ลำดับตอนที่ #73
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #73 : เรื่องรักๆลับๆของเจ้านายอังกฤษ ตอน โศกนาฏกรรมและการผกผันในชีวิต
ข้อสังเกตเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แห่งเครือจักรภพอังกฤษอาจแยกออกได้เป็นสองฝ่าย |
คือฝ่ายที่เห็นว่าบรรดาสมาชิกในราชสกุลนั้นมีเพรียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง และอีกฝ่าย |
ที่เห็นว่ากษัตริย์และราชินีส่วนใหญ่มักจะเพี้ยนนิดๆ เพื่อเป็นการหักล้างความเชื่อ |
ของฝ่ายแรก เราจะนำเสนอเรื่องของ เลดี้เจน เกรย์ ผู้ซึ่งมีดวงชะตาตกต่ำที่สุด |
อย่างเห็นได้ชัด สำหรับฝ่ายหลัง ขอเสนอเรื่องของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ผู้ทรงมีชีวิต |
ที่ผกผัน จนกระทั่งเรื่องราวในชีวิตของพระองค์ ได้กลายเป็นเค้าเรื่องของภาพยนตร์ |
โด่งดังเรื่องหนึ่ง ของเดวิด ลินช์ |
เลดี้เจน เกรย์นั้น นอกจากจะโชคร้ายที่เกิดเป็นหญิง ซึ่งเปรียบเสมือนสินค้าที่มี |
มูลค่าต่ำในธุรกิจของการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจในราชสำนักแล้ว พระนางยังมี |
ช่วงจังหวะชีวิตที่ค่อนข้างจะเลวร้ายอีกด้วย โดยพระนางถือกำเนิดในช่วงเวลา |
เดียวกันกับที่แผ่นดินอังกฤษกำลังตื่นเต้นยินดีต่อประสูติการของเจ้าชายเอ็ดวาร์ด |
ซึ่งเป็นพระโอรสที่พระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 ทรงต้องใช้เวลาอันยาวนาน กว่าจะได้ผู้ |
อุ้มท้องโอรสสืบทอดบัลลังก์ โดยต้องทรงต่อสู้ขัดแย้งกับพระสันตะปาปา |
ต้องทรงหย่าและทรงสั่งประหารมเหสีองค์แล้วองค์เล่า แม้แต่นามของเลดี้เจน เกรย์ |
ก็ยังถูกเรียกตามพระนามของพระนางเจน ซีมัวร์ พระมารดาของเจ้าชายเอ็ดวาร์ด |
ที่เคราะห์ร้ายเสียชีวิตจากการคลอดบุตร บิดาของเลดี้เจน เกรย์ มิได้ใส่ใจต่อกำเนิด |
ของเลดี้เจน เกรย์ ซึ่งเป็นธิดาคนโตเลย เนื่องจากต้องรีบรุดไปเข้าเฝ้าถวาย |
ความจงรักภักดีต่อว่าที่กษัตริย์ |
จริงอยู่ แม้ว่าลูกๆขุนนางสมัยนั้นไม่ค่อยจะได้สัมผัสกับความรักของพ่อแม่ |
กันสักเท่าใดนัก แต่เลดี้ เจน เกรย์ยิ่งแย่กว่านั้น เพราะมีมารดาที่โหดร้ายอย่าง |
ไม่มีใครเหมือน นามว่า ฟรานเซส เกรย์ ผู้ซึ่งเป็นภาคิไนยของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 |
ทั้งๆที่เลดี้เจน เกรย์ เป็นเด็กหญิงที่เงียบขรึมและขยันเรียน แต่กระนั้น เธอยัง |
อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงความโหดเหี้ยมของมารดา ครั้งหนึ่ง เธอได้พรั่งพรูคำพูด |
ระบายให้ครูของเธอฟังเกี่ยวกับชีวิตในบ้านที่ไร้ความสุขว่า |
"หนูจะเล่าให้คุณครูฟัง และจะเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ซึ่งบางทีคุณครูอาจจะ |
ประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง .ไม่ว่าหนูจะพูดจะนิ่งเงียบ จะนั่ง จะยืนหรือ |
จะไปไหนๆ จะกิน จะดื่ม จะสุข จะทุกข์ หรือขณะที่กำลังเย็บปักถักร้อย |
เล่น เต้นรำ หรือกำลังทำอะไรๆอยู่ก็ตาม หนูก็จะต้องทำให้ได้อย่างดีเยี่ยม |
มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พระเจ้าทรงสร้างโลกได้ยอดเยี่ยมเพียงใด หนูก็จะ |
ต้องทำให้ได้ดีเยี่ยมเพียงนั้น มิฉะนั้นแล้วหนูจะถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต |
จริงๆนะคุณครู บางครั้งหนูโดนหยิก บิด กดหัว และอื่นๆอีกมาก (ที่หนูเล่าไม่ได้ |
เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล) จนหนูคิดว่า ตัวหนูเอง เหมือนอยู่ในนรกเลย " |
เลดี้เจน เกรย์ถูกเฆี่ยนตีตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็ก แม้ว่าขณะที่มีอายุได้ 9 ขวบ |
เมื่อปีค.ศ. 1546 ที่เธอค่อยได้ว่างเว้น จากการถูก "หยิกและกดหัว" ของมารดาไปบ้าง |
เนื่องจากได้ไปอยู่ในราชสำนักภายใต้การอุปถัมภ์ของพระนางแคเธอรีน พาร์ |
มเหสีองค์ที่ 6 ของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 ก็ตาม แต่สองปีต่อมาเมื่อพระนางแคเธอรีน พาร์ |
สิ้นชีวิตลง ทุกสิ่งก็กลับมีสภาพเลวร้ายยิ่งขึ้น สาวน้อยเจน ต้องประสบชีวิต |
ที่ยุ่งเหยิงเป็นใยแมงมุม โดยผู้ที่ชักใย คือ มารดาของเธอเองกับจอห์น ดัดลี่ย์ |
ดยุคแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์เอ็ดวาร์ดที่ 6 |
และเป็นผู้ที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงไม่มีที่สิ้นสุด |
อาการประชวรด้วยวัณโรคขั้นสุดท้ายของยุวกษัตริย์เอ็ดวาร์ด ยิ่งกระตุ้นให้ |
บุคคลทั้งสอง ต้องเร่งลงมือกระทำการบางอย่าง มิฉะนั้น หากสิ้นยุวกษัตริย์ |
เอ็ดวาร์ดแล้ว เจ้าหญิงแมรี่ พระพี่นางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ตามพินัยกรรม |
ของพระเจ้าเฮ็นรีที่ 8 ซึ่งจะเป็นปัญหาหนักต่อจอห์น ดัดลี่ย์ เนื่องจาก |
ฐานอำนาจในการกุมบังเหียนประเทศอังกฤษของเขาต้องอาศัยความมั่นคง |
เป็นปึกแผ่นของฝ่ายโปรแตสแตนท์ รวมทั้งกดฝ่ายคาธอลิกไว้ไม่ให้แข็งแกร่ง |
ขึ้นมาได้ แต่เจ้าหญิงแมรี่ทรงเป็นผู้ที่เลื่อมใสคาธอลิกยิ่งนัก |
ดังนั้น ทั้งดัดลี่ย์และฟรานเซส เกรย์ จึงได้กระทำการเยี่ยงขุนนางทั่วไปพึงกระทำ |
คือจัดการให้ลูกๆ ได้แต่งงานกัน แต่เลดี้ เจน เกรย์คัดค้าน เนื่องจากเธอไม่ชอบ |
กิลฟอร์ด บุตรชายของดัดลีย์ อีกทั้งไม่ต้องการเลิกเรียนหนังสือที่บ้านอีกด้วย |
แต่บิดามารดาของเธอบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอจะยังคงได้อยู่ในบ้านดังเดิม |
ได้เรียนหนังสือ จะไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงเลย เว้นแต่เธอจะต้องแต่งงานเท่านั้น |
