ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #42 : กริฟฟิน (Griffin) ราชาแห่งสัตว์ร้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.45K
      6
      20 ส.ค. 51



    กริฟฟิน (
    Griffin)

     

                    นี้เป็นตอนต่อเนื่องจากตอน สัตว์ร้ายแห่งกรุงทรอยครับ

                    เอเดรียน เมเยอร์ นักตำนานศาสตร์ เธอเดินทางไปศึกษาในปี ค.ศ. 1982 ที่เกาะซามอส แห่งทะเลเอเจียน ซึ่งพบกระดูกขนาดยักษ์มากมาย ทั้งวีรบุรุษและสัตว์ประหลาด กระจัดกระจายไปหมด ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวกรีกจะนำเอาสัตว์ใหญ่มาบวงสรวงสังเวยในพิธี และบรรจุชิ้นส่วนของสัตว์นั้นไว้ในโลงศพด้วย เพื่อเป็นสิ่งสักการะ

    เมื่อเอเดรียนได้ไปสำรวจบนมายซีเน และ พบชิ้นส่วนของสัตว์ใหญ่ประเภทหนึ่งซึ่งมีกระดูกขาแข็งแรงใหญ่โต พร้อมกับกระดูกอุ้งเล็บเล็กๆ ที่มีกรงเล็บ..................

    และนั้นเองที่ทำให้เอเดรียน คิดขึ้นว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สัตว์สังเวยนั้นคือ........

    กริฟฟิน

     

    .......................................................................

     

    กริฟฟินมีชื่อเรียกต่างกันออกไป คือ gryffen, girphinne, greffon, grefyne, grephoun, griffen, griffin, griffion, griffon, griffoun(e), griffown, griffun, griffyn, grifon, grifyn, griphin, griphon, gryffin, gryffon, gryfon, gryfoun(e), gryphen, gryphin, และ gryphon

    แต่แบบที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันจะมี 4 แบบคือ griffin ,griffon ,grifon และ gryphon ซึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งปวง ไม่มีสัตว์ตัวใดที่สูงสง่างามเยี่ยงราชาไปกว่ากรีฟฟิน หรือกริฟฟอน เนื่องจากมันรวมรูปลักษณ์ของสัตว์สูงส่งสองชนิดเข้าด้วยกัน หัวและปีกเป็นนกอินทรี ลำตัวและหางเป็นสิงโต

    กริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างหลากหลาย (แต่สิ่งที่เหมือนกันคือตัวสิงโตและหัวเป็นนก) บางแหล่งว่ากรงเล็บเหมือนของนกอินทรี แต่ซีทีเซีย(Ctesias) บอกว่าขาและกรงเล็บของมันคล้ายกับของสิงโต หูยาว กรงเล็บของกริฟฟินมีขนาดเท่ากับเขาวัวหรือเท้านกอินทรีทั้งเท้า ในยุคกรีกภายหลัง กริฟฟินมีรูปทรงเปลี่ยนไป คือมีจะงอยปากงุ้ม หูแหลมและลิ้นแหลม ซีทีเซียเล่าไว้ว่าขนที่หน้าอกของมันเป็นสีแดง ส่วนที่เหลือของลำตัวเป็นสีดำ แต่บางแหล่งว่า ขนตามหลังของมันเป็นสีดำและที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ปีกเป็นสีขาว และคอของมันเป็นลายสลับสีน้ำเงินเข้ม บางแหล่งว่าลำตัวที่เหมือนสิงโตของมันใหญ่กว่าสิงโตแปดเท่า และหัวและปีกของนกอินทรีของมัน แข็งแรงกว่านกอินทรีหนึ่งร้อยเท่า แต่บ้างว่ากริฟฟินสูงกว่าม้าสองฟุต


                   แม้กริฟฟินจะมีขนาดโตและพละกำลังมาก แต่อิเลียนคีตกวีบอกว่า
    พวกมันชนะสัตว์อื่นๆ ไม่ยาก แต่มันไม่เคยประจันหน้ากับสิงโตและช้าง) ส่วนฟิลลอสสเตรทอส บอกว่า พวกมันชนะช้างและมังกรได้มีแต่เสือเท่านั้นที่อยู่เหนือมัน

                    กริฟฟินโด่งดังแพร่หลายไปทั่วโลก อยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ โดยเราสามารถหารูปมันได้จากประติกรรมเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้น กระเบื้องเคลือบ หรือตำนาน

