ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อสรพิษที่รัก [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : - -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.08K
      16
      25 พ.ค. 49

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในสากลโลกที่ลูกนับถือ ศาลงูเจ้ารวมถึงเหล่างูทั้งหลาย โปรดรับการสักการะจากลูกผู้แต่ง…ด้วยเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่และบุคคลรวมถึงงูเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ หากมีสิ่งใดผิดพลาดโปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเถิดค่ะ...สาธุ!


    ตอนที่ 1


    "เฮ้ย! ค่อย ๆ กินสิวะ ของมันหายากนะโว้ย…เอ็งเล่นกินไม่สนใจคนเหนื่อยยากเสี่ยงตายแบบนี้ คราวต่อไปข้าจะไม่แบ่งจริง ๆ นะเอ้าไอ้แหลม" เสียงต่อว่าต่อขานเพื่อร่วมวงสุรา ทำให้เด็กชายภิมุขที่กำลังเดินผ่านกลุ่มคนงานต้องหยุดฟังด้วยความสงสัย

    ดวงตากลมโตเหลือบแลไปที่กลางวงเหล้า เห็นเพียงห่อผ้าสีขาวขมุกขมัววางอยู่ พร้อมกับที่ลุงเมฆเอี้ยวตัวหันเอาก้อนกลม ๆ ที่ดูเหมือน 'ไข่' อะไรสักอย่างมาวางไว้ด้านหลัง เด็กชายวัยสิบสี่ขวบประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว พลันนึกตกใจว่ากลุ่มคนงานก่อสร้างเหล่านี้คงพรากไข่ของตัวอะไรสักอย่างมาจากอ้อมอกแม่มันเป็นแน่...

    เร็วเท่าความคิด...เด็กชายลูกเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างก็วิ่งไปหยิบ 'ไข่' ดังกล่าว วิ่งออกไปทางสวนหลังบ้านโดยที่คนในวงสุราทำได้แค่เพียงร้องโวยวาย หากไม่สามารถลุกขึ้นวิ่งตามได้ทัน เพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มไปทำให้มึนงงได้ไม่น้อย

    เด็กชายวิ่งผ่านสวนมะม่วงไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นป่าทึบที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จากคนในชุมชน ที่มุ่งหวังจะให้ท้องถิ่นของตนยังคงมีธรรมชาติป่าเขียวขจี อากาศดี ๆ และวิถีชีวิตงาม ๆ

    วิ่งมาได้สักพักเด็กชายภิมุขก็หยุดหอบแฮกอยู่บริเวณศาลงูเจ้า ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่ามีงูจงอางสืบทอดเชื้อสายรักษาป่าที่นี่ รวมถึงหมู่บ้านของเขามาช้านานอาศัยอยู่...

    เด็กชายเอาไข่ฟองเท่ากำมือออกมาจากอ้อมกอด แล้วพยายามครุ่นคิดว่าเจ้าไข่ในมือนี่มันเป็นไข่ของอะไรกันแน่...หากพยายามคิดเท่าไร ก็ไม่สามารถจะบอกตัวเองได้ว่าที่ถืออยู่เป็นไข่ของสัตว์ชนิดใด

    "แล้วจะส่งคืนให้แม่มันยังไงกันล่ะเนี่ย มันไข่อะไรน้าแบบนี้...ไข่นกกระจอกมันคงไม่ใหญ่เท่านี้ หรือไข่เป็ดกันนะสีขาว ๆ แบบนี้ ไม่สิมันกลมกว่า...ไข่เต่ารึเปล่า ใช่ ๆ เคยดูทีวีไข่เต่าก็คล้าย ๆ แบบนี้ แต่มันน่าจะบางกว่า...สงสัยในทีวีกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน งั้นเอาไปโยนลงน้ำดีกว่าแม่มันอาจจะรออยู่ก็ได้...แต่ว่าในทีวีเต่ามันวางไข่บนบกนี่หว่า โอ๊ย! แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ เอาไปคืนลุงเมฆเด็กในนี้ไม่ตายไปอีกตัวหรือไงกัน" เด็กชายเริ่มจะคร่ำครวญขึ้นมา เขาเพิ่งจะรู้ว่าการแยกไข่ของสัตว์ต่าง ๆ บนโลกนี้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

