไปทางน้ำตาลหรือเทา เกลี้ยงไม่มีขน รอยเท้าขนาดเท่ากับช้างมีนิ้วสามนิ้วและมีเล็บด้วย เสียงของมันมีทั้งเสียงหอน เสียงคำราม เสียงคราง ฯลฯ ที่มนุษย์ที่ไหนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

    ../new/images/a/c/mokele_mappap.jpg
                  ส่วนที่อยู่ก็บอกไปแล้วคือ แถบหนองน้ำลิโกอูอาลาของสาธารณรัฐคองโกทวีปแอฟริกา อาศัยอยู่ในแม่น้ำและทะเลสาบในถิ่นนั้น หรืออาจอาศัยอยู่ตามถ้ำริมตลิ่งที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นโพลง ว่ากันว่าส่วนใหญ่มันมักจะอยู่ในน้ำยกเว้นเมื่อจะกินหรือเดินทาง มันอาศัยอยู่ในทะเลสาบโดยข้ามแม่น้ำอีกสายหนึ่งไปอีกสายหนึ่ง อาหารของมันคือต้นและใบมาลอนโบ สัตว์ตัวนี้ฆ่าควายและช้างด้วยการเอาเขาของมันแทง แต่มันไม่กินสัตว์ที่มันฆ่า และมันอาจจะฆ่าคนที่เข้าใกล้มัน แต่มันก็ไม่กินคนเช่นกัน

    จากคำบอกเล่าและบันทึกหลายๆ ปาก พบว่า เจ้า มาวคีลี เมมบี  นี้มีหลายแบบมากครับ แต่ถ้าหลักก็ มันเป็นสัตว์คอยาว หางยาวและมีนิ้วสามนิ้วแหลม และถ้าให้ชาวพื้นเมืองวาดรูปเกี่ยวกับตัวมันดูจะพบว่ามันเหมือนไดโนเสาร์พันธุ์เซาโรพอดมากครับ

                    คาดคะแนว่ามันมีความยาวของตัวอยู่ระหว่าง 5-10 เมตร คอยาว 1.6-3.3 เมตร ความยาวของหางอยู่ระหว่าง 1.6-3.3 เมตร มีรายงานด้วยว่ามันมีหงอนเหมือนไก่ตัวอยู่ และมีอีกรายงานหนึ่งมี 2 เขาที่หัวด้วย

                    ตามหลักฐานบันทึกการมีอยู่ (ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริง) ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ตามที่ทางชาวตะวันตกเค้าได้บันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกนั้นก็เมือเมื่อปี ค.ศ.1776 น่ะครับ เป็นบันทึกของบาทหลวงชาวฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ ลีแวง โบนาวองตู โปรยา (Lvain Proyart) ซึ่งได้บันทึกสถานที่ที่เห็นเจ้า มาวคีลี เมมบี เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโกทวีปแอฟริกา ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนท่านเข้าไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น ตามบันทึกของบาทหลวงผู้นี้ได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับบรรดาสรรพสัตว์ที่ท่านเคยเห็นมาก่อน มันใหญ่เท่าช้างแต่ไม่ใช้ช้าง และได้บรรยายถึงลักษณะของรอยเท้าที่อยู่บนดินที่มีรอยกรงเล็บของมันเอาไว้ด้วยว่ามีขนาด 3 ฟุตที่วัดโดยรอบ ก็นับว่าเป็นจุดกำเนิดให้กับเรื่องเล่าขานจากสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียว  (สมัยก่อนยังไม่มีคำว่า ไดโนเสาร์ ซึ่งคำนี้เกิดขึ้นหลังผ่านมาร้อยกว่าปีให้หลัง)

                    รายงานบันทึกของบาทหลวงทำให้มีการตั้งกลุ่มสำรวจคองโกเป็นครั้งแรก ช่วงค.ศ. 1880  นับแต่นั้นเป็นต้นมา

    ต่อมาในปี ค.ศ.1909 ร้อยโท ปอล แกรตซ์ (It.Paul Gratz) ก็ได้บันทึกเรื่องราวถึงลักษณะของเจ้าสัตว์นี้เช่นกันเมื่อเขาได้เห็นมัน "มันอาจจะดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมากแต่ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลยและเท้าก็มีกรงเล็บอยู่ทั้งสี่ข้าง" ซึ่งปอล เล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงที่ใกล้กับทะเลสาบบังวีอูลู( Bangweulu ) ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia) ซึ่งเขาตั้งชื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่าอืมซังกา

