ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Great Warrior Online 『 สงครามมหาราชันย์ 』

    ลำดับตอนที่ #2 : เธออาจเป็นพลังงานบางอย่าง...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 764
      3
      2 พ.ย. 56

     
     
    บทที่ 1 [w.]
     
    ....เธออาจเป็นพลังงานบางอย่าง....
     
     
     
     
     
     
                เสียงนกร้อง กลิ่นหญ้าและลมที่พัดมากระทบใบหน้าปลุกเรธิเซียจากภวังค์ รอบกายของเธอมีเพียงต้นไม้และทุ่งหญ้าเขียวขจีปราศจากร่องรอยที่แสดงว่าเคยมีคนอาศัยอยู่ สมองอันงุนงงค่อยๆประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช้าๆภาพจักรวรรดิที่ถูกรุกรานและภาพเปลวไฟในวาระสุดท้ายของตนปรากฏขึ้น เรธิเซียขมวดคิ้วก่อนลุกขึ้นมาสำรวจสภาพรอบข้าง ต้นไม้สูงใหญ่บดบังทัศนวิสัย หญิงสาวเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ชุดเกราะรวมถึงร่างกายที่ไร้รอยขีดข่วนเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อหากมีใครบอกว่าเคยถูกไฟคลอกนั่นยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้น
     
     
                 ต้นไม้ที่มากมายทำให้ป่าแห่งนี้ดูรกทึบและอันตรายพอกัน เดินไปได้สักพักก็พบลำธารที่ทอดยาวลงมาจากภูเขาเรธิเซียตัดสินใจพักตรงนี้เพื่อดื่มน้ำก่อนจะหาทางออกจากป่า ทันทีที่ผิวสัมผัสน้ำเธอก็รู้สึกสดชื่นสมองเริ่มปลอดโปร่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงอาการอ่อนล้าก็เริ่มดีขึ้นเรธิเซียจึงเดินทางต่อ แต่ชุดที่เธอใส่นั้นกินแรงพอสมควรทีเดียวชุดเกราะหนักหลายกิโลทำให้การเดินทางล่าช้าลงไปอีกจึงจำใจต้องถอดชุดเกราะออก ตอนนี้เธอสวมชุดทูนิคทับด้วยชุดกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กซึ่งทำจากขนสัตว์ คาดสายรัดหนังที่เอวโดยมีมีดสองเล่มเหน็บอยู่และสะพายธนู ผมสีบลอนด์ถูกเกล้าขึ้นอย่างทะมัดทะแมง 
     
     
                การเดินทางในป่าย่อมเจอสัตว์อันตรายอย่างเสือหรือสิงโตเป็นธรรมดาในตอนนี้ก็เช่นกันเธอยืนประจันหน้ากับสิงโตกลุ่มหนึ่งอยู่ มันเดินวนรอบตัวเธออย่างรอจังหวะ เรธิเซียขึ้นลูกธนูเตรียมไว้สองดอกในขณะที่สองในห้าของสิงโตทั้งหมดย่อตัวเตรียมจะกระโจนเข้ามาเธอก็แผลงศรอย่างรวดเร็ว ลูกศรปักเข้าที่อกของสิงโตตัวแรกและท้องของสิงโตตัวที่สอง เมื่อเห็นเพื่อนถูกทำร้ายอีกตัวก็กระโจนเข้ามาหา เรธิเซียที่ยังไม่ได้ขึ้นลูกศรดอกถัดไปจึงใช้คันธนูเหล็กกล้าฟาดเข้าที่ใบหน้าของมันอย่างแรงจนกระเด็นไป อีกสองตัวที่เหลือเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าตอแยเธออีกและวิ่งหนีเข้าป่าทันที
     
     
                เรธิเซียระบายลมหายใจออกมา ขณะนี้ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วแต่เธอยังหาร่องรอยที่จะพาออกไปนอกป่ายังไม่ได้ แม้ว่าเธอจะจัดการกับสัตว์ป่าที่เห็นเธอเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดายแต่เธอก็รู้ดีว่าในเวลากลางคืนป่าแห่งนี้จะอันตรายขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงพูดของคนจากอีกด้านของป่า ถัดไปไม่ไกลนักมีชายฉกรรจ์ราวๆสิบคนสวมชุดสีดำปิดหน้าปิดตาที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแน่ๆ เรธิเซียขมวดคิ้วและย่องไปแอบหลบหลังต้นไม้ เสียงตะโกนแม้จะอู้อี้ฟังยากเพราะผ้าที่ปิดปากอยู่แต่ก็พอจับใจความได้
     
     
    "พวกแกรีบๆเอาของไปส่งสิวะ เดี๋ยวใครมาเจอเข้าก็ซวยกันหมด" ชายคนหนึ่งที่ยืนคุมอยู่พูดขึ้น
     
     
    "หัวหน้าครับต้นไม้พวกนี้มันตัดยากนะครับกว่าจะได้ แยกส่งยาไปก่อนแล้วค่อยส่งไม้พวกนี้ตามไปทีหลังไม่ดีกว่าเหรอครับ" 
     
     
    "เออว่ะ งั้นเอ็งน่ะไปส่งยาก่อน แล้วเดี๋ยวเอ็งไปส่งไม้พวกนี้แล้วกัน" เขาชี้ไปยังชายอีกสองคนที่ยืนถัดไปไม่ไกลนัก แต่ตอนนี้เรธิเซียไม่มีอารมณ์จะมาสนใจแล้วว่าพวกนี้ทำอะไรกัน เพราะตรงหน้าเธอมีงูเห่าขนาดหนึ่งเมตรกำลังแผ่แม่เบี้ยจ้องมาอย่างดุร้าย
     
     
    "ซวยแล้วไง" เรธิเซียสบถ จะรีบหนีก็กลัวคนพวกนั้นจะสังเกตุเห็นแต่ถ้าจะอยู่ที่เดิมก็มีหวังโดนงูฉกตาย เมื่อคำนวณความเสี่ยงแล้ววิ่งหนีดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ว่าแล้วเธอก็ออกแรงวิ่งสุดชีวิตทันที
     
     
               "เฮ้ย! ใครวะ" หนึ่งในเหล่าชายฉกรรจ์ตะโกนขึ้น คนเป็นหัวหน้าหันขวับมาทันที ก่อนเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม "ใครที่มันรู้เรื่องนี้ อย่าให้รอดไปได้ แล้วรออะไรอยู่ล่ะไอ้พวกโง่! ตามมันไปสิ!" เรธิเซียจึงต้องเปลี่ยนจากวิ่งหนีงูไปเป็นวิ่งหนีกลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือโดยมีเสียงพึมพำประกอบฉากไปตลอดทาง "ซวย ซวยจริงๆ"  
     
     
                 "มันอยู่ทางนั้น! อย่าให้คลาดสายตาไปได้" หนึ่งในกลุ่มผู้ไล่ล่าดังขึ้นพร้อมกบเสียงแหวกอากาศ กระสุนฝังอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ๆตัวเธอ เรธิเซียจึงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก  แต่เธอก็ตระหนักว่าคนพวกนั้นรู้จักป่าแถบนี้อย่างดีผิดกับเธอที่หลงเข้ามา เพราะฉะนั้นต่อให้เธอจะหนีได้เร็วแค่ไหนสุดท้ายก็ถูกไล่ทันอยู่ดี จึงเปลี่ยนกลยุทธ์จากผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่า
     
     
                     เรธิเซียเร่งความเร็วมากขึ้นเพื่อให้พวกนั้นคลาดสายตาแม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม เธอกระโดดไปบ้นต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาออกมามากพอที่จะบัดบังเธอจากสายตาของพวกนั้นได้ เรธิเซียไม่ต้องการฆ่าใคร จึงเปลี่ยนไปใช้ยาพิษที่มีฤทธิ์เพียงให้สลบเท่านั้นแต่ถ้าลูกธนูพลาดเป้าไปโดนจุดสำคัญ.... มันก็ช่วยไม่ได้ เธอหยิบตลับเล็กๆที่ใช้บรรจุยาพิษออกมาจากกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่เหน็บอยู่กับสายคาดเอวและใช้ปลายของลูกธนูจุ่มลงไป ยาพิษสีเขียวที่ฉาบอยู่ยิ่งทำให้ลูกธนูเหล่านี้ดูไม่น่าพิสมัยเข้าไปอีก
     
     
                     เรธิเซียขึ้นลูกธนูเตรียมไว้สี่ดอกและรอจังหวะชายฉกรรจ์ที่ตามเธอมามีหกคน เป็นไปได้ว่าเมื่อเธอยิงออกไปทั้งสี่ดอกแล้วอีกสองคนที่เหลือจะสามารถจับตำแหน่งของเธอได้ก่อนที่จะขึ้นธนูครั้งถัดไป ความคิดนี้ทำเอาเธอหัวเสียไม่น้อยเลยทีเดียวท่าทางว่าอีกสองคนจะถูกเล่นไม้หนักแทนที่จะสลบไปง่ายจากพิษของยาเสียแล้ว เธอเล็งลูกธนูไปยังคนที่ดูอันตรายที่สุดซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าพร้อมสอดส่องสายตาหาร่องรอยของเธอ ด้วยความเป็นมืออาชีพเรธิเซียแผลงศรโดยไม่คลาดเป้าแม้แต่น้อย ลูกธนูปักเข้าที่เข่าของชายคนนั้นส่งผลให้เขาล้มลงและหมดสติในเวลาไม่นาน ทางด้านพวกที่เหลือก็เริ่มตื่นตระหนกกับการถูกลอบโจมตี ไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร ลูกศรอีกสามดอกก็ปักเข้าตามจุดต่างๆที่ไม่สำคัญนักแต่ก็พอทำให้สลบไปได้อยู่ดี
     
