ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเมืองยักษ์

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒ โรงเรียนจัสเฟร็ช

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 82
      0
      30 ม.ค. 47

    The War of Giants

    สงครามเมืองยักษ์

    Chapter 2: Jusfresh International School

    บทที่ ๒: โรงเรียนจัสเฟร็ช




    ผลปรากฎว่าคืนนั้นวาลีตรวจสายดังคาด  เนตรมณีเลยตื่นสายขึ้นมาด้วยอาการครบสามสิบสองเป๊ะทุกประการ  แม้ว่าพี่สาวแสนใจดีของเธอ  ดวงแก้วนั้น  จะประหลาดใจมากเมื่อได้เห็นเนตรมณีตื่นสายกว่าปกติ  และยิ่งกว่านั้น  ยังโทรมไปทั้งร่างอีกต่างหาก



    “เนตร  นี่เนตร  ตื่นได้แล้ว!  นี่มันสิบโมงสิบห้าแล้วนะ!  น้องไม่เคยตื่นสายขนาดนี้นี่นา  โอ้โห!  ดูเหงื่อเธอสิ  นี่คุณเนตรมณี!  เธอไปทำอะไรมาเนี่ย  เหงื่อเขรอะเชียว  โอ้โห!  แล้วดูเสื้อคลุมเธอสิ  นี่เธอไปบุกทะเลทรายซาฮาร่า*มารึไงฮึ  หรือว่าจะแอบไปนั่งม้านั่งริมป่าอีกแล้วใช่ไหม  เร็วๆสิ”



    ดวงแก้วพูดรัวเร็วแล้วเดินไปเปิดผ้าม่านออกให้แดดเข้ามา  จากนั้น  เพียงตวัดมือครั้งเดียว  ผ้าห่มที่เนตรมณีห่มคลุมโปงอยู่ก็กระเด็นออกนอกเตียง  เผยให้เห็นเจ้าของเตียงที่รีบเลื่อนมือมาปิดตาจากแสงแดดเป็นพัลวัน



    “นี่เนตร  ได้ยินที่พี่พูดไหม  พี่ถามว่า  เธอไปทำอะไรมาเมื่อคืนนี้  และ  เธอได้นั่งแต่ที่ม้านั่งริมป่าอย่างเดียวรึเปล่า”  ดวงแก้วคาดคั้นสุดฤทธิ์



    ดวงแก้วเป็นพี่สาวของเนตรมณี  แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด  เธอเป็นลูกติดของวาลี  แม่ของเนตรมณีตายด้วยโรคโลหิตจาง  แล้วพ่อก็แต่งงานใหม่กับวาลี  ซึ่งเนตรมณีไม่ชอบและไม่ยอมรับ  แต่เธอก็พบว่าดวงแก้วนั้นนิสัยดีมากๆและพยายามผูกมิตรกับเนตรมณีด้วย  เธอจึงยอมรับให้เป็นพี่สาวจริงๆได้  ดวงแก้วมีรูปร่างหน้าตาคล้ายเนตรมณีมากอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ  ทั้งๆที่ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันเลย  ตาสีฟ้าใหญ่  ผมสีดำยาว  ต่างกันแค่ไม่ใส่ที่คาดผม  สูงกว่าเนตรมณีเล็กน้อย  อ้วนกว่าเนตรมณีหน่อยหนึ่ง  เธอเป็นคนใจดี  ทำอาหารเก่ง(เพราะวาลี  คุณแม่วัยสามสิบหกปีไม่รู้วิธีทำอาหารมากนักเพราะไม่เคยตั้งใจศึกษา)  ดูแลบ้านได้ดี  แต่ก็เข้มงวดไม่แพ้คุณแม่หลายคนที่อายุมากกว่าเป็นสิบๆปีเลยละ



    เนตรมณีที่สลึมสลือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นเกือบจะตอบคำถามกลับไปด้วยความหงุดหงิดสุดๆว่า  “ก็หนูไม่ได้หลับแทบทั้งคืนเพราะเข้าป่าไปตั้งไกลนู่นนี่คะพี่  แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ  ถ้าพี่พบว่ามีเท้าของยักษ์ตัวสูงเป็นสิบๆเมตรลอยอยู่เหนือหัวเรา  นอกจากวิ่งจนเลอะเทอะแบบนี้”  แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน  และตอบโกหกกลับไปว่า  “ก็หนูไปนั่งริมป่าแล้วก็มีนกฮูกตัวหนึ่งร้องออกมาทำให้หนูตกใจก็เลยวิ่งล้มลุกคลุกคลานกับพื้นขึ้นบ้านแล้วก็นอนตาสว่างเกือบทั้งคืน  แล้วก็  --  ”  ขณะที่เนตรมณีกำลังถักถอร้อยถ้อยคำโกหกได้อย่างคล่องแคล่วเป็นปึกแผ่นอยู่นั้น  ดวงแก้วก็ขัดขึ้นด้วยความไม่เชื่อเลยสักนิดว่า  “พอแล้วเนตร!  โอเค  พี่พอเข้าใจแล้ว  รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาทานข้าวเช้าซักที”  หลังจากตัดบทแล้ว  ดวงแก้วก็วิ่งเร็วจี๋เป็นตอร์ปิโดลงไปข้างล่าง



    “ลงไปทำอาหารแน่”  เนตรมณีพูดกับตัวเองเบาๆ  แล้วเธอก็ได้ยินเสียงหม้อ กระทะ จาน ชาม  กระทบกันเสียงเคล้งคล้างดังคาด  “วิ่งเร็วสมเป็นพี่สาวฉันจริงๆ  เอ้า  อาบก็อาบ!”  เธอถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปหยิบเครื่องแต่งกายออกมาจากตู้เสื้อผ้า  เนตรมณีเดินเนือยๆเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตูดังปัง  จากนั้นก็มีเสียงซู่ๆของน้ำ  เสียงถูตัว  เสียงเช็ดตัว  เสียงแปรงฟัน  เสียงบ้วนปาก  เสียงกลั้วคอ  และเสียงหวีผมตามมา



    ทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิดผางออก  และเนตรมณีก็เดินออกมา  ถ้ามีใครที่ติดตามดูเนตรมณีก่อนเข้าห้องน้ำกับตอนนี้  ก็จะเห็นว่าเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ



