ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #149 : 6 ตัวร้ายในความทรงจำ By cammy

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.09K
      3
      2 ก.พ. 57


                    ผมเชื่อครับว่าคนในอ่านบทความในที่นี้ตอนนี้มีบางคนชอบตัวร้าย มากกว่าจะชอบตัวเอก(พระเอก-นางเอก) เสียอีก และบางคนก็คงมีตัวร้ายอยู่ในดวงใจสักตัวสองตัว

                    ในการ์ตูนเกือบทุกเรื่องต้องมีคนเลว เพราะถ้าไม่มีคนเลว บทบาทของตัวเอกก็จะไม่โดดเด่น เรียกได้ว่าตัวร้ายก็ตัวละครที่จะช่วยให้ตัวเอกเรื่องนี้โด่งดังได้เลยทีเดียว

                    พูดถึงตัวร้าย ในการ์ตูนสมัยก่อน(และอาจสมัยนี้ด้วย) สามัญสำนึกของคนเรานึกจะถึงตัวร้ายจะต้องเป็นคนชั่ว ชอบก่อความไม่สงบในสังคม ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า มีความคิดอยากครองโลก เป็นองค์กรอะไรสักอย่าง ทำตัวอย่างกับจอมมาร(มีลูกน้อง 4 เทพ เป็นต้น) มีพลังร้ายกาจหลายเท่า บางตัวก็เพียงแค่เป็นคู่ปรับตัวเอก(แล้วมาเป็นเพื่อนตัวเอกที่หลัง เน่าซะ) ชอบดูถูกพระเอก หรือตัวตัวอยู่ในวงการต่างๆ ทำตัวมีอิทธิพลใช้อำนาจบาตรใหญ่  บางตัวมาแบบอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วมักปรากฏตอนท้ายเรื่อง(เฉพาะพวกหัวหน้าใหญ่) ใครนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงพวกตัวร้ายการ์ตูนจัมป์ พวกดราก้อนบอล เซนต์เซย่า หรือจำพวกการ์ตูนทำอาหารดู อะไรประมาณนี้

    ปัจจุบันตัวร้ายของการ์ตูนเริ่มเปลี่ยนไป จากวันๆ เอาแต่ครองโลกที่เป็นพล็อต(โครต) น่าเบื่อ ก็เริ่มมีอะไรให้มันมีมิติซับซ้อนมากขึ้นด้วยการเพิ่มที่มาที่ไป (สถานะสังคม การเลี้ยงดู ประวัติชีวิตเป็นอย่างไร ถึงได้กลายเป็นตัวร้าย) มีจุดมุ่งหมายที่นอกเหนือจากครองโลก กดดันพระเอกอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงพัฒนาจิตใจที่ไม่แพ้พวกตัวเอกอีกตัว

    การสร้างตัวร้ายก็เหมือนกับสร้างตัวเอก โดยเริ่มจากการออกแบบตัวละคร วางเป้าหมายให้เขา ใส่ปัญหา(ปม)ลงไป ดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไรในเหตุการณ์นั้น และบทสรุปสุดท้ายจะจบลงอย่างไร แม้ว่าสูตรดังกล่าวจะสูตรง่ายๆ แค่ 5 ข้อ แต่เป็นการยากมากที่จะทำอย่างไรให้ตัวร้ายจับใจคนดู สร้างยังไงให้โดดเด่นกว่าตัวร้ายทั้งหมด ทำยังไงให้คนอ่านชอบ คนอ่านเกลียด หากคนร้ายของคุณไม่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะทำเรื่องร้ายๆ เนื้อหาการ์ตูนก็ไม่สนุกด้วย 

                    ในการ์ตูนทุกเรื่องตัวร้ายมักมีความเลวหลากหลาย เลวมากเลวน้อย เลวแบบคนเกลียด เลวแบบคนชอบ ก็แตกต่างกันไป โดยปกติแล้วความเลวก็คือการใช้นิสัยที่มนุษย์เกลียดใส่เข้าไปในตัวละครตัวร้าย ได้แก่ หย่อหยิ่ง จองหอง โอหัง ละโมบ โลภ เห็นแก่ตัว อิจฉา ริษยา โกรธ พยาบาล อาฆาตแก้แค้นราคะ ตะกละ ขี้เกียจ สกปรก  (บาปทั้ง 7 ) และเมื่อนำสิ่งที่เกลียดของมนุษย์ใส่เข้าไปทำให้ตัวร้ายมีหลากหลาย มีจุดเด่นเข้ากับนิสัยนั้นๆ มากขึ้น  เช่น นางมารริษยา นักการเมืองโลภ ทรราช ปีศาจร้าย ฆาตกรโรคจิตอัจฉริยะมืด นักบุญใจบาป คนทรยศ ผู้ก่อการร้าย ฯลฯ นอกจากนี้ตัวร้ายยังมีสถานะต่างๆ ด้วย เช่น ลูกกระจ๊อก(ออกมาตอนแรกว่าพระเอกอ่อนก่อนที่จะตายอนาถในเวลาต่อมา), หัวหน้าหน่วยย่อย(เก่งขึ้นนิดหน่อย), คู่ปรับพระเอก บอสใหญ่(อยากครองโลกท่าเดียว แต่ความสามารถปกครองห่วยแตก ส่งลูกน้องไปตายนี้เขาเรียกผู้นำที่ดีเหรอ?)