     
                   ผิดคาด! จนถึงตอนนี้อีกสองคนสุดท้ายก็ยังไม่สามารถจับตำแหน่งของเธอได้แสดงว่าเธอเลือกจัดการคนได้ถูกต้อง ถือเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่ไม่สามารถสังเกตุทิศทางของลูกธนูได้เรธิเซียจึงเปลี่ยนวิธีการจากต้องใช้มีดซึ่งมีโอกาสพลั้งมือสูงไปเป็นการใช้เข็มเล็กเป่าผ่านกระบอกไม้เล็กๆปักเข้าตามจุดชีพจรเพื่อให้คนพวกนั้นสลบไปแทน เธอสามารถสลัดกลุ่มคนที่ไล่ล่าและไล่ฆ่าเธอได้สำเร็จก็จริง แต่เส้นทางที่เธอใช้ยิ่งทำให้หลงป่าลึกมากกว่าเดิม ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วเธอก็ยังไม่สามารถออกจากป่าได้ จึงทำได้เพียงหนีให้ไกลจากคนกลุ่มนี้เท่าที่จะทำได้และรวบรวมกิ่งไม้ ใบไม้เพื่อใช้ทำเป็นที่นอนขณะที่เธอคิดอย่างสิ้นหวังว่าวันนี้เธอคงได้นอนเป็นเพื่อนสิงห์สาราสัตว์ทั้งหลายสายตาก็เหลือบไปเห็นควันที่ลอยออกมาจากในป่าลึกเข้าไปอีก
     
     
                    "มีควัน.... ก็ต้องมีคน" เธอคิดอย่างมีความหวังทั้งที่ในใจกลับคิดว่าเธอไม่มีทางโชคดีขนาดนั้นหรอก อาจจะเป็นการเผาหญ้า หรือไฟไหม้ป่าแทน ถึงกระนั้นเรธิเซียก็ยังมุ่งหน้าไปยังจุดที่เกิดควันอยู่ดี
     
     
                      เรธิเซียเดินไปยังทิศทางที่มีควันและได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่ไฟไหม่ป่า ตาฝาด หรือเจออริเก่าที่วิ่งไล่กันมานั่งจุดไฟอยู่....บางทีอาจเลวร้ายกว่านั้น.... ดูเหมือนคราวนี้จะโชคดี เธอเจอเด็กหนุ่มสองคนนั่งเผาหญ้าอยู่ซึ่งไม่ได้แย่อะไร ใจหนึ่งเธอก็อยากจะถามทางออกจากป่า แต่อะไรบางอย่างบอกเธอให้อยู่เงียบๆและซ่อนตัวไว้
     
     
     
                      "ที่นายท่านเรียกเข้าไปน่ะมีเรื่องอะไร" ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ชายอีกคนที่ใช้ไม้เขี่ยไฟอยู่ถอนหายใจหนักๆก่อนโยนไม้ท่อนนั้นลงกองไฟ กองไฟส่งเสียงเปรี๊ยะ!ราวกับตอบรับ แสงสีส้มจากกองไฟที่กระทบใบหน้ายิ่งทำให้เขาลึกลับยิ่งขึ้น "ไม่มีอะไรหรอกท่านเรียกไปคุย'เรื่องนั้น'เหมือนเดิมนั่นล่ะ แต่ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ งานนี้ฉันขอถอนตัวแล้วกัน"
     
     
     
                      จากการสังเกตุ....เท่าที่คนหลงป่าและวิ่งจนตาลายจะสังเกตุได้....ทั้งคู่น่าจะอายุไล่เลี่ยกันราวๆสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี ใกล้เคียงกับเธอ ชายคนแรกดูจะเป็นคนขี้เล่น เส้นผมสีดำกระเซอะกระเซิงราวกับไม่ได้รับการดูแลมาหลายปี... หรืออาจทั้งชีวิต เพราะมันเละยิ่งกว่ารังนกเสียอีก ส่วนชายคนที่สองจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนเงียบๆ อาจเป็นเพราะพูดแทรกเพื่อนของตนไม่ทันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เส้นผมสีเงินถูกรวบไว้ด้านหลัง รวมๆแล้วดูเป็นผู้ดีเกินกว่าจะมานั่งเขี่ยกองไฟในป่ารกทึบเช่นนี้
     
     
     
                   "โอ๊ะ! อีกเดี๋ยวพวกนั้นก็มาแล้ว ฮ้า จะได้กลับบ้านซะที"ชายคนแรกพูดอย่างเบิกบานแต่ชายอีกคนกลับส่ายหน้าอย่างขำๆและพูดปราม "เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวจะไม่ได้กลับก็เพราะนายนายอู้เนี่ยแหละ อีกอย่างนะพวกเราก็อยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้วยังไม่ชินอีกเหรอไง"
     
     
     
               "ใครจะไปความอดทนสูงเหมือนนายกัน แล้วฉันก็ไม่ชินหรอกนะกับการต้องมานั่งก่อกองไฟตบยุงก่อนกลับบ้านทุกวัน ไม่ชินแน่ๆ" เขาบ่นอิดออด ประเด็นในการพูดคุยเปลี่ยเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่'เรื่องนั้น'อีกแล้ว เรธิเซียยังคงแอบหลังต้นไม้อย่างเงียบเชียบ เสียงย่ำใบไม้ดังขึ้นและไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายทั้งสอง เขาเป็นชายร่างยักษ์ตัวใหญ่บึกบึน คำว่า'ชายอกสามศอก'สามารถอธิบายรูปร่างของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี
     
     
     
                 "แล้วคำตอบล่ะ" ผู้มาใหม่พูดขึ้นพร้อมกวาดสายตาไปยังเด็กหนุ่มทั้งคู่ซึ่งไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย.... คนแรกนั่งผิวปากอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนที่สองยังใช้ไม้ท่อนต่อไปเขี่ยกองไฟราวกับมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
     
     
     
                 "ไม่ พวกเราขอปฏิเสธ" ชายผมเงินตอบแต่สายตายังคงจับจ้องที่กองไฟเช่นเคย ผู้มาใหม่เพียงแค่นเสียงและปรายตามายังจุดที่เธอซ่อนตัวอยู่ เด็กหนุ่มผมสีเงินเหลือบตาขึ้นมามองเธอและส่ายหน้าปรามให้เธอเงียบไว้ เท่านั้นแหละเรธิเซียถึงรู้ถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตน 
     
     
                 "ซวยล่ะ ลืมซ่อนจิต" เธอเปรยขึ้นอย่างไม่แอบซ่อนเพราะรู้ดีว่าทั้งสามรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอแล้ว  "พวกแกรู้ว่ามีคนซ่อนอยู่.... แล้วทำไมไม่จัดการ!" ชายคนแรกตะคอก แต่เด็กหนุ่มอีกคนกลับยักไหล่
     
     
                   "ฉันเป็นพวกแรงงานสมอง เรื่องแบบนี้พวกนายจัดการเองสิ หมุดธุระแล้วพวกฉันขอตัวก่อนแล้วกัน" ชายร่างยักษ์เมื่อได้ยินคำตอบแบบปัดๆก็เลือดขึ่นหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรทำอะไร เขาชักปืนพกที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อออกมาและยิงไปยังต้นไส้ที่เธอ'เคย'ซ่อนอยู่ เรธิเซียออกวิ่งอีกครั้งคราวนี้เธอรู้สึกดีที่อยู่ในป่าที่มีต้นไม้มากมายเพราะต้นไม้เหล่านั้นช่วยรับกระสุนแทน ถึงกระนั้นการวิ่งสุดฝีเท้าทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ขาทั้งสองข้างเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะวิ่งได้อีก แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงแรงกระชาก จากสัญชาตญาณและความเคยชินเธอชักมีดออกมาและทาบลงบนคอของบุคคลปริศนาอย่างรวดเร็วจึงได้เห็นว่าคนที่กระชากเธอนั้นคือเด็กหนุ่มผมสีดำในตอนแรกซึ่งขณะนี้กำลังยกมือขึ้นในท่ามอบตัวและยิ้มแหยๆ เสียงปืนกระตุ้นให้ทั้งสามหลุดจากภวังค์ เรธิเซียลดมีดลงแต่ยังระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
     
     
    "อะไร" เธอถามห้วนๆ ชายผมดำถอนหายใจอย่างโล่งอก "พวกเรารู้ทางออก ตามมาสิ"
     
     
                 เรธิเซียเม้มปาก ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าทั้งคู่จะพาเธอออกจากป่าแทนที่จะส่งเธอไปให้'นายท่าน'อะไรนั่น ถ้าจะปฏิเสธเธอก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถออกจากป่านี้ได้ก่อนจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณหรือไม่จึงต้องตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
     
     
    "ตกลง"เด็กหนุ่มยิ้มร่า คว้าแขนเธอไว้และออกวิ่งโดยมีชายผมเงินวิ่งปิดท้าย "ชุดที่เธอใส่แปลกดีนะ คอสเพลย์เหรอ"
     
