ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องสอบสวน?
นางิ เด็กสาวที่ถูกรับเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลฮิบาริได้รับมอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติ(?)ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คุณชายตระกูลฮิบาริ และบัดนี้เธอก็มาอยู่ที่หน้าห้องของเขาแล้ว
องครักษ์หนุ่มเปิดประตูให้เด็กสาวก้าวเข้าไปข้างในก่อนจะปิดประตูตามหลังเธอ
นางิยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่แม้ว่าประตูจะปิดลงแล้ว เธอจ้องมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตาไม่กระพริบ
ชายหนุ่มผมสีดำสนิทถือชามมิโสะอยู่ในมือซ้าย บนโต๊ะเตี้ยๆ ตรงหน้ามีจานสองสามใบวางอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังรับประทานมื้อกลางวันอยู่ในห้องคนเดียว ...ทำไมเธอถึงไม่ฟังบรรยายคนเขียนเลย? แค่เห็นหน้าเขาก็เหม่อซะแล้วเหรอ ช่วยไม่ได้ก็เธอไม่เคยเจอผู้ชายหน้าตาดีอย่างกับผู้หญิงมาก่อนนี่นา... ชายหนุ่มรับรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องของเขา ดวงตาที่ปราศจากซึ่งความรู้สึกใดๆค่อยๆ เลื่อนไปมองเธออย่างช้าๆ “...ยืนอยู่ทำไม” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ นางิหลุดจากภวังค์ แก้มสองข้างขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายที่ทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป “ขขออนุญาตเจ้าค่ะ” เธอค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม ...เงียบ...ไม่มีใครส่งเสียงอะไร... ชายหนุ่มเพียงดำเนินการรับประทานต่อไปอย่างสงบ สายตาชำเลืองมองเธอเป็นระยะๆ ส่วนเด็กสาวก็แค่ทำอะไรไม่ถูก |
ราวสองนาทีผ่านไปเขาก็วางถ้วยมิโสะลงและเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน นางิผงะตามเสียงกระทบของก้นถ้วยกับพื้นโต๊ะ รู้ดีว่ามาตรฐานเขาสูงมากจากที่ได้ยินมา เธอรอฟังคำถามที่เหมือนกับการสอบสวนด้วยอาการตื่นตระหนก
“...สวมผ้าปิดตาทำไม?”
...
.....
หา? คำถามแรกของเขาคือนี่เหรอ? ทำไมมันไม่ใช่คำถามเบสิคๆ แบบ ‘เธอเป็นใคร?’ หรือว่า ‘เธอทำอะไรได้บ้าง?’ กันล่ะ? แต่จะงงแค่ไหนนางิก็ต้องตอบไปตามความจริง
“เอ๋? คคือว่ามัน...น่าอายนิดหน่อยนะเจ้าคะ ตอนฉัน“
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องบอก”
...
.....
แล้วทำไมเขาไม่รอฟังคำตอบ? ถ้าไม่ได้สนใจขนาดนั้นก็อย่าถามแต่แรกสิฟะ...(ไม่ใช่ความคิดของเธอหรอก ความคิดคนเขียนนี่แหละ)
“คค่ะ...” นางิรู้สึกร้อนใจหนักขึ้นไปอีก เธอคิดว่าตัวเองเผลอทำอะไรไม่ถูกใจเขา
ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเธอต่อไปเหมือนกับพยายามจับผิด ด้วยสายตาแบบเดียวกับองครักษ์หนุ่มผมดำแต่ไม่มีรังสีอำมหิต มันยิ่งทำให้เธอประหม่ามากขึ้นไปอีก
“...ไม่คิดจะแนะนำตัวรึไง?”
“ขข้าน้อยมีนามว่าฟูจิยูกิ นางิเจ้าค่ะ” เธอลนลานแนะนำตัวด้วยความเขินอายที่ไม่รู้มาจากไหนมากมาย
“...แล้วมีธุระอะไร?”
“...เอ๋?” เธองงสนิท ไม่ใช่ว่าเขารู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าเธอจะต้องมา?
“ตอบคำถามของฉัน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่กลับส่งแรงกดดันออกมามากอย่างไม่น่าเชื่อ
“ข้าน้อย...เป็นยหญิงรับใช้ของท่านเจ้าค่ะ!...” เธอตอบออกไปตรงๆ ในใจก็เตรียมรับคำติเตียนที่อาจจะตามมาแบบไม่มีปราณี
“...โกซาบุโร่ส่งเธอมาใช่รึเปล่า?”
“เอ๋? เอ่อ เจ้าค่ะ” ดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะทำอะไรผิดคาดเธอตลอด
“ทำไมเธอถึงทำตามที่โกซาบุโร่สั่ง?”
นางิรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่ชายหนุ่มเรียกบิดาของตัวเองห้วนๆ แต่เธอก็ไม่กล้าถามออกไป
“ท่านโกซาบุโร่ซซื้อข้าน้อยมาเจ้าค่ะ...” เธออธิบายแบบอ้อมๆ ไม่เป็นจึงตอบตรงๆ แม้ในใจจะกลัวโดนดูถูกเหยียดหยามก็ตาม
“รัฐบาลประกาศเลิกทาสไปแล้ว ทำไมเธอถึงยังถูกขายอีก?” ในที่สุดคำถามเบสิคก็มาถึง แม้จะไม่ตรงตัวเป๊ะๆ แต่ก็เป็นการถามถึงประวัติว่าเธอเป็นใคร
“ตระกูลของข้าน้อยถูกรัฐบาลยึดทรัพย์สิน ท่านแม่จึงขายข้าน้อยให้กับที่นี่อย่างลับๆ เจ้าค่ะ...”
“ยังงั้นเหรอ ขุนนางฝ่ายบากุฟุสินะ” ชายหนุ่มทำความเข้าใจอย่างรวดเร็ว และเริ่มคำถามต่อไป
“สีผมกับสีตาของเธอ...” เป็นคำถามที่เธอไม่ต้องการที่สุด แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
“บิดาของข้าน้อย...เป็นชาวอิตาลีเจ้าค่ะ...”
“ตระกูลขุนนางยอมรับการแต่งงานกับต่างชาติด้วยเหรอ?”
“...”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่ยอมตอบ เขาจึงทำความเข้าใจด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
...ความเงียบเข้าโอบล้อมทั้งสองคนอีกครั้ง...
และคำถามที่ตามมาหลังจากเวลาสามนาทีที่นางิรู้สึกว่านานนับปีก็คือ
“...ทำไมถึงสวมผ้าปิดตา?”
...
.....
คล้ายๆ...ว่าเขาจะถามคำถามนี้ไปแล้ว ถึงคำพูดจะไม่เหมือนกันเป๊ะแต่ก็ถามแบบเดียวกัน แล้วเขาก็เป็นฝ่ายตัดบทเองด้วย
“เป็นอุบัติเหตุสมัยเด็กเจ้าค่ะ” เธอตอบแบบไม่ลงรายละเอียดมาก
“แล้วมันน่าอายตรงไหน?”
“คือ...คือว่าข้าน้อย...ถูกรถม้าชนเพราะ...จะออกไปช่วยแมวเจ้าค่ะ...” เธอตอบเสียงตะกุกตะกัก ถึงเธอจะไม่เสียใจที่วิ่งออกไปตอนนั้นแต่การเสียตาไปข้างหนึ่งเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจซักเท่าไร
“เหรอ...” ชายหนุ่มพูดแค่นั้นก็เงียบไป นั่งนิ่งครุ่นคิดราวกับกำลังหาคำถามมาทดสอบเธอ
“ถ้าอย่างนั้น...เธอคิดว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีแค่ไหน?” คำถามที่เหมือนกับการสอบสัมภาษณ์มาถึงเธอในที่สุด
“ข้าน้อย...จะพยายามอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ” เธอใช้คำตอบเดิม แต่พูดกับชายหนุ่มคนนี้ยากกว่าครั้งแรกมากมายนัก
“แค่สุดความสามารถเหรอ? ความมั่นใจล่ะ?”
“คือว่าข้าน้อย...” นางิไม่กล้าบอกความจริงหรอกว่า ‘แทบจะไม่มี’
“...เธอทำอะไรได้บ้าง?”
“งานบ้านงานเรือน...ข้าน้อยพอทำได้เจ้าค่ะ...” เธอเรียนภาคทฤษฎีกับปฏิบัติมาบ้าง “หากท่านมีประสงค์อื่นใดก็บอกข้าน้อยได้เจ้าค่ะ”
“คิดว่าจะทำให้ฉันพอใจได้แค่ไหน?”
...
“เอ๋?” เธอไม่เข้าใจคำถามแม้แต่น้อย
“เธอคิดว่าเธอจะใช้ความเป็นผู้หญิงทำให้ผู้ชายพอใจได้มากแค่ไหน?” คำถามขยายขึ้นทำให้คนส่วนใหญ่รวมทั้งเด็กสาวเข้าใจ
นางิรู้สึกว่าเลือดที่แล่นขึ้นใบหน้าของตัวเองกำลังเดือด สีแดงได้ยึดครองพื้นที่บนใบหน้าของเธอไปกว่า 90% เว้นแต่ดวงตาเท่านั้นที่ยังเป็นสีม่วงอเมธิสต์อยู่
“คคือว่า...! ข้าน้อย...! ข้าน้อยไม่! เอ่อ...” สมองเธอรวนจนไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
ชายหนุ่มสังเกตปฏิกิริยาของเด็กสาวอย่างใจเย็น และก่อนที่นางิจะหมดสติจากอุณหภูมิใบหน้าที่สูงเกินขีดจำกัดเขาก็เอ่ยขึ้น
“เอาเป็นว่า...เธอทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”
“คค่ะ!” นางิไม่อยากอายไปมากกว่านี้จึงยอมรับอย่างว่าง่าย
และแล้วคำถามที่ยิงเป็นชุดๆ ก็จบลงด้วยข้อสรุปที่...ไม่คุ้มเวลาที่เสียไปซักเท่าไร...เดี๋ยวนะ...