                    อย่างไรก็ตามแม้ตัวร้ายจะโฉดชั่ว เลวทราม ต่ำช้า เก่งกว่ากว่าพวกตัวเอก สุดท้ายก็ได้รับผลกรรมตามมาอย่างสาสม ที่การ์ตูนก็สะใจพระเอกเดชพระคุณคนอ่าน (แต่บางเรื่องก็ไม่ค่อยได้สะใจนัก) ในขณะที่การ์ตูนบางเรื่องตัวร้ายดังกล่าวกลับมีชัยชนะเหนือตัวเอกหรือไม่ได้รับผลกรรมอะไรเลย (เช่น นางโลลิต้าโรคจิตจากเรื่อง Ibitsu)  แม้ว่าความคิดที่ปล่อยคนชั่วไม่รับผลกรรมจะขัดแย้งความรู้สึกสามัญสำนึกของคนอ่านไปบ้าง แต่กระนั้นคนอ่านบางคนก็รับได้ เพราะตัวร้ายเหล่านั้นก็มีความดีหลงเหลืออยู่ในตัวบ้างที่ทำให้หลายคนเกลียดไม่ลง

    และนี้คือ 7 ตัวร้ายในความทรงจำของผม ทำไมมีแค่ 7 แทนที่จะเป็น 10 สาเหตุง่ายๆ คือเดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนแนวแอ็คชั่นเหมือนเมื่อก่อนครับ ผมชอบแนวฮาเร็มและตลกคอมมาดี้ดูเด็กหนุ่มกับนางเอกเสียมากกว่า ดังนั้นช่วงนี้ไม่มีพวกตัวร้ายๆ นี้ไม่ค่อยจดจำสักเท่าไหร่ อีกทั้งส่วนใหญ่ตัวร้ายเองก็มาแนวๆ เดียวกัน คือพวกองค์กร อยากครองโลก (ไม่รู้มันอยากครองอะไรกันนักกันหนา) ผมเจอพวกแบบนี้เยอะจนเบื่อ (เบื่อหนักคือชายชุดดำโคนันนี้แหละ) แม้ตัวร้ายที่ผมจดจำจะมีน้อย และหลายตัวไม่ค่อยดังเท่าไหร่  แต่กระนั้นตัวร้ายดังกล่าวมันโครตเด่นและน่าจดจำจริงๆ  ที่มีทั้งชอบและเกลียด(โครต) และตัวร้ายบางตัวผมจำตัวร้ายมากกว่าพระเอกเสียอีก  

                   

    อันดับ 6 เจ้าแว่นการ์เมนท์ (Garment) จากเรื่อง Cloth Road

      

    Cloth Road (วาดโดย Hideyuki Kurata) เป็นหนึ่งในการ์ตูนมังงะนอกสายตาที่ผมชอบอย่างที่จริง เพราะเนื้อหาเต็มไปด้วยแฟนตาซีสวยงามเหมาะแก่การทำเป็นอนิเมชั่นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่มีสเน่ห์ ทั้งสถานที่ คนและชุด อีกทั้งตัวละครก็โดดเด่นหลายตัว เนื้อหาก็น่าติดตามสนุกอย่างอร่อยเหาะ จนไม่น่าเชื่อเลยว่าการ์ตูนดีๆ แบบนี้จะจบในเล่มที่ 11 (ทำไมการ์ตูนห่วยบางเรื่องยืดได้ยืดดีว่ะ)

    Cloth Road เป็นการ์ตูนนอกเหนือความคาดหมาย เพราะว่าจากเล่ม 1 และ 2 เป็นแนวเดินทางฝึกฝนการต่อสู้บนสังเวียนต่อสู้อยู่ดีๆ พอเล่ม 3 มาเปลี่ยนมาเป็นกอบกู้โลกเฉยเลย  แม้ว่ามีการเปลี่ยนแนวกะทันหัน แต่ผมกลับชอบใจในไอเดียดังกล่าว เพราะว่าเนื้อหายังคงสนุก ชุดหรูเลิศอยู่ดี และประเด็นเรื่อง “คุณค่าของคน” ก็ยังไม่หายไปไหน ที่การ์ตูนพยายามสื่อว่า “ต่อให้เราเป็นคนธรรมดาไม่มีพรสวรรค์อะไรหากฝึกฝนหรือตั้งใจสุดท้ายเราก็สามารถทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นที่รู้จักทั่วโลกได้”

    นอกจากนี้ ในเล่ม 3 ก็มีการเปิดตัวละครหนึ่งซึ่งเป็นตัวร้ายของเรื่อง  ที่ทั้งเลวทั้งโฉดชั่ว นาม “การ์เมนท์” ที่ตัวละครตัวนี้ติดอันดับ 1 ในใจตัวละครที่ผม(โครต)เกลียดเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามว่าว่าจะเกลียดแต่ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีข้อคิดมากๆ ด้วย (ขอสปอยสักหน่อย เล่ม 11 หน้าปกอบอุ่นมากเลยอ่ะ ดีจังเลย ซึ้งมากๆ)

    ก่อนจะเล่าถึงเจ้าแว่นการ์เมนท์ ว่ามันไปทำอะไรไว้ให้ผมเกลียดหนักหนาก็คือเล่าย้อนความสักนิดว่าตัวเอกการ์ตูนเรื่องนี้มีสองคน คือฟากัสและเจนนิเฟอร์สองพี่น้องเด็กกำพร้าที่ออกผจญภัยบนโลกอนาคตที่อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยีและเสื้อผ้ามีบทบาทต่อสังคมเป็นอย่างมาก และมีสังเวียนการต่อสู้ที่ใช้เสื้อผ้าต่อสู้กัน ซึ่งฟากัสและเจนนิเฟอร์พยายามใช้สังเวียนดังกล่าวตามหาพ่อแม่แท้จริงของตน