    "หนู...บ่นอะไรล่ะนั่น ให้น้าช่วยดีมั้ยจ๊ะลูก"

    หญิงสาวสวยสะคราญเดินออกมาจากบริเวณด้านหลังศาลงูเจ้า ส่งยิ้มมาด้วยความเอ็นดู เธอนุ่งเสื้อคอกระเช้าสีบานเย็น ผ้าถุงลายดอกไม้สีน้ำตาลอ่อนดูสวยหวาน รอยยิ้มและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออารี ทำให้เด็กชายภิมุขนึกไว้ใจโดยไม่ต้องตริตรอง

    "น้าครับ ผมขโมยไข่ฟองเนี้ยมาจากลุงน้าในวงเหล้า เห็นพวกเขาจะตอกกินกันหมด เลยนึกสงสารเจ้าตัวน้อยข้างในขึ้นมา ช่วยมาได้ฟองเดียวนี่แหละครับ...ปัญหาคือผมไม่รู้จริง ๆ ว่าไข่อะไร จะคืนให้แม่มัน...ก็คืนไม่ถูก" เด็กชายบ่นแล้วพรูลมหายใจอย่างหมดหนทาง

    หญิงสาวยิ้มน่ากลัว สายตาอาฆาตสาดส่องประกาย หากเมื่อเด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นก็กลับส่งประกายเอื้อเอ็นดูเช่นเดิม "น้าพอจะรู้ว่านั่นไข่อะไร น้าจะเอาไปคืนแม่มันให้ ส่วนหนูกลับบ้านดีกว่า นี่ก็จะค่ำแล้วประเดี๋ยวจะมีอันตราย..."

    เด็กชายสองจิตสองใจ หากรอยยิ้มใจดีนั้นทำให้เขาตัดสินใจส่งไข่ปริศนาให้หญิงสาว แต่ก็ยังเอ่ยถาม "นี่ไข่อะไรหรือครับน้า..."

    หญิงสาวประคองไข่ไว้ในมืออย่างทะนุถนอม แล้วยิ้มอ่อนโยนตอบ "ไข่งูจงอางลูก คนพวกนั้นคงบังเอิญเจอเข้าเลยขโมยไป เป็นไข่ของงูเจ้าในศาลนี่ไงลูก"


    เด็กชายตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นึกประหวัดไปถึงลุงน้าที่ร่ำสุราไม่รู้อนาคต เมื่อแถวนี้ใครก็รู้ว่าจงอางนั้นทั้งรักเดียวและหวงไข่แค่ไหน เกรงว่าคนที่กล้ามาท้าทายอำนาจงูเจ้า และไม่หวาดกลัวความดุร้ายของจงอางอาจไม่มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์ส่องในวันพรุ่ง...

    หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นลูบผมเด็กชายเป็นการปลอบโยน "กลับบ้านเถอะลูก อะไรจะเกิดมันก็เป็นไปตามกรรมตามเวรของคนพวกนั้น หากพ่อของหนูจะเลิกกิจการก่อสร้าง สวนมะม่วงนั่นก็ไม่ทำให้ครอบครัวอดตายหรอกลูก"

    เด็กชายมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มโล่งใจ เขาคิดว่าหญิงสาวคงจะรู้จักพ่อแม่ของเขาเป็นแน่ เพราะมีไม่มีคนหรอกที่รู้ว่าพ่อเขาจะหันมาจริงจังกับการทำสวนมะม่วง เพราะรักการเกษตรมากกว่ากิจการที่มีแต่หินปูนทรายมากนัก

