ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KHR : Tale of Love – Reminiscence of the Olden Times [1896]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องสอบสวน?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 750
      6
      20 เม.ย. 55

    นางิ เด็กสาวที่ถูกรับเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลฮิบาริได้รับมอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติ(?)ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คุณชายตระกูลฮิบาริ และบัดนี้เธอก็มาอยู่ที่หน้าห้องของเขาแล้ว
     
    องครักษ์หนุ่มเปิดประตูให้เด็กสาวก้าวเข้าไปข้างในก่อนจะปิดประตูตามหลังเธอ
     
    นางิยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่แม้ว่าประตูจะปิดลงแล้ว เธอจ้องมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตาไม่กระพริบ
     
    ชายหนุ่มผมสีดำสนิทถือชามมิโสะอยู่ในมือซ้าย บนโต๊ะเตี้ยๆ ตรงหน้ามีจานสองสามใบวางอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังรับประทานมื้อกลางวันอยู่ในห้องคนเดียว
     
    ...ทำไมเธอถึงไม่ฟังบรรยายคนเขียนเลย? แค่เห็นหน้าเขาก็เหม่อซะแล้วเหรอ ช่วยไม่ได้ก็เธอไม่เคยเจอผู้ชายหน้าตาดีอย่างกับผู้หญิงมาก่อนนี่นา...
     
    ชายหนุ่มรับรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องของเขา ดวงตาที่ปราศจากซึ่งความรู้สึกใดๆค่อยๆ เลื่อนไปมองเธออย่างช้าๆ
     
    “...ยืนอยู่ทำไม” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
     
    นางิหลุดจากภวังค์ แก้มสองข้างขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายที่ทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป
     
    “ข—ขออนุญาตเจ้าค่ะ” เธอค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม
     
    ...เงียบ...ไม่มีใครส่งเสียงอะไร...
     
    ชายหนุ่มเพียงดำเนินการรับประทานต่อไปอย่างสงบ สายตาชำเลืองมองเธอเป็นระยะๆ ส่วนเด็กสาวก็แค่ทำอะไรไม่ถูก
              
     
    ราวสองนาทีผ่านไปเขาก็วางถ้วยมิโสะลงและเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน นางิผงะตามเสียงกระทบของก้นถ้วยกับพื้นโต๊ะ รู้ดีว่ามาตรฐานเขาสูงมากจากที่ได้ยินมา เธอรอฟังคำถามที่เหมือนกับการสอบสวนด้วยอาการตื่นตระหนก
     
    “...สวมผ้าปิดตาทำไม?”
     
    ...
     
    .....
     
    หา? คำถามแรกของเขาคือนี่เหรอ? ทำไมมันไม่ใช่คำถามเบสิคๆ แบบ ‘เธอเป็นใคร?’ หรือว่า ‘เธอทำอะไรได้บ้าง?’ กันล่ะ? แต่จะงงแค่ไหนนางิก็ต้องตอบไปตามความจริง
     
    “เอ๋? ค—คือว่ามัน...น่าอายนิดหน่อยนะเจ้าคะ ตอนฉัน—“
     
    “ถ้างั้นก็ไม่ต้องบอก”
     
    ...
     
    .....
     
    แล้วทำไมเขาไม่รอฟังคำตอบ? ถ้าไม่ได้สนใจขนาดนั้นก็อย่าถามแต่แรกสิฟะ...(ไม่ใช่ความคิดของเธอหรอก ความคิดคนเขียนนี่แหละ)
     
    “ค—ค่ะ...” นางิรู้สึกร้อนใจหนักขึ้นไปอีก เธอคิดว่าตัวเองเผลอทำอะไรไม่ถูกใจเขา
     
    ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเธอต่อไปเหมือนกับพยายามจับผิด ด้วยสายตาแบบเดียวกับองครักษ์หนุ่มผมดำแต่ไม่มีรังสีอำมหิต มันยิ่งทำให้เธอประหม่ามากขึ้นไปอีก
     
    “...ไม่คิดจะแนะนำตัวรึไง?”
     
