ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ฉันมีลูกเป็นอสุรกายสูงสามสิบฟุต...(85%)
บทที่ 2 [R.]
....ฉันมีลูกเป็นอสุรกายสูงสามสิบฟุต....
สาบานเลย ฉันจะไม่มีวันเข้าไปเล่นในเครื่องซักผ้าเด็ดขาด! ตั้งแต่ถูกส่งเข้าเกมมาท้องไส้ของฉันก็ปั่นป่วนเหมือนถูกพวกออร์คเขย่า ฉันเกือบจะคิดว่าอวัยวะของฉันจะสลับที่กันไปหมดแล้ว ผ่านไปสักพักแรง....สะเทือน.. หมุน.. หรือเขย่ากันนะ เออ ช่างมันเถอะ....ก็เริ่มเบาลง ตามด้วยเสียงวี้! ในหัวแทน ฉันลืมตาขึ้นสังเกตุสภาพรอบข้าง อืมม...ฉันอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย สีฟ้า มีสาหร่ายทะเล อ้อ มีฉลามด้วย ใช่ มหาสมุทร คำนี้คู่ควรมากที่สุด
ฉลามขาวขนาดยี่สิบฟุตแหวกว่ายและมองฉันราวกับฉันเป็นอาหารชั้นเลิศ ตลกล่ะ ฉันถลึงตาใส่มันเตรียมจะหยิบมีด มันแยกเขี้ยวใส่ฉัน....ใช้คำนี้รึเปล่านะ.... ฉันก็แยกเขี้ยวตอบ มันคงงงล่ะมั้ง เพราะมันไม่เข้ามาใกล้ฉันเลย ไม่นานมันก็ว่ายหนีไป ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะแรงดันน้ำทำให้ลูกตาฉันแทบถลนออกมาและลมหายใจก็ใกล้หมดเต็มทน ฉันยังไม่อยากจมน้ำตายหรอกนะ แต่ก่อนที่ฉันจะขึ้นไปบนผิวน้ำก็รู้สึกถึงแรงกระชากที่ขา พอฉันหันไปมองก็...อี๋! หมึกยักษ์ ยักษ์แบบยักษ์จริงๆชนิดที่ว่าฉลาดขาวดูตัวเล็กลงทันตา ฉันกระชับมีดในมือ พยายามนึกถึงอาวุธชิ้นอื่น ธนูไม่มีประโยชน์ในน้ำดังนั้นตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย สรุป ฉันมีแค่มีดที่ใช้ได้
ผู้เล่น เรย์นา พบสัตว์อสูร คราเคน ชนชั้น อัศวิน คลาส 4 ระดับ 150 ผู้ที่ถูกสังหารจะถูกลด 150 ระดับ ติดสถานะแพ้อาหารชนิดปลาหมึกเป็นเวลา 1 เดือน
วิเศษ! กินปลาหมึกไม่ได้ งี่เง่าสิ้นดี ที่ฉันยังไม่ฆ่าอัศวินปลาหมึกผู้น่าเกรงขามมีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อแรก ฉันจับจิตสังหารของมันไม่ได้ บางทีมันอาจไม่ต้องการฆ่าฉัน บางทีนะ ข้อสอง ฉันไม่คิดว่าผู้เล่นเริ่มต้นอย่างฉันจะทำอะไรสัตว์อสูรระดับนี้ได้หรอกนะ ไม่ใช่ว่ากลัว แต่เป็นการประมาณตน ฉันรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี เว้นเสียแต่ใช้เวทมนตร์ในโลกจริงซัดมัน อันนั้นน่ะพอได้อยู่ แต่ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ มันใช้หนวดน่าขยะแขยงดึงฉันลงไปใต้ผืนน้ำอย่างนุ่มนวล...อย่างที่ปลาหมึกยักษ์ขนาดเท่าตึกจะนุ่มนวลได้... มันอาจเอาฉันลบไปกินก็ได้หรืออาจเอาไปเป็นเครื่องประดับ(?) เอาเถอะ ฉันไม่รู้หรอก มันดึงฉันลึกลบไปเรื่อยๆแล้วก็...ตูม! สติฉันดับวูบไป
ฉันรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าหายใจได้แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าฉันขึ้นไปอยู่บนบกได้ก็คงเพราะร่างกายของฉันปรับให้กับสภาพแวดล้อม อย่างมีเหงือกหรือพังผืด โอ้ ข้อแรกฟังดูดีกว่ากันเยอะเลย ฉันลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ฉันอยู่ในห้องสีขาวที่ประดับไปด้วยเปลือกหอยนานาชนิด อาวุธของฉันถูกแขวนอยู่มุมห้อง หน้าต่างในห้องเป็นสีฟ้า...ไม่สิ ไม่ใช่หน้าต่างที่เป็นสีฟ้าแต่เป็นนอกห้องต่างหาก มีปลาด้วย แสดงว่าเป็นข้อสองสินะ ฉันก้มลงมองมือตัวเองและแตะบริเวณหน้ากับคอ ....อย่างน้อยก็ไม่มีพังผืดกับเหงือกล่ะน่า ฉันปลอบใจตัวเอง ชุดของฉันแห้งแล้ว มีดและธนูก็เช่นกัน ฉันเหน็บมีดไว้ที่เอว หยิบธนูขึ้นลูกศรไว้ในท่าเตรียมพร้อมแต่ยังไม่ยกขึ้นมา
ประตูเปิดออก ฉันยกธนูและเล็งไปที่นั่น ผู้มาเยือนชะงักกึก เขาเป็นผู้ชายอายุประมาณสิบแปด ผมสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล ดวงตาสีเดียวกันมองฉันอย่างงุนงง ฉันหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเขาก็เริ่มพูดก่อน "เธอนอนละเมอ"
และสติของฉันก็ขาดผึง "ย๊าา! คนไร้มารยาท"
ทั้งธนูและมีดไม่สำคัญอีกแล้ว ฉันสะพายธนูไว้ตามเดิมก่อน...กระโดดถีบ เรื่องนอนละเมอน่ะฉันเป็นมาตั้งนานแล้ว ตอนเป็นแม่ทัพก็เคยโดนทักเหมือนกันแต่ฉันไม่สน ทหารทุกคนคือครอบครัวของฉัน แต่หมอนี่เป็นใครถึงกล้าทักแบบนี้! ต้องการอะไรจากเด็กผู้หญิงอายุสิบหก จากนั้นฉันก็หยิบธนูขึ้นมาและวิ่งไล่ยิงอย่างเดียว
"โอ๊ย! มันเจ็บนะ" เขาโวยวายเมื่อลูกธนูถากแขน เออ ไม่เจ็บก็บ้าแล้ว แปลกตรงไหน ฉันยังไล่ยิงต่อไป ลูกธนูราวกับไม่มีวันหมดเมื่อฉันใช้ไปดอกหนึ่ง อีกดอกก็จะมาแทนที่ ฉันวิ่งอยู่ประมาณยี่สิบนาที แต่ก็ต้องหยุดลงเพราะมี เอ่อ..ตัวอะไรสักอย่างเนี่ยล่ะ มาบอกว่า "ท่านเทพต้องการพบแขก"
แขก...อาจหมายถึงฉัน เขาหันมายกมือยอมแพ้แล้วพูดกับฉัน "ขอสงบศึก"
"แค่ชั่วคราว" ฉันแยกเขี้ยวตอบ และเดินตามชายคนนั้นไป
"วิ่งตั้งนานไม่เหนื่อยเลยเหรอ" เขาพูดทำลายความเงียบ ถามอะไรที่ไม่น่าถามจริงๆ ฉันจึงย้อน "ถ้าเหนื่อยจะวิ่งทำไม"
แล้วเขาก็เดินเงียบๆ ต่อไป สักพักเราก็ถึงหน้าห้องๆ หนึ่ง มันเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ แค่ประตูห้องก็สูงอย่างน้อยสิบห้าฟุต ขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลิน จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ด้วยความเคยชินหรืออะไรก็ตามเมื่อคนทำให้ฉันตกใจ ฉันจะแผลงศรทันที ครั้งนี้ก็เช่นกัน....แม้ว่าสิ่งที่ทำให้ตกใจจะไม่ใช่คนก็ตาม ลูกธนูพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นกั้นไว้ มันหยุดลงและสลายไป ชายที่มากับฉันหน้าซีดเผือด ส่วนฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก
พวกเราเดินเข้าไปข้างใน เบื้องหน้ามีบัลลังค์ที่ใหญ่พอให้คนสูงสิบฟุตนั่งได้สบายๆ เขาก้มลงทำความเคารพฉันจึงทำตาม ชายสูงสิบฟุตพูดขึ้น "ปฏิกิริยาของเจ้าไม่เลว พรานแห่งอาร์เทมีส"
"ข้าแต่เทพเจ้า ขอบคุณสำหรับคำชม ข้าไม่ใช่พรานแห่งอาร์เทมีส และขออภัยสำหรับการล่วงเกิน" ฉันตอบ
"เจ้ารู้ด้วยรึว่าข้าเป็นใคร" เขามองฉันด้วยสายตาชื่นชม
"อยู่ในมหาสมุทรคงไม่ใช่ซุสหรอกค่ะ" ฉันพูดตามที่คิด โพไซดอนหัวเราะชอบใจ ส่วนคนที่มาด้วยกันกับฉันกุมขมับ
"ฮ่า ฮ่า เด็กเอยเจ้าพูดถูก พวกนั้นส่งคนมาถูกใจข้าจริงๆ" ปกติแล้วฉันไส่ชอบให้ใครมาเรียกว่าเด็กหรอกนะ แต่กับเทพเจ้าอายุหลายพันปี่นี่ข้อยกเว้น ฉันสะดุดใจกับคำว่า'ส่งคน' มันหมายความว่ายังไงกันนะ...
"ส่งคนหมายความว่ายังไงกันคะ" ฉันโพล่งออกไป เด็กช่างเรียนรู้อย่างฉันไม่เคยปล่อยให้คำถามลอยอยู่ในหัวเกินห้าวินาที คุณเตรียมใจไว้ได้เลย เพราะมีโอกาสสูงมากถึงมากที่สุดที่ฉันจะพูดอะไรไปโดยไม่คิด
"พวกนั้น ที่นักเดินทางเช่นเจ้าเรียกว่าnpcน่ะ ทำข้อตกลงกับข้า หากคนที่ซื้อ...เกมหรืออะไรสักอย่างรุ่นลิมิเต็ด อีดิชั่นจะต้องผ่านฝูงหมาป่าโลหะซึ่งน่ารำคาญสุด...ข้าเดาว่าเจ้ารู้อยู่แล้วล่ะ...."
