ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ย้อนคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ภาคย้อนสู่อดีต: บทที่1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 244
      2
      31 ส.ค. 57

    ภาค ย้อนสู่อดีต

    บทที่1

                    ชีวิตของข้ามีหลายคนกล่าวว่า อาภัพนักทั้งยังมองมาด้วยแววตาสงสารเห็นใจ บางครั้งมีความสมเพชแฝงอยู่ แต่ข้ากลับไม่นึกว่า ตนอาภัพถึงเพียงนั้น ในชีวิตข้ามีคนสำคัญอยู่สองคน และเขาทั้งสองล้วนจริงใจต่อข้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตข้าย่อมดีกว่าผู้ที่เกิดมาไร้ผู้รู้ใจแน่นอน

                    คนสำคัญทั้งสองของข้าไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่ เพราะทันทีที่ข้าลืมตัวดูโลกท่านแม่ก็เสียชีวิต หลังจากดูแลข้าได้เพียงสองวันเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง เมื่อคลอดข้าจึงยิ่งอ่อนแอ และก็ไม่ใช่ท่านพ่อ เพราะเมื่อข้าอายุได้ห้าขวบ ท่านก็จากไปในสนามรบ ถึงไม่นับว่า ข้ายังไม่ทันได้รู้ความ ข้าก็ไม่รู้สึกผูกพัน เพราะท่านพ่อไม่ใกล้ชิดกับข้าเท่าใดนัก

                    อาจเป็นเพราะใครๆก็พูดว่า ข้าเหมือนท่านแม่มาก...เมื่อมองข้า ท่านพ่อจึงทนไม่ได้ และหันไปสนใจศึกแถวชายแดนแทน...เมื่อมองเช่นนี้แล้ว ข้าล้วนเป็นสาเหตุให้ท่านพ่อท่านแม่จากไปก่อนวันอันควร ถึงจะรู้สึกผิดและสำนึกอยู่เสมอว่า เป็นพวกท่านที่ทำให้ข้าเกิดมา แต่ข้าก็ไม่อาจถือพวกเขาเป็นคนสำคัญ...

                    ที่แท้ คนแรกที่สำคัญที่สุดของข้าคือ แม่นมของข้า เพราะหลังจากท่านแม่จากไป ก็มีแต่นางที่เฝ้าดูแลข้าด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง นางไม่ตามใจข้าเพียงเพราะข้าอ่อนแอหรือเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ เรียกได้ว่า นางได้ทำหน้าที่แทนท่านแม่ของข้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังไม่ยอมแต่งงานเพราะห่วงข้าที่เป็นลูกกำพร้า กระทั่งข้าถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงเข้ามาอาศัยในวัง นางก็ยังติดตามมาด้วย ตลอดสิบหกปีที่อยู่ด้วยกัน ถึงนางจะห้ามไม่ให้ข้าเรียกว่า แม่ แต่ในใจข้าถือนางเป็นท่านแม่ของข้าตลอดเวลา

                    คนสำคัญคนที่สองของข้าคือ พี่ชายของข้า เขาแก่กว่าข้าเจ็ดปีเต็ม เราเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ทั้งยังถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ ถูกต้อง...เขาไม่ใช่พี่ชายโดยสายเลือดของข้า การที่ข้าเรียกเขาว่า พี่ชาย อาจจะสูงเกินไปสำหรับคนแบบข้าด้วยซ้ำ เพราะเขาคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉิน

                    ชีวิตของคนที่ไร้ความสำคัญแบบข้ายังอุตส่าห์มีคนสำคัญให้นึกถึงถึงสองคน ข้าคิดว่า เท่านี้ ข้าก็พอใจมากแล้ว

                    “ท่านหญิงหมิงซินเจ้าคะ หวางโฮ่วทรงอยากพบเจ้าค่ะ” นางกำนัลที่สูงวัยกว่าข้าเล็กน้อยเดินเข้ามาเรียกทำให้ข้าหลุดจากภวังค์แล้วรีบตอบรับ

                    “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

                    หวางโฮ่วคือท่านแม่ของพี่ชาย เพราะพี่ชายเอ็นดูข้ามาก พระองค์จึงพลอยเอ็นดูข้าไปด้วย การอยู่ในวังอย่างสงบนี้ อาศัยบารมีของพระองค์อย่างมาก ไม่เช่นนั้น ข้าคงลำบากไม่น้อย