                    กริฟฟินเป็นสัตว์ที่เป็นหนึ่งในสัตว์เทพนิยายที่อายุเก่าแก่ที่สุด กำเนิดขึ้นมานานตั้งแต่ 5,000 ก่อน โดยปรากฏตัวครั้งแรกในศิลปะของซีเธียนในตะวันออก ในบริเวณที่ราบสูงของเมโสโปเตเมีย ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษหลังจากนั้น มันก็เดินทางข้ามแม่น้ำไปไกลถึงไอร์แลนด์และจีน  สัตว์ร้ายทรงพลังตัวนี้เป็นทั้งผู้พิทักษ์และนักไล่ล่าในเวลาเดียวกัน

                    ในตำนานกรีกโบราณก็มีตำนานของกรีฟฟินเหมือนกัน ชื่อของมันกล่าวขานในหน้าของวรรณกรรม โดยคำว่ากริฟฟินมาจากภาษากรีก ซึ่งมีที่มาจากภาษาพวกฮิตไตต์อีกที ทำให้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่ากรีฟฟินถูกรังสรรค์จากชาวกรีกซึ่งถือว่าผิด เพราะถ้าหากเรามาดูประวัติศาสตร์และเทพนิยายของกรีกอย่างละเอียดแล้ว พบว่าแทบไม่มีการเอ่ยถึงกริฟฟินเลย แต่ที่น่าประหลาดใจคือมันกลับไปปรากฏโฉมในผลงานศิลปะต่างๆ มากมาย ส่วนในเทพนิยายของกรีกบอกเพียงว่า สิงโตมีปีกเหล่านี้คอยราชรถให้กับเทพและเทวีของกรีก

                    เอริสเทียส คือชาวกรีกที่เขียนถึงกริฟฟินครั้งแรก จากการบันทึกเดินทางไปยังทวีปเอเชียสมัยก่อนศตวรรษที่ 7 ที่นั้นมีชนเผ่าหนึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีเทือกเขาที่อุดมไปด้วยทองคำ ถูกเฝ้าโดยสัตว์น่ากลัวและประหลาดตัวหนึ่งซึ่งเอริสเทียสเรียกมันว่า กริฟฟิน

                    นักเขียนชาวกรีกอีกหลายคนอย่างเช่นเฮโรโดตัสและซเทเรียส พรรณนาถึงกริฟฟินเช่นกัน แม้ทั้งคู่จะไม่เคยเห็นมันก็ตาม ซเทเซียสเขียนถึงภูเขาที่เต็มไปด้วยฝูงของกริฟฟิน มันเป็นนกที่มสี่เท้า ตัวใหญ่เท่าจิ้งจอก มีขาและอุ้งเท้าเหมือนสิงโต.........ส่วนเฮโรโดตัสบอกถิ่นที่อยู่ของกริฟฟินว่า จากไฮสเซดอนมีชายตาเดียวกับฝูงกริฟฟินตอยเฝ้าขุมทองในเทือกเขาอัลไตและเทียนซานและถิ่นทุรกันดารไกลโพ้น

                    ภาพลักษณ์ของกริฟฟินและลักษณะหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ทองคำนั้นออกจะคล้ายคลึงกับมัวกร แต่น่ายกย่องมากกว่ามังกรตรงที่มันไม่บ้าเลือดฆ่าคนอื่นก่อน ซึ่งมันจะรอดูว่าผู้บุกรุกคนนั้นจะเป็นภัยกับตนหรือทองคำหรือเปล่าก่อนจึงค่อยฆ่า

                    นอกจากนั้นยังมีคความเชื่อว่า กรงเล็บของกริฟฟิน เป็นเครื่องรางต่อต้านความชั่วร้าย และโชคร้าย และสามารถตรวจพบพิษได้ ว่ากันว่าถ้ากรงเล็บของมันได้สัมผัสกับพิษจะมีสีคล้ำลง ส่วนขนของมันรักษาอาการตาบอด

                    ในขณะเดียวกันกริฟฟินยังปรากฏในตำนานอียิปต์ มันเกี่ยวของกับเทพเจ้าเซ็ธ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเทพแห่งสุริยะโฮรัส ในอัสสิเรีย ซึ่งกริฟฟินที่ออกมานั้นต่างกับของกรีกคือมันมีนิสัย โลภจัด