"ฉันว่าพวกมันน่ารักดีออก" ฉันพึมพำเบาๆ
"ถ้าผ่านมาได้จะถูกส่งมายังอาณาจักรของข้า และถ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ตาย" สมุทรเทพชี้ลงที่พื้นที่นี่ของเขาคงหมายถึงที่นี่ที่ห้องนี้ตามความหมายจริงๆ ส่วนฉันคืดในใจ อืม คำว่า ถ้า ชักจะเยอะเกินรึเปล่านะ แน่นอนฉันไม่ได้พูดออกไป แต่กลับถามอีกคำถามแทน
"การมาที่นี่ยากตรงไหนกันคะ แค่รอให้ปลาหมึกสูงเท่าตึกลากลงไปในน้ำ และอาจไม่ได้กินพวกปลาหมึกไปหนึ่งเดือน โอย น่าเศร้าจริงๆ" ประโยคหลังฉันพูดเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะให้ชายที่มาด้วยกันได้ยิน เขาถลึงตาใส่ฉันและพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับปลาหมึก...อาจจะเป็นปลาหมึกเป็นอาหารทะเลที่อร่อยที่สุด...แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ เพราะท่าทางของเขาเหมือนสาปแช่งให้ฉันถูกมันกินเสียมากกว่า แต่โทษทีเถอะ ฉันสวยและเก่งเกินกว่าที่จะเป็นอาหารของสัตว์ทะเล
"คราเคน...ที่เจ้าเรียกว่าปลาหมึกน่ะ มันจะไม่ทำอันตรายหากเจ้าไม่ขัดขืน แต่ถ้าเจ้าคิดจะสู้เมื่อไหร่มันก็จะสู้เช่นกัน แล้วข้าก็ไม่คิดว่าคราเคนจะจับธิดาแห่งโพไซดอนกินเป็นอาหาร จริงมั้ย ไทรทัน" โอเค ฉันพอจะเข้าใจวิถีชีวิตของครา...อะไรนะ เออ ช่างมันเถอะ... ฉันจะบอกว่า ฉันพอจะเข้าใจวิถีชีวิตของเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาบ้าง แล้วก็เข้าใจด้วยว่าคนที่มาด้วยกันชื่อ ไทรทัน แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะคำที่ลอยในหัวฉันมีเพียงคำว่า ธิดาแห่งโพไซดอน
"เมื่อกี้ข้าพูดถึงเรื่องไหนแล้วนะ" สมุทรเทพถามขึ้น ฉันจึงต้องเก็บคำถามนั้นไว้ชั่วคราว เพราะอยากรู้เรื่องนี้มากกว่า
"ถ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ตาย" ฉันต่อประโยคให้
"ใช่ ถ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ตาย ข้าต้องรับมนุษย์ผู้นั้นเป็นธิดา และในกรณีนี้ก็คือเจ้า" ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบหัว ตอนนั้นสมองของฉันประมวลความเป็นไปได้ทุกอย่าง ประมวลความหมายทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจ
"เจ้าคิดจนข้าจะเห็นฟันเฟืองแทนสมองอยู่แล้ว อาธีน่าคงถูกชะตากับเจ้า" เขาถอนหายใจ พร้อมกับที่เสียงระบบดังขึ้น
ผู้เล่น เรย์นา ได้รับการยอมรับ ได้รับตำแหน่ง ธิดาแห่งโพไซดอน
ผู้เล่น เรย์นา ได้รับภารกิจ ธิดาแห่งทวยเทพ 1/16
"นี่มันไร้เหตุผลมากเลยนะคะ" ฉันแย้งหลังจากที่จัดข้อมูลในสมองจนมันเริ่มเข้าที่เข้าทาง
"เรย์นา เหล่าเทพเจ้าไม่เคยมีเหตุผล ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าเพียงทำตามคำขอเท่านั้น" โพไซดอนพูด เขารู้ชื่อฉันได้ยังไงกนนะ ใช่สิ! เขาเป็นเทพเจ้านี่
"ภารกิจธิดาแห่งทวยเทพหมายความว่ายังไงคะ" ฉันถามออกไป โพไซดอนยิ้มอย่างใจดี
"น้อยคนนักที่จะได้รับภารกิจนี้ ผู้ที่บรรลุภารกิจนี้จะได้รับพลังมหาศาลอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง ส่วนความหมายของภารกิจนี้ก็ตรงตัว เจ้าต้องได้รับการยอมรับจากเทพโอลิมเปียนทั้งหมด ซึ่งถ้านับดูดีๆ แล้วจะมีทั้งหมดสิบหกองค์ เทพที่เจ้าสามารถได้รับการยอมรับอย่างง่ายๆ คือ อะโฟรไดต์....จะว่าง่ายก็ไม่เชิง หากนางตัดสินใจว่าเจ้างดงามนางก็จะยอมรับ หากนางตัดสินว่าไม่ เจ้าก็ต้องทำใจ " คำอธิบายพร้อมคำแนะนำ
วิเศษ! ฉันต้องไปทำให้เทพผู้น่า....คิดเอาเองแล้วกัน....สิบหกองค์ยอมรับด้วยวิธีบลาๆๆๆ ในขณะที่ฉันกำลังบ่นในใจ ทั้งสาปแช่งทั้งอะไรต่อมิอะไร ประตูก็เปิดผัวะ! จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีใครสักคนยืนอยู่ในรัศมีล่ะก็....เลิกคิดเถอะ ทันทีที่ประตูเปิดออก สัตว์ครึ่งสิงโต ครึ่งแพะ ครึ่งงู หรือ มังกรกันนะ ก็วิ่งเข้ามา อา ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคือตัวอะไร ก็แค่พอจะคุ้นๆหน้าบ้างเหมือนกับเคยเจอในหนังสือเทพปกรณัมอยู่ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก ให้ตายเถอะ พระเจ้ารู้ได้ยังไงนะว่าฉันชอบของแปลก
"ลูกรัก! แม่อยู่นี่ มาหาแม่เร็วหนูน้อยน่ารักของแม่" ฉันตะโกน และกางแขนทั้งสองข้าง อสุรกายสูงเจ็ดฟุตกระโดดชาร์ตแล้วฉันก็ล้มลงไป มันคร่อมฉันพร้อมกับสอดส่องส่ายตาอย่างซุกซน หางของมันส่ายไปมา มันออกจะน่าขยะแขยงไปหน่อยเมื่อเห็นว่าหางนั่นเป็นงู ด้วยอะไรบางอย่าง ฉันมองว่ามันน่ารัก และฉันก็รักมัน สตรีสีเขียววิ่งเข้ามา เธอหน้าซีด....ฉันไม่รู้อะไรมากหรอกนะ มันยากที่จะรู้ว่าเธอหน้าซีดหรือไม่ในเมื่อเธอเขียวทั้งตัว เขียวแบบเขียวจริงๆเลยน่ะ ผมเขียว ผิวเขียว หน้าเขียว ชุดเขียว และอีกสารพัดเขียว
"เรย์นา ลูกไม่ควรเรียกคิเมร่าว่าหนูน้อยน่ารัก และคิเมร่าก็ไม่ใช่ลูกรัก" โพไซดอนเตือนทั้งที่ยังอมยิ้มอยู่ คิเมร่าก้มหัวลงมามองฉันอย่างสงสัย ฉันเอื้อมมือไปลูบหัวมันและมันก็ถูหัวของมันกับมือฉัน ให้ตาย เขาเป็นอสุรกายที่น่ารักที่สุดในโลกเลย
"โอ๋ หนูน้อยลงไปก่อน" มันทำตามอย่างวว่าง่าย ฉันลุกขึ้นมาปัดตามตัวนิดหน่อย ผู้หญิงสีเขียวเดินผ่านฉันไป เธอโค้งให้โพไซดอนโดยไม่ลืมถลึงตาใส่ฉัน ฉันฉีกยิ้มแแบบที่ชอบทำเวลาประชดใคร และเธอก็ถลึงตาใส่ฉันอีกรอบ
"เรย์นา นี่แอมฟริไทรที เป็นเอ่อ... ภรรยาของข้า" เขาแนะนำ ไม่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่
"นี่เรย์นา เป็นธิดาของฉัน" โพไซดอนแนะนำฉันบ้าง แอม....อะไรสักอย่าง แค่นเสียงอย่างดูถูก โทษทีเถอะ นั่นดูน่าขนลุกขึ้นทันตาเพราะแม้แต่จมูกของเธอก็เป็นสีเขียว อี๋!บางทีผมนั่นอาจเป็นสาหร่ายทะเลก็ได้ใครจะรู้
"ไทรทัน! แม่ไม่ชอบให้เจ้าอยู่ในร่างของพวกมนุษย์ชั้นต่ำ เจ้าก็รู้" เน้นซะเหลือเกินนะ เฮอะ! ฉันเปลี่ยนไปสนใจคิเมร่าแทน และมันก็ไม่ยากเลยเพราะอสุรกายครึ่งบลาๆๆ สูงเจ็ดฟุตเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่าสตรีสีเขียวนั่นเยอะ
"พ่อคะ เรย์เข้าใจว่าคิเมร่าจะตัวใหญ่กว่านี้นะเนี่ย ใช่มั้ยหนูน้อย" ฉันเลือกใช้คำว่าพ่อ เพื่อประชด ส่วนวิธีเรียกแทนตัวแบบนั้นฉันจะใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับคนๆ นั้น แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่คนก็เถอะ การหันไปถามโพไซดอนทำให้หางตาฉันเห็นไทรทันไปด้วย ตอนนี้เขาอยู่ในร่างเงือกแล้วซึ่งไม่น่าดูเท่าไหร่ ขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ พื้นห้องก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ด้วยความที่ฉันเป็นคนใฝ่หาความรู้จึงหันไปมอง และรู้ได้ทันทีว่าฉันถามอะไรที่ไม่ควรถามออกไป
หนูน้อยน่ารักของฉันตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนอีกนิดเดียวก็จะติดเพดาน ฉันยังไม่ได้บอกสินะ เพดานห้องนี่สูงราวๆ สี่สิบฟุต และลูกรักของฉันก็สูงสามสิบฟุต
"โดยปกติแล้ว คิเมร่าจะไม่เปลี่ยนขนาดของตัว เว้นแต่ใครบางคนที่มันให้ความสำคัญจะต้องการ ตามที่ลูกคิด มันตัวใหญ่กว่านั้น และนี่คือขนาดจริงของมัน" โพไซดอนว่างั้นล่ะ ฉันเป็นคนสำคัญสินะ น่าปลาบปลื้มอะไรอย่างนี้
"หนูน้อย เอาขนาดเท่าเดิมน่ะดีแล้ว" ฉันพูด แล้วมันก็ทำตาม เป็นเด็กดีจริงๆ เลย
"คิเมร่าไม่เคยเชื่องขนาดนี้ ก่อนหน้านี้มันยังจะฆ่าข้าอยู่เลยตอนข้าย้ายกรง" สตรีสีเขียวพูดด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจ
"พ่อคะ ที่แอม...อะไรนะ แอมแปร์...? พูดเป็นเรื่องจริงเหรอคะ เรย์ว่ามันออกจะน่ารัก เนอะหนูน้อยของแม่" ฉันพูด ขณะลูบหัวของมันอย่างเอ็นดู
"แอมฟริไทรที และใช่ คิเมร่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมาก เราใช้เวลาอยู่นานกว่าจะจับมันได้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกำราบมันได้ ไม่มีใครที่มันยอมรับ...นอกจากลูก และพ่อก็ไม่ขัดข้องหากลูกต้องการมันเป็นสหายร่วมเดินทาง "
ผู้เล่น เรย์นา ได้รับการยอมรับจากสัตว์อสูร คิเมร่า
ผู้เล่น เรย์นา ได้รับสัตว์อสูร คิเมร่า ชนชั้น จักรพรรดิ คลาส 4 ระดับ 170 เป็นผู้ติดตาม
แน่นอนฉันบอกโพไซดอนไปว่าต้องการออกเดินทาง เรียกว่าเป็นโชคดีดีมั้ยนะ ที่ได้สัตว์อสูรระดับสูงมาตั้งแต่เริ่มเกม แต่อะไรบางอย่าง บอกฉันว่าถ้าฉันเลือกได้ การเดินทางโดยไม่มีคิเมร่าไปด้วย และไม่สามารถทำให้มันเชื่องได้ อาจปลอดภัยกว่า คงเป็นเพราะคำพูดที่ไทรทันเผลอหลุดปากออกมา คำพยากรณ์มักไม่ใช่เรื่องดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน
'วีรชนผู้ถูกสาปจักเอาชนะปีศาจแห่งโลกันต์'