    จากเด็กหญิงผมยาวยุ่งกระเซอะกระเซิง  ขี้ตาตรึม  มีคราบน้ำลายติดที่มุมปาก  สวมเสื้อลายทางมีรอยโคลนและเปื้อนเหงื่อ  กางเกงเข้าชุดกันยับสุดๆ  และถุงเท้าใส่นอนยู่ยี่  ก็กลับกลายเป็น  เด็กหญิงผมยาวเหยียดตรงและเป็นเงางามใส่ที่คาดผม  ตาโตดำขลับสดใส  ปากทาลิปมัน  เสื้อลายขวางสีแดงสลับเหลืองและมีรูปกวางแบมบี้อยู่ตรงกลาง  กางเกงยีนส์ยาวสีน้ำเงินทันสมัยดูเท่ห์และปราดเปรียวไม่หยอก  ใส่รองเท้าแตะผ้าลายดอกไม้สีเหลืองแสนสะอาด!



    ดวงแก้วที่ไม่ใช่คนรักสวยรักงามนักถึงกับออกปากชมเปราะ  “โอ้โหเนตร!  เธอตอนที่พี่เห็นเมื่อกี้กับตอนนี้เหมือนเป็นคนละคนเลย”  เนตรมณีไม่แน่ใจนักว่ามันมีความหมายอย่างอื่นนอกเหนือไปจากความชื่นชมหรือไม่  แต่เธอก็ตัดสินใจสรุปก่อนว่านั่นคือคำชม  “จริงหรือคะพี่  ขอบคุณนะ  โอ้โห!  น่ากินจังเลย”  เธออุทานเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารนั้นมีข้าวกล้อง  ไข่ตุ๋น  แกงจืดตำลึง  และผลไม้อย่างแตงโมและมะละกอครบครัน



    “อร่อยไหม”  ดวงแก้วถามอย่างเป็นกังวลเมื่อเห็นเนตรมณีเขมือบเอาๆไม่มีหยุดพัก



    ความพยายามในการพูดทั้งๆที่อาหารยังเต็มปากอยู่ส่งผลให้อาหารบางส่วนกระเด็นออกจากปาก  “สุดยอดเลย!”  เนตรมณีชูนิ้วโป้งให้  ดวงแก้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ  “เออ  แล้ววาลีล่ะ”  เนตรมณีถาม



    “ไปข้างนอกจ้ะ”  ดวงแก้วพูดขณะเก็บจานชามช้อนส้อมของเนตรมณี(ซึ่งแทบจะไม่ต้องล้างเลย  เพราะเนตรมณีแทบจะไม่เหลืออะไรไว้ที่จานสักนิด)



    เมื่อเนตรมณีขึ้นมาข้างบนแล้วเธอก็หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา  เธอแนบลำกล้องไว้กับกระบอกตาแล้วหมุนปุ่มขยายเข้าจนสุด  จึงเห็นทิวทัศน์ได้ไกลขึ้นเป็นสามเท่า



    จากการมองผ่านกล้องส่องทางไกลนั้น  เนตรมณีเห็นบ้านต้นไม้ของเธอแล้ว  มันทำด้วยไม้กระดาน  เนตรมณียังจำได้ถึงวันที่พ่อสร้างบ้านต้นไม้เลย  พ่อปูไม้กระดานห้าหกแผ่นบนกิ่งก้านสาขาที่แข็งแรงสี่กิ่งซึ่งบังเอิญเลื้อยเป็นแนวขนานกับพื้นดิน  แล้วตั้งไม้กระดานนับสิบๆแผ่นให้เสมือนเป็นห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เท่าห้องเก็บของขนาดกลางห้องหนึ่งแล้วยึดให้แน่น  แล้วทำหลังคาเป็นทรงสามเหลี่ยม  พ่อยังวางกลไกเป็นรอกขนาดใหญ่  ปลายเชือกด้านหนึ่งฝังอยู่ในใจกลางรอก  มีเครื่องยนตร์คอยควบคุมไว้  มันใช้พลังงานแสงอาทิตย์(ก่อนหน้าที่จะติดตั้งเครื่องยนต์กลไก  พ่อของเนตรมณีได้ชาร์จพลังงานก่อนไว้หลายวันแล้ว  จึงมีเหลือเฟือ)  มันจะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจากรีโมทซึ่งเป็นกึ่งรีโมทกึ่งวิทยุสื่อสาร  ที่ปลายเชือกอีกด้านผูกไว้กับตรงใจกลางไม้กระดานเปล่าๆแผ่นหนึ่ง  ซึ่งจะห้อยอยู่เหนือพื้นดิน  เวลาจะขึ้นบ้านต้นไม้ก็ต้องนั่งคร่อมบนไม้กระดาน  ขาอยู่คนละด้านของเชือก  และต้องจับเชือกไว้ให้แน่น  พอเครื่องเดิน  มันจะดึงเชือก ไม้กระดาน และคนขึ้น  แล้วเนตรมณีกับพ่อก็ช่วยกันทาสีหลังคาและด้านในหลังคาด้วยสีแดง  ผนังด้านนอกห้องและด้านในห้องด้วยสีเหลือง  พื้นไม้ด้วยสีขาว  พ่อกับเนตรมณีทั้งทาทั้งละเลงสีกันอย่างสนุกสนานเสียจนพอแม่ของเนตรมณีเห็นสภาพอันไม่ใคร่จะน่าดูนักของทั้งสองก็หัวเราะแล้วบอกว่า  “โอ๊ย!  นี่พวกเธอไม่เห็นใจคนซักผ้าบ้างเลยนะ”



    บางครั้งนั้น  ยามเนตรมณีมานั่งคนเดียวเงียบๆบนบ้านต้นไม้  เธอจะนึกย้อนกลับไปยังวันเวลาที่สนุกสนานก่อนที่…