    “ข—ข้าน้อยมีนามว่าฟูจิยูกิ นางิเจ้าค่ะ” เธอลนลานแนะนำตัวด้วยความเขินอายที่ไม่รู้มาจากไหนมากมาย
     
    “...แล้วมีธุระอะไร?”
     
    “...เอ๋?” เธองงสนิท ไม่ใช่ว่าเขารู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าเธอจะต้องมา?
     
    “ตอบคำถามของฉัน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่กลับส่งแรงกดดันออกมามากอย่างไม่น่าเชื่อ
     
    “ข้าน้อย...เป็นย—หญิงรับใช้ของท่านเจ้าค่ะ!...” เธอตอบออกไปตรงๆ ในใจก็เตรียมรับคำติเตียนที่อาจจะตามมาแบบไม่มีปราณี
     
    “...โกซาบุโร่ส่งเธอมาใช่รึเปล่า?”
     
    “เอ๋? เอ่อ เจ้าค่ะ” ดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะทำอะไรผิดคาดเธอตลอด
     
    “ทำไมเธอถึงทำตามที่โกซาบุโร่สั่ง?”
     
    นางิรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่ชายหนุ่มเรียกบิดาของตัวเองห้วนๆ แต่เธอก็ไม่กล้าถามออกไป
     
    “ท่านโกซาบุโร่ซ—ซื้อข้าน้อยมาเจ้าค่ะ...” เธออธิบายแบบอ้อมๆ ไม่เป็นจึงตอบตรงๆ แม้ในใจจะกลัวโดนดูถูกเหยียดหยามก็ตาม
     
    “รัฐบาลประกาศเลิกทาสไปแล้ว ทำไมเธอถึงยังถูกขายอีก?” ในที่สุดคำถามเบสิคก็มาถึง แม้จะไม่ตรงตัวเป๊ะๆ แต่ก็เป็นการถามถึงประวัติว่าเธอเป็นใคร
     
    “ตระกูลของข้าน้อยถูกรัฐบาลยึดทรัพย์สิน ท่านแม่จึงขายข้าน้อยให้กับที่นี่อย่างลับๆ เจ้าค่ะ...”
     
    “ยังงั้นเหรอ ขุนนางฝ่ายบากุฟุสินะ” ชายหนุ่มทำความเข้าใจอย่างรวดเร็ว และเริ่มคำถามต่อไป
     
    “สีผมกับสีตาของเธอ...” เป็นคำถามที่เธอไม่ต้องการที่สุด แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
     
    “บิดาของข้าน้อย...เป็นชาวอิตาลีเจ้าค่ะ...”
     
    “ตระกูลขุนนางยอมรับการแต่งงานกับต่างชาติด้วยเหรอ?”
     
    “...”
     
    เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่ยอมตอบ เขาจึงทำความเข้าใจด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
     
    ...ความเงียบเข้าโอบล้อมทั้งสองคนอีกครั้ง...
     
    และคำถามที่ตามมาหลังจากเวลาสามนาทีที่นางิรู้สึกว่านานนับปีก็คือ
     
    “...ทำไมถึงสวมผ้าปิดตา?”
     
    ...
     
    .....
     
    คล้ายๆ...ว่าเขาจะถามคำถามนี้ไปแล้ว ถึงคำพูดจะไม่เหมือนกันเป๊ะแต่ก็ถามแบบเดียวกัน แล้วเขาก็เป็นฝ่ายตัดบทเองด้วย
     
    “เป็นอุบัติเหตุสมัยเด็กเจ้าค่ะ” เธอตอบแบบไม่ลงรายละเอียดมาก
     
    “แล้วมันน่าอายตรงไหน?”
     