    "งั้นผมไปก่อนนะครับน้า น้าก็อย่าอยู่ในป่าจนดึกนะครับมันน่ากลัว..." ตอนหลังเด็กชายหันมาตะโกนบอกหลังจากนึกได้ หญิงสาวโบกมือด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเฝ้ามองแผ่นหลังของคนตัวเล็กจนลับไปจากสายตา

    ความมืดมิดครอบคลุมผืนป่ารอบ ๆ ดวงตาสีดำสนิทของหญิงสาวกลับกลายเป็นสีแดงเพลิง ก่อนที่ร่างอรชรจะแปรเปลี่ยนทอดยาวไปบนพื้นดิน สีดำเลื่อมพรายส่องประกายในความมืด งูจงอางตัวใหญ่ยาวประมาณสามเมตรกว่าแผ่แม่เบี้ยดุร้ายน่าหวาดกลัว...

    ไข่ฟองน้อยถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นแม่ที่ขดตัวเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เพียงไม่ช้านานจากเส้นทางที่เด็กชายจากไป งูจงอางอีกตัวซึ่งตัวเล็กกว่าเล็กน้อยก็เลื้อยเข้ามาอย่างไร้เสียงและรวดเร็วคล้ายลมโบกโบย

    จงอางตัวผู้เข้าโอบล้อมตัวเมียที่ยาวกว่าคล้ายต้องการปลอบประโลม ทั่วบริเวณสะท้อนเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวที่พัดผ่านสายลมแล้วจางไป เมื่อสูญเสีย...ความเศร้าโศกเสียใจจึงบังเกิด หากผู้ทำให้เกิดการพลัดพรากย่อมต้องชดใช้ด้วยห้วงชีวิตที่เหลือ

    ++++++++++++++++++++++++++

    เสียงอึกทึกบริเวณบ้านทำให้เด็กชายภิมุขต้องวิ่งไปที่ตัวบ้านด้วยความตกใจ ความคิดแรกของเด็กชายคือบ้านถูกไฟไหม้ หากเมื่อไปใกล้ยิ่งกว่าจึงได้รู้สาเหตุแท้จริง ที่ทำให้เด็กชายถึงกับเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว...

    "ตามุกลูก ไปไหนมากลับค่ำขนาดนี้ ย่าเป็นห่วงแทบแย่..." ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แนบอก ขณะที่คนในบ้านเริ่มห้อมล้อมเข้ามาจนครบ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    "เกิดอะไรขึ้นครับคุณย่า…" เด็กชายเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่มั่นใจในคำตอบนั้นว่าตรงกับที่คิดไว้แน่

    "พวกคนงานถูกงูเจ้าเล่นงานน่ะสิ คงไปทำอะไรลบหลู่ศาลงูเจ้าเข้า สุดท้ายเลยโดนเล่นงานกันเกือบหมด ยกเว้นก็แต่ไอ้พงหญ้าที่รอดมาได้ สงสัยมันไม่ได้ไปกับเค้าน่ะ" พี่ชายคนกลางที่เข้ามาโอบเขาไว้ห่าง ๆ เอ่ยบอกอยู่ใกล้ ๆ ทั้งที่ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

    สัตยาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เพียงคนเดียว เพราะเด็กหนุ่มออกมาตามน้องชายให้ไปกินข้าว หากเมื่อเดินผ่านวงสุราก็พบงูจงอางตัวใหญ่มหึมา จนเขานึกว่าเป็นงูหลามสีดำสนิทหากไม่เห็นแม่เบี้ยที่แผ่หันมาทางเขา...เด็กหนุ่มยังคงจำดวงตาสีแดงสดนั้นได้ไม่ลืม

    ช่วงที่กำลังหวาดกลัวนั่นเอง จงอางที่เขามั่นใจว่าเป็นงูเจ้าก็หันกลับไปเล่นงานคนที่เหลืออยู่ให้เห็นต่อหน้าต่อตา หากปล่อยให้พงหญ้าช่างทาสีรุ่นน้องวิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาเขาไว้ด้วยความตื่นกลัว สุดท้ายตัวเขาเองก็ตกใจจนทรุดลงไปนั่งกอดกับเด็กคนงานอย่างไม่ทันรู้ตัว