    …พ่อและแม่ของเธอจะตาย…



    …แล้วน้ำตาของเธอก็จะไหลรินเงียบๆโดยไม่มีใครเห็นบ่อยๆ  ทั้งๆที่เนตรมณีเป็นคนเข้มแข็งตั้งแต่เด็ก  แต่พอเนตรมณีร้องไห้ไปสักพักแล้ว  เธอก็หวนคิดถึงคำปลอบใจท่อนหนึ่งของพ่อในงานศพแม่ที่เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น  “….ลูกเคยได้ยินคำนี้ไหม  คนที่เรารักจะอยู่กับเราตลอดไป  ลูกลองคิดดูดีๆ  แล้วจะพบว่าแม่ของลูกยังอยู่ในตัวลูกเนี่ยแหละ  สักวันหนึ่ง  ลูกก็จะได้พบกับแม่  และแม่ของลูกก็หวังจะให้ลูกมีความสุขและทำดีให้มากๆก่อนที่ลูกจะไปพบแม่นะ…”



    พอเนตรมณีครุ่นคิดถึงคำปลอบนี้  เธอก็จะปาดน้ำตา  ยืดตัวตรงและถอนหายใจแรงๆ  แล้วเธอก็จะหายเศร้าทันที



    บ้านต้นไม้นั้น  เนตรมณีใส่ของไว้มากมาย  ทั้งเตียงขนาดเล็ก  ยากันยุงแบบจุด  ยาทากันยุง  ตู้ลิ้นชักสองตู้ติดกระจกเงา  โคมไฟ  ตู้ใส่หนังสือ  โต๊ะทำงานตัวหนึ่ง  เก้าอี้สองตัว  เสาอากาศรับสัญญาณ  และอื่นๆอีกบานตะไท



    ย้อนกลับมาที่เนตรมณี  เธอกำลังสอดส่ายกล้องหาแบมบี้อยู่  และเธอก็เห็นเขาอยู่บนตู้ลิ้นชัก  กำลังนอนหลับอุตุสบายใจเฉิบอยู่ข้างๆวัตถุคล้ายรีโมท  “อะไรกัน  ยังนอนอยู่อีกเหรอ”  เธอร้องเสียงหลงออกมา  เธอวางกล้องลงและหยิบวัตถุรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมา  มันเป็นวัตถุอย่างเดียวกับที่อยู่ข้างตัวแบมบี้ในบ้านต้นไม้  มันมีเสาอากาศอยู่ตรงมุมขวา  ครึ่งหนึ่งของมันเป็นแผงปุ่ม ‘รีโมท’  ซึ่งมีปุ่มเหมือนรีโมททั่วๆไป  แต่อีกครึ่งหนึ่งของมันเป็นแผงปุ่ม ‘บ้านต้นไม้’ ซึ่งมีปุ่ม ‘ลิฟต์ ขึ้น-ลง’ และ ‘นาฬิกาปลุก’ ตรงข้างๆปุ่มนี้มีปุ่มเพิ่ม  --  ลดระดับเสียงแบบหมุนด้วย  ปุ่มสุดท้ายคือปุ่ม  ’วิทยุสื่อสาร’  ข้างๆมีปุ่มแสงเล็กๆเอาไว้ให้มีแสงกระพริบเมื่อมีสัญญาณเข้ามา  และยังมีลำโพง  ‘รับเสียง’  กับ  ‘พูด’  ด้วย



    เนตรมณีหันรีโมทนี้ไปทางบ้านต้นไม้  รอยยิ้มเผล่เจ้าเล่ห์อย่างมีเลศนัยค่อยๆคลี่ออกบนใบหน้า  เธอหมุนปุ่มเสียงแบบหมุนตรงข้างๆปุ่ม ‘นาฬิกา’ เพิ่มไปจนสุด  เนตรมณีหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องขณะถือรีโมทไปด้วย  แล้วเธอก็กดปุ่ม  ‘นาฬิกาปลุก’  เต็มแรง



    มีเสียงดังมาจากบ้านต้นไม้  จากกล้องส่องทางไกล  เนตรมณีเห็นว่าแบมบี้กระโดดตัวลอยขึ้นมาสองนิ้วทั้งที่ยังหลับอยู่และตกลงมาเต็มแรง  เขาตาสว่างทันที  เนตรมณีวางกล้องและกดปุ่ม ‘วิทยุสื่อสาร’ ในรีโมทแล้วนำมันมาแนบหูราวกับมันเป็นโทรศัพท์  แล้วเธอก็พูด



    “ฮัลโหลแบมบี้!  เธอได้ยินฉันหรือเปล่า  ฮัลโหล!”  แบมบี้ที่ตื่นเต็มตาแล้วเห็นไฟกระพริบใกล้ๆปุ่ม ‘วิทยุสื่อสาร’ บนรีโมทข้างตัวเขา  เขาจึงรีบกดปุ่ม ‘วิทยุสื่อสาร’ ทันทีและปีนขึ้นไปอยู่บนรีโมทโดยพยายามไม่ให้ไปโดนปุ่มอื่นๆเข้า



    “อืม!  ฉันได้ยินแล้ว   ทีหลัง -- ห้าม -- เล่น -- แบบนี้  --  อีก  เข้าใจ  --  ไหม!”  เขาตะโกนด้วยความโมโหใส่ลำโพง ‘พูด’ จนเนตรมณีซึ่งฟังอยู่อีกด้านทำหน้าเบ้และรีบเอารีโมทออกห่างจากหู  แต่ก็ยังได้ยินคำเทศนาที่(เนตรมณีคิดว่า)น่าเบื่อแว่วมาๆ  หลังจากคำเทศนาผ่านไปแล้ว  เนตรมณีก็เอารีโมทแนบแก้มทันที  “ขอโทษที”  เนตรมณีพูดยิ้มๆ  “ขอโทษเป็นอย่างยิ่งจ้ะ  แบมบี้”



    “สำนึกได้ก็ดีแล้ว”  แบมบี้ถือโอกาสวางตัวใหญ่  “แล้วเธอมาปลุกฉันทำไมล่ะ”



    “วันนี้  ฉันมีแผนการบางอย่าง”  เนตรมณีพูดธุระ  “ฉันจะลงไปสำรวจในป่าน่ะสิ  เธอจะไปด้วยไหม”



    “ฉันไม่ลงไปได้ไหม” แบมบี้บอก  พยายามกลั้นหาว  “ฉันไปคงไม่มีประโยชน์นักหรอก”



    เนตรมณียิ้มเพราะเธอรู้ว่าแบมบี้กำลังคิดอะไรอยู่  จึงประชดเข้าให้  “จ้าาาา  ฉันไม่ขอรบกวนเวลานอนของเธอแล้วล่ะ”



    “ว้า  เธอรู้ทันซะแล้ว  แล้วเธอนอนแค่ประมาณเจ็ดชั่วโมงได้ยังไงกันเนี่ย  ฮ้าวววว  นี่เธอปิดเทอมวันแรกช่ายยยไหม”



    “ช่ายยย  เอาเถอะ  เจ็ดชั่วโมงก็พอแล้วสำหรับฉัน  อีกอย่าง  เธอเป็นหนูขี้เซา  ส่วนฉันเป็นเด็กหญิงแสนสวยผู้กระปรี้กระเปร่านี่นา(‘แหวะ!’  แบมบี้คิดในใจ)”  เนตรมณีถือโอกาสข่มบ้าง  “บ๊ายบาย!”