     
    "คอสเพลย์?" เธอถาม เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อก่อนส่ายหน้าและอธิบาย "ไม่น่าเชื่อ ยังมีผู้หญิงที่ไม่รู้จักคอสเพลย์อีกเหรอเนี่ย คอสเพลย์ก็ชุดเหมือนที่เธอใส่ไงมีตั้งแต่พวกชุดพรานไปจนถึงชุดนักเรียนเลย"
     
     
                "ก็ประมาณนั้นล่ะ"เธอตอบส่งๆไป การที่เธอเห็นอาวุธแปลกๆ(ในสายตาเธอ)อย่างปืน หรือพวกชุดสูท เสื้อยืดกางเกนยีนส์ทำให้เธอสับสนไม่น้อยทางที่ดีคือเออออกับคนพวกนี้ไปก่อน ทั้งคู่ไม่ได้ถามอะไรอีก ความเหนื่อยทำให้เรธิเซียตาลายจนเกือบจะล้มอยู่หลายรอบ สมองของเธอประมวลผลทุกอย่างเข้าด้วยกันแต่ราวกับจิ๊กซอว์ที่ตัวต่อชิ้นสำคัญหายไปเธอไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ แต่พอนึกถึงเรื่องที่จักรวรรดิของตนถูกโจมตีก็เลือดขึ้นหน้าจนลืมความเหนื่อย เมื่อพวกเธอวิ่งมาถึงทุ่งกว้างก็มีแสงสว่างวาบจากดวงตาของนักล่าในยามค่ำคืน
     
     
    "ไฮยีน่า!" ชายผมดำร้องหน้าตาตื่นเขาคลายมือของเธอออกและหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าขณะที่อีกคนกระชับมีดในมือและพึมพำเบาๆ"เข้าป่ามาตั้งหลายปีไม่เคยเจอ ทำไมมันซวยอย่างนี้เนี่ย"
     
     
    "ช่างเถอะ" เธอพูดราวกับไม่ได้เจอฝูงสัตว์นักล่าที่หิวกระหาย ดูจากภายนอกเธอไม่มีอะไรผิดปกติแต่แท้จริงแล้วเธอแผ่จิตสังหารจำนวนมากออกไปเป็นเชิงเตือนให้อยู่ห่างจากพวกเธอเอาไว้
     
     
    "ไม่มีอะไรแล้ว ไปกันต่อเถอะ"เธอพูดซ้ำและเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฝูงไฮยีน่าหลบให้พวกเธอไปต่อแต่โดยดี เมื่อมีตัวไหนลองดีจะกระโจนเข้าใส่เธอก็ปล่อยจิตสังหารโดยจำกัดกรอบแค่มันตัวเดียวและจบด้วยเสียงครางหงิงๆเหมือนสุนัขพร้อมทั้งมองด้วยสายตาหวาดกลัว
     
     
    "ปกติไฮยีน่าจะไม่ปล่อยเหยื่อไปหรอกนะ คงเป็นโชคดีของเราล่ะมั้ง" เขาพูดและเอากระเป๋าไปสะพายตามเดิม แต่อีกคนยังไม่เก็บมีด ทั้งสามออกวิ่งอีกครั้ง การวิ่งครั้งนี้มีความหวังกว่าครั้งไหนๆเพราะมีแสงไฟจากเมืองคอยกระตุ้น อีกทั้งเสียงปืนยังเงียบหายไปถ้าไม่ใช่ว่าล้มเลิกความตั้งใจที่จะล่าก็คงเพราะถูกไฮยีน่าฝูงนั้นเล่น
     
     
    "แฮ่ก แฮ่ก เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พวกนายวิ่งได้ยังไงเนี่ย" เขาปริปากบ่นทันทีที่ออกจากป่าได้ และหันมามองเธอสลับกับเด็กหนุ่มผมเงินซึ่งเก็บมีดไปแล้ว
     
     
    "นายควรจะออกกำลังกายบ้างไม่ใช่วันๆนั่งอ่านแต่หนังสือ" เขาพูดอย่างเบื่อหน่ายแต่เพื่อนรักสวนทันควัน "ใครจะไปไฟแรงแบบนายกัน พ่อนักกีฬา "
     
     
    "เราคงจะไม่คุยกันทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อใช่มั้ย" เรธิเซียขัดขึ้น ทั้งสองจึงทำหน้าเหมือนรู้ตัวว่าลืมอะไรไป "อ่อ 'โทษทีๆ ฉันชื่อ โรเบิร์ต ไอ้หงอกนี่ชื่อ อาเธอร์" ว่าแล้วก็เดินไปตบไหล่กอดคอชายผมสีเงินหรือ'อาเธอร์'
     
     
                    "ฉัน เรธิเซีย" เธอแนะนำ โรเบิร์ตมุ่นหัวคิ้วอย่างครุ่นคิด "เรธี....เรธิเซีย....เคยได้ยินมาจากไหนนะ" หลังจากพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ! "อ๋อ เจ้าหญิงเรธิเซียในมหากาพย์เครเซอร์ พ่อแม่ของเธอจั้งชื่อตามเจ้าหญิงนั่นเหรอ" โรเบิร์ตเปลี่ยนมาจ้องเธออาเธอร์ก็เช่นกัน แต่เรธิเซียที่ไม่เข้าใจเรื่องราวกลับตอบปัดๆ "ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามแม่ของฉันเอาเอง แล้วฉันก็ไม่รู้เรื่องมหากาพย์อะไรนั่นด้วย"
     
     
                      "มหากาพย์เครเซอร์คือประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเบรคาเซียน" อาเธอร์เปรยขึ้น แต่คำว่า'ประวัติศาสตร์'นั้นตอกย้ำให้เรธิเซียเชื่อข้อสมมติฐานที่เธอตั้งขึ้นมาระหว่างหาทางออกจากป่า "ในประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่าจักรวรรดิเบรคาเชียนเป็นอาณาจักรที่รักสงบ เป็นดินแดนแห่งนักรบ แต่ด้วยเรื่องบางอย่าง...อาจเป็นอำนาจ...ทำให้มีคนคิดทรยศ...." โรเบิร์ตพูดค้างไว้ เมื่อเห็นว่าเรธิเซียยังฟังอยู่จึงพูดต่อ
     
     
     
                     "เจ้าหญิงเรธิเซียคิดก่อกบฏ เธอบอกทางลับ จำนวนทหารและกลยุทธ์ให้ศัตรูรู้....ให้อาณาคาเธนรู้ ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาเตรียมการกว่าเจ็ดปีถือเป็นเวลาไม่น้อยที่เสียไปแต่ถ้าเทียบกับการจะบุกจักรวรรดิที่แข็งแกร่งขนาดนั้นก็ถือเป็นเวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น....เจ้าหญิงเปิดทางลับให้ทหารของอาณาจักรนั้นเข้ามา  แต่แทนที่เธอจะได้ตำแหน่งหรืออะไรที่สมกับผลงานอาณาจักรคาเธนก็ตระหนักว่าขนาดจักรวรรดิบ้านเกิดเมืองนอนเธอยังทำลายได้ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรคาเธนที่สมคบคิดกันด้วยเรื่องของผลประโยชน์หากมีอาณาจักรอื่นมาทำเช่นเดียวกันเธอก็คงใช้แผนนี้ซ้ำสอง คิงริชาร์ดสั่งประหารโดยการตรึงไม้กางเขนและเผาทั้งเป็นต่อหน้าประชาชน แต่ประชาชนคิดว่าเจ้าหญิงทำเพื่อปกป้องพวกตนจึงร้องสรรเสริญ....โดยไม่รู้ถึงความจริงแม้แต่น้อย"
     
     
     
                    เมื่อเล่าจบเรธิเซียก็รู้ถึงความเจ็บที่มือ ตลอดเวลาที่โรเบิร์ตเล่าเธอกำมือไว้ตลอดเพื่อข่มอาการโกรธแค้น คำที่ว่าเธอทรยศทำให้เธอรู้สึกเหมือนสมองจะแตกดังโพล๊ะ! แต่ก็ไม่ได้ปตก มือที่กำแน่นทำให้เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดเต็มฝ่ามือ ดวงตาวาวโรจน์ โรเบิร์ตที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาถึงกับหน้าซีดผงะไปเลยทีเดียว 
     
     
                    "เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอ มหากาพย์นี่ออกจะดังขนาดเด็กเล็กๆยังรู้จักเลย" อาเธอร์ที่ไม่ได้สบตากับเธอและไม่เห็นแววตาดุจนักล่าทำให้สามารถพูดต่อได้ส่วนโรเบิร์ตปิดปากเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น เรธิเซียสลายแววตาอาฆาตไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
     
     
     "อ๋อ มหากาพย์บทนั้นนั่นเอง"เธอพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้จักอะไรหรอก อาเธอร์ก็ไม่ได้สงสัยอะไร "พวกเราจะกลับแล้ว เธอก็อย่ากลับบ้านดึกนักล่ะ ระวังตัวด้วย"
     
     
                  เรธิเซียพยักหน้าขอบคุณที่ช่วยพาออกมาจากป่า อาเธอร์และโรเบิร์ตเดินไปยังถนนที่มีเพียงไฟสลัวๆนำทาง "ฉันว่าถ้าเจอยัยนั่นอีกระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ แววตาคู่นั้นน่ะ นักล่า ชัดๆ"โรเบิร์ตพูดขึ้นทั้งคู่จึงหันกลับไปมองตำแหน่งที่เรธิเซียเคยยืนอยู่อีกครั้ง แต่เธอกลับหายไปแล้วพร้อมกับที่โรเบิร์ตตั้งข้อสังเกตุชวนหลอนได้ข้อหนึ่ง"เราลืมอะไรไปบางอย่างนะ พวกเราเจอเธอในตอนกลางคืน แล้วยังเป็นในป่าด้วย ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น! ฉันแค่จะบอกว่าบางทีเธออาจไม่ใช่....คน"
     