ถ้าแปลดูแล้ว ปีศาจแห่งโลกันต์ คงหมายถึงคิเมร่า คำว่า เอาชนะ ก็หมายถึงทำให้มันยอมสยบ ความหมายมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคำว่า วีรชนผู้ถูกสาป แต่เอาเถอะ ฉันก็ไม่ค่อยจะเจอโชคดีอยู่แล้ว ฉันกลัวว่าถ้าเข้าเมืองมาโดยมีอสุรกายสูงเท่าตึกเดินตามจะทำให้ผู้เล่นคนอื่นแตกตื่นเลยขอให้ลูกรักกลายร่างให้ตัวเล็กลงหน่อย เล็กที่ว่านี่คือเท่าสิงโตและอยู่ในรูปร่างของสิงโตขนทองแซมเงิน ดูดีกว่าเดิมเยอะ พูดกันตรงๆ นะ ฉันอยากสะสมอสุรกายในปกรณัมมากกว่าไปทำให้เทพโอลิมเปียนยอมรับซะอีก พวกเราออกมาจากวังใต้สมุทรของโพไซดอนโดยมาโผล่ที่ชายฝั่งนอกเมืองเริ่มต้น แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงประตูเมือง
เมืองผู้เล่นเริ่มต้นนับว่าน่าอยู่ทีเดียว มีการจัดตกแต่งสไตล์กรีกโบราณ ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ผู้คนส่วนใหญ่แต่งตัวด้วยชุดเกราะยกเว้นพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงขาย พวกนั้นจะใส่เป็นผ้าคลุมสีครีมเสียส่วนใหญ่ ชาวเมืองดูไม่แปลกใจเท่าที่ควรเมื่อเห็นสิงโตเดินตามฉันเข้ามา สิ่งแรกที่ฉันคิดจะทำหลังจากหาอะไรเติมพลังก็คือการเก็บระดับ ถึงแม้จะได้พลังแปลกๆ อย่างพลังของมนุษย์กึ่งเทพมา แต่ความจริงก็คือความจริง ฉันยังคงมีระดับแค่หนึ่งเท่านั้น เงินของผู้เล่นเริ่มต้นเพียงพอให้ฉันซื้อาหารระดับต่ำสำหรับคนเดียวเท่านั้น โชคยังดีที่แอมฟริไทรทีจะทำคิเมร่าหลุดออกจากกรง เธอก็ให้อาหารมันไปแล้ว และจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหิวอีก
ฉันเป็นคนที่ไม่เรื่องมากกับการกินจึงซื้อแค่ข้าวต้นถูกๆ นั่งกินข้างทาง ไม่อยากเชื่อใช่มั้ยล่ะว่าคนอย่างฉันเป็นถึงเจ้าหญิง ระหว่างที่ฉันกินคิเมร่าก็นอนหมอบกับพื้นไม่สร้างความวุ่นวาย จนกระทั่งได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นไม่ไกลนักและมีชาวบ้านกับกลุ่มผู้เล่นไปมุงดูด้วยความสนใจ คิเมร่าหันมามองฉันราวกับจะขออนุญาติ ที่จริงไม่ต้องขอฉันก็กะจะไปดูอยู่แล้ว หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุทันที
ท้าพนันการแข่งขันผู้ติดตามที่เป็นสัตว์อสูร
นั่นคือป้ายที่เด่นชัด ณ สถานที่ที่ฉันไปถึง ความหมายของมันตรงตัว เพราะบริเวณนั้นมีสัตว์อสูรสองตัวต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของของตัวที่ได้เปรียบกว่าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ในขณะที่อีกคนกัดฟันกรอดจนกรามนูนเป็นสันขึ้นมา มีกระดานสองข้างเขียนจำนวนเงินที่ใช้พนันเอาไว้ ไม่นานก็รู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะก็ได้เงินไป ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องจ่ายเงิน คิเมร่าดูสนใจการแข่งครั้งนี้พอสมควร แต่ฉันไม่ ฉันส่ายหัวกับการกระทำสิ้นคิดที่ทำให้ผู้ติดตามของตัวเองเจ็บฟรีและตั้งท่าจะเดินออกไป ถ้าไม่มีเสียงขัดขึ้นก่อน
"เฮ้ย! ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ที่มีผู้ติดตามเป็นสิงโต น่าสนใจดีนี่ ท้าประลองกับฉันมั้ยล่ะ" นักรบชุดเกราะคนหนึ่งแทรกตัวออกจากฝูงชน มายืนอยู่กลางวงล้อมชี้มาที่ฉันและยิ้มอย่างอวดดี ให้ตายเถอะ เกลียดคนแบบนี้ชะมัด
"ไม่สน ลาก่อน" ฉันตอบกลับไป หันหลังเตรียมเดินออกไป แต่ชายคนนั้นก็ใช้คำพูดที่ทำให้ฉันชะงักอยู่กับที่
"ผู้ติดตามแกอ่อนแอขนาดที่ไม่กล้าสู้กับมังกรของฉันเลยรึไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ฉันตวัดสายตาเย็นเยียบใส่ ถ้าไม่ติดที่คนเยอะฉันคงจะฆ่ามันไปแล้ว คิเมร่าที่อยู่ข้างๆ ฉันส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆ อย่างสะกดกลั้น ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า คิเมร่าต้องการจัดการกับศัตรูตรงหน้า
"ถ้าอยากสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ ก็เดินออกไปกลางสนนามได้เลย" ฉันหันไปอนุญาติกับมัน ลูกรักของฉันก้าวไปกลางสนามอย่างไม่รีรอ แยกเขี้ยวขู่จนผู้เล่นบริเวณนั้นผงะออกไปด้วยความกลัว มังกรของชายคนนั้นก็ไม่น้อยหน้า มันบินออกมาและพ่นไฟไปรอบๆ ราวกับประกาศอาณาเขต เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการท้าพนันดูเหมือนจะเข้าหน้าที่ จึงส่งสัญญาณให้ผู้เล่นคนอื่นออกไปนอกระยะที่กำหนดไว้
ถ้าแปลดูแล้ว ปีศาจแห่งโลกันต์ คงหมายถึงคิเมร่า คำว่า เอาชนะ ก็หมายถึงทำให้มันยอมสยบ ความหมายมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคำว่า วีรชนผู้ถูกสาป แต่เอาเถอะ ฉันก็ไม่ค่อยจะเจอโชคดีอยู่แล้ว ฉันกลัวว่าถ้าเข้าเมืองมาโดยมีอสุรกายสูงเท่าตึกเดินตามจะทำให้ผู้เล่นคนอื่นแตกตื่นเลยขอให้ลูกรักกลายร่างให้ตัวเล็กลงหน่อย เล็กที่ว่านี่คือเท่าสิงโตและอยู่ในรูปร่างของสิงโตขนทองแซมเงิน ดูดีกว่าเดิมเยอะ พูดกันตรงๆ นะ ฉันอยากสะสมอสุรกายในปกรณัมมากกว่าไปทำให้เทพโอลิมเปียนยอมรับซะอีก พวกเราออกมาจากวังใต้สมุทรของโพไซดอนโดยมาโผล่ที่ชายฝั่งนอกเมืองเริ่มต้น แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงประตูเมือง
เมืองผู้เล่นเริ่มต้นนับว่าน่าอยู่ทีเดียว มีการจัดตกแต่งสไตล์กรีกโบราณ ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ผู้คนส่วนใหญ่แต่งตัวด้วยชุดเกราะยกเว้นพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงขาย พวกนั้นจะใส่เป็นผ้าคลุมสีครีมเสียส่วนใหญ่ ชาวเมืองดูไม่แปลกใจเท่าที่ควรเมื่อเห็นสิงโตเดินตามฉันเข้ามา สิ่งแรกที่ฉันคิดจะทำหลังจากหาอะไรเติมพลังก็คือการเก็บระดับ ถึงแม้จะได้พลังแปลกๆ อย่างพลังของมนุษย์กึ่งเทพมา แต่ความจริงก็คือความจริง ฉันยังคงมีระดับแค่หนึ่งเท่านั้น เงินของผู้เล่นเริ่มต้นเพียงพอให้ฉันซื้อาหารระดับต่ำสำหรับคนเดียวเท่านั้น โชคยังดีที่แอมฟริไทรทีจะทำคิเมร่าหลุดออกจากกรง เธอก็ให้อาหารมันไปแล้ว และจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหิวอีก
ฉันเป็นคนที่ไม่เรื่องมากกับการกินจึงซื้อแค่ข้าวต้นถูกๆ นั่งกินข้างทาง ไม่อยากเชื่อใช่มั้ยล่ะว่าคนอย่างฉันเป็นถึงเจ้าหญิง ระหว่างที่ฉันกินคิเมร่าก็นอนหมอบกับพื้นไม่สร้างความวุ่นวาย จนกระทั่งได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นไม่ไกลนักและมีชาวบ้านกับกลุ่มผู้เล่นไปมุงดูด้วยความสนใจ คิเมร่าหันมามองฉันราวกับจะขออนุญาติ ที่จริงไม่ต้องขอฉันก็กะจะไปดูอยู่แล้ว หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุทันที
ท้าพนันการแข่งขันผู้ติดตามที่เป็นสัตว์อสูร
นั่นคือป้ายที่เด่นชัด ณ สถานที่ที่ฉันไปถึง ความหมายของมันตรงตัว เพราะบริเวณนั้นมีสัตว์อสูรสองตัวต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของของตัวที่ได้เปรียบกว่าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ในขณะที่อีกคนกัดฟันกรอดจนกรามนูนเป็นสันขึ้นมา มีกระดานสองข้างเขียนจำนวนเงินที่ใช้พนันเอาไว้ ไม่นานก็รู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะก็ได้เงินไป ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องจ่ายเงิน คิเมร่าดูสนใจการแข่งครั้งนี้พอสมควร แต่ฉันไม่ ฉันส่ายหัวกับการกระทำสิ้นคิดที่ทำให้ผู้ติดตามของตัวเองเจ็บฟรีและตั้งท่าจะเดินออกไป ถ้าไม่มีเสียงขัดขึ้นก่อน
"เฮ้ย! ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ที่มีผู้ติดตามเป็นสิงโต น่าสนใจดีนี่ ท้าประลองกับฉันมั้ยล่ะ" นักรบชุดเกราะคนหนึ่งแทรกตัวออกจากฝูงชน มายืนอยู่กลางวงล้อมชี้มาที่ฉันและยิ้มอย่างอวดดี ให้ตายเถอะ เกลียดคนแบบนี้ชะมัด
"ไม่สน ลาก่อน" ฉันตอบกลับไป หันหลังเตรียมเดินออกไป แต่ชายคนนั้นก็ใช้คำพูดที่ทำให้ฉันชะงักอยู่กับที่
"ผู้ติดตามแกอ่อนแอขนาดที่ไม่กล้าสู้กับมังกรของฉันเลยรึไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ฉันตวัดสายตาเย็นเยียบใส่ ถ้าไม่ติดที่คนเยอะฉันคงจะฆ่ามันไปแล้ว คิเมร่าที่อยู่ข้างๆ ฉันส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆ อย่างสะกดกลั้น ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า คิเมร่าต้องการจัดการกับศัตรูตรงหน้า
"ถ้าอยากสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ ก็เดินออกไปกลางสนนามได้เลย" ฉันหันไปอนุญาติกับมัน ลูกรักของฉันก้าวไปกลางสนามอย่างไม่รีรอ แยกเขี้ยวขู่จนผู้เล่นบริเวณนั้นผงะออกไปด้วยความกลัว มังกรของชายคนนั้นก็ไม่น้อยหน้า มันบินออกมาและพ่นไฟไปรอบๆ ราวกับประกาศอาณาเขต เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการท้าพนันดูเหมือนจะเข้าหน้าที่ จึงส่งสัญญาณให้ผู้เล่นคนอื่นออกไปนอกระยะที่กำหนดไว้
"เริ่มการท้าพนันได้!!"