    ว่าแล้ว ‘เด็กหญิงแสนสวยผู้กระปรี้กระเปร่า’ ก็กดปุ่มปิดวิทยุสื่อสารและวางลง  จากนั้นจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูบ้านต้นไม้  เธอเห็น ‘หนูขี้เซา’ กำลังกรน  ท่าทางคงเสียงดังน่าดูชม!



    “เฮ้อ!  ไม่ไหวเล้ยย”  เนตรมณีพึมพำบ่นพลางส่ายหน้าและวางกล้องส่องทางไกลลง





    “อืม..  รอยเท้าน่าจะอยู่แถวๆนี้นะ”



    เนตรมณีกำลังสำรวจต้นไม้ที่อยู่ในป่ามรกตแก้วอย่างใกล้ชิด



    “นั่น  ได้การล่ะ”  เธอวิ่งไปยังทางเดินด้านซ้ายเมื่อเห็นว่าต้นไม้ตรงบริเวณนั้นดูจะงอผิดปกติ  แล้วจึงพบว่าตัวเองมาอยู่ตรงกลางที่โล่ง



    “นี่มันกุหลาบป่านี่นา!”  เธออุทานเมื่อเห็นกุหลาบป่าจำนวนหนึ่งกลางทุ่งโล่งถูกเหยียบแบนสนิท



    นี่ถ้าแบมบี้มาเห็นคงพูดว่า  ‘แบนแต๊ดแต๋’  เป็นแน่



    “โธ่  ไม่น่าเลย  กำลังเจริญงอกงามดีแท้ๆ”  เนตรมณีพึมพำอย่างเศร้าสร้อยเมื่อเห็นสภาพ  “เอาเถอะ  ยางยังไม่แห้งดีนัก  แสดงว่า..”  เธอหยุดแค่นั้นและหันไปดูพื้นดินรอบๆกุหลาบป่า  แล้วจึงเห็นรอยบุ๋มจางๆเป็นรูปรอยเท้าขนาดใหญ่  “ดีล่ะ”  เนตรมณีพูดอย่างดีใจ  “รอยเท้ามันหันไปทางนี้  หน้าเดิน!”



    เนตรมณีเดินไปยังทิศทางนั้น  ซักพักก็เจอต้นสนถูกเหยียบอีก  เธอหยุดเดิน  แล้วทำหน้าเหยนิดหนึ่ง  เพราะชักเริ่มใจเสีย  “เอ  ถ้าเท้ามันใหญ่ขนาดนี้  แล้วระยะห่างระหว่างเท้ามันขนาดนี้  แสดงว่ามันตัวใหญ่มากน่ะสิ  แล้วพอเราเจอยักษ์เราจะทำไงล่ะ  น่ากลัวออก”  เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างรู้สึกกลัวนิดๆ  แต่แล้วก็ทำท่ามุ่งมั่น  เนตรมณีรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเมื่อจินตนาการสีหน้าของแบมบี้เมื่อเธอบอกไปว่าไม่กล้าเดินเข้าป่าเพราะกลัวยักษ์  เขาคงทำท่าประหลาดใจปนขบขันเป็นแน่(แหงละ  เขาทำได้นี่  ก็เขาตัวเล็กจนยักษ์อาจจะไม่เห็นก็ได้)  เนื่องจากแบมบี้รู้ว่าเนตรมณีเป็นคนกล้าหาญคนหนึ่ง



    เนตรมณีเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง  แล้วพบว่าตัวเองอยู่ริมป่า  “รอยเท้าหายไปไหนแล้ว”  เธอเอ่ยพลางหันซ้ายหันขวา  แล้วเธอก็สะดุดสายตากับอาคารหนึ่งตรงมุมป่า  เนตรมณีเคยเข้าป่ามาหลายร้อยครั้งแล้ว  แต่ยังไม่เคยออกมายังริมป่าด้านนี้เลย  เนตรมณีรีบวิ่งไปทางนั้นทันที  เธอมัวแต่มุ่งร่างและสายตาไปที่อาคารจนไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า  เธอวิ่งผ่านรอยบุ๋มรูปเท้าขนาดยักษ์ไป…



    …ซึ่งรอยนั้นก็หันหัวไปยังทิศทางเดียวกับเธอด้วย!…





    เมื่อเนตรมณีเข้ามาใกล้ๆ  จึงเห็นว่ามีรั้วคอนกรีตล้อมรอบอาคารแห่งนั้น  เธอเดินวนรอบๆรั้วคอนกรีตแล้วเจอประตูลูกกรง  จึงมองลอดผ่านลูกกรงเข้าไปและเห็นตัวตึกกับบริเวณรอบๆได้ชัดเจน  ทันทีที่เธอเห็นภายในเธอก็รู้เลยว่านี่ต้องเป็นโรงเรียนแน่ๆ  เพราะมีบอร์ดประกาศอยู่ทนโท่เกี่ยวกับงานโรงเรียนตรงบริเวณทางเข้าตึก  แถมคงเป็นโรงเรียนนานาชาติเสียด้วย  เพราะประกาศทั้งหมดนั้นเป็นภาษาอังกฤษ