                    
                   ในด้านลักษณะนิสัยของกริฟฟินซึ่งคนอื่นรู้จักกันดีว่ามันมีความลุ่มหลงทองคำ เมื่อใดที่พูดถึงกริฟฟินก็ต้องพูดถึงทองคำด้วยทุกครั้ง ซึ่งไม่แปลกอะไรเพราะโดยธรรมชาติสัตว์ประเภทนกทั่วไปก็ชอบของที่ประกายระยิบระยิบออกจากทองคำหรือเพชรเมื่อต้องดวงอาทิตย์อยู่แล้ว นอกจากนั้นกริฟฟินยังมีความสามารถในการหาทองคำหรือสมบัติที่ฝังในดินได้อีกด้วย

                    ในศตวรรษที่ 8 สตีเฟ่น สคอทัส นักประพันธุ์ไอริชเขียนว่า กริฟฟินเป็นสัตว์ประเภทผัวเดียวเมียเดียว เมื่อมันจับคู่สมรสแล้ว มันจะอยู่กับคู่ของมันตลอดชีวิต หากอีกฝ่ายตายจากก่อนมันจะไม่ยอมไปหาคู่ใหม่

                    เซนต์ ฮิสเดการ์ด แม่ชีชาวเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้เขียนการวางไข่ของกริฟฟิน โดยบอกว่ากริฟฟินกำลังตั้งท้องมันจะไปหาที่วางไข่ที่ถ้ำที่มีทางเข้าแคบมาก แต่พื้นที่ภายในกว้างขวาง ไข่ของมันมีขนาดเท่านกกระจอกเทศ(บางตำนานบอกว่าไข่มันเป็นอัญมณี) และมันจะเฝ้าเลี้ยงลูกจนโตแข็งแรง

                    ในยุคแรกเริ่มของคริสต์ศาสนา ผู้เชี่ยวชาญของศาสนจักรเหมารวมเรียก กริฟฟินว่า มันเป็นสัตซ์ร้าย จนถูกเปรียบมันว่ามันเป็นเทพเจ้าของคนนอกศาสนา(ซษตาน) โดยเป็นสัญลักษณ์แทนพวกที่ข่มเหงรังแกสาวกพระเยซู แต่ต่อมากริฟฟินก็ได้ยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์เยี่ยงราชันย์ และเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู  อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของพระสันตะปาปา

                    ในตำราบางครั้งกริฟฟินก็จัดอยู่ในสัตว์สัญลักษณ์ของความรู้ นอกจากนั้นมันยังเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และขณะเดียวกันบางตำรามันก็โหดเหี้ยมดุร้าย มันเป็นศัตรูของม้าและคน หากบังเอิญไปพบมันเข้ามันจะฉีกขย้ำร่างมนุษย์เป็นชิ้นๆ แต่กระนั้นมันก็รู้จักบุญคุณและซื่อสัตว์เป็นเหมือนกันโดยใครที่ได้ช่วยเหลือในขณะที่มันบาดเจ็บ กริฟฟินจะยกอุ้งเท้าที่สามารถตรวจพิษในเครื่องตื่มได้ให้เป็นการขอบคุณ

                    หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย สถาปัตยกรรมของโบสถ์ก็ยังมีรูปของกริฟฟินติดอยู่ตามวัดวา อาราม และทำให้พระที่มาจากตะวันตก ยุโรปสนใจ จึงได้คัดลอกลายนี้ไว้ไปเผยแพร่ด้วย ซึ่งทำให้กริฟฟินเป็นที่รู้จักถึงหมู่เกาะอังกฤษ แคว้นเวลส์และไอร์แลนด์ ซึ่งมีรูปลักษณ์ต่างกันเล็กน้อย

                    ต่อมาในศวรรษที่ 12 นักบุญ เบอร์นาร์ด แห่งแคลร์วอกซ์ ได้ทำการปฏิรูปศาสนาคริสต์ตลอดจนวัดอารามทั่วยุโรป อาจเป็นเพราะความเคร่งครัดทำให้กริฟฟินค่อยๆ หายจากโบสถ์

                    มาร์โค โบโล นักสำรวจชาวอิตาลี เคยออกเดินทางไปเมืองจีนเมื่อสมัยศตวรรษที่ 13 เขาอาจเคยเห็นกริฟฟินตัวเป็นๆ แถบเส้นทางสายไหม โดยเขาเล่าว่ามันคล้ายกับนกยักษ์มาดากัสคาร์ในมหาสมุทรอินเดียทีเรียกว่า รักค์ ซึ่งมันมีขนาดใหญ่มโหฬาร

                    เมื่อมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา กริฟฟินก็ได้ปรากฏตราประจำตระกูลที่นิยมมากโดยเฉพาะของยุโรป แลบะในเทพนิยายนิยายเด็กโดยเรื่องแรกที่กริฟฟินปรากฏตัวคือ อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์

     

    ..........................................................................