     
                     ทางด้านเรธิเซียที่ทำทั้งคู่หลอนกำลังเดินไปตามถนนมืดๆเธอคิดเรื่องประวัติศาสตร์ของเธอที่จารึกแบบผิดๆก็อารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบแต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ไว้ "ผู้ชนะเป็นผู้จารึก" คำๆนี้ลอยอยู่ในหัวของเธอตลอดเวลาเมื่อเห็นว่าเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์เธอจึงเปลี่ยนมามองทิวทัศน์รอบๆแทน บ้านทาวน์เฮาส์เรียงติดกันยาวสุดซอย ไฟสลัวๆและตึกร้างยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงยิ่งขึ้น ดูเหมือนตำแหน่งที่เธอออกมาจากป่าจะอยู่ท้ายซอยเพราะยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ ออกห่างจากป่าเท่าไหร่ทาวน์เฮาม์รอบข้างก็ดูดีขึ้น อีกทั้งยังมีรถสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เรธิเซียเอาผ้าคลุมที่เธอพกติดตัวตลอดเวลา....ทั้งที่ไม่เคยใช้....มาคลุมตัวไว้ ชุดของเธอเป็นจุดสนใจเกินไปการทำอย่างนี้เป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องน่าปวดหัว ถึงอย่างนั้นการถือธนูเดินไปมาก็ยังเป็นเรื่องผิดวิสัยของคนทั่วไปอยู่ดี
     
     
                    "กลับกันเถอะ ดึกแล้วอันตราย" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากเรธิเซียได้เป็นอย่างดี เธอหันกลับไปมองจึงพบชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพูดกับหญิงสาวอีกคน "ไม่ คราวนี้ฉันรู้สึกได้จริงๆแถวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ อะไรบางอย่างที่เป็นเบาะแสของพวกเรา"หญิงสาวคนนั้นยืนกรานจนสุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมเดินตามเงียบๆโดยไม่แย้งอะไรขึ้นมาอีก แต่แล้วสายตาของหญิงสาวก็มาหยุดที่เรธิเซีย เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตรงมาทางเธอ
     
     
                    "นี่หนูมาทำอะไรที่นี่กลางค่ำกลางคืนจ๊ะ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นห่วงแย่" เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเรธิเซียสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นมาจากใจจริงไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด ไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไรสายตาหญิงสาวตรงหน้าก็มาสะดุดอยู่ที่เธอสะพายอยู่ ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทำเอาเรธิเซียนึกภาพฟันเฟืองที่หมุนอย่างรวดเร็วแทนสมองของคนตรงหน้าทันที
     
     
    "เชน! ฉันเจอแล้ว"เธอตะดกนขึ้น เส้นผมสีเขียวเข้มสะบัดตามแรงลม ชายคนนั้นเดินตามตามเสียงเรียกและมองเรธิเซียอย่างอยากรู้อยากเห็น "เด็กคนนี้น่ะเหรอ"
     
     
                     "พี่จะตั้งสมมติฐานขึ้นมา หนูฟังเงียบๆก่อนจนกว่าน้าจะพูดจบ ตกลงนะ" หญิงสาวทำความตกลง เมื่อเห็นว่าเรธิเซียไม่ขัดข้องจึงพูดต่อ "ให้พี่เดานะ หนูอาจจะมาจากช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเป็นช่วงก่อนสมัยนี้อาจจะสักร้อยปีหรือพันปี แต่จู่ๆหนูก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลย และตอนนี้หนูก็ไม่มีที่อยู่"
     
     
                     เรธิเซียพยักหน้าน้อยๆแต่ก็เพียงพอให้หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเขียวยิ้มกว้าง "ดูท่าเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะ ไปคุยที่บ้านพี่แล้วกัน" ไม่รอคำตอบเธอคว้าแขนเด็กสาวได้ก็พาไปขึ้นรถทันทีโดยมีชายหนุ่มผมสีเทาส่ายหน้าขำๆกับกริยาท่าทางเช่นนั้นก่อนเดินตามทั้งคู่ไป
     
     
    .
     
     
    .
     
     
    .
     
     
    .
     
     
    .
     
     
     
     
     
    "ท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้ใช่หรือไม่ ปัญหานี้จะหมดไปหากคุณใช้....."
     
     
    ติ๊ด
     
     
                เสียงโฆษณาดังขึ้นไม่ถึงสิบวินาทีก็ถูกเรธิเซียกดเปลี่ยนช่องอย่างใจลอยพลางนึกถึงเรื่องที่พึ่งจะคุยกันไป หญิงสาวคนนั้นหรือไอรีนมีข้อสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกับเธอนั่นคือ การข้ามมิติ ฟังดูอาจรู้สึกงี่เง่า ความเป็นไปได้ที่บุคคลยุคประวัติศาสตร์จะมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในโลกไซเบอร์น่ะไม่มีเลยด้วยซ้พ แต่หลักฐานในตอนนี้ชี้ชัดว่าการข้ามมิติเป็นไปได้เพราะตอนนี้บุคคลยุคประวัติศาสตร์ก็มานั่งในสภาพที่ยังมีชีวิตต่อหน้าพวกเธอหลังจาดถกเถียงกันมานานจึงได้ข้อสรุปว่าจะให้เรธิเซียอาศัยอยู่ด้วยกันและค่อยๆเค้นข้อมูลความรู้สึกตอนข้ามมิติซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าดีใจ ทุกครั้งที่เรธิเวียทำอย่างนั้นภาพที่เธอถูกเผาทั้งเป็นก็จะแวบเข้ามาในหัวเป็นอันดับแรก
     
     
     
                  หลังจากพูดคุยเรื่องซีเรียสจบแล้วไอรีน เชนและเรธิเซียจึงเปลี่ยนมาคุยเรื่องทั่วไปแทน เด็กสาวผมบลอนด์เริ่มต้นด้วยเรื่องปืนอาวุธอันตรายที่ประจักษ์ถึงความอันตรายอย่างถึงที่สุดได้ก็วันนี้ ไอรีนอธิบายโครงสร้างและประโยชน์ของปืนอย่างละเอียด แน่นอนรวมวิธีใช้ด้วย ทั้งสามคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปเรื่อยทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะชายหญิงคู่นี้....สองสามีภรรยาเป็นคนอัธยาศัยดี ส่วนเรธิเซียเองก็เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย จนกระทั่งมาคุยกันเรื่องชื่อ หญิงสาวคนนั้นมีนามว่าไอรีน และชายที่มาด้วยกันชื่อเชน ซึ่งเรธิเซีนรู้ชื่อของเขาตั้งแต่ไอรีนตะโกนเรียกแล้ว แต่พอมาถึงชื่อเรธิเซีย ไอรีนก็ดันจำมาหากาพย์อะไรนั่นได้ทำให้ และเค้นความจริงจากเจ้าตัว ขอแบบความจริงล้วนๆไม่อิงประวัติศาสตร์ทำเอาเด็กสาวอธิบายจนคอแห้งกันเลยทีเดียว
     
     
                    ไอรีนสอนวิธีการใช้ชีวิตแบบคนปกติกับเรธิเซียทั้งการพูดจา การใช้ภาษา วัฒนธรรมรวมถึงการแต่งการ เธอก็รับข้อมูลได้รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ สุดท้ายก่อนจะแยกย้ายไปพักผ่อนไอรีนก็บังคับให้เรธิเซียเล่นเกมหนึ่งซึ่งอาจเป็นเพียงเบาะแสเดียวในการเดิรทางข้ามมิติ และอาจเป็นเบาะแสสุดท้ายมันเป็นเกมที่ไม่มีใครรู้ชื่อผู้สร้าง อย่างมากก็รู้จักเพียงผู้บริหารสูงสุดเท่านั้นและคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เชนและไอรีน นั่นเอง
     
     
    "วันนี้อากาศดีนะ"เรธิเซียพูดลอยๆ ไอรีนยิ้มหวานมองเธอกลับอย่างมีเลศนัย"ใช่ อากาศดีมากเหมาะแก่การช็อปเป็นอย่างยิ่ง...ใช่มั้ย"
     
     
                  "ไม่!" เชนและเรธิเซียตอบอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน ยิ้มแหยๆ รอยยิ้มพลันสลายไปเมื่อไอรีนตอบเหมือนพวกเธอยินยอม"งั้นก็ไปกันเถอะ เอ้อ เรย์...เรียกแบบนี้แล้วกัน วันนี้น้าจัดตารางให้หนูเยอะแยะเลย เมื่อวานสอนเรื่องคำพูดไปแล้ว วันนี้พี่จะสอนการแต่งตัว การขับรถ แล้วก็การยิงปืนด้วย"
     