    ภายในโรงเรียนนี้ใหญ่ไม่ใช่เล่น  มีทั้งสระว่ายน้ำ  สนามฟุตบอล  บาสเกตบอล  วอลเล่ย์บอล  เทนนิส  ปิงปอง(อันนี้ตั้งอยู่ในที่ร่ม)  และมีที่ร่มอีกที่หนึ่งซึ่งดูคล้ายๆโถงอเนกประสงค์  แต่ตัวตึกต่างหากที่เนตรมณีสนใจในรูปร่างของมัน



    เนตรมณีมองผ่านลูกกรงเข้าไปตรงๆและเห็นตึกคอนกรีตรูปห้าเหลี่ยมขนาดใหญ่  ใหญ่พอที่ข้างในจะมีห้องขนาดกลางอยู่ตรงด้านซ้ายและด้านขวาและตรงกลางมีทางเดินที่คนสามคนพอจะเดินได้  ตึกรูปห้าเหลี่ยมนั้นยื่นออกออกมาจากตึกแนวนอนและมีด้านหลังต่อไปอีก  หรือพูดง่ายๆคือถ้ามองจากข้างบนเราจะเห็นเป็นรูปเครื่องหมายบวกนั่นเอง  ปีกซ้ายกับขวาและส่วนหลังมีลักษณะเหมือนด้านหน้าทุกประการ  และด้านหลังปีกซ้ายและขวามีตึกทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากธรรมดาสูงประมาณเจ็ดชั้นสองตึก  และตึกห้าเหลี่ยมส่วนที่ยื่นออกมาให้เนตรมณีเห็นนั้นมีประตูแบบผลัก  เธอไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆจนเห็นว่าข้างบนประตูนั้นมีป้ายชื่อตัวเขียนแบบบรรจงตัวใหญ่มาก  --



    Jusfresh International School

    (JIS)




    “โรงเรียนนานาชาติจัสเฟร็ช”  เนตรมณีพึมพำชื่อออกมาเป็นภาษาไทย  “มีโรงเรียนนี้ด้วยหรือ  ไม่ยักรู้มาก่อนเลยแฮะ  ว่างๆฉันจะมา  --  ”



    ผัวะ  --  โครม!



    ชั่วขณะหนึ่งนั้น  เนตรมณีไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น  เพราะทุกอย่างที่เธอเห็นเร็วมาก  แต่นาทีต่อมา  เธอก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น



    เด็กในเครื่องแบบชุดนักเรียนวัยไล่เลี่ยกับเนตรมณีทั้งชายหญิงจำนวนยี่สิบสามสิบกว่าคนดันประตูออกมาพร้อมๆกัน  มีทั้งไทย จีน ฝรั่ง เกาหลี  ยังมีทุกสีผิวอีกด้วย  ขณะนั้น  เนตรมณีกำลังเกาะลูกกรงอยู่อย่างลังเล  แต่เมื่อเห็นกองทัพเด็กนักเรียนประมาณยี่สิบสามสิบกว่าคนกำลังพุ่งตรงมายังรั้วลูกกรงที่เด็กหญิงคนเดียวยืนเกาะอยู่  เธอก็รีบหลบฉากออกไปด้านข้างทันที  นาทีต่อมา  ประตูก็เปิดออกมาดังปังอย่างที่เนตรมณีคาดไว้  ขณะที่รอให้เสียงฝีเท้าหลายคู่จางลง  เธอก็ได้ยินเสียงของคนบางคนที่พูดกันเป็นภาษาอังกฤษประมาณสามสี่คำที่พอจับความได้  --



    “หนีเร็วเข้า!”

    “น่าสยดสยองจริงๆ!”

    “น่ากลัวที่สุด”

    “แล้วคิดดูสิ  จอร์แอนยังไปนั่งร้องไห้ในนั้นอีก!”



    เมื่อพวกนักเรียนวิ่งพ้นมุมป่าไปแล้ว  เนตรมณีก็ค่อยๆก้าวออกมาทั้งที่ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย  เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูตึกรูปเครื่องหมายบวกซึ่งอ้าค้างไว้ครึ่งให้เปิดออกเต็มบานและก้าวเท้าเข้าไปข้างใน



    ข้างในนี้สวยไม่เบา  มีโคมไฟระย้าห้อยตามทางเดินเป็นช่วงๆ  ประตูมีฝั่งละห้าห้อง  และก็มีสิ่งของต่างๆวางไว้ติดผนังมากมาย  เช่น  รูปปั้นในเทพนิยายอย่าง  มิเนอร์ว่า**  ซูส***  วีนัส****  และเฮสเทีย*****  รูปวาดหน้าคนพร้อมประวัติ(‘คงเป็นพวกนักเรียนที่ได้รางวัลมั้ง’  เนตรมณีคิด)  แล้วก็รูปวาดฝีมือนักเรียนต่างๆนานา



    ประตูตรงหัวมุมด้านซ้ายตรงจุดตัดของทางเดินรูปเครื่องหมายบวกเปิดอ้าอยู่  มันมีป้ายบอกว่า ‘ห้องเรือนสัตว์’  เนตรมณีค่อยๆย่างก้าวไปที่บานประตู  เธอยืนอย่างไม่แน่ใจหน้าห้องชั่วครู่ก่อนจะโผล่หัวเข้าไปดูข้างในอย่างระมัดระวัง  แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจและประหลาดใจสุดขีด



    สภาพห้องเละสุดจะบรรยาย  คำว่า ’เละ’ อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ  กระจกแตกละเอียดทุกทั่วทุกมุมของห้อง  โคมไฟจากเพดานตกแตกกระจายเต็มพื้น  หน้าต่างทุกบานปรากฏเป็นช่องโหว่จนเผยให้เห็นสนามที่อยู่ข้างนอกอย่างไม่ปิดบัง  โต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวขาหัก  บางชิ้นถึงกับเนื้อไม้กระจุย  กลิ่นคาวของสัตว์นานาชนิดที่ตายเกลื่อนกลาดทำให้เนตรมณีถึงกับผงะ  เลือดของสัตว์ได้กระจายไปเปื้อนเพดาน  พื้นห้อง  และวอลเปเปอร์บนผนัง  จนทำให้ห้องนี้เหมือนเป็นสภาวะภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เนตรมณีเคยเรียน(แม้ว่าเนตรมณีเคยพูดกับแบมบี้ว่า  มันน่าเบื่อมากกกกก)ไม่มีผิด  อย่างสุดท้ายในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่ทำให้ห้องนี้ดูเหมือนโดนแรดหลายตัวบุกทะลวงคือ  รูโหว่ขนาดใหญ่บนเพดาน  เนตรมณีกลืนน้ำลาย  รูโหว่นั้นมีขนาดเท่าเท้ายักษ์ที่เธอเคยเจอ!