    ต่อมาในปีเดียวกันนักธรรมชาติวิทยา คาร์ล ฮาเก็นแบ็ค (Carl Hagenbeck)ชาวอเมริกัน ได้มาทำการสำรวจพื้นที่นี้จากคำบอกเล่าของชาวเยอรมัน ฮันส์ สคอมเบิร์ก (Hans Schomburgh) และชาวอังกฤษ โจเซฟ เมงเกส ( Joseph Menges) ว่าอาจจะสัตว์ยักษ์ ครึ่งช้าง ครึ่งมังกร อาศัยอยู่ที่บึงน้ำคองโก ซึ่งพวกฮิปโปโปเตมัสต่างพากลัวมันและหนีหายไปจากทะเลสาบบัววีอูลูและหนองน้ำไดโลโล(ตอนนั้นพวกเขาเรียกมันว่าชีเปกวี) ทำให้ คาร์ล ฮาเก็นแบ็คสนใจเรื่องนี้มาก เขาเลยส่งคณะสำรวจพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในสมัยนั้นไปดูให้ให้กันจะๆ ที่คองโก แต่น่าเสียดายโครงการนี้ไม่สำเร็จ เนื่องจากปัญหาของชนพื้นเมืองที่ไม่เป็นมิตร และบรรดาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดของที่นั่น และบางกระแสว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ฮิปโปโปเตมัสก็ได้

    ในปี ค.ศ.1913 รัฐบาลเยอรมันส่ง ร้อยเอกเฟรเออ ฟอนสไตน์ ซู เลาสนิทช์ และ คณะไปสำรวจคาเมอรูนและภาคกลางของแอฟริกาซึ่งตอนนั้นพื้นที่แถบนี้ถูกครอบครองโดยเยอรมัน โดยคณะสำรวจนี้ทำหน้าที่เก็บตัวอย่างพืช และสัตว์ ภูมิศาสตร์ไว้ แต่น่าเสียดายเมื่อคณะสำรวจไปไกลแค่แม่น้ำซังก้าก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นทำให้การสำรวจหยุดลง แถมเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้อีกทำให้รายงานของเลาสนิทช์ต้องลงหลุม ไม่มีโอกาสที่เผยแพร่สู่สาธารณะชน

    ต่อมาวิลลี่ เลย์ ลูกครึ่งอเมริกากับเยอรมันได้เห็นรายงานเลาสนิทช์นี้และสนใจจนแปลออกมาให้คนอื่นรับรู้กัน ในรายงานของเลาสนิทช์กล่าวว่าได้พบมันหลายครั้งที่แม่น้ำ Ubangi, Sanga, และ Ikelemba ในขณะที่ทำการสำรวจภูมิประเทศอยู่ และได้บรรยายถึงลักษณะของมันเอาไว้ว่า "มันมีผิวหนังที่เรียบเป็นมันสีเทาค่อนไปทางน้ำตาล และตัวโตประมาณช้างหรือเล็กกว่านั้นเล็กน้อย คอยาวและมีฟันอยู่ซี่เดียวแต่ว่ายาวมาก หางดูเหมือนจระเข้ ขณะที่ผมดูเหมือนว่ามันกำลังออกหาอาหารอยู่ โดยอาหารที่มันกินประจำคือพืช"

    ปี ค.ศ.1920  ข่าวการพบตัวมาวคีลี เมมบี เริ่มหนาหู ปลุกกระแสให้มีการออกตามล่าค้นหากันอย่างมากในช่วงนั้น แต่คนที่ไปค้นหามันนั้นจริงๆ นั้นไม่ใช้นักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญหรอกครับ แต่เป็นพวกอยากดังมากกว่า แน่นอนผลสุดท้ายคนพวกนี้ส่วนใหญ่ผลงานจะคว้าล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากคนที่ไปสำรวจเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ และไม่ได้มีรายงานที่จริงจังอะไรมากนัก และหลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไปตามๆ กัน จนกระทั่งแทบจะลืมเรื่องราวของมันไป

     

    และผ่านไปหลายปี  รายงานการค้นหาตัวมาวคีลี เมมบี ก็มีมากขึ้น โดยมีดังต่อไปนี้

     ../new/images/a/c/mokele_piede.jpg

    ในปี ค.ศ. 1935 สถาบันสมิธโซเนี่ยนเกิดสนใจเจ้าสัตว์ลึกลับตัวนี้จริงๆ จังๆ เลยส่งนักสำรวจจากวอชิงตันดีซีไปคองโก เมื่อไปถึงด่านขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่น่าเสียดายครับรายงานนี้หยุดลงตอนนี้ครับเพราะเกิดอุบัติเหตุรถไฟตกรางพลิกคว่ำครับทำให้นักสำรวจตาย 4 คนและบาดเจ็บอีกไม่น้อยทำให้ผลการสำรวจครั้งนี้ยกเลิกโดยปริยาย

    ในปี ค.ศ.1948 นักสัตว์วิทยา อีวาน แซมเดอร์สัน (Ivan T. Sanderson) ได้เขียนรายงานออกมาอีกครั้ง เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ หรือก็คือเจ้ามาวคีลี เมมบี นั่นเอง ทำให้มีการจุดประกายในการออกตามหากันขึ้นมาอีกครั้ง

    รายงานเล่าว่า เขากับเจอรัล รัลเซลล์นักธรรมชาติวิทยาชาวอเมริกัน ขณะนั้นพวกเขากำลังนั่งเรือขุดเล็กๆ ไปที่แอ่งมัมฟี ในแม่น้ำมาอินยูซึ่งบริเวณนี้เป็นตริ่งสูงชันเหมือนหน้าผาและมีถ้ำดินที่ถูกน้ำกัดแซะมาก เมื่อเขาผ่านถ้ำที่เกือบจมมิดแห่งหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนต่อสู้กันในถ้ำที่ว่านั้น และมีบางสิ่งที่คาดว่าเป็นหัวใหญ่มากผุดขึ้นจากน้ำจากนั้นครู่เดียวก็เกิดคลื่นใหญ่มากและเสียงไหลบอกว่าตอนนี้สัตว์ยักษ์กำลังเดินจากไป......