    เมื่อเล่นงานจนคนอีกมุมหนึ่งแน่นิ่งไปหมดแล้ว งูเจ้าตัวใหญ่ก็หันมาหาอีกสองคนที่นั่งกอดกันตัวสั่นสะท้าน สัตยาจำได้ดีเลยว่างูเจ้าเลื้อยเข้ามารวดเร็วจนเขาต้องซบหน้าลงกับแผ่นอกของพงหญ้าร้องไห้เสียงดังไม่แพ้คนที่กอดเขาไว้แน่น ก่อนที่งูเจ้าจะเลื้อยหายไปทางสวนมะม่วงด้วยความรวดเร็วปานพายุ...

    แล้วทุกคนในบ้านก็วิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสัตยานี่แหละ

    "ตายหมดเลยเหรอพี่หยก..." ภิมุขเอ่ยถามเสียงสั่น แล้วเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมา "ลุง ๆ น้า ๆ เขาไปขโมยไข่งูเจ้ามากินกัน มุกเจอตอนมันเหลืออยู่ฟองหนึ่ง เลยวิ่งหนีเอาเข้าไปในป่า เจอน้าผู้หญิงสวยอาสาจะเอาไปคืนแม่มันให้ แล้วก็กลับมานี่แหละ..."


    ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แน่น คนอื่น ๆ ในบ้านหันมองหน้ากันรู้สึกได้ถึงขนตามเนื้อตัวที่ตั้งชันจากความหวาดกลัว เมื่อพอเดาได้ว่าหญิงสาวที่ภิมุขไปเจอมาก็คงจะเป็นงูเจ้าตัวเมียนั่นเอง พิสิทธิ์พ่อของพิมุขดึงปู่เพียงกับพี่นิลพี่ชายคนโตไปปรึกษาหารืออีกด้าน ปล่อยให้ภิมุขนั่งตัวสั่นอยู่กับย่าและสัตยาพี่ชายคนรอง

    พงหญ้าเด็กคนงานที่ดูแลความเรียบร้อยของเรื่องที่เกิดขึ้นยังคงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว แต่เขาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของไข่งูจงอาง เพียงแต่อยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เป็นคนเดียวที่อดจะลอบยิ้มอยู่กับตัวเองบ่อย ๆ ไม่ได้

    ใครเล่าจะคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าหลังจากตกนรกด้วยความหวาดกลัว ก็ได้ขึ้นสวรรค์ด้วยความสุขในเวลาไล่เลี่ยกัน...

    หลังจากเกิดเหตุการณ์ตายหมู่เพราะไข่งูจงอาง คนในหมู่บ้านเครือตะโก้ก็ต้องร่วมมือกันจัดพิธีบวงสรวงขอขมาต่องูเจ้าผู้ดูแลศาลศักดิ์สิทธิ์ ป่าเขียวขจี รวมถึงท้องถิ่นเล็ก ๆ แห่งนี้มาช้านาน

    พิธีใหญ่โตจากการร่วมแรงร่วมมือของคนในหมู่บ้าน ทำให้ศาลงูเจ้าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นเยียบหลังจากเกิดเรื่อง กลับมาอบอุ่นได้อีกครั้ง...ทุกคนลงความเห็นว่างูเจ้าคงหายเศร้าโศกและให้อภัยต่อพวกเขาแล้วนั่นเอง

    นายพิสิทธิ์สักการะขอพรศาลงูเจ้า เมื่อตัดสินใจประกาศเลิกธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หันมาเอาจริงเอาจังกับสวนมะม่วงและจะปลูกผลไม้อย่างอื่นในอนาคต เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกชายคนเล็กได้ยินมาจากหญิงสาวปริศนาที่อยู่บริเวณศาลงูเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือไปหลายตำบล…



    สิบปีต่อมา...

