ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กษัตริย์และราชินีทั่วโลก (The King and The Queen)

    ลำดับตอนที่ #74 : ตอน ศึกสายเลือดอำมหิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 647
      0
      11 พ.ค. 52

    อย่างน้อยก็มีีอยู่เรื่องหนึ่งที่กษัตริย์และราชินีทรงประสบเช่นเดียวกับสามัญชน คือเรื่อง
    ความขัดแย้งในครอบครัว แต่ที่ต่างกันที่สำคัญก็คือ ถ้าเป็นเรื่องขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ
    พระองค์ท่านแค่เพียงระดมกำลังอัศวินออกไปทำศึกให้สักหน่อยก็สิ้นเรื่อง
     
    ดูเรื่องน่าเศร้าของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 2 เป็นตัวอย่าง   ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันกันภายใน
    ครอบครัวของพระองค์นั้น เห็นได้ชัดจากภาพที่ทรงสั่งให้วาดประดับอยู่ในท้องพระโรง
    ของมหาวิหารเวสต์มินเตอร์ ซึ่งเป็นภาพลูกเหยี่ยวสี่ตัวที่จ้องจะขย้ำพ่อเหยี่ยว
    โดยลูกนกตัวที่สี่เล็งจ่อคอหอยของพ่อเหยี่ยว และเตรียมพร้อมที่จะจิกลูกตา
    ทั้งสองข้าง กล่าวกันว่า พระองค์ได้ตรัสว่า "ลูกเหยี่ยวทั้งสี่ คือโอรสทั้งสี่ของเรา
    ซึ่งไม่ยอมหยุดจองล้างจองผลาญเราจนกว่าเราจะตาย ตัวเล็กสุดที่เรากำลังกกกอด
    ด้วยความรัก จะลบหลู่เรา และในที่สุดจะนำทุกข์ภัยมหันต์มาสู่เรายิ่งกว่าตัวอื่นๆ"
     
    อนิจจา คำพยากรณ์ของพระองค์กลายเป็นความจริง ด้วยภายหลังจากที่ทรงประสบ
    ความสำเร็จในการแผ่ขยายอาณาเขตปกครองของอังกฤษออกไปถึงบางส่วนของยุโรป
    พระเจ้าเฮ็นรีที่ 2 ทรงเผชิญกับการก่อการกบฎของบรรดาโอรสครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่า
    พระองค์จะทรงแต่งตั้งเจ้าชายเฮ็นรี โอรสองค์ใหญ่เป็นรัชทายาท โดยเป็นเจ้าชาย
    องค์เดียวที่ดำรงตำแหน่งนี้ในขณะพระบิดายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่ก็ไม่ได้ช่วย
    แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้   และแม้ว่าเจ้าชายเฮ็นรีและโอรสอีกสององค์ถัดไ
    ได้แก่เจ้าชายเจฟฟรี และเจ้าชายริชาร์ด จะได้รับยศศักดิ์พร้อมแบ่งปันที่ดินอาณาจักร
    อันกว้างใหญ่ไปแล้วก็ตาม   บรรดาโอรสต่างก็ยังไม่พอใจ เนื่องจากประสงค์จะได้
    ครอบครองทั้งยศศักดิ์และทรัพย์สิน ไม่ต้องการที่จะรอจนกว่าจะสิ้นพระบิดา
     