                    สายตาชื่นชมของเหล่านางกำนัลที่ส่งมา ยามข้าเดินผ่านทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย ถึงแม้ว่า จะพยายามทำใจให้ชิน แต่ก็ยังไม่อาจชินได้เสียที นางกำนัลเหล่านี้ก็ไม่เก็บอาการกริยาเอาเสียเลย บางครั้ง ข้าไม่เพียงได้รับสายตาชื่นชมเลื่อมใสชัดเจน ยังได้ยินเสียงพูดถึงอย่างชัดเจนอีกด้วยว่า

                    ช่างเป็นสตรีที่ชวนให้เลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูก

                    ราวกับหลุดจากภาพวาด

                    ‘หน้าตาไม่งดงามโดดเด่น แต่สูงส่งเหมือนพวกเซียน

                    ไม่เพียงชื่นชม ยังมีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังมาอยู่บ่อยครั้ง จนชวนให้สงสัยว่า ไม่มีใครนึกเกรงใจข้าเลยหรืออย่างไร หรือเป็นข้าที่ไม่ชอบถือสาเรื่องราวอันใด พวกนางเลยยิ่งสนุกกันแน่ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ใครใช้ให้ข้าไม่ชอบตำหนิคน ไม่ชมชอบเห็นคนเสียใจกันเล่า

                    แต่พวกนางกำนัลก็พูดเกินไป ข้าจะไปเหมือนเทพเซียนได้อย่างไรกัน หากว่า พี่ชายได้ยินเข้าคงไม่พอใจเท่าไรนัก

                    “ถวายบังคมเพคะ”

                    “ลุกขึ้นเถอะ หมิงซิน เจ้ามาดูนี่” หวางโฮ่วมีพระชนมายุห้าสิบชันษาแล้ว แต่ยังงดงามสมวัย เรียกได้ว่า โดดเด่นเหนือผู้คนธรรมดาไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่า ธรรมเนี่ยมของแคว้นฉินจะไม่บังคับให้ ผู้ชายแต่งภรรยาเพียงคนเดียว ข้าคิดว่า ฮ่องเต้ก็คงทรงหาคู่ชีวิตเช่นพระนางยากอยู่ดี

                    “ภาพวาดนี้งดงามหรือไม่” หวางโฮ่วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ข้า ที่แท้เป็นรูปของพระนาง...เพราะข้ามีฝีมือด้านศิลปะอยู่บ้าง หวางโฮ่วจึงมักเรียกข้ามาดูงานประเภทนี้แล้วช่วยวิจารณ์เสมอ

                    “งดงามสิเพคะ แต่พระองค์จริงงดงามกว่าในภาพมาก”

                    “เจ้าก็ปากหวานเช่นนี้เสมอ ใครๆก็เลยชอบอยู่ใกล้เจ้า”

                    “ไม่หรอกเพคะ ใครๆก็ว่า หม่อมฉันอาภัพนัก เพราะหวางโฮ่วทรงเมตตา หม่อมฉันจึงได้รับความเอ็นดูจากผู้อื่นต่างหากเพคะ”

                    ดวงตาสวยหากลึกล้ำมองข้าอย่างพิจารณา ก่อนเผยรอยยิ้ม พระเนตรมีเลศนับอย่างแปลกประหลาด

                    “หากมีลูกสาวเช่นเจ้าคงดี มีบุตรชายย่อมไม่สุงสิงกับแม่ น่าเสียดายจริงๆ”

                    “หากหวางโฮ่วต้องการคนคุยด้วย หม่อมฉันจะแวะมาหาทุกวันเพคะ” การตอบแทนพระเมตตาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ทำให้ข้าไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด หลายคนมักจะระแวงว่า ข้าใช้หวางโฮ่วสร้างฐานอำนาจให้ตนเอง จริงๆแล้ว ข้าไม่เห็นจะอยากมีฐานอำนาจอะไรนั่น ใช้ชีวิตให้มีความสุขทุกวันได้ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด เช่นนี้แล้ว ข้าจะหาเรื่องหนักหัวทำไม

                    “หมิงซิน แม่เจ้าช่างตั้งชื่อเจ้าได้ดีนัก จิตใจที่สว่างสะอาดของเจ้า ไม่แปลกใจที่คนอื่นมักพูดว่า ท่านหญิงตระกูลเยว่เหมือนเทพธิดาก็ไม่ปาน”