    สามปีหลังจากเกิดเรื่องภิมุขก็ออกจากหมู่บ้านไปศึกษาต่อในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้ากระทั่งจบจากมหาวิทยาลัยเอกศาสตร์ แล้วตัดสินใจดูแลงานบริหารที่บริษัทส่งออกผลไม้ของครอบครัวซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด นาน ๆ จึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง

    เดี๋ยวนี้สวนมะม่วงของบ้านอัญมณี กลายเป็นสวนผลไม้ขนาดใหญ่ของอำเภอสุขเหลือล้ำไปแล้ว ในสวนมีทั้งมะม่วง มะพร้าว ฝรั่ง ส้ม ส้มโอ สับปะรด องุ่น และลำไย เพราะอากาศในจังหวัดเหมาะแก่การปลูกผลไม้ทั้งเขตร้อนและเขตหนาว รวมถึงมีดินที่อุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อม แต่หากถึงฤดูกาลที่ต่างไปผลไม้ต่างฤดูกาลนั้นจะต้องถูกดูแลอย่างดีกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

    ภิมุขดูแลบริหารบริษัทฯ ร่วมกับสัตยาพี่ชายคนรอง ขณะที่วิษณุพี่ชายคนโตดูแลเรื่องการเกษตรอยู่กับนายพิสิทธิ์ผู้เป็นพ่อ ที่บ้านในอำเภอสุขเหลือล้ำจึงมีเพียงวิษณุอยู่ประจำเพียงคนเดียว

    ในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้าภิมุขกับพี่ชายอยู่บ้านแยกกันคนละหลัง เพราะส่วนใหญ่สัตยาจะคุมงานส่งออกผลไม้ แต่ภิมุขจะดูแลเรื่องตลาดภายในประเทศ ดังนั้นบางครั้งช่วงเวลาที่ว่างจะต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารบกวนกันนายพิสิทธิ์จึงสร้างบ้านไว้ให้ลูกชายคนละหลัง โดยสัตยาจะมีพงหญ้ามาคอยดูแล ส่วนภิมุขนั้นถนัดที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า

    ทุก ๆ วันของภิมุขก็จะไม่ต่างกันมากนัก จนชายหนุ่มมักจะคิดว่าตัวเองทำงานคล้ายหุ่นยนต์ เช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ออกจากบ้าน ทำงานในสำนักงาน ตกเย็นก็ขับรถกลับบ้าน อาบน้ำดูข่าวสาร และพักผ่อนนอนหลับ กระทั่งรุ่งเช้าทุกอย่างก็จะวนเวียนกลับไปเป็นเหมือนเช่นทุกวัน...

    วันนี้ก็เช่นกัน ประตูบ้านปิดไล่หลังเจ้าของบ้านที่เดินเอียงซ้ายเอียงขวาไปเปิดไฟด้วยความเหน็ดเหนื่อย แสงไฟขาวนวลสว่างพรึบส่องให้เห็นโทนสีน้ำตาลอ่อน เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะตู้ไม้สีน้ำตาล และชุดโซฟารับแขกสีเดียวกันที่กลางห้องกว้าง ส่วนที่เหลือเป็นพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนกลมกลืนกับสีผนัง

    ตัวบ้านดูโล่งสะอาดตา หากก็เต็มไปด้วยสีน้ำตาลเข้มของเครื่องเรือน และสีน้ำตาลอ่อนของตัวบ้าน ภิมุขไม่ได้ชื่นชอบสีน้ำตาล แต่รู้สึกว่าถูกใจกับสีนี้มากกว่าจึงได้เลือกมาด้วยตัวเอง

    ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา ปลดเน็คไทออก โยนไว้ใกล้ ๆ แล้วกวาดมือสะเปะสะปะหาหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือเข้ามา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงเกล็ดลื่นที่ปลายนิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาถูกใจสาว ๆ หันไปมองจุดที่มือวางอยู่รวดเร็ว...แล้วแทบช็อก

    เรือนร่างสูงโปร่งกระโดดลุกขึ้นจากโซฟา ถอยหลังไปจนชิดผนังด้านหนึ่งของห้องกว้าง เมื่องูสีดำเลื่อมระยับคล้ายมีประกายส่องสว่างนอนขดตัวอยู่บนโซฟานุ่ม แล้วยกตัวช่วงบนขึ้นมองมาที่เขาราวกับกำลังจับจ้อง...

    "คุณ...พระ..." ภิมุขอุทานด้วยความตกใจ ปกติเขาเป็นคนรักสัตว์ทุกชนิดแต่เอาเถอะยกเว้นเจ้าตัวยาวสองสามเมตรที่ดูน่ากลัว และอันตรายพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อไว้ดีกว่า

    "อย่าจองเวรจองกรรมกันเลย นะโม...เอ๊ย สัพเพสัตตา..." ยังท่องไปไม่ไกล เจ้างูสีดำเป็นประกายสวยก็ลดลำตัวลงขดเป็นวงกลมราวกับจะเบื่อหน่าย เผยให้เห็นลายคล้ายดอกจิกชัดเจนอยู่กลางพังพานด้านหลัง

    "จงอาง..." ภิมุขอุทานขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มทั้งตกใจและหวาดกลัว หากเมื่อเห็นเจ้างูใหญ่ยังทำไม่สนใจก็เริ่มจะหงุดหงิด "เฮ้ย! ทำท่าแบบนั้นมาอัดกันเลยดีกว่ามั้ย มาทำสบายในบ้านคนอื่นเขาได้ยังไงกัน คิดว่าตัวเองเป็นใคร...ออกไปเลย นี่บ้านใครไม่ทราบ"

    ไม่น่าเชื่อว่างูตัวใหญ่จะไม่สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแม้แต่น้อย กลับเลื้อยลงจากโซฟาท่าทางคล้ายจะรำคาญตรงเข้าไปภายในบ้าน เมื่อถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง อยู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดได้เอง เผลออีกครั้งภิมุขก็มองไม่เห็นเจ้างูตัวเดิมอีก...


    ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปในห้องนอน เอื้อมมือเปิดไฟแล้วมองหางูจงอางที่เห็น ก่อนจะผงะไปอีกครั้ง แล้วโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หากก็ได้เพียงแค่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เมื่องูตัวเดิมนอนพาดลำตัวยาวอยู่บนผ้าปูเตียงสีน้ำตาลอ่อนลายลูกหมีโคอาล่า แถมทำท่าคล้ายเยาะเย้ย

    "ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะงูบ้า นั่นมันเตียงผมนะ" เจ้าของห้องยังคงพูดเพราะตามนิสัย ก่อนหันไปทางตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบตะกร้าหวายออกมาจากชั้นด้านบน "คุณย่าเอาไว้ให้ใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำนะเนี่ย โชคดีให้มาหลายใบ เอาผ้าขนหนูนุ่ม ๆ สักสองผืนก็แล้วกัน"

    เหมือนชายหนุ่มจะบ่นกับตัวเอง แต่งูตัวใหญ่ก็เลื่อนหัวมาคอยฟังด้วยรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคุยกับตน ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามชายหนุ่มที่เดินไปทางมุมห้อง วางตะกร้าหวายแล้วพับผ้าขนหนูวางไว้อย่างเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มพอใจแล้วหันมาบอก...