     

                    ครับก็จบแล้วครับกับตำนานของกริฟฟิน ซึ่งแต่งเติมสร้างสีสันพอสมควร ผมก็ขอกลับมาเรื่องกระดูกที่พบบ้าง ซึ่งกระดูกที่พบนั้นความจริงไม่ใช้ของกรีฟฟินหรอกครับ แต่มันเป็นต้นกำเนิดของกริฟฟินต่างหาก

                    โดยครั้งแรกผู้เชี่ยวชาญก็ค้นคว้าลึกครับ แบบว่าคิดเลยว่าถ้ากริฟฟินมีจริงมันจะอยู่ไหน โดยทำการค้นลึกถึงแหล่งที่น่าจะมีอยู่จริงๆ จากตำรภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา โบราณคดี และบรรพชีวินวิทยา ก็พบว่าดินแดนที่กริฟฟินอยู่ปัจจุบันน่าจะอยู่ที่มองโกเลียตะวันตก จีนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ คาซัคสถานตะวันออก และรัสเซียกลางตอนใต้ และบอกว่าความจริงกริฟฟินมันบินไม่ได้นะ แถมมนุษย์นะไม่มีโอกาสเห็นมันแล้ว เพราะมันสูญพันธุ์ไปเมื่อราว 60 ล้านปีก่อน เพราะมันคือโปรโตเซราทอปส์ (Protoceratops) ครับ


                  โปรโตเซราท็อป เป็นไดโนเสาร์ที่กินพืชเป็นอาหาร อยู่ในยุคเครตาเชียส ท่องตระเวนบนพื้นโลกก่อนจะสูญพันธุ์ไปอย่างลึกลับพร้อมกับไดโนเสาร์อื่นเมื่อ
    65 ล้านปีก่อนโน้น โดยเชื่อว่าชาวกรีกน่าจะเห็นซากของมันตามพื้นดินในดินตามเทวาลัยแล้วพยายามนึกภาพออกมาว่าเมื่อมันมีชีวิตอยู่ หน้าตามันจะเป็นแบบไหน รูปร่างแบบไหน โดยชาวอิสซีโดเนียนก็จินตนาการเจ้านี้เป็น กริฟฟินในที่สุด

    เมื่อเรามาเปรียบเทียบรูปร่างของโปรโตเซราท็อปกับหริหหินดูจะพบว่าสัตว์ทั้งสองรูปร่างคล้ายกันครับ รูปร่างที่แท้จริงของกริฟฟินคือตัวยาวราว 6-7 ฟุต มีเล็บคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน และทั้งสองมีปากรูปร่างคล้ายปากนก อีกทั้งฟอสซิลที่พบส่วนมากมักอยู่ดินแดนที่มีเม็ดทรายทองปะปนตามพื้นดินซะด้วย ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าเจ้าตัวนี้มันเฝ้าขุมสมบัติ โดยโปรโตเซราท็อปตัวแรกที่ขุดค้นพบเมื่อปี 1925 ในทะเลทรายโกบี ซึ่งไม่ไกลจากเทือกเขาอัลไตเท่าใดนัก รับ รูปร่างที่แท้จริงของกริฟฟินคือตัวยาวราว 6-7 ฟุต มีเล็บคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน และทั้งจะเป็นแบบไหน

    แต่ก็มีปริศนาให้ขบคิดเหมือนกันคือติดปัญหาคือเจ้าหริฟฟินมันมีปีก แต่โปรโตเซราท็อปไม่มีปีกนะสิครับแล้วคนโบราณมันจิตนาการว่ามันมีปีกได้ไงเนี้ย อีกทั้งยังพรรณนาว่ามันหวงลูกด้วย ซึ่งก็ตรงกับทฤษฏีอีกว่าไดโนเสาร์ทุกชนิดห่วงลูก ซึ่งหากคนโบราณสร้างกริฟฟินขึ้นมาจากซากฟอสซิลของมันจริงแล้ว ทำไมพวกเขาจึงรู้นิสัยของมันได้ ราวกับเห็นมันตัวเป็นๆ ซึ่งนี่คือปัญหาของนักสัตววิทยาต้องสงสัยและแก้ปัญหาต่อไปครับ

     

     

    จากหนังสือต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 339 พฤษภาคม 2546

    http://runetica.exteen.com/20060510/griffin

    Cammy ดัดแปลง+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×