    “คือ...คือว่าข้าน้อย...ถูกรถม้าชนเพราะ...จะออกไปช่วยแมวเจ้าค่ะ...” เธอตอบเสียงตะกุกตะกัก ถึงเธอจะไม่เสียใจที่วิ่งออกไปตอนนั้นแต่การเสียตาไปข้างหนึ่งเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจซักเท่าไร
     
    “เหรอ...” ชายหนุ่มพูดแค่นั้นก็เงียบไป นั่งนิ่งครุ่นคิดราวกับกำลังหาคำถามมาทดสอบเธอ
     
    “ถ้าอย่างนั้น...เธอคิดว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีแค่ไหน?” คำถามที่เหมือนกับการสอบสัมภาษณ์มาถึงเธอในที่สุด
     
    “ข้าน้อย...จะพยายามอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ” เธอใช้คำตอบเดิม แต่พูดกับชายหนุ่มคนนี้ยากกว่าครั้งแรกมากมายนัก
     
    “แค่สุดความสามารถเหรอ? ความมั่นใจล่ะ?”
     
    “คือว่าข้าน้อย...” นางิไม่กล้าบอกความจริงหรอกว่า ‘แทบจะไม่มี’
     
    “...เธอทำอะไรได้บ้าง?”
     
    “งานบ้านงานเรือน...ข้าน้อยพอทำได้เจ้าค่ะ...” เธอเรียนภาคทฤษฎีกับปฏิบัติมาบ้าง “หากท่านมีประสงค์อื่นใดก็บอกข้าน้อยได้เจ้าค่ะ”
     
    “คิดว่าจะทำให้ฉันพอใจได้แค่ไหน?”
     
    ...
     
    “เอ๋?” เธอไม่เข้าใจคำถามแม้แต่น้อย
     
    “เธอคิดว่าเธอจะใช้ความเป็นผู้หญิงทำให้ผู้ชายพอใจได้มากแค่ไหน?” คำถามขยายขึ้นทำให้คนส่วนใหญ่—รวมทั้งเด็กสาว—เข้าใจ
     
    นางิรู้สึกว่าเลือดที่แล่นขึ้นใบหน้าของตัวเองกำลังเดือด สีแดงได้ยึดครองพื้นที่บนใบหน้าของเธอไปกว่า 90% เว้นแต่ดวงตาเท่านั้นที่ยังเป็นสีม่วงอเมธิสต์อยู่
     
    “ค—คือว่า...! ข้าน้อย...! ข้าน้อยไม่—! เอ่อ...” สมองเธอรวนจนไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
     
    ชายหนุ่มสังเกตปฏิกิริยาของเด็กสาวอย่างใจเย็น และก่อนที่นางิจะหมดสติจากอุณหภูมิใบหน้าที่สูงเกินขีดจำกัดเขาก็เอ่ยขึ้น
     
    “เอาเป็นว่า...เธอทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”
     
    “ค—ค่ะ!” นางิไม่อยากอายไปมากกว่านี้จึงยอมรับอย่างว่าง่าย
     
    และแล้วคำถามที่ยิงเป็นชุดๆ ก็จบลงด้วยข้อสรุปที่...ไม่คุ้มเวลาที่เสียไปซักเท่าไร...เดี๋ยวนะ...
     
    “ม—หมายความว่าท่าน...ข้าน้อย...?” นางิไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไปเพราะกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วมันจะไม่เป็นความจริง
     
    “ถ้าคิดจะรับหน้าที่นี้ต่อไปก็พยายามอย่าถามอะไรเยิ่นเย้อ ฉันไม่ชอบพูดมาก”
     
    วินาทีนั้นเองที่เธอมั่นใจ ว่าปาฏิหาริย์มีจริง คุณชายตระกูลฮิบาริที่ว่ากันว่าไม่ยอมให้หญิงใดเข้าใกล้เพิ่งจะเอ่ยปากยอมรับเธอ
     
    “ป—เป็นกระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ!” เธอกราบลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้นยินดี แล้วเธอก็ได้รู้สึกตัวว่า...
     
    “เอ่อ แต่ว่า...ท่าน...ท่าน...”
     