    ดังนั้น ตลอดระยะเวลาหลายปี โดยมีพระนางเอลานอร์แห่งอากิแตน พระมารดา
    คอยยุยงอยู่อีกแรงหนึ่ง เนื่องจากพระนางขมขื่นที่พระเจ้าเฮ็นรีที่2 ทรง
    เหินห่างหมางเมิน   มิหนำซ้ำยังทรงสั่งคุมขังพระนางอยู่เนืองๆ   บรรดาโอรสจึง
    รวมกลุ่มต่อต้านพระองค์อยู่เนืองๆ โดยมีพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ของฝรั่งเศสเป็นแนวร่วม
    ด้วยความเต็มใจ   จวบแม้กระทั่งเจ้าชายเฮ็นรี่สิ้นชีวิตเมื่อปีค.ศ. 1183 และ
    เจ้าชายเจฟฟรีย์ปราชัยถูกสังหารจากการประลองยุทธ์ เมื่อปี ค.ศ. 1186 พระเจ้าเฮ็นรีที่ 2
    ก็ยังทรงไม่มีความสงบสุขอยู่ดี เนื่องจากเจ้าชายริชาร์ดโกรธเคืองที่พระองค์โปรดปราน
    เจ้าชายจอห์นมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด จึงเข้าร่วมกับพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส
    เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1189 ทำให้พระเจ้าเฮ็นรีที่2 ทรงพ่ายแพ้ในการรบครั้งอัปยศนี้
    ครั้นรายชื่อของแนวร่วมต่างๆที่ต่อต้านถูกเปิดเผย ทรงตกพระทัยยิ่งนักเมื่อพบว่า
    มีชื่อของเจ้าชายจอห์นรวมอยู่ด้วย พระโอรสองค์เล็กพระองค์นี้ ตระหนักถึงความปราชัย
    ของพระองค์ จึงแปรเปลี่ยนไปเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เมื่อทรงทราบว่าถูกพระโอรส
    องค์เล็กทรยศหักหลัง พระองค์จึงทรงท้อแท้ทอดอาลัย ตามจดหมายเหตุได้บันทึก
    ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า "พอกันที อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เราจะไม่ใส่ใจอีกต่อไป
    ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา หรือใครๆ….น่าละอายนัก กษัตริย์ผู้ปราชัย"   จากนั้นไม่นาน
    พระเจ้าเฮ็นรีที่ 2 ผู้สิ้นหวังทรงสิ้นพระชนม์ในที่บรรทม และเจ้าชายริชาร์ดขึ้นครองราชย์
    เจ้าชายจอห์นก็เจริญรอยตามขัติยประเพณีด้วยการพยายามล้มล้างพระเชษฐาหลายครั้ง
    แต่ก็ได้รับการอภัยโทษทุกครั้ง จวบจนเจ้าชายริชาร์ดสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิเมื่อปี ค.ศ. 1199
    เจ้าชายจอห์นจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์สมความปรารถนา
     
    ย้อนกลับมาเรื่องของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 4 หลังจากที่ทรงถูกพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ผู้เป็นพระญาติ
    ิเนรเทศไป สบโอกาสที่พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ไปพำนักอยู่ที่ไอร์แลนด์ จึงทรงย้อนกลับมา
    ช่วงชิงบัลลังก์ แล้วสั่งสังหารพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 จึงนับได้ว่าพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ทรงเป็น
    เหยื่อรายแรกของสงครามดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นสงครามนองเลือดล้างราชวงค์ระหว่าง
    ราชวงศ์แลงคาสเตอร์ และราชวงศ์ยอร์ค ที่ต่อสู้กันยืดเยื้อเป็นระยะเวลายาวนาน
    พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 4 ก็ทรงดำเนินกลยุทธเช่นเดียวกันนี้กับพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 6 ผู้เป็นพระญาติ
    แล้วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์ยอร์ค ส่วนพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8
    ทรงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ชิงบัลลังก์ดังที่เคยเป็นมา จึงทรงสั่งประหารพระญาต
    ทุกพระองค์ที่มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์อย่างไร้คุณธรรม ไม่เว้นแม้แต่มากาเร็ตผู้เป็น
    เคานเตสส์แห่งซาลิสเบอรีซึ่งมีวัยใกล้ 70 ปี นางต่อสู้ขัดขืนบนตะแลงแกง วิ่งวนรอบๆ
    แท่นประหารหนีเพชรฆาตผู้ไล่ตัดศีรษะของนาง แต่ในที่สุดก็ถูกฟันจนถึงแก่ความตาย
     
    พระนางแมรีและพระนางอลิซาเบธ ธิดาทั้งสองพระองค์ของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 ก็ทรง
    เจริญรอยตามประเพณีนิยมเช่นกัน กล่าวคือ พระนางแมรี ธิดาในพระนางแคเธอรีนแห่ง
    อารากอน มเหสีองค์แรกของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 ทรงเกลียดชังที่พระนางอลิซาเบธผู้เป็น
    ขนิษฐาต่างพระมารดาในพระนางแอน โบลีน ที่ได้ครองตำแหน่งมเหสีแทนที่พระมารดา
    ของตน  นอกจากทรงเคียดแค้นแทนพระมารดาแล้ว พระนางแมรีผู้ทรงเป็นคาธอลิก
    ยังทรงหวั่นเกรงว่าพระนางอลิซาเบธผู้ทรงเป็นโปรแตสแตนท์ จะคิดล้มล้างบัลลังก์
    ของพระนาง และยังเกรงว่าจะซ่องสุมพวกโปรแตสแตนท์ก่อการกบฏ จึงทรงกักบริเวณ
    พระนางอลิซาเบธให้อยู่เฉพาะในราชฐาน และในเวลาต่อมาได้ส่งไปคุมขังที่
    ป้อมปราสาทแห่งกรุงลอนดอนอันน่าสะพรึงกลัว พร้อมทั้งให้รัฐสภาประกาศว่า
    พระนางอลิซาเบธเป็นลูกนอกสมรส อีกทั้งขู่ว่าจะสำเร็จโทษ หรือเนรเทศออก
    นอกราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม พระนางอลิซาเบธทรงมีพระชนม์ยืนนานกว่าพระนางแมรี
    และทรงได้สืบทอดมงกุฏในเวลาต่อมา ทั้งยังได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น
    "ราชินีเบสส์ผู้ครองใจประชาชน"
     