    นี้คือเรื่องย่อในเล่มที่ 2 แต่แล้วเล่มที่ 3 การดำเนินเรื่องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเด็กทั้งสองได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของโลกอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนแรกพวกเขาได้เดินทางมาถึงเมืองแบรนด์ชั้นนำของโลกที่ฟากัสเคยหลงใหลนั้นคือ “รอยัลคัสทราโต้” ระหว่างทางพวกเขาพบกับจูน เมย์นางแบบนักสู้ที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ตอนแรกผมก็นึกว่าเธอจะกลายเป็นตัวร้ายคู่ปรับเจนนิเฟอร์เสียอีก เพราะเธอชอบดูถูกคนธรรมดา และนิสัยหย่อหยิ่งน่าจะเป็นตัวละครที่คนอ่านเกลียดไม่ยาก แต่ปรากฏว่าเมื่อหลายเล่มเข้าคนอ่านเกลียดไม่ลง(คนอ่านบางคนอวยอยากรับใช้ท่านเมย์ อยากให้ท่านเมย์ดูถูกเสียด้วยซ้ำไป ฮิๆๆ)

    จูน เมย์ได้มอบดอกไม้ให้แก่เจนนิฟอร์เป็นของขวัญ(??) ทำให้เจนนิฟอร์ดีใจมาก และเมื่อมาถึงเมืองรอยัลคัสทราโต้ ฟากัสและเจนนิฟอร์กับถูกกักตัวไว้ไม่ให้เข้าเมือง เมื่อพบว่าดอกไม้ของจูนเมย์เป็นของต้องห้าม และนอกจากนั้นยังโดนยึดเสื้อผ้าที่เป็นเบาะแสของพ่อแม่ไปอีก อย่างไรก็ตามที่นี้เองทั้งสองก็ได้พบพ่อแม่ที่แท้จริงพร้อมความลับที่น่าตกใจ

     (สปอยเฉพาะเล่ม 3 และ 9 ดังนั้นใครรู้ตอนจบอย่าสปอยนะครับ มันจะไม่สนุก)

    เรื่องของเรื่องคือดาวที่พวกฟากัสอยู่นั้นในอดีตเคยเกิดวิกฤตสถาวะโลกร้อน ที่เกิดจากควันเสียจากอุตสาหกรรมการทอฟ้า ทำให้ 7 แบรนด์ชั้นนำของโลกเรียกเหล่านักวิทยาศาสตร์(ดีไซน์เนอร์) มาระดมความคิดในการแก้ปัญหาดังกล่าว ผลสรุปก็คือพวกเขาคิดจะตัดชุดให้โลกใส่ แม้ความคิดดังกล่าวเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายเลย เพราะพวกเขาจะต้องสร้างเสื้อผ้าที่สามารถป้องกันรังสี ทนการเปลี่ยนสภาพอากาศ แต่ต้องให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านได้ และจะต้องใช้บุคลากรและเงินจำนวนมาก และหากพลาดเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และนั้นเองทำให้โครงการดังกล่าวไม่สำเร็จเป็นรูปธรรมเสียที จนเวลาผ่านไปหลายปี หลายคนเริ่มสิ้นหวัง โครงการดังกล่าวเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ยิ่งทำยิ่งพัฒนายิ่งไม่เห็นแววความฝันที่เป็นจริง

    และในตอนที่หลายคนสิ้นหวังตอนนั้นเองอัจฉริยะคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น “การ์เมนท์”

    เพียงแค่ปรากฏตัวครั้งแรกการ์เมนท์ก็ฉายแววว่าเป็นตัวร้ายทันทีนั้นคือการเสนอความคิดที่หลายคนรับไม่ได้นั้นก็คือการใช้ “มนุษย์” ผสมกับเสื้อผ้าเพื่อครอบคลุมดาว และมนุษย์ที่การ์เมนท์เลือกก็คือนางแบบชั้นนำ “อัลชาน” ซึ่งเป็นนางแบบไอดอลที่เป็นที่รักของประชาชนรอยัลคัลทราโต้เวลานั้น

    แม้ว่าความคิดของการ์เมนท์จะบ้าคลั่งไร้มนุษย์ธรรม แต่คนใหญ่คนโตกลับยอมให้ทำ เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกและไม่สามารถหันกลับไปได้อีกแล้ว การ์เมนต์จัดการเปลี่ยนอัลชานให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับผ้าจนกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดมารดาของโลก และระหว่างนั้นเองการ์เมนท์ก็รักอัลซาน(ชนิดเรียกว่าบ้าคลั่ง) และไม่รู้ว่าอัลซานหลงรักการ์เมนต์หรือเปล่า? รู้แต่ว่าเวลาอัลชานได้กำเนิดเด็กฝาแฝดลูกของการ์เมนท์ขึ้นมานั้นก็คือฟากัสและเจนนิฟอร์นั้นเอง

    แต่แทนที่การ์เมนท์จะดีใจที่ได้ลูก เขากลับมีความคิดจะใช้เด็กทารกทั้งสองเป็นชิ้นส่วนสนับสนุนอัลซานไม่ให้อัลชานรับภาระปกป้องโลกมากเกินไป แต่อัลชานไม่เห็นด้วย เขาจึงให้กุสตาฟพาเด็กทารกสองคนหนีและนำไปเลี้ยงดูจนกระทั้งเติบใหญ่ในที่สุด