ในที่สุด เลดี้ เจน เกรย์จึงต้องเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 |
ขณะที่มีอายุได้ 15 ปี |
ดัดลีย์ ยังมีแผนการณ์อีกอย่างหนึ่ง คือการเกลี้ยกล่อมกษัตริย์ผู้อ่อนแอให้ขีดฆ่าชื่อ |
ของพระพี่นางทั้งสอง คือเจ้าหญิงแมรีและเจ้าหญิงอลิซาเบธออกจากพินัยกรรม |
และประกาศแต่งตั้งเลดี้เจน เกรย์ พระญาติฝ่ายโปรแตสแตนท์ ให้เป็นผู้มีสิทธิ์ |
สืบทอดบรรลังก์ ซึ่งเท่ากับว่าบุตรชายของ ดัดลีย์ จะได้แต่งงานกับพระราชินี |
ส่วนฟรานเซส เกรย์ จะได้เป็นพระมารดาของพระราชินี ดูเหมือนทุกอย่างสำหรับ |
ผู้คิดก่อการอย่างดัดลีย์ และฟรานเซส เกรย์ กำลังดำเนินไปด้วยดี แต่สำหรับ |
เลดี้เจน เกรย์ เธอเป็นลมหมดสติเมื่อได้ยินว่าตนกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ |
เธอถูกมารดาผู้ดีใจจนเนื้อเต้น ตบกระชากเธอให้ตื่นขึ้นในวันรุ่งขี้นเพื่อมายัง |
ป้อมปราสาทแห่งกรุงลอนดอน โดยสวมรองเท้าที่ถูกรัดติดทับด้วยรองเท้าไม้ |
หนาสามฟุต เพื่อให้ฝูงชนสามารถยลโฉมพระราชินีองค์ใหม่ได้ถนัด |
อนิจจา รัชกาลของเธอสิ้นสุดลงชั่วระยะเวลาเพียงเก้าวันเท่านั้น เมื่อพระนาง |
แมรี ทิวดอร์ "ผู้กระหายเลือด" เรียกร้องทวงสิทธิ์ในบัลลังก์ เลดี้เจน เกรย์ |
ยินยอมคืนให้ด้วยความยินดี และขอร้องบิดาว่า เธออยากกลับบ้านทันที |
ทว่า เรื่องของราชสำนักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งนัก ดังนั้น แทนที่จะได้กลับบ้าน |
เธอกลับถูกเนรเทศไปอยู่ในคุกที่ป้อมปราสาทแห่งกรุงลอนดอน ส่วนมารดาของเธอ |
สนใจแต่จะเอาตัวรอดเท่านั้น ครั้นสบโอกาส ก็อ้อนวอนพระราชินีผู้ทรงเป็น |
ลูกพี่ลูกน้อง ให้อภัยโทษแก่ดยุคแห่งซัฟโฟล์คผู้เป็นสามีและผู้มีส่วนร่วมในการ |
วางแผนช่วงชิงบัลลังก์ แต่มิได้ใส่ใจที่จะอ้อนวอนเพื่อช่วยเลดี้ เจนเกรย์ |
ธิดาของนางเลย ระหว่างทางที่เลดี้เจน เกรย์เดินไปสู่แท่นประหารนั้น สาวน้อย |
ผู้มีชะตาขาด ถูกบังคับให้มองดูร่างของเหยื่อที่ได้ประสบชะตากรรมร้ายก่อนหน้า |
เธอ ซึ่งก็คือลอร์ดกิลฟอร์ด ดัลลีย์ สามีวัยสิบเก้าของเธอนั่นเอง ร่างของเขา |
ทอดยาวอยู่บนแคร่ แต่ศีรษะของเขาถูกวางอยู่ระหว่างต้นขา ขณะที่เลดี้เจน เกรย์ |
กำลังจะถูกตัดศีรษะ ไม่มีวี่แววแม้แต่เสียงของมารดาเธอเลย บ้างก็กล่าวกันว่า |
นางคงจะกำลังหยอกล้อต่อกระซิกอยู่กับข้ารับใช้ที่มีอายุอ่อนกว่านาง 15 ปี |
ชะตาชีวิตที่รุ่งเรืองของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ช่างผกผันกับโศกนาฏกรรมชีวิต |
ที่ตกต่ำของเลดี้เจน เกรย์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งยุคกลางองค์นี้ทรงมีชีวิต |
เวียนว่ายอยู่ท่ามกลางกระแสการเมืองที่มากเล่ห์เพทุบาย ในขณะที่เลดี้ |