     
                  "ม่ายยย" เธอร้องโหยหวนขณะที่ไอรีนลากไปขึ้นรถโดยมีเชนมองด้วยสายตาสงสาร ห้างที่พวกเธอไปนั้นเป็นห้างชั้นนำภายในมีร้านแบรนด์เนมมากมาย ไอรีนลาก....ย้ำว่าลาก!....เด็กสาวไปร้านนู้นทีร้านนี้ที หยิบเสื้อผ้ามาทาบตัว พอเธอเผลอเมื่อไหร่เรย์ก็เป็นอันต้องย่องหายไปอยู่เรื่อยจนไอรีนต้องจับแขนไว้ตลอดเวลา
     
     
                    เมื่อไอรีนจับเรธิเซียแต่งตัวจนพอใจแล้ว เธอก็เดินนำลิ่วไปซื้อเครื่องประดับ ส่วนเชนนั้นยืนรอในสภาพที่มีสัมภาระเต็มตัว จนเรธิเซียกลัวว่าถ้าเชนเผลอเมื่อไหร่กองสัมภาระพวกนั้นจะทับเขาตาย หมดธุระแล้วเชนก็ขอตัวไปเก็บของที่รถและพาเด็กสาวไปด้วย ไอรีนไม่ได้ว่าอะไรเพียงกำชับว่าดูแลเรย์ดีๆด้วย ข้างๆกันนั้นบริเวณตรงข้ามห้างที่เธอไปมีการจัดนิทรรศการเล็กๆอยู่ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงให้เรธิเซียไปรอที่นั้นเพื่อจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้อง
     
     
                      งานเทศกาลประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงและร้านรวงมากมาย มีทั้งขายอาหาร ของที่ระลึก ของเล่นสารพัด เรธิเซียตื่นตาตื่นใจกับภาพอันแปลกใหม่แต่ก็เก็บอาการได้ดี เธอเดินเล่นไปเรื่อยเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งเดินจูงมือกับพ่อแม่ บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม บนหัวสวมพวงมาลัยดอกไม้พลางร้องเพลงอย่างมีความสุข ภาพนั้นทำให้เธอนึกถึงครั้งหนึ่งที่เธอไปรบและชนะศึกกลับมา 
     
     
     
                     เสียงแตรดังสนั่นทั่วเมืองแสดงถึงการมีเหตุสำคัญบางอย่าง ประชาชนเดินออกมาออกันนอกบ้านและเสียงซุบซิบถึงสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้ ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ เสียงพูดคุยเริ่มเบาลง จนกลายเป็นเงียบกริบถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เมื่อคนกว่าหมื่นคนหากแต่ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่นานก็ปรากฎร่างนักรบในเกราะเงินสง่างามควบม้าเข้ามา ผู้คนแหวกออกเป็นทาง ชุดเกราะเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ยิ่งขับให้ร่างบนหลังม้าดูองอาจยิ่งขึ้้นแม้ว่าชุดเกราะจะอาบไปด้วยเลือดก็ตาม ผมสีบลอนด์เป็นประกายเป็นประกายสยายออกมาแสดงถึงว่านักรบผู้นั้นหาใช่ชายชาตรีไม่ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาดุดันกวาดมองประชาชนรอบเมือง ม้าขาวเป็นม้าที่หายากยิ่ง การที่จะได้มันมาครอบครองแสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มันยกขาหน้าขึ้นและส่งเสียงร้อง ชาวเมืองเงียบกริบตั้งตาฟังสิ่งที่สตรีบนหลังม้าต้องการจะพูด เธอชูดาบขึ้นและประกาศด้วยเสียงอันกึกก้อง
     
     
     
     
    "ชัยชนะเป็นของเรา!!"
     
     
     
     
                  คำพูดสั้นๆแต่กลับเรียกเสียงเชียร์จากประชาชนได้อย่างดี ทันใดนั้นกองทหารที่รออยู่นอกเมืองตามคำสั่งของผู้เป็นนายก็ควบม้าตามเข้ามา เสียงเชียร์ดังขึ้นไปอีก เธอกระโดดลงจากหลังม้าถอดเกราะออก ข้าหลวงที่มารออยู่แล้วเดินไปรับด้วยสีหน้าตื้นตัน ประชาชนโห่ร้องและยกเธอขึ้นบนบ่า มาลัยรอเรลอันแสดงถึงชัยชนะถูกประดับบนศีรษะ ใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบห้า หาใช่นักรบผู้กร้านศึกดังที่ผู้คนคิด  เพลงแห่งความสุขเริ่มบรรเลงดอกกุหลาบถูกโปรยลงมา เหล่าทหารหาญเดินอย่างภาคภูมิมองแม่ทัพที่วัยนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของตนพลางนึกชื่นชน พร้อมกับที่เสียงสรรเสริญดังขึ้น เรธิเซียผู้ถูกแบกขึ้นบนบ่ายิ้มอย่างมีความสุข หากไม่เห็นชุดเกราะที่ชโลมด้วยเลือดแล้วเธอก็ดูเหมือนเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่ความสุขมักไม่ยาวนาน ปีถัดมาเธอก็ถูกพรากจากอาณาจักรที่เธอรัก....ตลอดกาล
     
     
     
     
                  ในขณะที่เรธิเซียกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเธอก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆรอบกาย วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเธออยู่ พวกนี้เป็นนักเลงที่พบเห็นได้ทั่วไปในที่อโคจรแต่ไม่ใช่ในนิทรรศการเช่นนี้ นักเลงกลุ่มนี้แต่งตัวคล้ายๆกันคือใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์สีดำมีโซ่ล่าม ผมสั้นเตียนแต่กลับย้อมผมสารพัดสี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีสะท้อนแสงด้วย เรธิเซียมองด้วยสายตาประหนึ่งว่ากำลังมองหนึ่งในสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก ดวงตากลอกไปมาอย่างเบื่อหน่าย เธอแต่งตัวด้วยชุดที่เคลื่อนไหวง่าย เรธิเซียใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทา กางเกงขาสามส่วน และรองเท้าผ้าใบ เธอเก็บมีดสั้นเอาไว้ใต้แขนเสื้อเผื่อกรณีไม่คาดฝัน
     
     
    "เฮ้ สาวน้อย นี่ถิ่นพวกพี่ จ่ายเงินมาก่อนแล้วพวกพี่จะปล่อยไป" ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ส่วนชายยอีกคนยิ้มเจ้าเล่ห์พูดอย่างมีเลศนัย "หรือจะจ่ายอย่างอื่นพวกพี่ก็ไม่ว่า"
     
     
                    เรธิเซียไม่เข้าใจสิ่งที่พวกนั้นพูดจึงเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น "เงินเหรอ อยากได้ก็ไปหาเอาเอง ส่วนอย่างอื่นฉันไม่รู้หรอกนะ" เธอพูดอย่างไม่ยี่หระพร้อมส่งรอยยิ้มกวนๆไปให้ หนึ่งในคนพวกนั้นคิ้วกระตุกจ้องเธออย่างไม่เป็นมิตร "ยังไงมันก็ไม่ให้อยู่แล้ว จัดการ!!"
     
     
                     พวกนั้นย่างสามขุมเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย เรธิเซียผิวปากอย่างสนใจแต่นั่นยิ่งทำให้ทั้งห้าโกรธยิ่งขึ้น ทุกคนใช้การต่อสู้มือเปล่าด้วยว่ามั่นใจในฝีมือของตน ชายคนแรกต่อยหมัดกะให้โดนที่หน้า เธอเบี่งตัวหลบเล็กน้อยและใช้แขนทั้งสองข้างล็อคแขนของชายคนนั้นไว้ เพื่อนๆอีกสี่คนไม่ช่วยอะไรเพราะคิดแค่ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา เรธิเซียออกแรงบิดนิดหน่อยเสียงกระดูกก็หักดังกร๊อบ! มันคงจะสยองสำหรับเธอกว่านี้ถ้าเรธิเซียไม่ใช่แม่ทัพที่บุกไปกลางสนามรบและฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน ชายคนนั้นร้องโหยหวนกำหมัดอีกข้างแต่เรธิเซียก็เตะเข้าที่หว่างขาเต็มแรงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้นและร้องโอดครวญหน้าเขียว เมื่อเห็นเพื่อนถูกจัดการอย่างง่ายดายพวกที่เหลือก็เริ่มหน้าเสีย เรธิเซียหันกลับมาทำหน้าใสซื่อ และทำราวกับเห็นชายที่เธอซัดไปเมื้อกี้ "ตายจริง! เขาเป็นอะไรไปน่ะ"
     
     
    "แก...!" เรธิเซียเอียงหัวถามราวกับสงสัยเสียเต็มประดา แต่รอยยิ้มกวนโทสะยังคงฉาบอยู่บนใบหน้าที่งามราวกับตุ๊กตา "อ๊ะ! ดูเหมือนเขาจะพูดว่าอยากให้พวกคุณทุกคนลงไปนอนเล่นด้วยกันนะ"
     
     
                    ทางด้านเชนที่เอาของไปเก็บเมื่อกลับมาไม่เห็นเรธิเซียที่จุดนัดพบก็แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก บรรยากาศงานยังคงคึกคักเช่นทุกปี มีการแสดงต่างๆ รวงร้านประดับประดาด้วยโคมไฟสารพัดสี เปิดเพลงคลอเบาๆ ขณะที่เชนเดินเล่นรอเรธิเซียอยู่นั้นเขาก็ได้ยินอะไรบางอย่าง
     
     
    "นี่ ฉันได้ข่าวมาว่ามีคนเห็นแก๊งค์อันธพาลกลุ่มนั้นมางานด้วยล่ะ" แม่ค้าคนหนึ่งหันไปเม้าท์กับเพื่อนแม่ค้าด้วยกันอย่างออกรส "จริงเหรอ แล้วตอนนี้พวกมันอยู่ไหนล่ะ มีใครโดนมันรีดไถไปแล้วบ้าง"
     
     
    "อยู่ท้ายซอย เห็นว่าอยู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง" เธอตอบ เชนตั้งใจฟังมากขึ้นเขามีลางสังหรณ์ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็น....เรธิเซีย
     
     
    "แล้วเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นยังไงล่ะ" แม่ค้าถามต่ออย่างใคร่รู้ ส่วนอีกคนมุ่นหัวคิ้วทำหน้าครุ่นคิดก่อนตอบออกมา "ที่จริงฉันก็เห็นพวกนั้นนะ พวกอันธพาลน่ะเห็นไม่ค่อยชัด แต่เด็กผู้หญิงน่ะเห็นชัดอยู่ อายุประมาณสิบหก สิบเจ็ด ผมสีบลอนด์อ่อนรวบเป็นหางม้า เสื้อยืดสีเทา หรือไม่ก็ดำ กางเกงขาสามส่วน..."
     