มังกรตัวนั้นพ่นไฟออกมาจนพื้นบริเวณนั้นถึงกับละลาย ยิ่งเป็นเป้าหมายคงไม่ต้องพูดถึง อาจจะกลายเป็นจุลได้เลย ฉันลืมบอกอะไรไปรึเปล่านะ.... คิเมร่าสามารถทนไฟของนรกได้ เพราะฉะนั้นไฟแค่นี้คงไม่ระคายผิวมันด้วยซ้ำ เป้าหมายที่ฉันพูดถึงคงต้องเว้นลูกรักฉันไว้สักตัว เปลวไฟยังคงห่อหุ้มร่างของคิเมร่า ชายผู้ท้าพนันกับฉันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แค่นยิ้มให้ฉันอย่างดูถูก ฉันเพ่งสมาธิจ้องเข้าไปในเปลวไฟและออกคำสั่งอย่างใจเย็น
"หนูน้อย จัดการอย่าให้เหลือซาก"
ทันใดนั้นร่างของอสุรกายที่มีศีรษะเป็นสิงโต และมีหางเป็นงูก็กระโจนออกมาจากเปลวเพลิง นัยน์ตาของมันวาววับจับจ้องผู้คนราวกับเป็นอาหารอันโอชะ เขี้ยวของมันยาวเลยปากออกมา บริเวณที่พิษหยดลงมาจากเขี้ยวจะละลาย ควันและเสียงดังฉ่า! สามารถเตือนได้อย่างดีว่าการแตะโดนพิษคงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าไหร่นัก เจ้ามังกรผงะไปด้วยความตกใจ มันอาจรับรู้ถึงความต่างของพลังแต่เจ้านายไม่ยอม ชายคนนั้นฟาดแส้ไปที่หลังของมันอย่างแรงจนผู้ติดตามที่น่าสงสารแผดเสียงด้วยความเจ็บปวด แววตาของมันจ้องมาที่พวกเราด้วยความเคียดแค้น
ฉันดีดนิ้วเพื่อเรียกความสนใจ คิเมร่าละสายตามามองที่ฉันด้งยสีหน้างุนงง ไม่แปลกหรอก เพราะนอกจากกระตุ้นแล้วฉันก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งอะไรอีก ฉันลูบหัวมันอย่างเอ็นดู เปลวเพลิงนรกที่ล้อมรอบไม่อาจทำอันตรายฉันได้ พิษเหล่านั้นก็เช่นกัน ฉันก้มลงกระซิบมันด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"มาเล่นเกมกันเถอะ ถ้าฆ่าพวกนั้นได้ภายในสามนาที เราจะไปเดินป่ากัน"
ป่า เป็นอะไรที่คิเมร่านึกถึงเป็นอันดับแรกหากต้องการพักผ่อน เพราะสาเหตุใดนั้นฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าดูจากนิสัย(ตะกละ)ของมันแล้ว น่าจะเป็นเพราะในป่ามีสัตว์อสูรเยอะ และในสายตาของมันสัตว์อสูร = อาหาร มันคำรามในลำคอเป็นเชิงตอบรับ แม้ตอนนี้ขนาดตัวจะยังเท่าเดิมอยู่ แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปมากทำให้คิเมร่าเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่ไม่ควรเข้าใกล้ทันที ด้วยอะไรบางอย่างมนุษย์ที่มุงดูอยู่ไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะพวกเขาได้พบเห็นตัวประหลาดจนเป็นเรื่องปกติ หรืออาจเพราะผลข้างเคียงของการกลายร่างทำให้สิ่งที่คนอื่นมองเห็นนั้นบิดเบือนจากความเป็นจริง ที่ฉันรู้เพราะรู้สึกถึงไอเวทมนตร์ที่ห่อหุ้มตัวคิเมร่าเอาไว้ตั้งแต่กลายร่าง ผู้คนรอบนอกอาจมองเห็นเป็นสิงโตธรรมดาที่รอดจากเพลิงมังกรได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ไม่ใช่สำหรับชายผู้ท้าพนัน สังเกตุได้จากการที่เขามองพวกเราด้วยสายตาหวาดผวา ขาสั่นและพยายามรักษาระยะห่างจากคิเมร่าเอาไว้ ลูกรักของฉันเดินคุมเชิงอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าจะถูกไฟจากศัตรูเผาแล้วเผาอีกก็ตาม เพื่อไม่ให้เสียเวลาพวกเราทั้งคู่จึงแยกกันจัดการ คิเมร่าจัดการกับมังกร ส่วนฉันจัดการกับชายชุดเกราะ
น่าหงุดหงิดที่สุด!!
ฉันตั้งใจจะวิเคราะห์การต่อสู้ระหว่างผู้ติดตามของฉันกับของอีกคน แต่คิเมร่าดันใจร้อนพุ่งเข้าไปตะครุบมังกรตัวนั้นและฝังเขี้ยวยาวๆ ลงไปที่คอทันที พิษส่งตรงสดใหม่จากทาร์ทาร์รัสถูกส่งผ่านกระแสเลือดอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียวหนูหน้อยของฉันก็ชนะโดยสมบูรณ์.... จากการวิเคราะห์ ฉันรู้แค่ว่าเขี้ยวของคิเมร่าคมเอามากๆ และฉันก็ไม่ควรอยู่ใกล้มัน อย่างที่สองคือพิษสีดำจากคิเมร่า ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำไปวางใกล้โค้ก เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหยิบผิดล่ะก็..... แค่คิดก็สยองแล้ว อย่างไรก็ตามทั้งสองข้อที่ฉันพูดมานี้ไม่จำเป็นต้องเห็นมันต่อสู้ก็รู้อยู่แล้ว เรียกง่ายๆ คือ ฉัน ไม่ ได้ อะไร จากการต่อสู้ครั้งนี้แม้แต่น้อย
ถ้านับกันตามจริง การพนันควรจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เพราะค่าเงินที่ลงพนันนั้นอยู่ฝ่ายตรงข้ามเสียส่วนใหญ่ทำให้กรรมการลังเลที่จะจบการท้าเพียงเท่านี้ สรุปแล้วก็คือ การต่อสู้ของฉันเป็นตัวตัดสินนั่นเอง ฉันออกจะปวดหัวหน่อย เพราะระดับของฉันยังอยู่ที่หนึ่ง หนึ่งแบบสมบูรณ์ไม่ได้สังหารสัตว์อสูรสักตัว ส่วนไอ้กล้ามล่ำบึ้กที่หน้าแตกไปตั้งแต่มังกรของมันถูกคิเมร่าของฉันงาบนั้นอาจจะมีระดับมากกว่าฉันสักร้อยสองร้อยระดับ เผลอๆ อาจจะห่างกันเป็นคลาสด้วยซ้ำ คนสวยเครียด!
"แก....กว่าฉันจะจับมันได้รู้มั้ยว่าลำบากขนาดไหน ผู้ติดตามแกน่าสนใจดีนี่ ฉันจะฆ่าแกแล้วจะจับมันมาแทนไอ้มังกรเฮงซวยนั่นแล้วกัน หึ ระดับแค่หนึ่ง แกไม่มีทางโจมตีโดนฉันด้วยซ้ำ"
เออ ตอกย้ำเข้าไป ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรเพียงแค่ขึ้นลูกธนูเตรียมไว้ ใช้ระดับในเกมสู้ไม่ได้ก็เอาฝีมือล้วนๆ นี่ล่ะ ชายคนนั้นเรียกดาบยักา์มาอยู่ในมือ ยักษ์ที่ว่านี่คือดาบยาวสองเมตร ถ้าเป็นน้ำหนักในโลกจริง เชื่อสิ หมอนั่นยกไม่ไหวหรอก แต่เมื่ออยู่ในเกมมันก็อีกเรื่อง ฉันยิงธนูดอกแรกออกไปเพื่อลองเชิง มันตวัดดาบฟันลูกธนูของฉันหักสองท่อนและพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันสะพายธนูไว้ตามเดิม กระโดดหลบฉากออกมา กระชับมีดสั้นในมือ พื้นตรงที่ฉันเคยยืนอยู่บัดนี้กลายเป็นหลุมลึกพอสมควรโดยมีชายชุดเกราะยืนใช้ดาบค้ำเอาไว้
"คืดว่าธนูของผู้เล่นเริ่มต้นจะทำอะไรฉันได้รึไง จะบอกอะไรดีๆ ให้นะ ดาบเล่มนี้น่ะเป็นดาบที่ระดับสูงที่สุดในเมืองเริ่มต้น ดาบระดับ B ยังไงล่ะ"
ไม่อวดสักนาทีมันก็ไม่ตายหรอกนะ พล่ามอยู่ได้ ฉันคิดในใจ แต่คำว่า ระดับ มันสะกิดใจฉัน พร้อมกับที่แผนในหัวของฉันเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ฉันควงมีดในมือและกระโจนเข้าไปสู้ในระยะประชิด หมอนั่นผงะไปเล็กน้อยก่อนวาดดาบใส่ฉัน ฉันก้มลงเล็กน้อย ดาบยักษ์หวดผ่านศีรษะของฉันไปอย่างฉิวเฉียด ฉันเตะตัดขาเพื่อให้เสียการทรงตัวและตวัดขาเตะเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มๆ เขาเซไปด้านหลัง ใช้ดาบค้ำเอาไว้ เลือดกบปากมันมาทางฉันอย่างเอาเรื่อง ข้อดีของฉันคือการใช้มีดสั้นทำให้มีความคล่องตัวสูง ส่วนดาบยักษ์แม้จะมีพลังโจมตีสูงแต่การเคลื่อนไหวจะช้ากว่ากันหลายขั้น มันเป็นศาสตร์เล็กน้อยที่ต้องรู้หากจะเข้าสู่สนามรบ เท่าที่ดู หมอนั่นมีระดับที่สูงแต่ความสามารถพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำมาก ถึงอย่างนั้นการโจมตีของผู้เล่นระดับหนึ่งก็โจมตีรุนแรงแค่ทางกายภาพเท่านั้น เลือดในเกมคงไม่ลดเท่าไหร่ ชายชุดเกราะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง เขาตั้งดาบขึ้นและฟันลงมา
มันควรจะเป็นท่าที่ไร้ประโยชน์เพราะฉันไม่ได้อยู่ในรัศมีของดาบ แต่ความผิดปกติก็เกิดขึ้น เมื่อพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและกลายเป็นรอยแยก ใต้รอยแยกนั้นมีลาวาเดือดปุดๆ พวกยพุ่งขึ้นมาชนิดที่ว่าโดนนิดเดียวคงกลายเป็นแสงได้เลย รอยแยกกว้างมาเรื่อยๆ จนใกล้ถึงฉัน แต่ฉันกระโดดหลบออกไปทัน ถ้าช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียวคงกลายเป็นมนุษย์ย่างไปแล้ว ลาวายังคงแตกแขนงต่อไปเรื่อยๆ จนผู้ที่คอยชมการท้าพนันเริ่มได้รับลูกหลงกลายเป็นแสงไปทีละคนสองคน ฉันไม่มีความสามารถอะไรที่เกี่ยวกับน้ำหรือธาตุที่ชนะไฟสักอย่าง พึ่งเข้าเกมมาก็โดนแจ็คพ็อตแบบนี้แล้ว ถ้ามีเวลาพอให้ฝึกเวทสายวารีก็คงสู้ได้อยู่หรอก เดี๋ยวนะ....น้ำ
ธิดาแห่งโพไซดอน
นี่เป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัว ศัตรูของฉันยังคงง่วนกับการบังคับทิศทางอยู่ คงยังไม่เคยใช้เวทมนตร์บทนี้ เป็นโชคดีของฉันเพราะตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่กับเวทมนตร์ที่พึ่งปล่อยออกมาโดยลืมคู่ต่อสู้อย่างฉันไปเสียสนิท ฉันเลื่อนหน้าต่างระบบเพื่อหาเวทมนตร์หรือความสามารถเกี่ยวกับตำแหน่งธิดาแห่งสมุทรเทพทันที
สามารถสื่อสารกับสัตว์ประเภทมาได้ - ม้ามันช่วยดับลาวาได้มั้ยล่ะ ไม่ผ่าน!