     

    จากนั้นการค้นหาตัวมันก็หยุดลงอีกช่วงครับ เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สถานการณ์โลกไม่ปกติ และยังมีช่วงสงครามเย็นอีก ทำให้เรื่องราวของ เจ้ามาวคีลี เมมบี หายไปอีกครั้งครับ

     

    ต่อมาในปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานเจมส์ เอช เพาเวล จูเนียร์ (James H. Powell Jr.) ก็มีความสนใจในตัวเจ้ามาวคีลี เมมบี เช่นกันเขาค่อยๆ สะสมเงินทุน และเริ่มออกค้นหาครั้งแรกในปี 1972 และครั้งต่อมาในปี 1976 ก็ได้หลักฐานและรูปถ่ายของร่องรอยของมันมากขึ้น และกับการสำรวจอีกครั้งในปี 1980 คราวนี้มีนักสัตว์วิทยา ดร.รอย พีแมคคาล (Roy P. Mackal) เดินทางไปด้วยและได้พบรายงานของการพบเห็นและข้อมูลอย่างมากมายที่บริเวณทะเลสาบ Tele บางรายงานกล่าวว่ามันมีขนาดความยาวจากคอหางประมาณ 25 -30 ฟุต ผิวสีน้ำตาลแก่ หรือบางรายงานกล่าวว่าเห็นหงอนกับแนวขนที่หลังของมันด้วย และรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า มาวคีลี เมมบี นั้นถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น และได้นำเอาเนื้อของมันมาแบ่งกินกัน แต่ผู้ที่กินเนื้อก็ตายเรียบไปด้วย (ซึ่งเรื่องการการตายของ มาวคีลี เมมบี โดยชนพื้นเมืองฆ่านั้นตรงนี้มีรายงานและจดหมายรวมไปถึงข้อมูลจากชาวเผ่าพื้นเมืองได้บันทึกเอาไว้ด้วย

    แต่รายงานก็คือรายงานครับ เพาเวลอยากพบมันจะๆ มากกว่า แต่การเดินทางของเขาก็ออกมาล้มเหลวมากกว่า หลังจากที่ต่อสู้สัตว์ร้าย โรคร้าย จนเกือบตาย เขาต้องกลับบ้านไปโดยได้ข้อมูลเพียงพยานที่พบเห็นเท่านั้น

    ปี 1963 คราวนี้ เพาเวล ยังไม่เข็ดครับ เขาตัดสินใจเดินทางไปกาบอง คราวนี้ความหวังของเพาเวลมาจากหนังสือชื่อ เทรเดอร์ ฮอร์น เขียนโดยชาวอังกฤษชื่ออัลเฟรด อลอยซิอุส สมิธ โดยเขียนประมาณว่าพบเห็นเจ้าตัวนี้ที่กาบอง พาเวลเลยเชื่อครับ และหันไปที่กาบองแทนที่จะไปคองโก  

    คราวนี้ไม่เสียเที่ยวครับ พวกเขาดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพวกเขาที่ได้ยินรายงานการพบเห็นเกี่ยวกับมันในครั้งล่าสุด จากพยานหลายคน โดยพยานสำคัญคือหมอผีมีเชล โอเบียง หมอผีประจำเผ่าฟาง โดยการคุยกันนั้น เพาเวลนำภาพสัตว์ต่างๆ มาให้เขาดูปรากฏว่าเขาตอบชื่อสัตว์ในแอฟริกาได้หมด และเมื่อเขาลองเอาภาพหมีมาให้เขาดู หมอผีบอกว่าสัตว์นี้เขาไม่รู้จัก และคราวนี้เพาเวลเอารูปของไดโนเสาร์ดิปโลโดคัสให้ดู หมอผีก็ตอบอย่างไม่ลังเล อืนยามาลา นี้แหละเจ้าตัวนี้แหละ

    จากนั้นเพาเวลก็ถามหมอผีว่า เคยมีใครฆ่ามันและเหลือกะโหลกไว้เปล่า หมอผีตอบว่า ไม่ อิมยามาลาเป็นเจ้าแห่งน้ำ มันไม่เคยตาย และไม่มีใครฆ่ามันได้

    เพาเวลมีเวลาอยู่แอฟริกาครั้งนี้ไม่นานนัก ในที่สุดก็กลับไปบ้านเพราะงบหมด แต่กระนั้นเขาก็ได้ข้อมูลของมันมากโขทีเดียว

     

    (ติดตามตอนต่อไป+ +)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×