                    “หวางโฮ่วทรงชมจนหม่อมฉันตัวลอยแล้วเพคะ” ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นชมข้าให้มากนัก เพราะข้ามักจะกลัวอยู่เสมอว่า หากวันหนึ่งรู้เข้าว่า คำชมนั้นเพียงแต่เยินยอเพื่อบางอย่าง ข้าคงเจ็บปวดไม่น้อย

                    “เสียดายแต่ถึงข้าจะอยากคุยกับเจ้าทุกวัน ก็คงมีคนไม่ยอมน่ะสิ องค์ชายจนป่านนี้ยังซ่อนตัวอยู่อีก” พระนางตรัสขึ้นลอย ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะก้าวออกมาจากหลังเสา

                    “พี่ชาย เอ้ย องค์รัชทายาทถวายบังคมเพคะ”

                    “ไม่ต้องๆ เสด็จแม่ ดูนางสิ ตั้งแต่เข้าวังมาก็มีพิธีรีตองไปเสียทุกเรื่อง ไม่รู้ว่า พานางเข้าวังมา คิดถูกหรือไม่”

                    “ถูกสิ มิเช่นนั้น เจ้าคงไม่มาหาแม่ แล้วแม่ก็จะไม่มีเพื่อนคุยที่ถูกคอด้วย”

                    สองแม่ลูกพูดคุยกันราวกับข้าไม่ได้ยืนอยู่ด้วย ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ในใจของข้ากลับรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เพราะข้าไม่ได้พบหน้าพี่ชายมาหลายเดือนแล้ว เพราะท่านน้าหรือก็คือแม่นมของข้าบอกว่า ข้าโตแล้ว จะใกล้ชิดเหมือนสมัยก่อนไม่ได้ ยิ่งเข้ามาอยู่ในวังยิ่งต้องระวังให้จงหนัก ข้าที่ไม่ชอบความวุ่นวายจึงหลบเลี่ยงที่จะพบเจอกับพี่ชายในวัง ไม่คิดว่า จะได้พบเจอในวันนี้

                    “หมิงซินเจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ”

                    “เปล่าเพคะ”

                    “หมิงซิน ข้าอยากให้เจ้านำภาพนี้ไปปัก ให้คนวาดตามไปอธิบายก็แล้วกันนะ” ที่แท้ ภาพนั้น พี่ชายเป็นคนวาดนี่เอง ฝีมือยอดเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยนเลย

                    “เพคะ” เมื่อรับคำ ข้าก็ถวายบังคมลาก่อนเดินตามร่างสูงเพรียวขององค์รัชทายาทที่นางกำนัลต่างหลงใหลไป ถ้าเป็นตอนเด็ก เขาคงจูงมือข้าแล้วลากไปวิ่งเล่นด้วย บางที ข้าก็ไม่น่าโตเลยจริงๆ

                    “ข้าได้ยินว่า ท่านหญิงตระกูลฮั่วรังแกเจ้า” ทันทีที่มาถึง เรือนของข้า เขาก็จัดแจงนั่งลงแล้วถามคำถามข้าทันที ไม่นึกว่า เขายังมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้อีก ข้ายังไม่สนใจเลย

                    “ไม่หรอกเพคะ แค่บังเอิญ” บังเอิญว่า นางเดินชนข้าเสียกระเด็นทุกครั้งที่เจอหน้า แล้วก็บังเอิญว่า ทุกครั้งที่นางพยุงข้าก็จะฝากรอยเล็บไว้บนมือของข้าทุกครั้งเท่านั้นเอง

                    “หมิงซิน เจ้าพูดกับข้ามาตรงๆเถอะ หรือเจ้าไม่เห็นข้า เป็นพี่ชายคนเดิมของเจ้าแล้ว” น้ำเสียงตัดพ้อแบบนั้น ทำให้หน้าของข้ารู้สึกร้อนแปลกๆ จึงข่มหน้าต่ำไม่กล้าสบตากับเขาและไม่อาจพูดอะไรด้วย

                    “เอาล่ะ ข้าควรจะดีใจที่เจ้าไม่ใช่คนมักโกรธแล้วก็มีเหตุผล ข้าจะจัดการเรื่องพวกนี้ให้เจ้าเอง” เช่นนี้ ไม่เท่ากับข้ายืมดาบฆ่าคนหรืออย่างไร...

