ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเมืองยักษ์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑ ยามสนธยา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 124
      0
      25 ม.ค. 47

    The War of Giants

    สงครามเมืองยักษ์

    Chapter 1: Nervous Night

    บทที่ ๑: ยามสนธยา






    ย่างเข้าเที่ยงคืน  อากาศเย็น  ณ บ้านหลังหนึ่งในนครของประเทศไทย  เสียงเพลงไพเราะเพราะพริ้งดังแว่วเอื่อยๆตามสายลมมาแต่ไกล



    ราตรีเยือน เชือนชม ดวงดารา

    แสงจันทรา แปรนภา ส่องสดใส

    เสียงหมู่มวล ไม้กล่อม ย่องเข้าใกล้

    โอ้.. สุขใจ สุขอุรา ผาสุกจริง



    ช่างสำราญ เสียนี่ ราตรีนั่น

    ไม่สำคัญ.. หากเพียงฉัน คือเจ้าหญิง

    มีเจ้าชาย อยู่ข้างกาย ให้พักพิง

    ไม่ระวิง ระแวงภัย อันใดเอย




    หน้าต่างชั้นสองของบ้านเปิดอ้ากว้างอยู่  ปรากฏร่างเด็กหญิงอายุสิบสองปีผู้หนึ่ง  ซึ่งหยุดร้องเพลงแล้ว  และมองทัศนียภาพอาบแสงจันทร์นอกหน้าต่างแทน  เด็กหญิงนั้นยังไม่หลับ  ทั้งที่ยามสนธยาเช่นนี้  ใครๆน่าจะหลับไหลสู่ห้วงนิทรารมณ์ไปตั้งนานแล้ว  แต่เด็กหญิงผู้สูงเพรียว  มีตาโตเหมือนนกฮูก  ผมยาวสีดำทอประกายใส่ที่คาดผม  ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้  เอามือเท้าคางบนกรอบหน้าต่าง  พลางเหม่อมองจันทราเสี้ยวหนึ่งกับดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าต่อไปนิ่งนาน……



    พลั่ก!



    เด็กหญิงสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจดั่งถูกไฟฟ้าจี้เข้าให้  อะไรบางอย่างตกมาอยู่ที่ระเบียงนอกหน้าต่างของห้องนอนเธอ!



    เด็กหญิงลุกขึ้นหลังคิดจะออกไปตรวจหาที่มาของเสียงตรงระเบียง  แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูที่นำไปสู่ระเบียงอยู่นั้น  ก็มีเสียงแหลมเล็กพลันร้องเรียกขึ้น  “เฮ้เนตร!  ทำอะไรอยู่น่ะ”



    เด็กหญิงชะงักที่มีคนเรียกชื่อสั้นๆเธอ  จึงหยุดขยับตัวไปชั่วครู่  ก่อนจะเปิดประตูก้าวออกไปยังระเบียง  สีหน้าที่ตกใจนั้นแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างถึงหูเลยทีเดียว



    “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ  แค่ดูพระจันทร์ยามสนธยาน่ะแบมบี้  ดูแล้วเพลินดีนะ”  เด็กหญิงคนนั้นซึ่งมีนามเต็มๆว่า เนตรมณี อัศวโรดม พูดด้วยน้ำเสียงเคลิ้มๆ



    ที่แท้มันก็เป็นเพียงแค่หนูสีเทาตัวใหญ่มหึมาจนเหมือนไม่ใช่หนูเท่านั้น  เพียงแต่ว่ามัน…เอ่อ…เขาใส่เสื้อผ้า  ที่สำคัญ เขาพูดได้!