    ทางด้านการ์เมนท์ไม่คิดที่จะติดตามหาทารกทั้งสอง เนื่องจากว่าเขาเป็นคนนิสัยหลงตัวเอง ไม่ค่อยเห็นหัวคนอื่น อีกทั้งเขาสนใจคนที่มีพรสวรรค์เท่านั้น ส่วนคนโง่หรือคนธรรมดาติดดินเขาจะมองเหมือนหนอนแมลงไร้ค่าไม่ปาน และหลังจากนั้นการ์เมนท์ก็หายตัวไป โดยทิ้งปัญหาไว้ให้คนเบื้องหลัง เมื่อเขาพบว่าอัลซานเสื่อมสภาพและอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอัลซานจะตายและส่งผลทำให้ดาวต้องล่มสลายไปด้วย

    ตอนแรกที่ฟากัสได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะไม่คิดว่าพ่อของเขาจะเลวร้ายขนาดนี้ จนกระทั้งเมื่อเขาและเจนนิเฟอร์เจอหน้าพ่อครั้งแรกต่อหน้าอัลซาน แทนที่จะบรรยากาศจะชื่นมืนครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน ฟากัสและเจนนิฟอร์กลับได้คำดูถูกจากปากพ่อว่า "ห่วยแตก!!" กลับมา

    การ์เมนท์นั้นเป็นตัวละครตัวร้าย ประเภทอัจฉริยะด้านมืด  ซึ่งตัวละครแบบนี้มักออกแบบตัวเป็นคนหลักแหลมเจ้าแผนการ ชอบแสดงความฉลาดปราดเปรื่องด้วยเหตุการณ์ร้ายต่างๆ อีกทั้งยังมีนิสัยรังเกียจคนที่มีสติปัญญาอ่อนด้อย และมักคุยโวถึงความเก่งกาจ ส่วนมากตัวร้ายแบบนี้มีเป้าหมายที่ไม่หวังเงินทอง

    ผมเห็นการ์ตูนแนวแอ็คชั่นที่ตัวร้ายเป็นพ่อมาก็มาก โดยตัวละครที่เป็นตัวร้ายและเป็นพ่อของตัวเอง ในการ์ตูนบางเรื่องแม้ศัตรูจะเป็นพ่อที่มีนิสัยโหดร้าย แต่กระนั้นจิตใจก็ยังคงหลงเหลือความดีอยู่บ้าง  หรือไม่บางเรื่องพ่อจะโหดเหี้ยมหรือชั่วบริสุทธิ์(เช่น คิดจะฆ่าลูก)แต่กระนั้นคนอ่านก็ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ เนื่องจากการ์ตูนไม่ได้ค่อยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกนัก ทำให้ตัวละครค่อนข้างแบนราบ (เพราะส่วนใหญ่แนวพล็อตดังกล่าวมักจบใน 1-2 เล่ม)

                   หลังจากการ์เมนท์จากไปพร้อมการล่มสลายของรอยัลคัสทราโต้ ฟากัสและเจนนิฟอร์จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรแบรด์ทั้งหลายที่จะหยุดยั้งการ์เมนท์ที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน หายนะจะเกิดที่นั้น และเขายังวางแผนที่สังหารหมู่คนบนดาว(เฉพาะคนโง่)จำนวนมาก เพื่อที่เขาจะอยู่กับอัลซานตลอดกาล แม้ว่าการ์เมนท์จะมีกำลังที่น้อยกว่า แต่เขาก็มีเหล่านางแบบ-และนายแบบนักสู้ชั้นเลิศที่ถูกรวบรวมมาจากที่ต่างๆ ที่การ์เมนท์เรียกว่า “ครอบครัว” จำนวนหนึ่ง ที่ไม่รู้ทำไมแต่ละคนจงรักภักดีการ์เมนท์หนักหนาชนิดเรียกว่ายอมตายแทนกันได้ บวกกับมันสมองชั้นเลิศของการ์เมนท์ที่ดัดแปลงคนครอบครัวตัวเองกลายเป็นสัตว์ประหลาดชีวะเสื้อผ้าทำให้เหล่าพันธมิตรต่อสู้อย่างยากลำบาก ทำให้ความหวังและความคาดหวังของคนทั้งโลกตกอยู่ในมืออของฟากัสและเจนนิฟอร์ซึ่งจะต้องหยุดยั้งแผนการของพ่อตน สุดท้ายแล้วการ์เมนท์จะพบจุดจบอย่างไร จะสาสมกับบาปกรรมที่ตนเองทำมาหรือไม่ ติดตามได้ใน Cloth Road เล่มที่ 11 เร็วๆ นี้

                 ทำไมการ์เมนท์ถึงกลายเป็นตัวร้ายที่ผม(โครต)เกลียด สาเหตุก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมนิสัยที่ไม่ดีของมนุษย์ที่หลายคนรังเกียจเข้าด้วยกัน เช่น พฤติกรรมตีสองหน้า(ลับหลังแทงข้างหลัง) หลงตัวเอง ไม่เห็นหัวคนอื่น แม้ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะครอบครองโลกเหมือนผู้ร้าย (พล็อตโหล) เรื่องอื่นๆ แต่กระนั้นเขาก็มีนิสัยมุ่งที่จะเอาชนะและพิสูจน์คนทั้งโลกเห็นว่าตนเองอัจฉริยะที่แท้จริง ไม่ว่าเขาจะทำร้ายผู้อื่นมากน้อยแค่ไหนก็ไม่สน นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลายคนเกลียดการ์เมนท์ก็คือเป็นคนชอบทำลายชีวิตคนอื่น นอกเหนือจากประชาชนในเมืองที่การ์เมนท์ผ่านมาแล้ว การ์เมนท์ยังบู้ยี้บูยำตัวละครที่ผมชอบหลายคนในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ล้างครู(ถึงสองคน) ไม่เคยสำนึกบุญคุณครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งเลยสักนิด และที่น่าสังเกตคือเการ์เมนท์น่าจะเป็นพวกโลลิคอน ที่ชอบเด็ก ฉกเด็กจากคนอื่นที่คนเขาอุตส่าห์ประคบประงมไปอย่างหน้าด้านสุดๆ เช่น ฉกแล้วบูยี้บูยำอัลซาน(เล่ม 9 ทำไมอัลซานน่ารักแบบนี้ อ๊าคๆๆ) อีกทั้งหน้าด้านฉกตัวจูเลียต ที่ฮิบิอุตส่าห์ประคบประงม แถมยังให้เลือดฆาตกรในตัวจูเลียดตื่นขึ้นอีก แถมตอนฉกตัวนี้การ์เมนท์ชอบหยอดคำหวาน ปากบอกครอบครัว แต่พอเห็นว่าพวกนั้นไร้ประโยชน์หรือได้ของใหม่ที่ดีกว่าลับหลังยี้แล้วว่า ไร้ค่า มันช่างเป็นพวกตีสองหน้าจริงๆ และยังบูยี้บูยำท่านเมย์สุดเลิศของผมอีก