                    “ข้าจะคุ้มครองเจ้า ดูแลเจ้า เข้าใจไหม หมิงซิน”

                    “เพคะ”

                    “วังนี้เอาปากช่างพูดของเจ้าไปไหนกัน ข้าอยากได้น้องสาวของข้าคืน เรียกข้าว่า พี่ชายเร็วเข้า” คำสั่งของเขา ข้าไม่อาจไม่ปฏิบัติ ข้ามักใช้ข้ออ้างนี้ตามใจเขา โดยไม่ยอมรับว่า จริงๆในใจข้าก็อยากทำตามที่เขาสั่งนั่นแหละ

                    “พะ..พี่ชาย”

                    “ซินเอ๋อร์” ดวงตาสดใสของเขาส่งมาทางข้า เชื่อเถอะว่า หากหญิงคนใดเห็นแล้วไม่ใจเต้น นางต้องไม่ชอบบุรุษแน่ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉินเป็นที่เลื่องลือว่า หล่อเหลา สง่างาม เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จิตใจเมตตา ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า จะมีชายเช่นนี้ในโลก สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมโดยแท้

                    “เจ้าหน้าแดง”

                    ถ้อยคำที่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง ทำให้ข้ารีบยกมือขึ้นปิดหน้าตนเองทันที...น่าอายเป็นบ้า แต่แล้วเขาก็ยื่นมือมาแกะมือของข้าออกช้าๆ ก่อนรวบมือของข้าเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย แม้ว่า ข้าพยายามดึงมือออกมาอย่างละมุนละไม

                    “มือของเจ้ายังนิ่มเหมือนเดิม” ปากพูด มือก็ขยับเอามือของข้าไปจับไว้ที่หน้าของตนเอง ข้าอดรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย คิดว่า เป็นเพราะหนวดเคราบางๆของเขาทิ่มตำมือ

                    “ข้ารอเจ้ามาหลายปี ข้าจะรอเจ้าอีกแค่ปีเดียว ถ้าเจ้ายังไม่ยอมเข้าใจ ข้าจะไม่รอเจ้าเข้าใจแล้วนะ เด็กโง่”

                    “รอ พี่ชายท่านรอข้าเข้าใจเรื่องใด มิสู้พูดออกมา”

                    “ข้าอยากให้เจ้าลองทบทวนดูก่อนนี่ เผื่อว่า เจ้าอาจจะอยากปฏิเสธ ถ้าข้าบอกเจ้าแวเจ้าปฏิเสธ ข้าก็ต้องเจ็ฐกว่าเดิมน่ะสิ”

                    “เจ็บ ใครทำร้ายท่าน” ดูจากภายนอก เขาก็ปกติดี ไม่บาดเจ็บตรงไหน หรือว่าจะบาดเจ็บภายใน ข้ารีบดึงมือตนเองออกอย่างแรง แล้วเป็นฝ่ายจับหน้าเขาเอียงไปมา ทั้งเลืกแขนเสื้อเพื่อสำรวจดูบาดแผล แต่แขนของเขากลับไม่มีร่องรอยบาดแผลสักนิด

                    “ท่านเจ็บตรงไหน หรือบาดเจ็บภายใน” คิดแล้ว ข้าก็รู้สึกว่า ข้าน่าจะเรียนวิชาแพทย์ให้ดีกว่านี้ แทนที่จะไปเรียนเย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือน การดนตรีอย่างที่พี่ชายแนะนำ

                    “ยัง ตอนนี้ ข้ายังไม่เจ็บ แต่ไม่น่าว่า อนาคตอาจจะเจ็บตรงนี้” แล้วเขาก็จับมือข้ากลับไปแปะลงบนหน้าอกข้างซ้ายครู่หนึ่ง ก่อนปล่อยมือข้า

                    “คนที่ทำให้ข้าเจ็บได้ มีเพียงเจ้า”

                    แล้วข้าจะไปมีปัญญาไปทำร้ายเขาได้อย่างไรกันล่ะนั่น วรยุทธ์ของรัชทายาทเป็นที่เลื่องลือว่า เยี่ยมยุทธ์นัก ข้ามีฝีมืออย่างมากก็แค่มวยวัดธรรมดาเท่านั้น...คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของข้าทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ข้าไม่แปลกใจแม้แต่น้อยว่า ทำไม ท่านหญิงทุกคนในวังนี้ จึงพยายามเดินผ่านตำหนักของพี่ชายให้บ่อยที่สุด...ยิ้ม ฆ่าคนตายได้จริงๆ

                    “วันนี้ เจ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร วันข้างหน้า เมื่อเข้าใจก็อย่าใจร้ายกับข้าก็แล้วกัน”

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หวานน้ำตาลหมดตัว ผิดกับอีกเรื่องเลย บทหวานๆนี่ยากจริงๆ ><
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×