    เด็กหญิงไล่เลี่ยกับเนตรมณีนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงกลางห้อง  เด็กหญิงกอดอะไรบางอย่างไว้แน่น  เนตรมณีเดินอ้อมไปด้านหน้าเธอ(โดยพยายามหลบรอยเลือดและซากสัตว์ด้วย)  แก้มสีแดงอ่อนที่มีคราบน้ำตาเกาะมีผมสีดำสนิทเหมือนคนเอเชียระอยู่รอบๆ  แม้เนตรมณีจะมองออกว่าเธอผู้นี้เป็นชาวยุโรปก็ตาม  เด็กหญิงคนนี้สูงและผอมแบบเนตรมณี  เธอไม่เห็นเนตรมณีเพราะเธอมัวแต่หลับตาร้องไห้อยู่



    “เอ่อ สวัสดี”  เนตรมณีทักเป็นภาษาอังกฤษอย่างกล้าๆกลัวๆ  เธอพอจะมีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง  เพราะเป็นอันดับ ๒ ของโรงเรียนในวิชาอังกฤษ



    เด็กหญิงลืมตาขึ้นทันควัน  ตาของเธอก็ดำสนิทเข้ากับสีผม  “เธอเป็นใคร”  เด็กหญิงถามหวาดๆเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน  สำเนียงนั้นบ่งบอกว่าเป็นอเมริกันอย่างชัดเจน



    “เนตรมณี…  เนตรมณี อัศวโรดม”  เนตรมณีตอบอย่างเกรงใจพลางมองเด็กหญิงคนนี้อย่างสงสัย  “แล้วเธอล่ะ”



    “จอร์แอน  ครอกเดอร์ลัส”  เด็กหญิงตอบทันที  และพอสังเกตเห็นว่าเนตรมณีนั้นเป็นคนไทย  จอร์แอนก็เสริมต่อ  “ยินดีที่ได้รู้จักจ้า  ม่ายต้องพุดฝาหรั่งก้อด้าย  ฉานพุดไทยด้าย”



    เธอพูดไทยได้  แถมยังสำเนียงอีสานอีกด้วย!



    เนตรมณีหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอายไปนิดก่อนจะยิ้มตอบด้วยความขบขัน  เธอชักชอบเด็กหญิงที่ชื่อจอร์แอนเสียแล้วสิ  “เช่นกันจ้ะ”  เธอตอบเป็นภาษาไทยแทนคราวนี้  “เธอกอดอะไรอยู่น่ะ”



    จอร์แอนไม่ตอบแต่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง  แล้วเธอก็คลายสิ่งที่กอดอยู่และวางลงบนพื้น  “ตายจริง!”  เนตรมณีอุทาน



    มันคือลูกกระต่ายตัวเล็กๆที่ตายแล้ว  มันมีแผลฉกรรจ์ที่ขา  คงตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด



    เนตรมณีมองหน้าจอร์แอนที่ทำท่าเหมือนจะระเบิดโฮออกมาอีกครั้ง  แล้วจึงรีบชิงพูดว่า  “เอ่อ  แล้วเรื่องมันเป็นไปยังไงหรือ  ทั้งเกี่ยวกับเธอและห้อง ‘เรือนสัตว์’ นี่น่ะ  ฉันขอเรียกเธอว่าจอร์แอนก็แล้วกันนะ”



    จอร์แอนหยุดทำท่าเหมือนจะร้องไห้  พลางฝืนยิ้มกว้าง  “ได้  ฉันขอเรียกเธอว่าเนตรละกัน”  เธอตอบ  แม้จะพูดไทยได้คล่อง  แต่ภาษายังไม่สละสลวยนัก  “เธอพูดว่าอยากรู้เรื่องใช่ไหม  เอาล่ะ  ฉันจะเล่าให้ฟัง..



    “ฉันเป็นนักเรียนที่นี่  เป็นพวกเรียนพิเศษภาคฤดูร้อนวันเสาร์อาทิตย์น่ะ  พวกคนที่วิ่งไปเมื่อตะกี้นี้ก็เหมือนกัน  ฉันอาศัยอยู่ที่นี่  อะไรนะ  อ๋อ!  เปล่าหรอก  ฉันเป็นลูกกำพร้าน่ะ(จอร์แอนดูเศร้านิดหน่อยเมื่อเนตรมณีถามถึงพ่อแม่)  อาจารย์ใหญ่โรงเรียนนี้ดูแลฉันเสมอมา  ถึงฉันไม่ต้องจ่ายเงินค่าเทอม  แต่ฉันก็ต้องทำงานจำพวกกวาดปล่องไฟ  กวาดหิมะ  ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน(เนตรมณีตกใจเล็กน้อยที่เด็กหญิงผู้อ่อนโยนต้องทำงานหนักเลยถามไปว่า  “อาจารย์ใหญ่ใจร้ายเหรอ”)  ไม่หรอก  ถึงขึ้นชื่อว่าทำงาน  แต่ฉันก็ได้เงินเดือนนะ  เดือนละ  เอ่อ..  ประมาณห้าหกปอนด์******ต่อเดือนมั้ง  ฉันไม่ทำความสะอาดสามสี่วันก็ไม่เป็นไร  ไม่หักเงินเดือนด้วย  เห็นไหมล่ะ  ท่านใจดีมาก



    “เอาล่ะ  เรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องนี้ก็คือ  ฉันจะมาไขห้องนี้เพื่อตรวจความเรียบร้อยทุกวัน  แล้ววันนี้  ฉันเปิดประตูเข้ามา  ก็มีฝุ่นเป็นกองร่วงใส่หัวฉัน  ฉันก็เลยร้อง  --  นั่นคงทำให้พวกนั้นมา  แล้วฉันก็วิ่งเข้าหาสัตว์เลี้ยงตัวนี้ของฉัน  พวกนั้นมาก็ร้องแล้วรีบวิ่งหนีไป  เรื่องมันก็แค่นั้นล่ะ”