หายใจใต้น้ำได้ - หายใจใต้น้ำได้ แต่แค่โดนลาวาก็ไม่รอดแล้ว ไม่ผ่าน!
เป็นมิตรกับสัตว์น้ำทุกชนิด - ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ผ่าน!
สามารถมองเห็นพิกัดใต้น้ำได้ - ไม่ได้อยากเป็นโจรสลัด ไอ้เกรียน ไม่ผ่าน!
สามารถควบคุมของเหลวทุกชนิดได้ - อันนี้น่าสน ลาวาถึงจะร้อนไปหน่อย แต่ก็เป็นของเหลว คุ้มที่จะเสียง
ความสามารถของธิดาแห่งโพไซดอนมีมากพอจะทำให้ฉันตาลสยได้เลย แต่โชคดีที่ความสามารถที่ฉันต้องการอยู่ในลิสต์ต้นๆ จึงสามารถหาได้เร็วพอที่จะจัดการมัน ตอนนี้ชายชุดเกราะรู้สึกตัวแล้วว่ายังมีศัตรูให้จัดการอยู่ ซึ่งก็คือฉัน มันเบนความสนใจมาที่ฉันอีกครั้งพร้อมลาวามหาภัย ฉันมีทางเลือกไม่มากนักถ้าทำได้ก็ชนะ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ THE END ฉันหลับตาลง จินตนาการให้ลาวาลอยสูงขึ้น สูงจากพื้นดินให้ลาวาทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของฉัน และค่อยๆ เพ่งสมาธิให้ลาวาทั้งหมดล้อมมันเอาไว้ ความหวังของฉันเลือนลางลงไปเรื่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าที่เพ่งสมาธิอยู่นั้นได้ผลจริงหรือไม่ จะลืมตาก็ไม่ได้เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะเสียสมาธิและทำให้สูยเสียการควบคุม ฉันมีความรู้สึกว่าร่างกายของฉันร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนจะระเบิดอยู่แล้ว สติของฉันใกล้จะหลุดออกไปเต็มที ฉันกัดปากเพื่อคงสติไว้จนรู้สึกถึงรสเลือดเค็มๆ ที่ไหลออกมา ฉันใช้พลังเฮือกสุดท้ายสั่งให้ลาวาปะทุขึ้นโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ชายชุดเกราะคนเดียวเท่านั้น ทันทีที่ฉันคลายการควบคุมทั้งหมด เปลือกตาก็หนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตามาดูผลงานของตัวเองได้ ร่างกายอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นราวกับกระดูกทั้งหมดถูกลาวาเหล่านั้นละลายไป แถบเลือดของฉันกะพริบถี่เตือนให้รู้ถึงค่าเลือดที่ลดลงจนอยู่ในระดับอันตราย ความรู้สึกสุดท้ายของฉันก็คือ มีอะไรบางอย่างกระชากฉันขึ้นไปบนอากาศและสติของฉันก็ดับวูบไป
"แก....กว่าฉันจะจับมันได้รู้มั้ยว่าลำบากขนาดไหน ผู้ติดตามแกน่าสนใจดีนี่ ฉันจะฆ่าแกแล้วจะจับมันมาแทนไอ้มังกรเฮงซวยนั่นแล้วกัน หึ ระดับแค่หนึ่ง แกไม่มีทางโจมตีโดนฉันด้วยซ้ำ"
เออ ตอกย้ำเข้าไป ฉันไม่ได้ตอบโต้อะไรเพียงแค่ขึ้นลูกธนูเตรียมไว้ ใช้ระดับในเกมสู้ไม่ได้ก็เอาฝีมือล้วนๆ นี่ล่ะ ชายคนนั้นเรียกดาบยักา์มาอยู่ในมือ ยักษ์ที่ว่านี่คือดาบยาวสองเมตร ถ้าเป็นน้ำหนักในโลกจริง เชื่อสิ หมอนั่นยกไม่ไหวหรอก แต่เมื่ออยู่ในเกมมันก็อีกเรื่อง ฉันยิงธนูดอกแรกออกไปเพื่อลองเชิง มันตวัดดาบฟันลูกธนูของฉันหักสองท่อนและพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันสะพายธนูไว้ตามเดิม กระโดดหลบฉากออกมา กระชับมีดสั้นในมือ พื้นตรงที่ฉันเคยยืนอยู่บัดนี้กลายเป็นหลุมลึกพอสมควรโดยมีชายชุดเกราะยืนใช้ดาบค้ำเอาไว้
"คืดว่าธนูของผู้เล่นเริ่มต้นจะทำอะไรฉันได้รึไง จะบอกอะไรดีๆ ให้นะ ดาบเล่มนี้น่ะเป็นดาบที่ระดับสูงที่สุดในเมืองเริ่มต้น ดาบระดับ B ยังไงล่ะ"
ไม่อวดสักนาทีมันก็ไม่ตายหรอกนะ พล่ามอยู่ได้ ฉันคิดในใจ แต่คำว่า ระดับ มันสะกิดใจฉัน พร้อมกับที่แผนในหัวของฉันเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ฉันควงมีดในมือและกระโจนเข้าไปสู้ในระยะประชิด หมอนั่นผงะไปเล็กน้อยก่อนวาดดาบใส่ฉัน ฉันก้มลงเล็กน้อย ดาบยักษ์หวดผ่านศีรษะของฉันไปอย่างฉิวเฉียด ฉันเตะตัดขาเพื่อให้เสียการทรงตัวและตวัดขาเตะเข้าที่ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มๆ เขาเซไปด้านหลัง ใช้ดาบค้ำเอาไว้ เลือดกบปากมันมาทางฉันอย่างเอาเรื่อง ข้อดีของฉันคือการใช้มีดสั้นทำให้มีความคล่องตัวสูง ส่วนดาบยักษ์แม้จะมีพลังโจมตีสูงแต่การเคลื่อนไหวจะช้ากว่ากันหลายขั้น มันเป็นศาสตร์เล็กน้อยที่ต้องรู้หากจะเข้าสู่สนามรบ เท่าที่ดู หมอนั่นมีระดับที่สูงแต่ความสามารถพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำมาก ถึงอย่างนั้นการโจมตีของผู้เล่นระดับหนึ่งก็โจมตีรุนแรงแค่ทางกายภาพเท่านั้น เลือดในเกมคงไม่ลดเท่าไหร่ ชายชุดเกราะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง เขาตั้งดาบขึ้นและฟันลงมา
มันควรจะเป็นท่าที่ไร้ประโยชน์เพราะฉันไม่ได้อยู่ในรัศมีของดาบ แต่ความผิดปกติก็เกิดขึ้น เมื่อพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและกลายเป็นรอยแยก ใต้รอยแยกนั้นมีลาวาเดือดปุดๆ พวกยพุ่งขึ้นมาชนิดที่ว่าโดนนิดเดียวคงกลายเป็นแสงได้เลย รอยแยกกว้างมาเรื่อยๆ จนใกล้ถึงฉัน แต่ฉันกระโดดหลบออกไปทัน ถ้าช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียวคงกลายเป็นมนุษย์ย่างไปแล้ว ลาวายังคงแตกแขนงต่อไปเรื่อยๆ จนผู้ที่คอยชมการท้าพนันเริ่มได้รับลูกหลงกลายเป็นแสงไปทีละคนสองคน ฉันไม่มีความสามารถอะไรที่เกี่ยวกับน้ำหรือธาตุที่ชนะไฟสักอย่าง พึ่งเข้าเกมมาก็โดนแจ็คพ็อตแบบนี้แล้ว ถ้ามีเวลาพอให้ฝึกเวทสายวารีก็คงสู้ได้อยู่หรอก เดี๋ยวนะ....น้ำ
ธิดาแห่งโพไซดอน
นี่เป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัว ศัตรูของฉันยังคงง่วนกับการบังคับทิศทางอยู่ คงยังไม่เคยใช้เวทมนตร์บทนี้ เป็นโชคดีของฉันเพราะตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่กับเวทมนตร์ที่พึ่งปล่อยออกมาโดยลืมคู่ต่อสู้อย่างฉันไปเสียสนิท ฉันเลื่อนหน้าต่างระบบเพื่อหาเวทมนตร์หรือความสามารถเกี่ยวกับตำแหน่งธิดาแห่งสมุทรเทพทันที
สามารถสื่อสารกับสัตว์ประเภทมาได้ - ม้ามันช่วยดับลาวาได้มั้ยล่ะ ไม่ผ่าน!
หายใจใต้น้ำได้ - หายใจใต้น้ำได้ แต่แค่โดนลาวาก็ไม่รอดแล้ว ไม่ผ่าน!
เป็นมิตรกับสัตว์น้ำทุกชนิด - ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ผ่าน!
สามารถมองเห็นพิกัดใต้น้ำได้ - ไม่ได้อยากเป็นโจรสลัด ไอ้เกรียน ไม่ผ่าน!