“มหมายความว่าท่าน...ข้าน้อย...?” นางิไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไปเพราะกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วมันจะไม่เป็นความจริง
“ถ้าคิดจะรับหน้าที่นี้ต่อไปก็พยายามอย่าถามอะไรเยิ่นเย้อ ฉันไม่ชอบพูดมาก”
วินาทีนั้นเองที่เธอมั่นใจ ว่าปาฏิหาริย์มีจริง คุณชายตระกูลฮิบาริที่ว่ากันว่าไม่ยอมให้หญิงใดเข้าใกล้เพิ่งจะเอ่ยปากยอมรับเธอ
“ปเป็นกระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ!” เธอกราบลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้นยินดี แล้วเธอก็ได้รู้สึกตัวว่า...
“เอ่อ แต่ว่า...ท่าน...ท่าน...”
ชายหนุ่มผู้มีความสามารถในการสันนิษฐานอันล้ำเลิศเข้าใจสิ่งที่เด็กสาวพยายามบอกได้ทั้งที่มันไม่เป็นประโยคด้วยซ้ำ
“จะเป็นหญิงรับใช้แต่กลับไม่รู้ชื่อของนาย ไม่คิดว่ามันเป็นความบกพร่องบ้างเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่ได้ใส่ความรู้สึกใดๆ ลงไปแต่เด็กสาวก็รู้สึกว่าเธอถูกกดดันด้วยแรงมหาศาล
“ขข้าน้อยขออภัย!” เธอลนลานกล่าวขอโทษ
“[ฮิบาริ เคียวยะ]”
“ทท่านเคียวยะ...?” เธอมองหน้าอีกฝ่ายเป็นขออนุญาต
“อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ” ฮิบาริตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ขขอบพระคุณเจ้าค่ะ!” เธอเอ่ยขอบคุณด้วยความโล่งใจ ดูเหมือนว่าถ้าเธอจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปเธอก็ต้องรับสถานการณ์ทรมานประสาทแบบนี้ให้ได้
“มีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอควรรู้ไว้ ห้องพักของเธอคือห้องนี้”
...
คำพูดเรียบๆ ราวกับไม่ใส่ใจของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวตกอยู่ในสถานะที่ใกล้เคียงกับคำว่าช็อก
“หห้องนี้!?”
สมองเธอคิดไปถึงประเด็นสนทนาที่เกือบทำเธอเป็นลมเมื่อครู่ แล้วใบหน้าของเธอก็แดงเถือกอีกครั้ง
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอกับรอยแสยะยิ้มที่มุมปากของฮิบาริไม่ได้ช่วยอะไรเธอขึ้นมาเลย นอกจาก...
ตุบ
...ช่วยตัดฟางเส้นสุดท้ายให้เธอหมดสติคาพื้นเสื่อ
ฮิบาริจ้องมองเด็กสาวที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องด้วยแววตาเป็นนัย
‘...ผู้หญิงคนนี้คงจะใช้ได้...’