    ชายหนุ่มผู้มีความสามารถในการสันนิษฐานอันล้ำเลิศเข้าใจสิ่งที่เด็กสาวพยายามบอกได้ทั้งที่มันไม่เป็นประโยคด้วยซ้ำ
     
    “จะเป็นหญิงรับใช้แต่กลับไม่รู้ชื่อของนาย ไม่คิดว่ามันเป็นความบกพร่องบ้างเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่ได้ใส่ความรู้สึกใดๆ ลงไปแต่เด็กสาวก็รู้สึกว่าเธอถูกกดดันด้วยแรงมหาศาล
     
    “ข—ข้าน้อยขออภัย!” เธอลนลานกล่าวขอโทษ
     
    “[ฮิบาริ เคียวยะ]”
     
    “ท—ท่านเคียวยะ...?” เธอมองหน้าอีกฝ่ายเป็นขออนุญาต
     
    “อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ” ฮิบาริตอบอย่างไม่ใส่ใจ
     
    “ข—ขอบพระคุณเจ้าค่ะ!” เธอเอ่ยขอบคุณด้วยความโล่งใจ ดูเหมือนว่าถ้าเธอจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปเธอก็ต้องรับสถานการณ์ทรมานประสาทแบบนี้ให้ได้
     
    “มีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอควรรู้ไว้ ห้องพักของเธอคือห้องนี้”
     
    ...
     
    คำพูดเรียบๆ ราวกับไม่ใส่ใจของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวตกอยู่ในสถานะที่ใกล้เคียงกับคำว่าช็อก
     
    “ห—ห้องนี้!?”
     
    สมองเธอคิดไปถึงประเด็นสนทนาที่เกือบทำเธอเป็นลมเมื่อครู่ แล้วใบหน้าของเธอก็แดงเถือกอีกครั้ง
     
    “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอกับรอยแสยะยิ้มที่มุมปากของฮิบาริไม่ได้ช่วยอะไรเธอขึ้นมาเลย นอกจาก...
     
    ตุบ
     
    ...ช่วยตัดฟางเส้นสุดท้ายให้เธอหมดสติคาพื้นเสื่อ
     
    ฮิบาริจ้องมองเด็กสาวที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องด้วยแววตาเป็นนัย
     
    ‘...ผู้หญิงคนนี้คงจะใช้ได้...’
     
    --
     
    แนะนำตัวละคร
     
      
    ฮิบาริ เคียวยะ
    เผ่าพันธุ์ : เทพบุตรสุดโหด (ล้อเล่น มนุษย์ตะหาก)
    เพศ : ชาย
    อายุ : 19 ปี
    ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร
    น้ำหนัก : 62 กิโลกรัม
    ชอบ : แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก, สัตว์เล็กสัตว์น้อยและเด็กๆ, อะไรที่มันญี่ปุ่นๆ
    เกลียด : เสียงดัง, ฝูงชน, การถูกขัดขวาง, [พวกสัตว์กินพืช]
     
    ข้อมูล : คุณชายตระกูลฮิบาริและเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป เติบโตขึ้นมาโดยยอมทำตามคำสั่งโกซาบุโร่แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม สาเหตุเป็นเพราะรักเกียรติและศักดิ์ศรีมาก เมื่อไม่สามารถเอาชนะอาเคซากะในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของโกซาบุโร่ตามสัญญาที่ทำไว้และความเชื่อในคอนเซปท์ ‘ผู้ล่าและเหยื่อ’ เมื่อใดที่สามารถเอาชนะองครักษ์หนุ่มได้เมื่อนั้นเขาจะได้รับอิสระอย่างแท้จริง ในวันที่เขาอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ถ้าหากเขายังไม่สามารถเอาชนะอาเคซากะในการต่อสู้ตัวต่อตัวได้เขาจะเสียสิทธิ์ในการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปตามประเพณี(หัวหน้าตระกูลต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด)
     