สามารถควบคุมของเหลวทุกชนิดได้ - อันนี้น่าสน ลาวาถึงจะร้อนไปหน่อย แต่ก็เป็นของเหลว คุ้มที่จะเสียง
ความสามารถของธิดาแห่งโพไซดอนมีมากพอจะทำให้ฉันตาลสยได้เลย แต่โชคดีที่ความสามารถที่ฉันต้องการอยู่ในลิสต์ต้นๆ จึงสามารถหาได้เร็วพอที่จะจัดการมัน ตอนนี้ชายชุดเกราะรู้สึกตัวแล้วว่ายังมีศัตรูให้จัดการอยู่ ซึ่งก็คือฉัน มันเบนความสนใจมาที่ฉันอีกครั้งพร้อมลาวามหาภัย ฉันมีทางเลือกไม่มากนักถ้าทำได้ก็ชนะ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ THE END ฉันหลับตาลง จินตนาการให้ลาวาลอยสูงขึ้น สูงจากพื้นดินให้ลาวาทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของฉัน และค่อยๆ เพ่งสมาธิให้ลาวาทั้งหมดล้อมมันเอาไว้ ความหวังของฉันเลือนลางลงไปเรื่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าที่เพ่งสมาธิอยู่นั้นได้ผลจริงหรือไม่ จะลืมตาก็ไม่ได้เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะเสียสมาธิและทำให้สูยเสียการควบคุม ฉันมีความรู้สึกว่าร่างกายของฉันร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนจะระเบิดอยู่แล้ว สติของฉันใกล้จะหลุดออกไปเต็มที ฉันกัดปากเพื่อคงสติไว้จนรู้สึกถึงรสเลือดเค็มๆ ที่ไหลออกมา ฉันใช้พลังเฮือกสุดท้ายสั่งให้ลาวาปะทุขึ้นโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ชายชุดเกราะคนเดียวเท่านั้น ทันทีที่ฉันคลายการควบคุมทั้งหมด เปลือกตาก็หนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตามาดูผลงานของตัวเองได้ ร่างกายอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นราวกับกระดูกทั้งหมดถูกลาวาเหล่านั้นละลายไป แถบเลือดของฉันกะพริบถี่เตือนให้รู้ถึงค่าเลือดที่ลดลงจนอยู่ในระดับอันตราย ความรู้สึกสุดท้ายของฉันก็คือ มีอะไรบางอย่างกระชากฉันขึ้นไปบนอากาศและสติของฉันก็ดับวูบไป
[Writer Part]
ลาวาทะลักขึ้นมาเหนือพื้นดินอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นจำนวนมากที่หนีไม่ทันกลายเป็นแสงไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ อีกเพียงนิดเดียวร่างไร้สติของเรย์นาก็จะถูกลาวาเหล่านั้นโถมเข้าใส่ คิเมร่าเมื่อเห็นว่าได้บรรลุตามคำสั่งที่ห้ามแทรกแซงการต่อสู้ก็กระโจนเข้ามารับร่างของเธอไว้และชิ่งหนีไปในขณะที่ฝูงชนกำลังวุ่นวายจนไม่มีใครสนใจ
คิเมร่าพาผู้เป็นนายหลบไปอยู่ในป่าแถบชานเมือง ความเร็วของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิทำให้ไม่มีใครมองเห็นแม้แต่เงา จะรู้สึกก็เพียงแรงลมที่หอบมาวูบหนึ่งแล้วจากไป ก็จริงอยู่ที่เกมนี้ไม่มีแถบจำกัดพลังเวทมนตร์เหมือนเกมอื่น แต่ละคนจึงใช้เวทมนตร์ได้มากน้อยต่างกันตามความพร้อมของร่างกายและจิตใจ ถึงกระนั้นเรย์นาที่เพรียบพร้อมกว่าคนอื่นทั้งสองด้านก็ยังได้รับผลค้างเขียงที่รุนแรงเพียงนี้ ถ้าเรย์นาตัดสินใจยกเลิกเวทมนตร์ช้ากว่านี้อีกสักห้าวินาที ป่านนี้ร่างของเธอคงไหม้เป็นจุลไปแล้ว สังเกตุได้จากควันที่ลอยออกมาจากตัว และรอยขี้เถ้าเป็นปื้นบนใบหน้า ไอร้อนแผ่ออกมาจนคิเมร่ารู้สึกได้ มันไม่รู่ว่าเจ้านายเป็นอะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าควรทำอะไร
มันคาบคอเสื้อของเรย์นาและมุ่งหน้าไปยังลำธารที่ใกล้ที่สุด ด้วยความสูงที่กลายร่างแล้วทำให้ใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก ตัวของเรย์นาร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนแถบเลือดกระพริบถี่ยิ่งขึ้น คิเมร่าจึงตัดสินใจปล่อยร่างของเธอลงสู่แม่น้ำเพื่อระบายความร้อนทันที ลำธารแห่งนี้ลึกพอสมควร อย่างน้อยก็ลึกพอให้เรย์นาจมหายไปได้เลย คิเมร่าสามารถรับรู้ได้ถึงพันธสัญญาที่เชื่อมโยงระหว่างเจ้านายและผู้ติดตามไว้ จึงรู้ว่าผู้เป็นนายปลอดภัยแล้ว ตราพันธสัญญาถูกจารึกไว้บริเวณลำคอของมัน ส่วนเรย์นานั้นถูกไว้ที่เอว การดูว่าใครเป็นผู้ติดตามของใคร สามารถดูได้จากการเทียบรอยพันธสัญญา สำหรับเรย์นาที่จารึกไว้ที่จุดบอด คนอื่นจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอมีผู้ติดตามเป็นใคร นอกเสียจากว่าเห็นเธอและคิเมร่าอยู่ด้วยกันเหมือนวันนี้ ซึ่งใช้แค่เซนส์ก็พอจะเดาได้
เมื่อไม่มีอะไรทำ มันจึงนอนรอแทน แต่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นนายจึงคืนร่างเป็นอสุรกายสูงสามสิบฟุตนั่งเฝ้าริมลำธารเพื่อประกาศอาณาเขตให้สัตว์อสูรแถวนี้รับรู้ และถ้ามีผู้เล่นเข้ามาในระยะ เสียงระบบที่บอกถึงระดับก็จะดังขึ้น ถือว่ากันได้้ทั้งคนทั้งสัตว์เลยทีเดียว
ทางด้านเรย์นาที่อยู่ใต้น้ำก็เริ่มดีขึ้น แถบเลือดเลิกกะพริบซึ่งหมายความว่าเธอปลอดภัยแล้ว น้ำสามารถลดความร้อนในตัวของเธอได้ แต่ที่คิเมร่าคิดไม่ถึงก็คือ แม้จะลดความร้อนในตัวได้ก็ไม่ได้รวมถึงว่าจะฟื้นเลือดได้ การที่เรย์นาปลอดภัยเมื่ออยู่ในน้ำจึงมาจากสถานะพิเศษ....ธิดาแห่งสมุทรเทพ แถบเลือดถูกเติมขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็ม ส่วนเวทมนตร์ในตัวของเรย์นาก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นพอให้พ้นขีดอันตราย ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ร่างกายของเรย์นาก็หายดี เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้ตนอยู่ใต้น้ำ ความสามารถในการหายใจใต้น้ำมีประโยชน์ก็ตอนนี้ ถ้าหากไม่มีความสามารถนี้ เรย์นาคงกลายเป็นแสงตั้งแต่ห้านาทีแรกไปแล้ว และอีกความสามารถหนึ่งที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์แต่กลับมีประโยชน์ในเวลานี้ก็คือ การเป็นมิตรกับสัตว์น้ำ ตอนที่เรย์นาไม่สามารถป้องกันตัวได้ มีโอกาสสูงที่จะถูกสัตว์อสูรโจมตี แต่มันก็ไม่ได้ทำ แน่นอนก็เพราะสถานะติดตัวของเธอนั่นล่ะ
เรย์นายังไม่อยากกลับขึ้นข้างบน ในน้ำทำให้เธอรู้สึกสงบและทรงพลังอย่างประหลาด มาถึงตอนนี้เรย์นาเข้าใจแล้วว่าทำไมระดับในเกมถึงสำคัญนัก เกมไม่ใช่ชีวิตจริงที่ใครมีความสามารถก็ชนะได้ แต่เกมเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ต้องอาศัยทั้งพลัง เวลาและอุปกรณ์เสริม ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่เมื่อมาเจอกับเซียนในเกมที่สามารถใช้แต่ละสกิลได้อย่างคล่องแคล่งและเหมาะสม ต่อให้ในชีวิตจริงคนๆ นั้นจะไร้ความสามารถอย่างไร ในเกมเขาก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สบาย เธอยังนับว่าโชคดีที่เจอกับพวกมีสกิลเก่ง แต่ไม่รู้จังหวะและไม่สามารถควบคุมพลังได้จึงสามารถรอดจากการต่อสู้นี้มาได้ คืดไปเรื่อยๆ ก็มาหยุดลลงที่เรื่องสาเหตุการต่อสู้แล้วถึงพบว่า การต่อสู้ครั้งนี้คือการพนันด้วยเงินมากพอดู คนส่วนใหญ่เลือกลงพนันข้างของศัตรู มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ลงว่าเธอจะชนะ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้เธอจึงได้เงินไปมากพอที่จะเหมาอาวุธของเมืองผู้เล่นเริ่มต้นได้หมดทุกร้านเลยทีเดียว แต่ติดตรงที่ว่ากรรมการที่ตัดสินอาจโดนลูกหลงจากลาวาไปแล้ว การต่อสู้นี้จึงมีโอกาสที่จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อเปิดหน้าต่างระบบมาเช็คยอดงินก็พบว่าไม่ใช่
เงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญถูกโอนเข้ามาในหน้าต่างระบบ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับผู้เล่นเริ่มต้น ถึงจะเป็นการพนันที่จัดโดยผู้เล่น แต่ทางระบบจะจัดการโอนเงินให้ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเหนื่ยฟรี ต่อให้ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นผู้ชนะ แต่ระบบที่สังเกตุการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาย่อมรู้ดีว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ อันที่จริงแล้วระบบโอนเงินจำนวนนี้เข้ามาให้ทันทีที่คิเมร่าจัดการมังกรตัวนั้นได้แล้ว ส่วนเรื่องที่เรย์นาและชายนักรบคนนั้นต่อสู้กันเป็นเพียงเพราะความไม่พอใจส่วนตัว ต่อให้การต่อสู้ครั้งนี้เรย์นาจะแพ้แต่ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเงินหนึ่งหมื่นเหรียญนี้อยู่ดี
การมารู้สึกตัวใต้น้ำอีกครั้งหลังจากหมดสติทำให้เรย์นานึกถึงตอนแรกที่เข้าเกมมาแล้วถูกคราเคนพาไปยังวังใต้สมุทร อาจรู้สึกเหมือนผ่านมานานแล้ว แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านั้นยังผ่านมาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ แค่วันเดียวเธอยังสามารถหาเรื่องได้ขนาดนี้ ถ้าเล่นนานๆ เข้าคงไม่มีใครไม่รู้จักเธอแน่ ในทางลบน่ะนะ เรย์นาเริ่มชอบที่จะอยู่ในน้ำ เธอสามารถมองพิกัดต่างๆ และแยกแยะประเภทหรือความเร็วของสายน้ำได้อย่างแม่นยำ แต่จะอยู่ในน้ำนานนักก็ไม่ได้ เรย์นาไม่สามารถรู้ได้ว่าคิเมร่าาลูกรักของเธอจะไปก่อวีกรรมอะไรไว้ตอนเธอไม่อยู่หรือไม่ ดังนั้นการอยู่ด้วยกันจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ถึงแม้ว่าความจริงแล้วยิ่งเธออยู่ด้วย โอกาสเกิดปัญหามันจะยิ่งสูงขึ้นก็ตาม