                    และสุดท้ายการ์เมนท์เป็นอีกตัวละครที่ดูถูกคนได้หมั่นไส้เท่าที่ผมเคยเจอมา แถมยังเกลียดคนธรรมดา คิดว่าคนโง่ไม่มีประโยชน์อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน ซึ่งพฤติกรรมของการ์เมนท์นั้นเป็นพวกที่มองคนแค่ด้านเดียวแต่ไม่มองที่จิตใจ ชีวิตของการ์เมนท์ไม่เคยอยู่จุดต่ำสุด ชีวิตที่แล้วมาเขาชนะมาโดยตลอด เขาไม่รู้ซึ่งว่าหากโลกนี้ไม่มีคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร ใครจะปลูกข้าวให้เขากิน ใครจะปลูกฝ้ายทำเสื้อผ้าให้เขาใส่ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนนั้นแหละคือขยะของสังคมที่หลายคนเกลียดชัง

    ความจริงแล้วมนุษย์เรานั้นไม่มีโง่ไม่มีฉลาด หากแต่อยู่ที่การกระทำ การทำประโยชน์ต่อสังคม จริงอยู่สังคมทุกวันนี้คนธรรมดาก่ออาชญากรรมมากขึ้นทุกวัน แต่กระนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะบางครั้งคนโง่บางคนทำประโยชน์ต่อสังคมดีกว่าพวกอัจฉริยะหลายเท่า กลับกันคนอัจฉริยะบางคนกลับสร้างความเดือดร้อนกับสังคมมากกว่าคนโง่หลายคนเสียอีก อย่างนักการเมืองที่จบจากนอกกลับเอาแต่โกงกินบ้านเมือง นักวิทยาสตร์ที่เอาแต่ทดลองผิดศีลธรรม

                    ผิดกับตัวละครอีกตัวหนึ่งคือท่านเมย์ (ต้องเรียกท่านเมย์ เพราะเธอหรูเลิศ สุดยอดจริงๆ) แม้ว่าเธอจะดูถูกคนโง่ แต่เธอก็รู้ดีว่าหากไม่มีพวกเขา ตนก็ไม่อยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะพวกเขาช่วยดันเธอให้งดงาม หากจะเป็นคนฉลาดจะต้องควบคุมฝูงชนให้คล้อยตามตนได้ รู้จักเอาใจฝูงชน สักวันหนึ่งคนเหล่านั้นจะตอบแทนเรา นั้นแหละคือคนฉลาดที่แท้จริง

    สังคมเราทุกวันนี้ไม่เจริญเพราะคนแบบการ์เมนท์นั้นแหละ

     

    อันดับ 5 โอทานิ นิจิโด จากเรื่อง Iron Wok Jan!

       

    โอทานิ นิจิโด เป็นตัวร้ายที่ชอบทำตัวน่ารังเกียจ นิสัยเหมือนเด็กไม่ยอมโต แต่กระนั้นเขาเป็นตัวร้ายที่ผมเกลียดไม่ลง และหากการ์ตูนเรื่องนี้ไม่มีเขา ผมว่าจืดสนิทแน่แท้

    เชื่อว่าหลายคนรู้จักการ์ตูนเรื่อง Iron Wok Jan! ไม่มากก็ไม่น้อย โดยการ์ตูนเป็นเรื่องของพ่อครัวอาหารจีนหน้าโหด(ใจก็โหด?) อากิยามะ จางที่กลับมาจากการฝึกฝนบนภูเขากับปู่แล้วเขามาทำงานร้านอาหารชื่อดัง “โกบังโจ” และดวลกลับพ่อครัวหลายคน แต่กระนั้นศัตรูคู่แค้นที่สุดของอากิยามะดันเป็นนักวิจารณ์อาหารคนหนึ่งคือโอทานิ นิจิโดนั้นเอง