เจน เกรย์ผู้น่าสงสารและอ่อนต่อโลก กลับถูกกระแสการเมืองพัดพาจมดิ่งลงไป |
และถึงแม้ว่าฉายานาม "ค่อมอัปลักษณ์" อันเลื่องลือของวิลเลียม เชคสเปียร์ |
จะกล่าวเกินเลยความจริงไปสักหน่อย แต่เจตนาของละคร ก็เพียงเพื่อสื่อ |
ให้เห็นความชั่วร้ายเป็นรูปธรรมผ่านรูปลักษณ์อัปลักษณ์นั้น อย่างไรก็ตาม |
ภาพลักษณ์ของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ตามประวัติศาสตร์นั้น ไม่ได้ดีไปกว่าที่ |
เชคสเปียร์บรรยายไว้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นฉายานามว่า |
"อสรพิษแมงมุมค่อม" หรือ "หมูโสโครกรูปชั่ว สกุลต่ำ" *** |
พระเจ้าริชาร์ดทรงมีความเจ้าเล่ห์ และอำมหิตผสมผสานกัน เมื่อทรงพระเยาว์ |
ทรงผอมบางเหมือนเด็กขี้โรค ทรงไต่เต้าขึ้นสู่บัลลังก์อังกฤษบนกองร่างมนุษย์ |
และท่ามกลางคำเล่าลือต่างๆนาๆ นอกจากนี้ ยังอาจเป็นผู้ที่บงการปฏิบัติการ |
สังหารสองครั้งที่ลือลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติอังกฤษอีกด้วย นับตั้งแต่ |
ในช่วงของ "สงครามดอกกุหลาบ" ซึ่งเป็นการต่อสู้นองเลือดช่วงชิงกันระหว่าง |
ราชวงศ์ยอร์ค และราชวงศ์แล็งคาสเตอร์ที่ดำเนินไปในช่วงศตวรรษที่ 15 |
หลักฐานส่วนใหญ่ระบุว่า พระเจ้าริชาร์ดทรงเชี่ยวชาญการรบ และทรงเป็น |
ที่ปรึกษาซึ่งเก่งกาจและภักดีของพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 4 เชษฐาร่วมราชวงศ์ยอร์ค |
พระองค์ทรงชนะศึกสำคัญๆหลายครั้ง อีกทั้งอาจจะมีส่วนร่วมในการโค่นล้ม |
ปลงพระชนม์พระเจ้าเฮ็นรีที่ 6 แห่งราชวงศ์แล็งคาสเตอร์ด้วย |
แต่หลังจากที่เชษฐาเอ็ดวาร์ดที่ 4 สิ้นพระชนม์ ในปี ค.ศ. 1483 พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 |
ยิ่งโหดเหี้ยมหนักขึ้น พระองค์ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนยุวกษัตริย์ |
เอ็ดวาร์ดที่ 5 ผู้เป็นนัดดา แต่กลับประสงค์จะครองบัลลังก์เสียเอง ยุคแห่ง |
ความหวาดกลัวจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการสั่งประหารพระญาติทุกคนที่ขวางเส้นทาง |
การดำเนินแผนของพระองค์โดยไม่มีการไต่สวน |
ต่อจากนั้น ทรงจับยุวกษัตริย์ และอนุชาขังไว้ในป้อมปราสาทแห่งกรุงลอนดอน |
และทรงรณรงค์หาเสียง สนับสนุนการประกาศว่า ยุวกษัตริย์และอนุชา |
เป็นลูกนอกสมรส อีกทั้งประกาศว่า เชษฐาผู้ล่วงลับก็เป็นลูกนอกสมรส |
ซึ่งเกิดจากมารดาที่เล่นชู้ ด้วยข้อกล่าวเหล่านี้อ้างนี้ จึงเท่ากับว่าเหลือพระองค์ |
เพียงลำพัง ที่เป็นผู้มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์โดยชอบธรรม พระองค์จึงทรง |
ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ สองเดือนหลังจากพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ |
ส่วนนัดดาทั้งสองที่อยู่ในป้อมปราสาท ข่าวคราวก็ค่อยๆเงียบหายไป |
จนในที่สุด ไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย แพทย์ประจำพระองค์ของยุวกษัตริย์ |
ที่ทรงถูกถอดถอนพระยศศักดิ์เล่าว่า ยุวกษัตริย์ทรงได้แต่สวดมนต์นับตั้งแต่ |
ที่ทรง "เชื่อว่ากำลังเผชิญ ความตาย" ช่างเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเสียจริงๆ |
เซอร์ธอมัส มอร์ ผู้ที่ยอมรับว่ารู้สึกต่อต้านพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ได้เขียนบันทึกเรื่องหนึ่ง |
ซึ่งในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นเค้าเรื่องบทละครของเชคสเปียร์ ได้บรรยายการสังหาร |
ไว้อย่างละเอียดแจ่มแจ้งว่า "ประมาณเที่ยงคืน[พวกเพชฌฆาต]เข้ามาในห้อง |
(เด็กๆที่ไร้เดียงสา กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง) ใช้ผ้าคลุมพวกเด็กๆกดไว้กับ |
เตียงขนนก และอุดปากด้วยหมอนจนหายใจไม่ออก พวกเด็กๆดิ้นขลุกขลัก |
อยู่เพียงครู่เดียว วิญญาณอันบริสุทธิ์ทั้งหลายก็หลุดลอยสู่สวรรค์ ทิ้งร่างไร้ชีวิต |
บนเตียงไว้ให้พวกอำมหิตเหล่านั้น" |
การสังหารเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กๆที่เป็นเจ้าชายรัชทายาทนั้น แม้แต่ในสายตาของ |
คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างเนื่องจากเคยผ่านสงคราม ความอดอยาก และโรคภัย |
ไข้เจ็บในยุคกลาง ยังเห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าชิงชังขยะแขยงเกินกว่าจะอภัยให้ได้ |
ดังนั้น ความพยายามของพระองค์ที่จะทรงเป็นผู้นำที่ดีและนำสันติสุขสู่ประชาชน |
จึงล้มเหลว วินสตัน เชอร์ชิลล์ เขียนไว้ในหนังสือเรื่องประวัติศาสตร์ของชนชาว |
อังกฤษว่า "อาชญากรรมที่พระเจ้าริชาร์ดที่3ทรงก่อขึ้น คอยกระตุ้นความชิงชัง |
ของคนทั่วแผ่นดินให้คุกรุ่นไม่อาจดับได้ ไม่ว่าจะทรงทำคุณประโยชน์มหาศาล |
สักเพียงใด หรือแม้ว่าจะทรงใช้กุศโลบายการปกครองและการบริหารดีสักเพียงใด |
ก็ไม่อาจลบล้างความผิดของพระองค์ได้" |
สองปีหลังจากที่ทรงปล้นบัลลังก์ได้มา พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ก็ถูกปลงพระชนม์ |
ในสนามรบโดยกองทหารของพระเจ้าเฮ็นรีที่7 กษัตริย์องค์ใหม่ผู้มีชัยได้ลาก |
พระศพของพระองค์ที่พาดบนหลังม้าโดยปราศจากผ้าคลุม พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 |
ทรงเป็นกษัตริย์อังกฤษองค์สุดท้าย ที่สิ้นพระชนม์ในสนามรบและทรงเป็น |
กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ทรงใช้พระนามว่าริชาร์ดด้วย |
เลดี้เจน เกรย์
ฟรานเซส เกรย์ มารดาผู้โหดร้าย
พระเจ้าริชาร์ดที่ 3
กษัตริย์น้อย เอ็ดเวิร์ดที่ 5
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น