    ศตวรรษต่อมา พระนางแมรีที่ 2 และพระนางแอน สองราชินีพี่น้อง ทรงวิวาทกันอย่างรุนแรง
    เกี่ยวกับการเลือกพระสหายของพระนางแอน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ทรงเป็นพี่น้องที่
    กลมเกลียวปรองดองเพื่อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยร่วมมือกันล้มล้างบัลลังก์ของ
    พระบิดา พระเจ้าเจมส์ที่ 2
     
    ในบรรดาเรื่องน่ารังเกียจภายในราชวงศ์ต่างๆ ไม่มีราชวงศ์ไหนเกินกว่าราชวงศ์แฮนโอเวอร์
    ในช่วงศตวรรษที่18 และ 19 ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับโอรสมีแต่ความเลวร้ายและขมขื่น
    อาจเนื่องจากว่า กษัตริย์ทั้งหลายทรงเห็นว่าบรรดาโอรสเหมือนหอกข้างแคร่ที่คอยจะ
    สืบทอดบัลลังก์ หรืออาจเพราะว่าต่างฝ่ายต่างก็จ้องที่จะโค่นล้มซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่
    พระเจ้าจอร์จที่ 1 พระองค์ไม่อาจทนพบหน้าของพระเจ้าจอร์จที่ 2 ในอนาคตไม่ได้
    ที่จริงแล้ว ทั้งสองพ่อลูกไม่ค่อยจะได้พบปะกันสักเท่าใด ยกเว้นในราชพิธีสำคัญๆเท่านั้น
    แต่ทุกครั้งที่พบกันก็มักจะปะทะกันอย่างดุเดือด จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่องค์กษัตริย
    ทรงบัญชาให้จับกุมเจ้าชายจอร์จ ส่วนเจ้าชายจอร์จถึงกับแยกออกไปตั้งราชวังแข่งกับ
    พระบิดา และกิจกรรมบันเทิงหลักของราชวังแห่งนี้คือการแสดงล้อเลียนกษัตริย์
    โดยเฉพาะเรื่องที่พระองค์โปรดปรานเหล่าสนมนางกำนัลที่อ้วนอัปลักษณ์เป็นพิเศษ
     
    ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าจอร์จที่2 กับเจ้าชายเฟรเดอริคพระโอรสนั้น
    หยาบกระด้างยิ่งนัก พระองค์เคยตรัสว่า "บุตรชายคนโตของเราโง่เง่าที่สุด
    ขี้ปดมดเท็จ ต่ำทราม และป่าเถื่อนที่สุดในโลก เราอยากให้เขาหายไปจากโลกนี้จริงๆ"
    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าจอร์จที่2 ได้ทรงล้มเลิกการเจรจาสู่ขออภิเษกระหว่างเจ้าชายเฟรเดอริค
    กับเจ้าหญิงแห่งปรัสเซียพระนางหนึ่ง โดยทรงตั้งข้อสังเกตว่า "เราไม่คิดว่า
    การต่อกิ่งเจ้าทึ่มของเราเข้ากับผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง จะช่วยให้ได้พันธุ์ที่ดีขึ้นมาได้"
    ในขณะที่ เจ้าชายเฟรเดอริคก็ให้นิยามพระบิดาว่าทรงเป็น "คนเอาแต่ใจตัว หัวดื้อ
    เจ้าระเบียบ จอมงก หมกมุ่นในกามคุณไม่รู้จักอิ่ม"
     
    เรื่องบาดหมางกันระหว่างพระบิดากับโอรส ยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงรัชสมัยของพระเจ้า
    จอร์จที่ 3 ไม่เพียงแค่ทรงสูญเสียอาณานิคมในอเมริกาไปจนหมดสิ้นเท่านั้น   พระองค์
    ยังทรงได้รับความอัปยศจากการกระทำของเจ้าชายจอร์จ พระโอรสผู้สำเร็จราชการ
    แทนพระองค์อีกด้วย เนื่องจากเจ้าชายได้เที่ยวไปตามแหล่งบันเทิงสโมสรต่างๆ
    ทั่วกรุงลอนดอน และแสดงกิริยาล้อเลียนพระอาการบ้าคลั่งเสียสติของพระบิดา
    ที่พูดเพ้อเจ้อ น้ำลายยืด จนเป็นที่ชอบใจของผู้พบเห็น
     
    นับว่าพระเจ้ายังทรงเมตตา พระเจ้าจอร์จที่ 4 ทรงไม่มีโอรสเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×