    "ถ้าจะนอนก็มานอนตรงนี้ อยากอยู่ที่นี่ก็ได้ไม่ว่ากัน แค่ไม่ทำร้ายผม และผมจะไม่หาอาหารมาให้กินเด็ดขาด ต่างคนต่างอยู่ ถ้าสนิทกันจะเล่นด้วยกันก็ได้ แต่ถ้าไม่สนิทผมไม่เล่นด้วยหรอก...กลัว! ไว้ใจได้ไม่ขยะแขยงหรอกเพราะผมเคยเลี้ยงงูหลาม แต่ทำมันเฉามือตายเพราะเล่นมากไปหน่อย เสียดายซื้อมาได้แค่สามวันเอง" ภิมุขทอดเสียงอาลัยเพื่อนเก่าอย่างอดไม่ได้

    หากเจ้าตัวบนเตียงกลับรีบเลื้อยผ่านเท้าเขา ลงไปนอนขดเป็นวงกลมใหญ่บนตะกร้าหวาย เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าตัวเก่ามันตายแบบไหนแค่นั้นเอง…

    "ว่าง่ายผมชอบ..." ชายหนุ่มลดตัวนั่งลงใกล้ ๆ ตะกร้า แล้วเอื้อมมือหมายลองลูบเกล็ดมันเลื่อม หากงูใหญ่กลับเลื้อยหลบด้วยความหวาดหวั่น "อ้าว...ยังไม่ชินสินะ"

    พูดจบคนพูดก็คว้าผ้าเช็ดตัวในตู้เดินเข้าห้องน้ำไปง่าย ๆ ปล่อยให้ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามอย่างไม่เข้าใจนัก ว่าตัวเองไม่ชินหรืออีกคนชินกับสิ่งรอบตัวง่ายเกินไปกันแน่...

    อาจจะเพราะโตมากับป่ากับเขาทำให้ภิมุขเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายกว่าคนทั่วไป แต่ความจริงเด็กหนุ่มค่อนข้างเป็นเด็กที่ชอบทำตัวแผลง ผิดจากคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วต่างหาก

    คืนนั้นภิมุขเข้านอนโดยทิ้งความหวาดกลัวไว้เบื้องหลังที่ห่างไกล แล้วตื่นเช้าอีกวันด้วยความสดใสเกินขนาด ถ้าเทียบกับคนอื่นที่ต้องมีงูจงอางตัวใหญ่มหึมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกับตนเอง

    ชายหนุ่มทำกิจวัตรประจำวันของตนเองเหมือนกับทุกวันที่ผ่านไป ปล่อยให้งูจงอางนอนหลับลำพังด้วยความเงียบสงบ กระทั่งเขาแต่งตัวเสร็จ...

    "จงอาง...ผมจะไปทำงานแล้วนะ" นิ้วเรียวเลื่อนไปตามเกล็ดลื่นผิวหนังนุ่มอย่างสนุกกระทั่งดวงตาสีแดงเพลิงเปิดขึ้นมาให้เห็นนั่นแหละ "ผมจะไปทำงาน อยู่ได้ใช่มั้ย...จะกลับบ้านรึเปล่า ผมต้องปิดประตูบ้านนา...ออกไม่ได้อย่ามาร้องไห้หาผมนะ"

    งูจงอางทำท่าทางเบื่อหน่ายก่อนหลับตาหนีภิมุขไปอีกครั้งจนชายหนุ่มโวยวาย "งูอะไรหยิ่งชะมัดเลยแฮะ ไม่สนละ...ไปทำงานแล้วนะ นี่แน่ะ..." ท้ายสุดนิ้วของภิมุขก็จิ้มลงไปที่เนื้อนุ่มของงูใหญ่จนจงอางตัวยาวต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างตกใจ แต่คนทำก็วิ่งหนีออกจากห้องไปไกลแล้ว...

    "ร้ายนัก...แต่ทำไมน่ารักแบบนี้วะ" เสียงทุ้มลอยตามลมวนอยู่ภายในห้องซึ่งไม่มีใคร ยกเว้นก็เพียงแต่งูจงอางตัวยาวเกือบสามเมตรตัวเดียว

    ++++++++++++++++++++++++++

    จบตอน 1

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×