เรย์นาทะยานขึ้นไปเหนือน้ำ ด้วยการใช้จิตบังคับน้ำและส่งตัวเธอขึ้นไปบนพื้นดิน การควบคุมน้ำสามารถทำได้อย่างง่ายๆ เรียกว่าง่ายมากๆ ดีกว่าเมื่อนึกถึงว่าประสบการณ์การใช้เวทมนตร์ของเรย์นาครั้งแรกคือใช้เวทสายวารีควบคุมน้ำ เพื่อบังคับลาวา ไม่ว่าใครก็คงยอมรับว่าเป็นวิธีที่พิสดารจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงทางเลือกเดียว ใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียว สายน้ำก็ส่งร่างของเรย์นาขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วก้พบว่าคิเมร่านอนเฝ้าอยู่ริมลำธารด้วยร่างจริง ร่างจริงๆ เลย ที่รวมสารพัดสัตว์เข้าด้วยกันและสูงสามสิบฟุต ลมหายใจของสัตว์นรกเป็นพิษ ข้อนี้เธอเข้าใจดี และเข้าใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าต้นไม้รอบๆ ตัวของมันเหี่ยวเฉาไปจำนวนมาก เรย์นารีบเพ่งจิตเพื่อสื่อสารกับลูกรักทันที คิเมร่าที่ถูกเรียกผ่านจิตใต้สำนึกอย่างกระทันหันก็ลืมตาโพลงขึ้นอย่างตกใจ คืนร่างเป็นสิงโตธรรมดาและเดินมาอ้อนผู้เป็นนายราวกับจนเป็นสุนัข แต่แทนที่เรย์นาจะสบายใจที่เห็นว่าคิเมร่าคืนร่างแล้ว กลับหน้าซีดเผือด พร้อมกับที่เข้าใจคำว่า...หายนะ...อย่างแท้จริง
ทางด้านเรย์นาที่อยู่ใต้น้ำก็เริ่มดีขึ้น แถบเลือดเลิกกะพริบซึ่งหมายความว่าเธอปลอดภัยแล้ว น้ำสามารถลดความร้อนในตัวของเธอได้ แต่ที่คิเมร่าคิดไม่ถึงก็คือ แม้จะลดความร้อนในตัวได้ก็ไม่ได้รวมถึงว่าจะฟื้นเลือดได้ การที่เรย์นาปลอดภัยเมื่ออยู่ในน้ำจึงมาจากสถานะพิเศษ....ธิดาแห่งสมุทรเทพ แถบเลือดถูกเติมขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็ม ส่วนเวทมนตร์ในตัวของเรย์นาก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นพอให้พ้นขีดอันตราย ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ร่างกายของเรย์นาก็หายดี เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้ตนอยู่ใต้น้ำ ความสามารถในการหายใจใต้น้ำมีประโยชน์ก็ตอนนี้ ถ้าหากไม่มีความสามารถนี้ เรย์นาคงกลายเป็นแสงตั้งแต่ห้านาทีแรกไปแล้ว และอีกความสามารถหนึ่งที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์แต่กลับมีประโยชน์ในเวลานี้ก็คือ การเป็นมิตรกับสัตว์น้ำ ตอนที่เรย์นาไม่สามารถป้องกันตัวได้ มีโอกาสสูงที่จะถูกสัตว์อสูรโจมตี แต่มันก็ไม่ได้ทำ แน่นอนก็เพราะสถานะติดตัวของเธอนั่นล่ะ
เรย์นายังไม่อยากกลับขึ้นข้างบน ในน้ำทำให้เธอรู้สึกสงบและทรงพลังอย่างประหลาด มาถึงตอนนี้เรย์นาเข้าใจแล้วว่าทำไมระดับในเกมถึงสำคัญนัก เกมไม่ใช่ชีวิตจริงที่ใครมีความสามารถก็ชนะได้ แต่เกมเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ต้องอาศัยทั้งพลัง เวลาและอุปกรณ์เสริม ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่เมื่อมาเจอกับเซียนในเกมที่สามารถใช้แต่ละสกิลได้อย่างคล่องแคล่งและเหมาะสม ต่อให้ในชีวิตจริงคนๆ นั้นจะไร้ความสามารถอย่างไร ในเกมเขาก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สบาย เธอยังนับว่าโชคดีที่เจอกับพวกมีสกิลเก่ง แต่ไม่รู้จังหวะและไม่สามารถควบคุมพลังได้จึงสามารถรอดจากการต่อสู้นี้มาได้ คืดไปเรื่อยๆ ก็มาหยุดลลงที่เรื่องสาเหตุการต่อสู้แล้วถึงพบว่า การต่อสู้ครั้งนี้คือการพนันด้วยเงินมากพอดู คนส่วนใหญ่เลือกลงพนันข้างของศัตรู มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ลงว่าเธอจะชนะ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้เธอจึงได้เงินไปมากพอที่จะเหมาอาวุธของเมืองผู้เล่นเริ่มต้นได้หมดทุกร้านเลยทีเดียว แต่ติดตรงที่ว่ากรรมการที่ตัดสินอาจโดนลูกหลงจากลาวาไปแล้ว การต่อสู้นี้จึงมีโอกาสที่จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อเปิดหน้าต่างระบบมาเช็คยอดงินก็พบว่าไม่ใช่
เงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญถูกโอนเข้ามาในหน้าต่างระบบ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับผู้เล่นเริ่มต้น ถึงจะเป็นการพนันที่จัดโดยผู้เล่น แต่ทางระบบจะจัดการโอนเงินให้ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเหนื่ยฟรี ต่อให้ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นผู้ชนะ แต่ระบบที่สังเกตุการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาย่อมรู้ดีว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ อันที่จริงแล้วระบบโอนเงินจำนวนนี้เข้ามาให้ทันทีที่คิเมร่าจัดการมังกรตัวนั้นได้แล้ว ส่วนเรื่องที่เรย์นาและชายนักรบคนนั้นต่อสู้กันเป็นเพียงเพราะความไม่พอใจส่วนตัว ต่อให้การต่อสู้ครั้งนี้เรย์นาจะแพ้แต่ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเงินหนึ่งหมื่นเหรียญนี้อยู่ดี
การมารู้สึกตัวใต้น้ำอีกครั้งหลังจากหมดสติทำให้เรย์นานึกถึงตอนแรกที่เข้าเกมมาแล้วถูกคราเคนพาไปยังวังใต้สมุทร อาจรู้สึกเหมือนผ่านมานานแล้ว แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านั้นยังผ่านมาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ แค่วันเดียวเธอยังสามารถหาเรื่องได้ขนาดนี้ ถ้าเล่นนานๆ เข้าคงไม่มีใครไม่รู้จักเธอแน่ ในทางลบน่ะนะ เรย์นาเริ่มชอบที่จะอยู่ในน้ำ เธอสามารถมองพิกัดต่างๆ และแยกแยะประเภทหรือความเร็วของสายน้ำได้อย่างแม่นยำ แต่จะอยู่ในน้ำนานนักก็ไม่ได้ เรย์นาไม่สามารถรู้ได้ว่าคิเมร่าาลูกรักของเธอจะไปก่อวีกรรมอะไรไว้ตอนเธอไม่อยู่หรือไม่ ดังนั้นการอยู่ด้วยกันจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ถึงแม้ว่าความจริงแล้วยิ่งเธออยู่ด้วย โอกาสเกิดปัญหามันจะยิ่งสูงขึ้นก็ตาม
เรย์นาทะยานขึ้นไปเหนือน้ำ ด้วยการใช้จิตบังคับน้ำและส่งตัวเธอขึ้นไปบนพื้นดิน การควบคุมน้ำสามารถทำได้อย่างง่ายๆ เรียกว่าง่ายมากๆ ดีกว่าเมื่อนึกถึงว่าประสบการณ์การใช้เวทมนตร์ของเรย์นาครั้งแรกคือใช้เวทสายวารีควบคุมน้ำ เพื่อบังคับลาวา ไม่ว่าใครก็คงยอมรับว่าเป็นวิธีที่พิสดารจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงทางเลือกเดียว ใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียว สายน้ำก็ส่งร่างของเรย์นาขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วก้พบว่าคิเมร่านอนเฝ้าอยู่ริมลำธารด้วยร่างจริง ร่างจริงๆ เลย ที่รวมสารพัดสัตว์เข้าด้วยกันและสูงสามสิบฟุต ลมหายใจของสัตว์นรกเป็นพิษ ข้อนี้เธอเข้าใจดี และเข้าใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าต้นไม้รอบๆ ตัวของมันเหี่ยวเฉาไปจำนวนมาก เรย์นารีบเพ่งจิตเพื่อสื่อสารกับลูกรักทันที คิเมร่าที่ถูกเรียกผ่านจิตใต้สำนึกอย่างกระทันหันก็ลืมตาโพลงขึ้นอย่างตกใจ คืนร่างเป็นสิงโตธรรมดาและเดินมาอ้อนผู้เป็นนายราวกับจนเป็นสุนัข แต่แทนที่เรย์นาจะสบายใจที่เห็นว่าคิเมร่าคืนร่างแล้ว กลับหน้าซีดเผือด พร้อมกับที่เข้าใจคำว่า...หายนะ...อย่างแท้จริง
ผู้เล่นห้าคนยืนถัดไปจากคิเมร่าไม่มากนักกำลังอ้าปากค้างขณะมองอสุรกายยักษ์กลายร่างเป็นสิงโตขนทองธรรมดาตัวหนึ่ง ก่อนหน้านี้ร่างของคิเมร่าบังคนเหล่านั้นจนมิด เรย์นาเองก็ไม่ได้สังเกตว่านอกจากพวกเธอแล้วยังมีใครอีกหรือไม่ คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีฟ้าเทาทอประกายแปลกๆ บ่งบอกได้ถึงความหงุดหงิดของเจ้าตัว ริมฝีปากบางเม้มจนเป็นเส้นตรงอย่างเคยชิน นี่เป็นอาการที่พบเห็นได้ทันทีเมื่อเรย์นาเคร่งเครียดหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง
ผู้มาใหม่ทั้งห้านิ่งค้าอยู่ท่านั้นเกือบครึ่งนาที แล้วถึงรับรู้ถึงสายตาของเรย์นาที่จ้องมา ชายที่ดูเป็นผู้นำขยับตัวเล็กน้อย กระแอมเพื่อเรียกความสนใจจากเพื่อนร่วมทีม แล้วก็ได้ผล ทั้งสี่กะพริบตาเพื่อไล่ความงุนงงก่อนหันมาด้านข้าง จึงสบตากับเรย์นาที่ยืนอยู่ข้างคิเมร่าเต็มๆ พวกนั้นยิ้มแหยๆ มาให้ ชายคนแรกเห็นบรรยากาศเริ่มมาคุก็เปิดบทสนทนาเพื่อทำลายควาบเงียบ
"พวกเราได้ยินเสียงระบบประกาศว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงอยู่แถวนี้เลยอยากมาเห็นสักครั้งน่ะครับ ไม่นึกว่าจะเป็น...เอ่อ..." เขาเว้นช่วงไป เล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากพูดอีกรอบ เรย์นาก็สวนขึ้นก่อน
"อ่อ เสียงระบบใช่มั้ยคะ ฉันมานั่งเล่นอยู่แถวนี้สักพักแล้ว ตอนลงไปใต้น้ำก็ได้ยินอยู่เหมือนกัน" เธอเออออไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ แกล้งกะพริบตาปริบๆ ทำเหมือนกับว่าไม่เข้าใจว่าสัตว์อสูรที่ระบบประกาศคือตัวอะไร
"แต่เมื่อกี้ผมเห็น...ผมเห็นผู้ติดตามของคุณ...เอ่อ" พูดไม่จบ ชายคนนั้นก็ใบ้กินอีกรอบ แต่เรย์นาก็พอจะเดารูปประโยคออกแล้ว จีงพูดต่อให้จบ
"คุณเห็นผู้ติดตามของฉันแปลงร่างเป็นอสุรกายสูงสามสิบฟุต แล้วคุณก็คิดว่าผู้ติดตามของฉันเป็นสัตว์อสูรที่ระบบพูดถึงใช่มั้ยคะ" เขาพยักหน้า ยอมรับความคิดนั้น แทนที่เรย์นาจะตกใจ เธอกลับยิ้มให้อย่างสบายๆ และพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ
"สัตว์อสูรชนชั้นจักรพรรดิ กับผู้เล่นธรรมดาคนหนึ่ง คุณคงไม่คิดว่าจะเป็นไปได้หรอกนะคะ จนถึงตอนนี้กลุ่มผู้เล่นระดับสูงยังล่าส้ตว์อสูรพวกนั้นไม่ได้ นับประสาอะไรกับผู้เล่นเริ่มต้นอย่างฉันจะเอาสัตว์อสูรระดับนี้มาเก็นผู้ติดตามได้กัน" ที่เรย์นาพูดมาก็จริงอยู่ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนคือ จริงทั้งหมดเลยต่างหาก ถึงกระนั้นผู้เล่นกลุ่มนั้นก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี
"แล้วทำไมผู้ติดตามของคุณถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนั้นล่ะครับ" ชายอีกคนพูด คำถามนี่เกือบจะทำเอาเรย์นาไปไม่ถูก แต่ก็แค่เกือบ...สมองประมวลความเป็นไปได้ต่างๆ ถึงสกิลในเกมแล้วจึงตอบราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
"ฉันมีสกิลที่สามารถแปลงรูปลักษณ์ของผู้ติดตามได้น่ะ" เมื่อเข้าใจถึงเหตุผลที่สัตว์อสูรตนนี้สามารถกลายร่างได้ ทั้งห้าก็เลิกสงสัย ส่วนคิเมร่าเบนสายตามามองที่เธอเล็กน้อยด้วยสายตาที่ถ้ามองเป็นคำพูดคงได้ประมาณนี้ ....แถจนสีข้างถลอกแล้วเรย์นา....