    เกิดความเงียบชั่วขณะ  จอร์แอนมองเนตรมณีด้วยความฉงน  เนตรมณีดูเหม่อลอย  เธอคิดว่าเนตรมณีกำลังคิดอะไรล่องลอยไป  แต่ถ้าเป็นคนที่อาศัยอยู่กับเนตรมณีอย่างแบมบี้(ในกรณีนี้คือ ตัว)ละก็  เขาจะรู้ว่าเนตรมณีกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก



    ในที่สุด  หลังจากผ่านไปหลายนาที  เนตรมณีก็พูดช้าๆ  “เธอมาอยู่กับฉันไหมล่ะ”



    จอร์แอนสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจอย่างมากที่เนตรมณีพูดเช่นนี้  “อะไรนะ!”  เธออุทานเป็นภาษาอังกฤษ  ก่อนจะพูดเป็นไทยออกมาอย่างตะกุกตะกัก  “เธอ  --  เธอพะ  --  พูดเล่นชะ  --  ใช่ไหม”



    “ว่าไง”  เนตรมณีผู้มีความคิดแปลกใหม่และโลดโผนอยู่เสมอนั้นพูดอย่างไม่สนใจอาการของอีกฝ่าย  “เอาเถอะ  สมมติให้เธอเลือกที่อยู่อาศัยได้  เธอจะเลือกที่ไหน  ระหว่างที่นี่กับบ้านฉัน”



    “ถ้าบ้านของเธอมีที่กว้างพอสำหรับฉัน  ฉันก็จะไป”  จอร์แอนพูดเล่นๆ  แต่เนตรมณีไม่คิดเช่นนั้น



    “โอเค  ฉันว่าเธอมาได้เลย  แต่เฮ้อ!  ฉันไม่รู้ว่าจะให้เธออยู่ที่ไหนดีที่ไม่ให้แม่เลี้ยงกับพี่สาวของฉันรู้เข้าน่ะสิ”



    จอร์แอนรีบพูดขัดความคิดของเนตรมณีทันที  “ฉันว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ  ที่นี่ไม่เหมาะแก่การใช้ความคิดกันเลย”



    เนตรมณีเห็นด้วยทันที  “ฉันว่าก็จริงนะ  แหวะ  เหม็นสุดยอดอภิมหาเหม็นเลย”



    แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังหมุนตัวไปทางประตูนั้น  ประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ  และมีชายชรายืนแทนที่



    ชายชราคนนี้สูงเกือบเท่าประตูห้องเลย  ท่าทางคงเป็นอเมริกันเช่นเดียวกับจอร์แอน  ผมสีเทาตัดสั้นร่วงโรยตามวัยสูงอายุบ้างเป็นบางส่วน  หนวดเคราซึ่งเป็นสีเทาเหมือนสีผมที่ยาวถึงคอทำให้คาดว่าอายุประมาณระหว่างหกสิบถึงเจ็ดสิบปี  ใส่แว่นตาเลนส์นูนรูปวงกลมค่อนข้างหนาขอบดำสนิทซึ่งขณะนี้เลื่อนมาอยู่ที่ปลายจมูก  ดวงตาเรียวได้รูปเบื้องหลังแว่นเป็นสีน้ำตาลอ่อนโยนและดูอิ่มเอิบไปด้วยน้ำนวล  สิ่งแรกที่เนตรมณีคิดเมื่อมองตาเขาคือ  ตาสวยหยั่งกะผู้หญิงเลยแฮะ!



    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”  เด็กหญิงทั้งสองกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ  เนตรมณีพอจะรู้บ้างว่าโรงเรียนนานาชาติในไทยหลายแห่งมีกฏห้ามพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษในโรงเรียน  มิฉะนั้นจะโดนหักคะแนน  ถึงแม้คนพูดจะเป็นอเมริกันเต็มตัวก็เถอะ



    “อรุณสวัสดิ์”  ชายชรากล่าวทักตอบ  เสียงเขาดูนุ่มนวลดุจเสียงนักร้องโอเปร่ามือหนึ่งทีเดียว  เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผงะกับสภาพห้อง “อ้าว  ครอกเดอร์ลัส  นี่ใครกันล่ะ”  เขาถามจอร์แอนขณะตวัดสายตามองเนตรมณีเป็นเชิงถามอย่างสุภาพ



    “เนตรมณี  อัศวโรดมค่ะ  อาจารย์”  จอร์แอนผายมือไปทางเนตรมณีและผายมือไปทางชายชราต่อ  “เนตร  นี่คืออาจารย์แดนกิทคิน  จัสเฟร็ช  เป็นอาจารย์ใหญ่ที่นี่  ปู่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้ขึ้น”  เธอกล่าว  เนตรมณีคิดว่าชื่อของอาจารย์ใหญ่คนนี้ดูโดดเด่นและแปลกมาก



    แต่ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพูดอะไรไปมากกว่านี้  ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง  คราวนี้เป็นหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามา  รูปร่างค่อนข้างท้วมๆ  ตาสีฟ้าลอกแลกไปมา  กริยาท่าทางที่มักจะเดินลงส้นพร้อมส่งเสียง ฮืมม ของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนดุ  เจ้ากี้เจ้าการ  และหงุดหงิดหัวเสียง่าย  ผมสีส้มแดงแจ๊ดยาวระไหล่กว้าง  ใส่แว่นตากรอบแดงสี่เหลี่ยม  และเป็นคนที่สามของวันนี้ที่เมื่อยุรยาตรเข้ามาแล้วต้องตกตะลึงพรึงเพริดจนผงะไปกับสภาพอันเละเทะของห้อง  หน้าตาเจ้าอารมณ์ของเธอทำให้เนตรมณีคิดว่า  เธอเป็นพวกอาจารย์เคร่งวิชา  หรืออีกนัยหนึ่ง  พวกอาจารย์น่าเบื่อที่เอาแต่พูดๆๆเกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียนโดยไม่ใส่ใจนักเรียนเลยนั่นเอง