    Iron Wok Jan! เป็นการ์ตูนทำอาหาร(ประเภทอาหารจีน)ว่ากันว่านี้คือการ์ตูนสุดยอดทำอาหารที่แหวกแนวที่สุดเท่าที่ดูมา เพราะที่ผ่านมาพระเอกในการ์ตูนแนวนี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนดี จิตใจดีงาม หากแต่การ์ตูนเรื่องนี้ตรงข้ามหมด ไม่ว่าจะเป็นพระเอกดิบเถื่อน ดิบ สถุน(ปานนั้น) และทำอาหารชวนท้องเสีย คลื่นไส้ เพราะวัตถุดิบที่มาทำอาหารไม่น่าจะกินได้เลย แต่การ์ตูนกลับทำซะน่ารับประทานจนเกิดความรู้สึกว่าอยากลองทำดูบ้าง สาเหตุเพราะการ์ตูนเน้นศิลปะตื่นตาดึงดูดคนอ่านได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารอย่างโอเวอร์เสริมด้วยฉากฆ่าสัตว์ที่เลือดเย็นก็ออกมากระหน่ำไม่ยั้ง(แสดงให้เห็นเบื้องหลังคนทำครัว ไม่ได้อบอุ่น สวยงาม น่ารักอย่างที่คิด) และนอกเหนือทำอาหารแล้ว(และหน้าอกผู้หญิงตูมเวอร์แล้ว) ก็มีความสัมพันธ์ความเกลียดชัง(และความรัก)ของพระเอกและนางเอกสอดแทรกเป็นระยะ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการ์ตูนคือการต่อสู้ระหว่างนักทำอาหารจีนและนักวิจารณ์อาหารโอทานิที่เป็นคู่รักคู่แค้นที่ไม่มีวันร่วมโลกกันได้

    ก่อนที่โอทานิจะเจออากิยามะนั้น เขาเป็นนักวิจารณ์อาหารแม้ว่ารูปร่างหน้าตาน่าเกลียด อ้วนราวกับหมู ปากหนา เคราแพะ แต่กระนั้นตอนเป็นเด็กน่ารักมาก มีความหลงใหลในอาหาร จนขอตามพ่อซึ่งเป็นทหารญี่ปุ่นยศสูง ไปจีนในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไปกินอาหารชีนตามชนบท(บวกกับรังแกชาวบ้าน)มาแล้ว เมื่อโตมาก็กินอาหารเกือบทุกชนชาติ โดยเฉพาะอาหารจีน ทำให้มีความรู้เรื่องอาหารมากมาย จนกลายเป็นผู้รู้เรื่องอาหารที่เป็นที่ยอมรับในวงการอาหารญี่ปุ่น จนหลายคนยกย่องว่า “ลิ้นเทวดา” และมีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักของคนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รายการโทรทัศน์, มาสคอต(นายแบบ), ที่ปรึกษาร้านอาหารชื่อดัง เรียกว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในวงการอาหารญี่ปุ่นก็ว่าได้ แต่กระนั้นใช่ว่าโอทานิจะเป็นนักวิจารณ์อาหารที่ดีนัก เพราะมีหลายครั้งที่เขามักทำลายจรรณยาบรรณของตนเอง ขอให้มีเงิน(สินบน)เขาจะวิจารณ์อาหารที่เขาเอามาให้อย่างหวานปานอาหารเทพแม้ว่าอาหารที่เขาชิมจะห่วยแตกก็ตาม กลับกันหากไม่มีเงินจ่ายเขาจะวิจารณ์อาหารแบบต่ำติดดิน เสียๆ หาย ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของบรรดาพ่อครัวเป็นอย่างมาก

      

    เหล่าแฟนผลงานๆ ของโอทานิ!! สามพี่น้องกับคุณพ่อหน้าโหด (คุ้นๆ ไหม)

     จนกระทั่งวันหนึ่งโอทานิได้เจออากิยามะเข้าโดยบังเอิญ ในขณะที่ได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำกับผู้สนับสนุนที่ร้านโกบังโจที่อากิยามะทำงานอยู่ เพียงแค่เมนูแรกที่โอทานิชิมเขาก็เคียดแค้นอากิยามะทันที เนื่องจากอากิยามะดันทำซุปสมองหมู เหมือนด่าเขาทางอ้อม (แถมรุ่นปู่รุ่นยายยังสร้างความแค้นให้กับเขาตอนเป็นเด็กอีก) ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก และนับจากนั้นเป็นต้นมา โอทานิก็ทำทุกวิถีทางที่ทำให้ทำลายอาชีพพ่อครัวของอากิยามะให้จงได้(ความจริงก็มีคิริโกะอยู่ในบัญชีดำของโอทานิด้วย แต่ทั้งสองเป็นผู้หญิงทั้งคู่จะเอาเรื่องมันน่าเกลียดเกินไป ขอเป็นแค้นผู้ชายคนเดียวดีกว่า) ไม่ว่าจะเป็นการหาพ่อครัวที่เหนือกว่ามาล้มอากิยามะ จัดงานปิดประตูตีแมวเพื่อให้อากิยามะอายโดยเฉพาะ หรือการเลือกโจทย์หินๆ ให้อากิยามะ(และคนเข้าแข่งขันทำ)ก็ทำมาแล้ว แต่สุดท้ายก็แพ้หมด อย่างไรก็ตามโอทานิก็ไม่เคยใช้วิธีสกปรกจำพวกจ้างคนดักตีหัวหรือทำลายร่างกายอากิยามะแต่อย่างใด (ในขณะคุณหนู ภาค R มันยังทำ) เพราะโอทานิก็มีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง เขาอยากชนะอากิยามะในเรื่องอาหารเท่านั้น