    สุขุมเยือกเย็นและรอบคอบ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมุทะลุได้อย่างไม่น่าเชื่อ หงุดหงิดง่าย เชื่อคนยาก แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นสองประเภทคือ [สัตว์กินพืช] ที่อ่อนแอ ชอบรวมกลุ่ม และสนใจแต่เอาตัวรอด [สัตว์กินเนื้อ] ที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งใคร และเป็นฝ่ายล่าสัตว์กินพืช และประเภทพิเศษ [สัตว์เล็กสัตว์น้อย] รวมไปถึงตัวอ่อนของสัตว์หลายชนิด ที่อ่อนแอและต้องการการปกป้อง เขาจัดคนรอบตัวส่วนใหญ่เป็นประเภทแรก ตัวเองและองครักษ์หนุ่มเป็นประเภทที่สอง และนอกจากที่กล่าวไว้ข้างต้น(สัตว์เล็กเด็กน้อย)แล้ว เขายังรู้สึกถึงออร่าของ ‘ประเภทที่สาม’ จากตัวของหญิงรับใช้คนใหม่ของเขาด้วย ถึงแม้ว่าทางกายภาพเธอจะเข้าข่าย ‘ประเภทที่หนึ่ง’ เต็มร้อยก็ตาม
     
    *หมายเหตุ : อาหารที่ฮิบาริชอบ ตามแฟนบุ๊คคือ “ฮัมบากุ” (han-baa-gu) เป็นคาตาคานะหมายความว่าต้องอ่านแบบภาษาต่างประเทศ(ในที่นี้คืออังกฤษ) แปลเสียงได้ว่า “แฮมเบิร์ก” ซึ่งตัดมาจาก [แฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก] อาหารที่มีถิ่นกำเนิดคือประเทศญี่ปุ่น เป็นเนื้อทอดกับส่วนผสมอื่นๆ(แล้วแต่สูตร)จากนั้นจึงราดซอสชนิดต่างๆ ลงไป(แล้วแต่สูตร) ส่วนสำคัญที่แยกออกจากแฮมเบอร์เกอร์ก็คือ “ไม่มีขนมปังประกบ” และ อย่าสับสนกับ [แฮมเบิร์ก สเต็ก] แม้ว่าจะรูปร่างคล้ายกัน อันนั้นมีถิ่นกำเนิดที่เมืองฮัมบูร์กของของเยอรมณี ไม่เกี่ยวอะไรกับที่ญี่ปุ่น
     
    ...แต่ทางตะวันตกเองบางคนก็ยังเข้าใจว่า [แฮมเบอร์เกอร์] ในภาษาญี่ปุ่นนั้นเป็นอันเดียวกับ [แฮมเบอร์เกอร์] ที่เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดอเมริกัน(อาจต้องโทษคนแปลเป็นอังกฤษที่ไม่มีความรู้) [แฮมเบอร์เกอร์] ที่เป็นฟาสต์ฟู้ดนั้น อ่านเป็นคาตาคานะว่า “ฮัมบากะ” (han-ba-ga) ซึ่งถ้าแปลเสียงเป็นอังกฤษก็คือ “แฮมเบอร์เกอร์” ตรงตัว
     
    (คำอธิบายนั้นสามารถพิสูจน์ได้ แค่ไปหาในกูเกิ้ลก็จะรู้ ส่วนวิธีการอ่านเสียงคาตาคานะนั้น คนเขียนเรียนมาและสามารถอ่าน/แปลเสียงได้)
     
    --
     
    R:”จบช่วงแนะนำแล้ว”
     
    DX:”ตอนนี้คุยกันอย่างเดียวเลยเหรอ?”
     
    R:”มันต้องเร่งให้รู้เรื่อง เพราะเนื้อเรื่องจริงคือจากนี้ไป จะเห็นตัวละครบางตัวเข้ามาผสมโรงกันตามใจคนเขียน อย่างเช่น [ฮิเบิร์ด] นี่ยังไงก็ต้องมี แต่ตอนนี้ยังไม่มี รอดูว่าตอนไหนจะออก”

    DX:”ฟิค Another Universe คนละมิติกับเรื่องต้นแบบ การที่เขียนฟิคประเภทนี้ขึ้นมาก็หมายความว่าคนเขียนต้องการจะละเลงให้มันมือ”

    R:”ว้ายตายแล้ว! รู้ได้ไงฮ้า!?”

    DX:”...ท่าทางสนุกมากเลยนะ”
     
    R:”...ใช่ นู้กหนุก!”
     
    --

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×