     
                     ชัดเลย! เชนคิดในใจ รีบวิ่งไปยังท้ายซอย เขาวิ่งหาอยู่นานเพราะใช่ว่าจะมีซอยแค่ซอยเดียว เขาต้องหาถึงหัาซอยถึงจะเจอตัวเรธิเซีย ซึ่งยืนกอดอกอยู่ร่างกายไร้รอยขีดข่วน เบนสายตามองผู้ชายที่นอยกองกับพื้นด้วยสายตาดูแคลน มีคนหนึ่งบาดเจ็บไม่มากลุกขึ้นกะจะทำร้ายเรธิเซียจากด้านหลังแต่เธอก็ศอกเข้าที่ท้องของชายคนนั้นเต็มแรง พอเขาเซกำลังจะล้มลงเรธิเซียก็เหวี่ยงขาเตะซ้ำเข้าที่จุดเดิม เชนมองการกระทำนั้นอย่างอึ้งๆและนึกขึ้นได้เรธิเซียเคยเป็นถึงแม่ทัพ จะฮาร์ดคอร์ไปบ้างก็ไม่แปลกอีกทั้งการต่อสู้แค่นี้ไม่ทำให้เธอลำบากแม้แต่น้อย สมชื่อเจ้าหญิงนักรบ....หรือเจ้าหญิงมนตรากันนะ
     
     
    "พอได้แล้วมั้ง อัดซะน่วมเลยนี่" เชนพูดขึ้น เรธิเซียที่รู้อยู่แล้วว่าเชนเห็นเพียงยักไหล่และหันมาพูดด้วยท่าทางใสซื่อแต่กลับหัวเราะในลำคอ
     
     
     
    "ใคร ใครอัดซะน่วม พวกนี้ลงไปนอนกันเองต่างหากเนอะ หึ หึ หึ" เธอหันไปพยักเพยิดกับพวกนั้น ไม่วายใช้ไม้แถวนั้นเขี่ยทั้งห้าอย่างรังเกียจ"อี๋ สกปรกชะมัด" เชนขำกับท่าทีที่เหมือนเด็กของคนตรงหน้า ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
     
     
     
    Rrrrr!
     
     
    Irene
     
     
     
                 รายชื่อคุ้นตาโชว์หราบนหน้าจอ เชนรีบกดรับทันทีพร้อมกับที่เรธิเซียหันมาเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงถาม "ฮัลโหล ไอรีน" เชนกรอกเสียงลงไป
    ปลายสายตอบกลับอย่างรวดเร็ว สั้นๆแต่ได้ใจความ "ฉันช็อปเสร็จแล้ว กลับมาที่รถได้เลย แค่นี้นะ" แล้วไอรีนก็ตัดสายไป
     
     
                   เชนยักไหล่เบนสายตามามองกลุ่มอันธพาลผู้โด่งดังที่บัดนี้โดนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซ้อมจนหน้าบิดเบี้ยวไปหน่อย ฟันหลุดบ้าง ขาหักบ้่ง แขนหักบ้างคละๆกันไป เรธิเซียหันไปมองผลงานของตนอย่างชื่นชม เชนเห็นสายตาแบบนั้นก็ส่ายหน้าขำๆและถามขึ้น "จะเอายังไงล่ะ...พวกนั้นน่ะ" เรธิเซียทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "ช่างมัน พวกนั้นอยากนอนเล่นกันนี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราซะหน่อย"
     
     
     
                    เชนถอนหายใจหนักๆ ก่อนถ่ายทอดข้อความจากไอรีนและเดินนำไปยังรถ เรธิเซียไม่ว่าอะไรเพียงบ่นตลอดทาง "อันธพาลมีฝีมือแค่นี้เองเหรอ น่าผิดหวัง น่าผิดหวังจริงๆ นอกจากหน้าตาอัปลักษณ็แล้วยังไม่มีคงามสามารถอีก คนสมัยนี้นี่ต่อสู้กันไม่เป็นเลยรึไงนะ ถ้ารู้ตัวว่าฝีมือเทียบไม่ได้แทนที่จะรุมดันเข้ามาทีละคน ฝีมือไม่มี สมองก็ไม่มี" เธอร่ายยาวจนเชนรู้สึกสงสารพวกนั้นที่มาหาเรื่องคนอย่างเรธิเซีย
     
     
                    เชนขับรถไปรับไอรีนที่จุดรับ-ส่งรถ ขึ้นรถมาแล้วไอรีนก็หยิบของชิ้นหนึ่งให้เรธิเซีย มันเป็นแว่นสีดำธรรมดาแต่เรธิเซียสัมผัสได้ว่ามันไม่ธรรมดาแน่ เธอหันไปหาไอรีนผู้ซึ่งไม่ต้องรอให้ถามก็ตอบได้ "มันคือแว่นที่ใช้เชื่อมต่อกับ The Great Warrior Online น้าซื้อรุ่น Limiter Edition ที่ดีที่สุดมาเลยนะ น่าจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้างล่ะ"
     
     
               เรธิเซียรับแว่นมาพยักหน้าเข้าใจ มองแว่นอย่างพิยิจพิจารณา "รออะไรอยูล่ะ ใส่เลยสิ" ไอรีนเร่ง เรธิเซียหน้าเหงอหันไปมอง "ตอนนี้! ตอนนี้เนี่ยนะ กลับบ้านก่อนดีกว่า" เธอปฏิเสธทันควันแต่ก็ถูกไอรีนจ้องไม่วางตาจึงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้และยอมใส่ในที่สุด
     
     
     
                  เรธิเซียเริ่มจะเกลียดทุกอย่างที่หมุนได้ขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่เข้าเกมมาเธอก็เห็นเพียงสีขาวแสบตา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเฮอร์ริเคนคือหมุนตลอดเวลาด้วยความเร็วที่น่าปวดหัว อาการเหล่านั้นค่อยๆทุเลาลงจนในที่สุดสายตาของเธอก็กลับมาเป็นปกติ เธออยู่ในที่ซึ่งมืดสนิทไม่เห็นแม้กระทั่งปลายผม ถูกดวงตาสีแดงหิวกระหายหลายสิบคู่จับจ้อง สิ่งแรกที่เธอทำคือตรวจดูว่ามีอาวุธอะไรติดตัวบ้างจึงพบว่ามีดาบคาตานะสองเล่มเหน็บที่เอว เรธิเซียสามารถใช้อาวุธได้ทุกอย่างแม้กระทั่งอาวุธของยุคนี้ เพราะเมื่อคืนเธอหอบหนังสือที่เกี่ยวกับพิชัยสงครามและอาวุธไปอ่านจนจำได้ขึ้นใจ
     
     
                 เรธิเซียก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ยี่หระ ดวงตาสีแดงยังคงจับจ้องเธออยู่แต่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรธิเซียก้าวไปข้างหน้ามากเท่าไหน่เจ้าของนัยน์ตาหิวกระหายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เรธิเซียหรี่นัยน์ตานีมรกตลงตวัดไปรอบๆ ลรรยากาศเงียบสงัดและมืดมิดทำให้เธอไม่ไว้ใจสถานที่นี้แบบสุดๆ ต่อให้ไม่มีพวกตาแดงจ้องก็ตามเธอสบถเป็นภาษาโบราณสอบสามคำ ท่ามกลางความมืดมิดเรธิเซียรู้สึกได้ว่รมีสถานที่หนึ่งที่ต่างออกไป สัญชาตญาณบอกให้เธอมุ่งหน้าไปยังที่นั่ยซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆสองไมล์
     
     
                 เรธิเซียกระชับดาบไว้ในมือและออกวิ่ง เมื่อเห็นเหยื่อเคลื่อนไหว เจ้าของนัยน์ตาแดงเลือดก็วิ่งตาม 'จังหวะการวิ่ง....หมาป่าเหรอ แต่เสียงนี่มัน....โลหะ ยังไงกันนะ' เรธิเซียประเมินศัตรูจากสิ่งที่สัทผัสได้แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม เธอเคยไปล่าสัตว์ตอนอยู่ที่จักรวรรดิ เธอคุ้นเคยกับสัตว์ต่างๆและจำลักษณะของพวกมันได้ ประสาทของเธอไวต่อการสัมผัสทำให้เรธิเซียสามารถคาดเดาจากจังหวะการวิ่งได้ต่อให้มาเป็นฝูงก็เถอะ แต่เสียงตอนวิ่งเป็นเสียงโลหะกระทบกันแน่ ข้อนี้เรธิเซียมั่นใจ 
     