                    แม้ว่านิสัยของโอทานิจะทำตัวไม่เหมาะสมเป็นผู้ใหญ่หลายครั้ง แต่นิสัยดังกล่าวจะเป็นช่วงวิจารณ์อาหารของอากิยามะ (ที่อร่อยขั้นเทพ) มากกว่า โดยโอทานิพยายามบิดเบือน กดคะแนน เอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา (เกรียนเทพ) ทำให้หลายคนเกลียดหรือเอือมระอา อึดอัดไปบ้าง แต่กระนั้นเขาก็มีศักดิ์ศรีในฐานะนักวิจารณ์อาหารอยู่บ้าง ไม่ใช่จะอีโก้อย่างเดียว ที่ช่วงหลังๆ ก็ให้คะแนนอากิยามะยุติธรรม(หากฝ่ายตรงข้ามของอากิยามะเป็นคนที่โอทานิเกลียดพอๆ กัน) และหากตัดเรื่องความแค้นของอากิยามะแล้ว โอทานิก็เป็นคนดี (??) คนหนึ่ง คือชอบสนับสนุนพ่อครัวที่ไม่มีชื่อเสียงแต่มีฝีมือดี (แต่ส่วนใหญ่นิสัยไม่ดี) เต็มที่ แม้ว่าพ่อครัวคนไหนแพ้กลับมาแล้วโดนโอทานิเหยียบย่ำแต่พ่อครัวคนนั้นไม่เคยผูกใจเจ็บเขาเลยสักนิด (อย่างเจ้าโล้นเต้าเจียว XO) บางคนก็เข้ารับเป็นบุตรบุญธรรม(อีหนูแรงควายในภาค R) แถมยังรักโอทานิมากๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีวาทศิลป์เป็นเลิศ สามารถจูงใจผู้ชมได้ดีทำให้มีแฟนผลงานเยอะมากมาย แม้ว่าจะอยู่ใต้ร่มเงาของผู้มีอำนาจมากกว่าแต่เขายังคงแสดงความโดดเด่นอย่างงดงามสมกับเป็นตัวร้ายที่คนโกรธไม่ลง

                       

                    ซุยเกตสึลูกสาวบุญธรรมของโอทานิ ตัวขโมยซีนในภาค R ไม่แพ้โอทานิ ส่วนตัวผมเชียร์คนนี้นะครับ น่าร๊ากๆๆ อ่ะ ช่วงหลังไม่ออกมาพร้อมพ่อ(บุญธรรม) เล่นเอาจืดสนิทใจ

    ส่วนตัวแล้วผมชอบโอทานิตรงที่หน้าตาครับ เพราะที่แกหน้าตาตัวโกงได้ใจดี อีกทั้งชอบดูฉากที่โอทานิออกบ่อยๆ ด้วย ช่วงไหนของการ์ตูนที่โอทานิไม่ออกนี้ ผมเปิดข้ามด้วยซ้ำ เพราะเหมือนเรื่องมันจืดๆ ไป แถมช่วงภาค R ไม่มีโอทานิปิดท้ายนี้ก็เสียดายสุดซึ้งครับ ทั้งที่ตอนต้นนี้สุดยอดแห่งความเด่นแท้ๆ (แถมเพิ่มสกิลตัวตบมุกเข้าไปอีก)

    (ปล. ปัจจุบันผลล่าสุดของคนเขียนคนนี้คือ Kita Kigata ga! แนวเปลี่ยนอนาคตของหนังสือพิมพ์ผีโหดสยองขวัญครับ สนุกใช้ได้)

     

                    
                    อันดับ 4
    สกาย มาสเตอร์ (Sky Master) จากเรื่อง Sora no Otoshimono

                     

                    (พูดง่ายๆ ตอนนี้ลอกจากบทความเรื่องของนิมพ์ล้วนๆ)

                    สกาย มาสเตอร์เป็นตัวร้ายที่ผมอยากเอาตีนลูบหน้าที่สุดเท่าที่เคยดูในการ์ตูนเรื่องไหนๆ มา สาเหตุคือไปแกล้งตัวละครที่ผมรักที่สุดนั่นคือเตี้ยแบนซึน “นิมพ์” นั่นเอง

    Sora no Otoshimono  เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเขียนโดย Suu Minazuki โดยเรื่องราวเริ่มต้นเมื่อบนโลกของเรานั้นมีอีกโลกหนึ่งชื่อ “ซิแนปส์” ที่ตอนนี้ก็ยังไม่เฉลยว่ามันเป็นโลกอะไร รู้แต่ว่าเป็นโลกจำลองที่อยู่บนฟากฟ้าที่เป็นที่อยู่ของคนมีปีกที่เรียกว่า “คนเบื้องบน” และสิ่งมีชีวิตปริศนาผู้หญิงมีปีก “แองจีรอยด์” โดยปรากฏมาครั้งแรกเป็นหลุมดำ โดยที่แห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่มีปริศนามากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เหมือนบ้านกรีกโบราณ โดมขนาดใหญ่ที่เป็นที่นอนของเหล่าคนเบื้องบนที่เชื่อมความฝันกับโลกความจริง อนุสาวรีย์ประหลาดที่มีภาษาโบราณสลักเอาไว้ และที่นั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ “ไดดารอส” ซึ่งเป็นชาวโลกเบื้องบน(ชื่อ ไดดารอส มาจากชื่อของนักประดิษฐ์จากเทพนิยายกรีกที่สร้างเขาวงกตขังมิโนเทอร์) ที่ได้สร้างเหล่าแองจีรอยด์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตสงเคราะห์ที่แต่ละตัวจะมีชื่อเฉพาะตามคำศัพท์จากเทพนิยายกรีก โดยไดดารอสจะโปรแกรมให้เหล่าแองจีรอยด์รับใช้เจ้านาย(มาสเตอร์)ของตนอย่างซื่อสัตย์โดยมีปลอกคอโซ่ติดเอาไว้เพื่อที่จะเป็นสัญลักษณ์ในการทำสัญญาระหว่างกันและกัน (ซึ่งหากโซ่นี้ขาดถือว่าสัญญาการเป็นเจ้านายของแองจีรอยด์เป็นโฆฆะและแองจีรอยด์จะเป็นอิสระเพื่อหาเจ้านาย(มาสเตอร์)คนใหม่ต่อไป) ซึ่งแองจีรอยด์นั้นมีหลายรุ่น หลายแบบ หลายประเภท