    “แดนกิทคิน  นี่ใครกันน่ะ”  เธอตวัดสายตาผ่านเนตรมณีและจอร์แอนที่กำลังอ้าปากจะเอ่ยทักไปถามอาจารย์จัสเฟร็ชอย่างเมินเฉย  ทำให้เด็กทั้งสองคนหน้าเสียไปนิด  น้ำเสียงของเธอดูลึกลับ  อาจารย์จัสเฟร็ชกล่าวขอตัวเด็กทั้งสองแล้วเดินออกไปพร้อมกับเธอ  จอร์แอนหันมาหาเนตรมณีแล้วเริ่มพูดถึงครูที่เพิ่งเดินออกไปกับอาจารย์จัสเฟร็ช  “นั่นคืออาจารย์รูเลีย โมลิซ เรโฟนี่  อาจารย์วิชาเคมีน่ะ  ไม่ค่อยมีใครชอบเธอหรอก  เวลาเธอพูดนะ  เธอจะพูดด้วยเสียงเบาๆ  แล้วเจ้าเสียงลึกลับของเธอนั่นก็ยิ่งทำให้เสียงเธอเหมือนคุณยายแก่ๆเลย”  เธอหลุดหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง  เนตรมณีแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเด็กสาวน่ารักอย่างจอร์แอนทำหน้าทะเล้นและทะลึ่งตึงตังได้ด้วย  “แล้วเวลาที่เธอเสแสร้งทำเป็นดีอกดีใจนะ  จะตลกมากเลย  --  ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ  อ้อ  ดัดจริตไง  อาจารย์จะบีบเสียงให้เล็กหยั่งกะเด็กน้อยแสนซื่อที่ได้รับของขวัญแล้วดีใจ  จนดูเหมือน…เอ  สำนวนไทยอะไรสักอย่างนี่แหละ  เกี่ยวกับปลา…ปลา”



    เนตรมณีคิดตามจนรู้ในไม่ช้าว่าจอร์แอนเอ่ยถึงสำนวนอะไร  แต่ทันทีที่ประโยคนั้นผุดขึ้นในสมองเธอ  จอร์แอนก็นึกออก



    “อ๋อ!  ฉันรู้แล้วล่ะ  กระดี่ได้น้ำ



    เนตรมณีพยายามทำหน้าขรึมเพื่อจะได้ไม่หัวเราะออกมา



    อาจารย์จัสเฟร็ชเดินกลับมาพร้อมกับอาจารย์เรโฟนี่พอดี  “ครอกเดอร์ลัส  อัศวโรดม”  เขาพูดกับเด็กหญิงทั้งสอง  “มาดื่มน้ำชากับพวกฉันไหม”  เขาถามอย่างอารมณ์ดี



    “เอ่อ  ขอโทษนะคะ  หนูคงไปไม่ได้ค่ะ  หนูต้องรีบกลับบ้านแล้ว  ขอบคุณมากค่ะ”  เนตรมณีตอบอย่างสุภาพ  แม้จะตะกุกตะกักไปบ้างจากการไม่ใช่เจ้าของภาษา



    “ไม่เป็นไร  เอาอย่างนี้ไหมล่ะ  พวกเธอมาหาฉันที่ห้องพักครูหน่อย  ตอนหกโมงสี่สิบห้า  อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ  ครอกเดอร์ลัส  ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก  ฉันแค่อยากถามอะไรนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง”  อาจารย์จัสเฟร็ชถาม



    “ได้ค่ะ”  เนตรมณีกับจอร์แอนตอบรับพร้อมกัน  จอร์แอนที่ทำหน้าสยดสยองให้อาจารย์จัสเฟร็ชเห็นถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร



    “ถ้าเช่นนั้น”  อาจารย์จัสเฟร็ชพูด  “แล้วพบกันที่ห้องพักครูนะ  สวัสดี”  เขายักคิ้วให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับอาจารย์เรโฟนี่

    แล้วประตูก็ปิดลงเบาๆ



    “ออกไปข้างนอกกันเถอะ”  เนตรมณีพูดหลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง  เธอจูงจอร์แอนออกไปในสวนของโรงเรียน  เนตรมณีกับจอร์แอนเลือกนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้



    จอร์แอนมองพวกเด็กเล็กที่เล่นบอลกันอยู่  เธอนึกอิจฉาพวกเขานิดๆ  พวกเขาใช้เวลาในช่วงปิดเทอมไปกับการเล่น  เล่น  และเล่น  หรือทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำได้  แต่เธอสิ  ต้องมาทำงานหาเงินซะนี่  แต่จอร์แอนก็รีบปัดความคิดนั้นออกไปจากหัว  อย่างน้อยเธอก็ยังดีที่ได้อาจารย์จัสเฟร็ชอุปการะแล้วกันล่ะ!  แม้จะคิดด้วยความตื้นตันเช่นนั้นแล้ว  เธอก็ยังอดถอนหายใจเบาๆออกมาไม่ได้



    ส่วนเนตรมณีนั้นต่างกันออกไป เธอกำลังคิดหนัก  โดยมีทีท่าเหมือนเหม่อลอยมาบังหน้าไว้  ขณะที่จอร์แอนเริ่มม่อยหลับไปภายใต้สุริยันต์สีทองที่สูงขึ้นเรื่อยๆนั้น  เนตรมณีก็ยืดตัวตรงขึ้นและพูดเสียงดังจนจอร์แอนสะดุ้งตื่น  น้ำเสียงเธอสั่นระริก  หากดวงตาเป็นประกายกล้ายามเอ่ยว่า



    “จอร์แอน!  ฉันนึกออกแล้ว!  บ้านต้นไม้ไงล่ะ!”





    โปรดติดตามตอนต่อไปได้ใน  \"บ้านที่ว่างเปล่า\"

    ***

    เชิงอรรถ


    *ทะเลทรายซาฮาราคือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก  มีพื้นที่ประมาณเก้าล้านหกหมื่นห้าพันตารางกิโลเมตร(๙,๐๖๕,๐๐๐)

    **มิเนอร์ว่าคือเทพธิดาแห่งการศึกสงคราม

    ***ซูสหรือจูปิเตอร์คือเทพแห่งสรวงสวรรค์

    ****วีนัสคือเทพีแห่งความงาม

    *****เฮสเทียคือเทพีประจำเตาผิง

    ******หนึ่งปอนด์เท่ากับหกสิบบาท

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×