     
                    ฝูงหมาป่าโลหะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เรธิเซียก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกมันตามทันแน่ แค่จะเป็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้น หนึ่งในพวกนั้นกระโจนเข้าหาเธอ เรธิเซียต้องดาบรับเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง! มันกระเด็นออกไปแต่ยังไม่ตาย สองขาของเรธิเซียยังคงก้าวไปข้างหน้า ส่วนมือทั้งสองคอยกันไม่ให้ฝูงหมาป่าทำอะไรได้ ใจหนึ่งเธออยากใช้เวทมนตร์จัดการกับพวกนี้ให้จบๆไป แต่ก็กลัวความแตก อย่างที่ไอรีนบอกสมัยนี้เวทมนตร์เป็นแค่ความเชื่องมงาย
     
     
                 ทุกครั้งที่หมาป่าโลหะกระโจนเข้าใส่ เรธิเซียเพียงตั้งดาบขึ้นรับหรือเบี่ยงตัวหลบเท่านั้นเพราะการฟันใช้ไม่ได้กับพวกนี้ แต่นั่นก็กันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อตั้งหลักได้ก็จู่โจมอีกการต่อสู้ดำเนินเช่นนี้เรื่อยมาจนเรธิเซียเริ่มทนไม่ไหว ทุกครั้งที่มันกระโจมเข้ามาพร้อมกันทีละสองหรือสามตัวจะฝากรอยแผลไว้เสมอ ดาบคาตานะเหมาะสำหรับการฟันหรือตัดเมื่อไม่สามารถใช้ฟันได้มันจึงเสียคุณสมบัติเฉพาะไป เรธิเซียตวัดดาบไปฟันหมาป่าโลหะที่กระโจนมาจากด้านข้างและเอาดาบอีกเล่มกันหมาป่าอีกตัวไว้ พวกมันตัวหนักกว่าที่เธอคิดแขนข้างที่ถือดาบข้างซึ่งใช้รับการโจมตีพลิก แต่นั่นกลับเป็นโชคดีของเรธิเซีย ดาบพลิกจังหวะเดียวกับที่หมาป่าโลหะอ้าปากจะฝังเขี้ยวลงบนแขนของเธอจึงทำให้ปลายดาบแทงทะลุปากของมันส่งผลให้มันกลายเป็นแสงไป
     
     
                 เรธิเซียใช้ทุกอย่างให้มีคุณค่า ช่วงเวลาที่มีแสงจากการสังหารเธอกวาดสายตามองไปรอบๆและหยุดที่หมาป่าตัวหนึ่ง มันตัวใหญ่ที่สุดในฝูง มีดวงตาเป็นประกายสีทองสลับแดงดุดัน นอกจากนี้ยังเป็นตัวที่เรธิเซียหมายตาเอาไว้ตั้งแต่แรกทันทีที่รู้ว่านักล่าในเงามืดคือหมาป่า ตอนนี้เธอรู้จุดอ่อนของพวกมันแล้วทางที่จะสังหารได้คือแดงดาบไปยังส่วนที่เป็นข้อต่อเช่นใต้คางหรือในปาก พร้อมกับที่เรธิเซียเปลี่ยนเป้าหมายจากทิศทางที่มุ่งไปตอนแรกเป็นจ่าฝูงแทน
     
     
                  เรธิเซียบุกเข้าไปกลางฝูงหมาป่าโลหะอย่างบ้าคลั่ง(อย่างที่คนสติดีไม่ทำกัน)ใจกลางของมันมีจ่าฝูงยืนอยู่ หมายถึงถ้าเธอจำไม่ผิดน่ะนะ เรธิเซียตวัดดาบและแทงอย่างรวดเร็วจนเกิดประกายไฟ ใบดาบสั่นสะท้านจากแรงโจมตี เธอแทงเข้าที่ใต้คางของหมาป่าตัวหนึ่งและใช้ดาบอีกเล่มฟันใบหน้าของหมาป่าโลหะที่เข้ามาใกล้ ต่อให้ไม่ตายมันก็คงเจ็บพอดู 
     
     
                 หมาป่าโลหะแหวกออกโดยมีเรธิเซียยืนอยู่ตรงกลางแผ่จิตสังหารออกไป ตามตัวมีรอยกรงเล็บอยู่ประปรายแผลใหญ่ที่สุดคือรอยลากจากบ่ายาวมาถึงกลางหลังเสื้อที่ใส่อยู่ชุ่มไปด้วยเลือด เรธิเซียเดินอย่างองอาจไปหยุดอยู่หน้าตัวจ่าฝูงและประกาศด้วยเสียงที่ชัดเจนไร้อาการเหนื่อยล้าจากการต่อสู้
     
     
                  "ข้าไม่ต้องการทำร้ายพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ายังต้องการจะสู้ข้าก็ไม่มีทางเลือก จงถอยไปซะ! ข้าต้องการเพียงอย่างเดียวคือให้หัวหน้าของเจ้าพาข้าไปยังที่ที่หนึ่งเท่านั้น!" เรธิเซียพูดโดยไม่มีอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย พวกหมาป่าส่งเสียงราวกับปรึกษากัน ผ่านไปสักพักตัวจ่าฝูงก็เดินออกมาจากกลุ่มแล้วหมอบลง เรธิเซียรู้ในทันทีว่าพวกมันยอมแล้ว เธอขึ้นไปขี่หลังของมันก่อนดีดนิ้วดังเป๊าะ! หมาป่าโลหะที่นอนเจ็บอยู่เริ่มมีอาการดีขึ้น มันเป็นหนึ่งในแขนงเวทมนตร์ที่เธอถนัด ....ศาสตร์แห่งการรักษา....
     
     
                  เรธิเซียเข้าใจแล้วว่าการขี่หมาป่ามันสนุกอย่างไร เมื่อมียานพาหนะระยะทางสองไมล์ก็ใกล้นิดเดียวอีกทั้งนักล่าอื่นยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ เธอให้หมาป่าวิ่งไปตามทางที่เธอจับความรู้สึกได้ รอบข้างยังคงมืดสนิททำเอาเรธิเซียหวั่นใจไม่น้อย แต่ก็เชื่อในสัญชาตญาณของตน และเธอก็คิดถูกหลังจากวิ่งมาราวๆไมล์ครึ่งเรธิเซียก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเธอเข้าใกล้ จนในที่สุดเธอก็เห็นเต็มตา
     
     
     
                 มันเป็นโดมสีขาวขนาดใหญ่มีแสงส่องประกายให้เธอเห็นรอบข้างลางๆ เรธิเซียลงจากหลังหมาป่า ลูบหัวมันสองสามครั้งเหสือนที่เคยทำกับม้าหลังออกศึก หมาป่าตัวนี้มีมุมน่ารักกว่าที่เธอคิดมันถูหัวของมันกับมือของเรธิเซียและวิ่งเข้าป่าไป มันเหมือนหมาป่า...ที่ควรตัดคำว่าป่าออก...ที่เชื่องมากตัวหนึ่ง เรธิเซียเดินเข้าไปในโดมพร้อมกวาดสายตาหาสิ่งผิดปกติตลอดเวลา มีสิ่งผิดปกติจริงๆ ในตอนแรกชุดของเธอเป็นเสื้อยืดกาบเกงขาสามส่วนเหมือนก่อนเข้าเกม หลังจากเดินเข้าโดมแก่งนี้มาได้สักพักมันก็เปลี่ยนไปเป็นชุดกรีกโบราณที่เธอใส่ตอนฟื้นในป่า ดาบคาตานะถูกเปลี่ยนเป็นธนูและมีดสั้น ทุกอย่างถูกเปลี่ยนเป็นชุดที่เธอชอบที่สุด ที่สำคัญแผลจากหมาป่าโลหะหายหมดแล้ว
     
     
                  เรธิเซียจับธนูในท่าเตรียมพร้อมตลอดเวลา หรี่นัยน์ตาเรียวเล็กอย่างจับผิด เดินไปได้ประมาณสิบนาทีเธอก็เจอห้องๆหนึ่งที่แปะป้ายตรงประตูไว้ว่า 'ยินดีต้อนรับ' เรธิเซียผลักประตูเข้าไป ง้างคันธนูเล็งไปยังกลางห้อง เป้าหมายของเธอคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าซีดเผือดยกมือขึ้นในท่ามอบตัว เรธิเซียถอนหายใจก่อนลดธนูลง 
     
     
    "นายเป็นใคร" เรธิเซียถามขึ้นไม่วายตวัดสายตามองแย่างหาเรื่องทำเอาชายที่หน้าซีดอยู่แล้วซีดลงไปอีก เขาตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ "ผมเป็นnpcที่ดูแลผู้เล่นเริ่มต้นครับ"
     
     
                  เรธิเซียเก็บลูกธนูและสะพายคันธนูไว้ตามเดิม เธอเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงว่า แล้วไงล่ะ ชายคนนั้นมองเธออย่างชื่นชมแม้จะปนความหวาดกลัวด้วยก็เถอะ npcอย่างเขาสามารถจับตาดูผู้เล่นทุกคนที่เข้ามายังที่นี่ได้ แน่นอนเรธิเซียก็ด้วย เขาครั่นคร้ามกับกลยุทธ์อันบ้าระห่ำของเจ้าหญิงนักรบคนนี้มาก ไม่เคยมีใครรอดจากหมาป่าโลหะได้มาก่อน แม้จะรอดมาได้แต่ก็ไม่มีทางมายังสถานที่แห่งนี้ได้เพราะที่นี่ห่างไกลจากจุดเกิดมากอีกทั้งตามทางยังมีกับดักอีกมากมาย มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้....แต่ก็เป็นไปแล้ว
     