ไม่นานนักเสียงกองทัพผู้เล่นก็ดังตามมา มีเสียงของคนหนึ่งที่เด่นชัดเป็พิเศษ คาดว่าจะเป็นคนสั่งการ กองทัพผู้เล่นหลายกลุ่มปรากฏตัวขึ้นในอีกฟากของป่า กะประมาณแล้ว น่าจะราวๆ ห้าสิบคน ชายคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและใช้ดาบชี้มาที่เรย์นา
"เธอคนนั้นน่ะ... เธอนั่นล่ะ! เห็นสัตว์อสูรที่ระบบประกาศผ่ามาแถวนี้บ้างมั้ย" ชายคนนั้นกระแทกเสียงเมื่อเห็นว่าเรย์นาหันไปมองรอบๆ ทั้งที่เขาชี้มาทางเธอ
"ถ้าเห็นคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก แล้วก็คงตายไปแล้วด้วย ถามอะไรสิ้นคิด" เรย์นาไม่ชอบให้ใครขึ้นเสียง แน่นอนคนเป็นเจ้าหญิงไม่เคยมีใครขึ้นเสียงด้วย พอมาเจอคน...คนแบบคนทั่วไปไม่ใช่บุคคลสำคัญ...ขึ้นเสียงใส่ก็ต้องฉุนเป็นธรรมดา
ชายคนนั้นถลึงตาใส่แต่ก็ไม่ได้ต่อคำ เขาหันไปสั่งการผู้เล่นที่เหลืออย่างชำนาญ แม้ว่าจะมีบางคนไม่พอใจบ้าง แต่ก็ทำตามอยู่ดี ดูท่าแล้วคงใช้คนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในการสั่งการหมู่ ผู้เล่นเหล่านั้นเริ่มแยกกันหา แต่จะเจอมั้ยก็อีกเรื่องหนึ่ง เรย์นาที่หมดความสนใจ...หรือความจำเป็น....แล้ว หันกลับไปเตรียมหาทางออกจากป่า แต่ก็ถูกผู้เล่นกลุ่มแรกยื้อไว้
"คุณเล่นเกมเดียวใช่มั้ยครับ...มารวมกลุ่มกับผมสิ"
ร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ในสภาพถูกเชือกมัดไว้ที่ข้อเท้า ห้อยหัวลงมา สูงจากพื้นเกือบสิบฟุตร้องโหยหวนอย่างน่าสงสาร ในขณะที่เพื่อนอีกสี่คนพยายามดึงลงมาแต่เอื้อมแขนไม่ถีง
เรย์นาส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจก่อนเล็งธนูไปยังเชือกที่พันธนาการขาทั้งสองข้างของผู้ร่วมทางเข้ากับต้นไม้ ลูกธนูเฉือนเชือกขาดโดยไม่เฉือนข้อเท้าของเด็กหนุ่มไปด้วย นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งของวัน ร่างของเขาร่วงลงมาทับเพื่อนที่รอรับอยู่ด้านล่างดังตุบ! ทั้งสองร้องโอดโอยอยู่นานจนกระทั่งเพื่อนอีกสามคนทนไม่ไหวต้องมาช่วยดึงให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ เรื่องเมื่อหลายชั่วโมงก่อนทำให้เรย์นาต้องมาอยู่ที่นี่ในสภาพนี้
5 ชั่วโมงก่อน
'คุณเล่นเกมคนเดียวใช่มั้ยครับ...มารวมกลุ่มกับผมสิ'
ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเข้าประเด็นทันที เรย์นาเม้มปากอย่างชั่งใจ นัยน์ตาเรียวตวัดพินิจทั้งห้าทีละคนราวกับจะมองทะลุตัวออกไป หญิงสาวที่มาด้วยกันเห็นว่าเธอไม่ไว้ใจจึงอธิบายต่อ
'คืองี้นะ...กลุ่มพวกเราขาดคนโจมตีระยะไกล ที่จริงก็มีแต่ว่าเป็นเวทระยะไกล พลังโจมตีค่อนข้างต่ำ เห็นคุณถือธนูก็น่าจะถนัดอาวุธพวกนี้ใล่มั้ยล่ะ แล้วก็นะ แววตาคุณน่ะปิดความฉลาดไว้ไม่มิดหรอก'
'การเพิ่มคนเข้าไปในกลุ่มที่จัดรูปแบบการต่อสู้แล้ว จะเสียขบวน สู้ขาดคนโจมตีรัยะไกลไปแล้วเน้นที่รูปขบวน ปรับการวางตำแหน่งเพื่อเสริมจุดแข็งและปิดจุดอ่อนไม่ดีกว่ารึ'เรย์นาถาม หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองอาการของแต่ละคน ชายที่แก่ที่สุดหรือก็คือหัวหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ
'นี่ถ้าเป็นหลายร้อยปีก่อน ผมเชื่อเลยนะว่าคุณต้องเป็นแม่ทัพหรือกุนซือแน่ ที่ผมชวนคุณเข้าร่วมกลุ่มเพราะคุณมีแววกว่าผู้เล่นอื่นที่ผมเคยเจอ คุณต้องเก่งแน่ๆ ข้อนี้ผมมั่นใจ ส่วนอีกคำตอบคือขบวนของเรายังไม่จัดรูปแบบที่ชัดเจน ถ้าได้คุณไปเสริม พลังโจมตีขบวนนี้ก็จะสมบูรณ์'
'ฉันจะไม่ว่าเลยนะ ถ้าตลอดเวลาที่คุณพูดไม่ปล่อยบรรยากาศกดดันมาด้วย หากคุณไม่เลิกทำล่ะก็ ฉันไม่เข้าร่วมด้วยแน่ๆ'
ทันทีที่พูดจบบรรยากาศเหล่านั้นก็หายไปสิ้น เรย์นาถอนหายใจ ปรายตามองไปยังชายผู้นั้นอย่างจับผิด
'ตกลง ฉันจะยอมร่วมทางไปด้วย แต่ไม่แน่ว่าจะไปด้วยตลอดหรอกนะ แค่ชั่วคราวเท่านั้น'
'แค่นั้นก็ขอบคุณมากแล้วครับ'
'ยังไงก็ต้องเดินทางไปด้วยกันอยู่แล้วฉันจะไม่เรียกอะไรให้มันยุ่งยาก พวกนายชื่ออะไร บอกมา'
'เธอเหมือนขู่ฆ่า มากกว่าถามชื่อนะ'
หนึ่งในผู้เล่นกลุ่มนี้พูดขขึ้น คำสรรพนามเปลี่ยนไปเพื่อความสะดวก ที่ผู้เล่นคนนี้พูดไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะเรย์นาใช้น้ำเสียงที่กดดันราวกับถามศัตรู ปกติแล้วเรย์นาไม่เคยถามชื่อใคร จะถามก็ต่อเมื่ออยู่ในสงคราม จับเชลยมาเค้นข้อมูลเท่านั้น น้ำเสียงเลยกลายเป็นแบบนี้ไปโดยปริยาย
ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเข้าประเด็นทันที เรย์นาเม้มปากอย่างชั่งใจ นัยน์ตาเรียวตวัดพินิจทั้งห้าทีละคนราวกับจะมองทะลุตัวออกไป หญิงสาวที่มาด้วยกันเห็นว่าเธอไม่ไว้ใจจึงอธิบายต่อ
'คืองี้นะ...กลุ่มพวกเราขาดคนโจมตีระยะไกล ที่จริงก็มีแต่ว่าเป็นเวทระยะไกล พลังโจมตีค่อนข้างต่ำ เห็นคุณถือธนูก็น่าจะถนัดอาวุธพวกนี้ใล่มั้ยล่ะ แล้วก็นะ แววตาคุณน่ะปิดความฉลาดไว้ไม่มิดหรอก'
'การเพิ่มคนเข้าไปในกลุ่มที่จัดรูปแบบการต่อสู้แล้ว จะเสียขบวน สู้ขาดคนโจมตีรัยะไกลไปแล้วเน้นที่รูปขบวน ปรับการวางตำแหน่งเพื่อเสริมจุดแข็งและปิดจุดอ่อนไม่ดีกว่ารึ'เรย์นาถาม หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองอาการของแต่ละคน ชายที่แก่ที่สุดหรือก็คือหัวหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ
'นี่ถ้าเป็นหลายร้อยปีก่อน ผมเชื่อเลยนะว่าคุณต้องเป็นแม่ทัพหรือกุนซือแน่ ที่ผมชวนคุณเข้าร่วมกลุ่มเพราะคุณมีแววกว่าผู้เล่นอื่นที่ผมเคยเจอ คุณต้องเก่งแน่ๆ ข้อนี้ผมมั่นใจ ส่วนอีกคำตอบคือขบวนของเรายังไม่จัดรูปแบบที่ชัดเจน ถ้าได้คุณไปเสริม พลังโจมตีขบวนนี้ก็จะสมบูรณ์'
'ฉันจะไม่ว่าเลยนะ ถ้าตลอดเวลาที่คุณพูดไม่ปล่อยบรรยากาศกดดันมาด้วย หากคุณไม่เลิกทำล่ะก็ ฉันไม่เข้าร่วมด้วยแน่ๆ'
ทันทีที่พูดจบบรรยากาศเหล่านั้นก็หายไปสิ้น เรย์นาถอนหายใจ ปรายตามองไปยังชายผู้นั้นอย่างจับผิด
'ตกลง ฉันจะยอมร่วมทางไปด้วย แต่ไม่แน่ว่าจะไปด้วยตลอดหรอกนะ แค่ชั่วคราวเท่านั้น'
'แค่นั้นก็ขอบคุณมากแล้วครับ'
'ยังไงก็ต้องเดินทางไปด้วยกันอยู่แล้วฉันจะไม่เรียกอะไรให้มันยุ่งยาก พวกนายชื่ออะไร บอกมา'
'เธอเหมือนขู่ฆ่า มากกว่าถามชื่อนะ'
หนึ่งในผู้เล่นกลุ่มนี้พูดขขึ้น คำสรรพนามเปลี่ยนไปเพื่อความสะดวก ที่ผู้เล่นคนนี้พูดไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะเรย์นาใช้น้ำเสียงที่กดดันราวกับถามศัตรู ปกติแล้วเรย์นาไม่เคยถามชื่อใคร จะถามก็ต่อเมื่ออยู่ในสงคราม จับเชลยมาเค้นข้อมูลเท่านั้น น้ำเสียงเลยกลายเป็นแบบนี้ไปโดยปริยาย
------------------------------------------------------------------
ไม่ได้อัพนานเลย ช่วงนี้ไรท์ยุ่งๆ ไม่ค่อยสบาย สมองไม่ปลอดโปร่งอัพไม่ได้ ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคกที่รอนะ ถ้าไม่ได้อัพนานเกินก็ตามจิกได้เลยนะ ที่ลิ้งค์หน้าบทความหรืออายไอดีก็ได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น