    ไดดารอสได้ผลิตพวกแองจีรอยด์ที่มีประสิทธิภาพกว่านางฟ้าทั่วไปโดยเรียกว่า “รุ่นหนึ่ง” คือ อิคารอส นิมพ์  และ เดลต้า จะเป็นแองจีรอยด์ที่ใช้ในสงครามที่ถูกกำหนดโดยสามปัจจัย คือ การต่อสู้, ควบคุมอารมณ์, และการประมวลผล เอาไว้ไม่กัน ไดดารอสนั่นรักผลงานของตนเสมือนเป็นลูกสาวตนเอง หากแต่ด้วยเหตุการณ์อะไรบางอย่างเธอไม่ลงรอยกับไอ้หน้าหล่อมีปีก(สกายมาสเตอร์)ที่มีนิสัยโฉด ชั่วร้าย ซาดิสต์ และมีอำนาจสูงสุดในโลกเบื้องบน(เนื้อเรื่องยังไม่ได้เฉลยแต่คาดว่าเธอคงทนไม่ได้ที่เห็นผลงานที่เธอรักถูกใช้ทำสงครามและทำเรื่องไม่ถูกต้อง)เธอจึงได้หลบหนีมาอยู่ที่ลับแห่งหนึ่งที่สกายมาสเตอร์ตามมาไม่ถึง

    ต่อมาด้วยเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ไดดารอสได้เกิดหลงรัก(เลือก)ชายคนหนึ่งที่อยู่โลกเบื้องล่าง ซึ่งเป็นชายที่หาดีไม่ได้เลยสักนิด นามเทพมหาเมพ ซากุราอิ โทโมกิ ทั้งสองพูดคุยกันบ่อยครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็ส่งฮิคารอสมายังโลกเบื้องล่างเพื่อรับใช่เขา

    หลังจากที่โทมิกิเลี้ยงดู(??)อิคารอสได้มาระยะหนึ่งสกายมาสเตอร์ซึ่งเป็นเจ้านายเก่าของฮิคารอสได้รู้ข่าวว่าตอนนี้อาวุธร้ายแรงที่สุดของตนตกไปอยู่ในมือของชาวเบื้องล่าง เขาเลยส่งแองจีรอยด์หลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น นิมพ์, เดลต้า, เคออส ฯลฯ ลงมายังโลกเบื้องล่างเพื่อพาอิคารอสกลับ แต่กลายเป็นว่าทั้งหมดเข้าฮาเร็มของโทโมกิหมดซะงั้น 

                    จะว่าไปรูปลักษณ์ของสกายมาสเตอร์ดังกล่าว แทบไม่ต่างอะไรกับคู่ปรับพระเอกฮาเร็มเลยน่ะครับ คือ หล่อกว่า รวยกว่า เก่งกว่า  และอำนาจมากกว่า(สกายมาสเตอร์ชอบนั่งในบังลังก์) ซึ่งปัจจุบันตัวร้ายฮาเร็มดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมแล้วนะครับ เพราะใส่ไปมันจะไม่ค่อยอวยพระเอกเท่าไหร่ แต่สำหรับการ์ตูนเรื่องนี้ผมว่าเข้ากันดีครับ แถมการมีอยู่ของสกายมาสเตอร์นั้นกลับเพิ่มความมหาเมพของโทโมกิเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะแองจีรอยด์เกือบทุกตัวต่างได้รับความทุกข์ทรมาน(ทั้งร่างกายและอารมณ์)จากนิสัยซาดิสต์ของสกายมาสเตอร์ทั้งสิ้น เนื่องจากสกายมาสเตอร์เชื่อว่าแองจีรอยด์มีหน้าที่รับใช้และเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น หากไม่พอใจอะไรก็ทิ้งพวกเขาราวกับขยะ หรือเห็นพวกเขามีความสุขก็ไม่ต้องต้องหาเรื่องแกล้งอย่างโหดร้ายทุกที นอกจากนี้สกายมาสเตอร์ยังสุดยอดอาวุธป้องกันภัยจากอาวุธที่เรียกว่า “ซุส” ที่สามารถทำลายแองจีรอยด์ได้อย่างง่ายดายหากโดนลำแสงเข้าไป

                    โดยหนึ่งในฉากที่ทำให้หลายคนเกลียดสกายมาสเตอร์คือฉากที่รังแกนิมพ์อย่างโหดร้ายในอนิเมชั่นภาคแรกตอนที่ 10 (ในมังงะน่าจะเป็นเล่มที่ 4) ซึ่งนิมพ์โดนสกายมาสเตอร์ถีบ(หรือตบ) ในข้อหาว่าน่าเบื่อ และโดนด่าว่าเศษสวะ ก่อนที่จะบังคับให้นิมพ์ฆ่านกที่ตนเองรักซ้ำยังไม่พอยังเอาเท้าเหยียบหัวติดดินอีก (สรุปคือฉากนี้ผมอยากลูบหน้าสกายมาสเตอร์มากๆ) อย่างไรก็ตามหลังจากจบฉากดังกล่าวโทโมกิก็แสดงเป็นมหาเมฟด้วยการซื้อแอปเปิ้ลเชื่อมให้นิมพ์กิน จนนิมพ์ซาบซึ้งใจจนร้องไห้ออกมา

     

    เรื่องของ 7 ตัวร้ายในการ์ตูนของผมยังไม่จบครับ ติดตามต่อในภาค 2 หลังจบเรื่อง Steins Gate+ +

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×