--
แนะนำตัวละคร
ฮิบาริ เคียวยะ
เผ่าพันธุ์ : เทพบุตรสุดโหด (ล้อเล่น มนุษย์ตะหาก)
เพศ : ชาย
อายุ : 19 ปี
ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 62 กิโลกรัม
ชอบ : แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก, สัตว์เล็กสัตว์น้อยและเด็กๆ, อะไรที่มันญี่ปุ่นๆ
เกลียด : เสียงดัง, ฝูงชน, การถูกขัดขวาง, [พวกสัตว์กินพืช]
ข้อมูล : คุณชายตระกูลฮิบาริและเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป เติบโตขึ้นมาโดยยอมทำตามคำสั่งโกซาบุโร่แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม สาเหตุเป็นเพราะรักเกียรติและศักดิ์ศรีมาก เมื่อไม่สามารถเอาชนะอาเคซากะในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของโกซาบุโร่ตามสัญญาที่ทำไว้และความเชื่อในคอนเซปท์ ‘ผู้ล่าและเหยื่อ’ เมื่อใดที่สามารถเอาชนะองครักษ์หนุ่มได้เมื่อนั้นเขาจะได้รับอิสระอย่างแท้จริง ในวันที่เขาอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ถ้าหากเขายังไม่สามารถเอาชนะอาเคซากะในการต่อสู้ตัวต่อตัวได้เขาจะเสียสิทธิ์ในการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปตามประเพณี(หัวหน้าตระกูลต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด)
สุขุมเยือกเย็นและรอบคอบ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมุทะลุได้อย่างไม่น่าเชื่อ หงุดหงิดง่าย เชื่อคนยาก แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นสองประเภทคือ [สัตว์กินพืช] ที่อ่อนแอ ชอบรวมกลุ่ม และสนใจแต่เอาตัวรอด [สัตว์กินเนื้อ] ที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งใคร และเป็นฝ่ายล่าสัตว์กินพืช และประเภทพิเศษ [สัตว์เล็กสัตว์น้อย] รวมไปถึงตัวอ่อนของสัตว์หลายชนิด ที่อ่อนแอและต้องการการปกป้อง เขาจัดคนรอบตัวส่วนใหญ่เป็นประเภทแรก ตัวเองและองครักษ์หนุ่มเป็นประเภทที่สอง และนอกจากที่กล่าวไว้ข้างต้น(สัตว์เล็กเด็กน้อย)แล้ว เขายังรู้สึกถึงออร่าของ ‘ประเภทที่สาม’ จากตัวของหญิงรับใช้คนใหม่ของเขาด้วย ถึงแม้ว่าทางกายภาพเธอจะเข้าข่าย ‘ประเภทที่หนึ่ง’ เต็มร้อยก็ตาม
*หมายเหตุ : อาหารที่ฮิบาริชอบ ตามแฟนบุ๊คคือ “ฮัมบากุ” (han-baa-gu) เป็นคาตาคานะหมายความว่าต้องอ่านแบบภาษาต่างประเทศ(ในที่นี้คืออังกฤษ) แปลเสียงได้ว่า “แฮมเบิร์ก” ซึ่งตัดมาจาก [แฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก] อาหารที่มีถิ่นกำเนิดคือประเทศญี่ปุ่น เป็นเนื้อทอดกับส่วนผสมอื่นๆ(แล้วแต่สูตร)จากนั้นจึงราดซอสชนิดต่างๆ ลงไป(แล้วแต่สูตร) ส่วนสำคัญที่แยกออกจากแฮมเบอร์เกอร์ก็คือ “ไม่มีขนมปังประกบ” และ อย่าสับสนกับ [แฮมเบิร์ก สเต็ก] แม้ว่าจะรูปร่างคล้ายกัน อันนั้นมีถิ่นกำเนิดที่เมืองฮัมบูร์กของของเยอรมณี ไม่เกี่ยวอะไรกับที่ญี่ปุ่น
...แต่ทางตะวันตกเองบางคนก็ยังเข้าใจว่า [แฮมเบอร์เกอร์] ในภาษาญี่ปุ่นนั้นเป็นอันเดียวกับ [แฮมเบอร์เกอร์] ที่เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดอเมริกัน(อาจต้องโทษคนแปลเป็นอังกฤษที่ไม่มีความรู้) [แฮมเบอร์เกอร์] ที่เป็นฟาสต์ฟู้ดนั้น อ่านเป็นคาตาคานะว่า “ฮัมบากะ” (han-ba-ga) ซึ่งถ้าแปลเสียงเป็นอังกฤษก็คือ “แฮมเบอร์เกอร์” ตรงตัว
(คำอธิบายนั้นสามารถพิสูจน์ได้ แค่ไปหาในกูเกิ้ลก็จะรู้ ส่วนวิธีการอ่านเสียงคาตาคานะนั้น คนเขียนเรียนมาและสามารถอ่าน/แปลเสียงได้)
--
R:”จบช่วงแนะนำแล้ว”
DX:”ตอนนี้คุยกันอย่างเดียวเลยเหรอ?”
R:”มันต้องเร่งให้รู้เรื่อง เพราะเนื้อเรื่องจริงคือจากนี้ไป จะเห็นตัวละครบางตัวเข้ามาผสมโรงกันตามใจคนเขียน อย่างเช่น [ฮิเบิร์ด] นี่ยังไงก็ต้องมี แต่ตอนนี้ยังไม่มี รอดูว่าตอนไหนจะออก”
DX:”ฟิค Another Universe คนละมิติกับเรื่องต้นแบบ การที่เขียนฟิคประเภทนี้ขึ้นมาก็หมายความว่าคนเขียนต้องการจะละเลงให้มันมือ”
R:”ว้ายตายแล้ว! รู้ได้ไงฮ้า!?”
DX:”...ท่าทางสนุกมากเลยนะ”
R:”...ใช่ นู้กหนุก!”
--
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น