     
                   เรธิเซียสามารถรับการโจมตีได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงแขนหักไปแล้วหมาป่าโลหะหนักร่วมร้อยกิโลไม่มีทางที่เด็กผู้หญิงอายุสิบหกจะใช้ดาบบางๆอย่างดาบคาตานะรับการโจมตีได้ แต่ทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับเรธิเซีย นักรบสมัยก่อนคือนักรบผู้มากความสามารถ เธอเคยกวัดแกว่งดาบที่ยาวกว่าตัวเองในสนามรบมาแล้วนี่จึงไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย นอกจากนี้เธอยังสามารถสยบหมาป่าโลหะเหล่านั้นได้โดยไม่ฆ่าและนำมาใช้เป็นยานพาหนะ หมาป่าโลหะคือสัตว์ที่อันตรายที่สุดในพื้นที่แห่งนี้ทำให้ไม่มีสัตว์ตัวอื่นมาหาเรืีอง สัตว์ท้องถิ่นย่อมรู้สภาพแวดล้อมดีทั้งกับดักทั้งพื้นที่ต้องห้ามมันหลีกเลี่ยงได้ในขณะที่ผู้เล่นไม่ ที่น่าทึ่งที่สุดคือเรธิเซียทำราวกับหมาป่าโลหะเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือทำไมเรธิเซียดีดนิ้วแล้วหมาป่าเหล่านั้นถึงหายจากบาดแผล 
     
     
     
     
    "นี่! ถ้าจะพูดแล้วปลุกด้วยแล้วกัน" เรธิเซียพูดอย่างเหลืออด หมอนี่จ้องเธอมาจะสิบนาทีอยู่แล้ว ชายหนุ่มสะดุ้งหันมาทำหน้าเหลอหลาในขณะที่เรธิเซียกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย 
     
     
     
    "อ๊ะ ขอโทษครับ" เขาพูดขึ้น ก่อนสังเกตุเห็นชุดเรธิเซียและถามออกไป "คุณผู้เล่นชอบใส่ชุดนี้เหรอครับ เป็นชุดที่แปลกดีนะครับ"
     
     
     
    เรธิเซียมุ่นหัวคิ้วเอียงคออย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงอธิบาย "โดมนี้ออกแบบให้รักษาบาดแผลอัตโนมัติและเปลี่ยนชุดจากตอนเข้าเกมเป็นชุดที่ผู้เล่นชอบใส่ครับ"
     
     
     
    เรธิเซียร้องอ้อ ยักไหล่ไม่ตอบคำถามเพราะก็รู้อยู่แล้วจะตอบทำไม npcเห็นว่าเด็กสาวไม่คิดจะตอบก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงโบกมือและจอโฮโลแกรมก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าเรธิเซียและชายหนุ่ม 
     
     
    "คุณต้องการใช้ชื่อในเกมว่าอะไรครับ"
     
     
    "เรย์...เรย์นา" 
     
     
    "เรย์นานะครับ ชื่อนี้สามารถใช้ได้"
     
     
    "ต้องการปรับเปลี่ยนหน้าตามั้ยครับ"
     
     
    "สวยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จะเปลี่ยนทำไม" เรย์นาพูดลอยๆ ชายหนุ่มขำเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรเพราะผู้เล่นคนนี้ก็สวยจริงๆ สวยในแบบที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่แล้วคนยุคนี้จะสวยแบบอ่อนหวานแต่กับเรย์นา เธอสวยแบบปราดเปรียว ดูฉลาดเจ้าเล่ห์ มีเสน่ห์
     
     
    "ชุดผู้เล่นเริ่มต้นต้องการเปลี่ยนมั้ยครับ"
     
     
    "ไม่เปลี่ยน"
     
     
    "ครับ กรอกข้อมูลครบหมดแล้ว คุณผู้เล่นมีข้อสงสัยอะไรมั้ยครับ"
     
     
    "มี ผู้เล่นต้องเจอแบบฉันทุกคนเลยรึเปล่า" 
     
     
    "ไม่ทุกคนครับ เฉพาะผู้เล่นที่ซื้อรุ่น Limited Edition ตอนนี้เราจะยกเลิกรายการนี้แล้วเพราะเราต้องการผู้ที่เข้ามาถึงที่นี่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น"
     
     
    "ก่อนหน้าฉันมีใครโดนแบบนี้แล้วบ้าง"
     
     
    "มีใครนี่ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้ากี่คนผมทราบครับ ประมาณพันคน"
     
     
    "พันคนไม่รอดสักคนเนี่ยนะ เหอะ! ตลกน่า แล้วคนที่ซื้อเครื่องเล่นแบบธรรมดาล่ะ"
     
     
    "ผู้เล่นที่ซื้อเครื่องแบบธรรมดาจะถูกส่งมาที่ห้องผู้เล่นเริ่มต้นทันทีครับ"
     
     
    "หา! แล้วLimited Editionมันมีอะไรดีเนี่ย"
     
     
    "ผู้เล่นที่ซื้อเมื่อสามารถมาถึงโดมนี้ได้แบบคุณจะสามารถเลือกชัดได้ตามใจชอบครับ เหมือนที่คุณใส่อยู่ตอนนี้แต่ผู้เล่นที่ซื้อแบบธรรมดาจะสวมเสื้อผู้เล่นเริ่มต้นเหมือนกันหมด และผูเล่นที่ซื้อรุ่นพิเศษจะได้สิทธิไปพื้นที่พิเศษตอนเกิด ในขณะที่ผู้เล่นธรรมดาจะถูกส่งไปที่เดียวกันครับ"
     
     
    "อ้อ อย่างน้อยก็มีข้อดี"
     
     
    "ครับ ผมจะอธิบายเรื่องข้อมูลสัตว์อสูร...."
     
     
    "ไม่ต้อง ฉันอ่านหมดแล้ว" เรย์นาขัด นึกทบทวนสิ่งที่ต้องรู้ เมื่อไม่เห็นว่าขาดเรื่องอะไรก็พูดขึ้น "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ส่งฉันเข้าเกมเลย"
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
                                                 
     
     
     
       #_KuRoKo_ & ~"Fanrasia"~ 
     
    รีไรท์แล้วดีกว่าเดิมหรอคะ ดีใจๆ ขอบคุณค่ะ
     
     
       # SpongyGoldfish 
     
    ขอบคุณพี่ลินที่ช่วยดูเรื่องคำผิดกับการจัดหน้ให้นะคะ เดี๋ยวว่างๆจะแก้
    อุตส่าห์แวบเข้ามาอ่านนิยายของไนท์ด้วย 555 ขอบคุณค่ะ 
     
     
     
     
    ** รายละเอียด **
     
     
     
    สัตว์อสูรถูกแบ่งเป็น 7 ชนชั้น ชาวบ้าน ทหาร ขุนนาง อัศวิน กษัตริย์ จักรพรรดิ เทพเจ้า
     
     
     
    แต่ละชนชั้นถูกแบ่งเป็น 5 คลาส คลาสละ 200 ระดับ
     
     
     
    ผู้เล่นจะมี 6 ชนชั้น ชาวบ้าน ทหาร ขุนนาง อัศวิน กษัตริย์ จักรพรรดิ 
     
     
     
    แต่ละชนชั้นถูกแบ่งเป็น 5 คลาส คลาสละ 200 ระดับเช่นเดียวกับสัตว์อสูร
     
     
     
    เผ่าพันธุ์ สามารถเปลี่ยนได้โดยการพบกับผู้นำเผ่าพันธุ์ของสัตว์อสูร หรือได้รับการบอมรับจากชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ โดยชนชั้นที่สามารถยอมรับผู้เล่นเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันได้นั้นคือ ชนชั้นสูงสุดของอาณาจักรลบด้วย 2 ชน
     
     
     
    - เทพเจ้า ------ กษัตริย์
    - จักรพรรดิ ----- อัศวิน
    - กษัตริย์ ----- ขุนนาง
     
    แต่ละอาณาจักรจะมีชนชั้นสูงสุดในเผ่าพันธุ์ไม่เหมือนกัน
     
    -อาณาจักรขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ ชนชั้นสูงสุดคือ กษัตริย์
     
    -จักรวรรดิ ชนชั้นสูงสุดคือ จักรพรรดิ
     
    -พื้นที่พิเศษ ชนชั้นสูงสุดคือ เทพเจ้า หลักๆมี 3 แห่ง
     
    1.นภา – ซุส / จูปิเตอร์
     
    2.ท้องทะเล  – โพไซดอน / เนปจูน
     
    3.นรกใต้พิภพ – เฮดีส / พลูโต
     
     
     
     
     
    1 ชั่วโมงในโลกจริง = 3 วันในเกม
     
     
     
    วิธีการคิดเงินดรอปในกรณีสัตว์อสูรธรรมดา ถ้าเป็นอีเว้นท์หรือภารกิจอาจแตกต่างจากนี้
     
     
     
    (คลาส+ระดับ) *(ชนชั้น*2)+20%
     
     
     



    BlackForest✿
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×