    เป็นเวลากว่าสิบห้านาทีที่ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบกัน  แต่แล้ว  จากเสียงกระซิบกระซาบก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงโต้เถียงกัน  และแล้วในที่สุด  หนูที่ชื่อ แบมบี้ ได้ตัดบทลงกลางปล้องว่า  “อะไรกันน่ะฮึ!  มันอยู่แค่ปลายจมูกเราเท่านั้นเองนะเนตร  ไอ้ร่องรอยลึกลับนั่นน่ะ  แล้วเธอคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ  รอยจานบินรึไง  หึ  ไม่ใช่หรอก  ฉันแน่ใจนะว่า สิ่งแปลกๆ ในป่ามรกตแก้วที่หนังสือพิมพ์เขียนน่ะ  ต้องมาคืนนี้แน่นอน  เพราะว่าอะไรน่ะหรือเนตร  ฟังฉันนะ  ก็ฉันสังเกตในข่าวทุกวันไงล่ะ   มันจะมาเป็นช่วงๆ  คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเดือนนี้แล้วด้วย!  เพราะฉะนั้น  ถ้าเธออยากจะเห็นมัน  ก็ต้องเป็นคืนนี้  และเดี๋ยวนี้!”  น้ำเสียงนั้นหนักแน่นแสดงเจตนาชัดเจน



    เนตรมณีตกใจมากกับคำพูดเด็ดขาดที่ได้ยิน  “แต่  --  แต่เธอทำอย่างนี้ไม่ได้นะแบมบี้  เธอก็รู้!  วันนี้เวรตรวจบ้านเป็นของวาลี  ไม่ใช่ของดวงแก้ว  พี่ดวงแก้วน่ะยังยอมยกโทษที่ฉันมักจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเสมอ  ถึงแม้เขาจะไม่เต็มใจนัก  เขาชอบบ่นว่ามันอันตราย  แต่ถ้ายัยวาลีจับได้ล่ะก็… (เนตรมณีกลืนน้ำลาย)  ฉันตาย  --  ตายล้านเปอร์เซ็นต์แน่ๆ!“  นี่ถ้าเป็นยามปกติ  แบมบี้คงจะหัวเราะด้วยความขบขันกับสำนวนของเนตรมณีไปแล้ว  แต่ยามนี้  แม้แต่จะยิ้มเขาก็ยังยิ้มไม่ออก  คิ้วของเขาเองกลับขมวดเข้าหากัน



    “โอเค!  ตามใจ!  ก็ได้!  ถ้าเธอไม่อยากไปคืนนี้เพราะต้องการติดแหง็กกับยัยแม่เลี้ยงวาลีนั่นก็ตามใจเธอสิ”  แบมบี้ว่าอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินลงบันไดที่เชี่อมระหว่างระเบียงห้องเนตรมณีกับบริเวณสวนไป



    แต่เมื่อแบมบี้เดินลงมาได้ครึ่งทาง  เนตรมณีก็รีบตามลงมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจปนขอร้องว่า  “แบมบี้  เธอจะทิ้งฉันไปหรือ  เธอใจร้ายมากนะ”



    “โอ๊ย!  นี่ตกลงใครทิ้งใครกันแน่”  แบมบี้เกือบจะตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน



    เนตรมณีมองแบมบี้ด้วยสายตาตำหนิปนเสียใจเล็กน้อย  ก่อนจะนั่งลงครุ่นคิด  แบมบี้ยังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น



    ในที่สุด  เนตรมณีก็หันมามองแบมบี้ด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวเป็นประกายแล้วพูดเสียงหนักแน่นว่า



    “ก็ได้!  ฉันจะไป”







    ความเงียบสงัดแผ่เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ธรรมชาติแห่งนั้น  สรรพสัตว์ทั้งหลายได้พากันพักผ่อนเพื่อจะได้เตรียมพร้อมให้เริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่นไปนานแล้ว  จะเว้นก็แต่บางจำพวกอย่างนกฮูกและสัตว์กลางคืนทั้งหลาย  ซึ่งนานๆทีจะทำเสียงเบาๆขึ้นมาบ้าง  หมู่มวลไม้ใหญ่เล็กต่างๆนานายืนนิ่งเงียบแทบไม่ขยับ  บางคราจะมีสายลมเอื่อยๆพัดมาทำให้กิ่งก้านสาขาและใบไม้เสียดสีกันเป็นเสียงเบาๆน่าฟัง  อากาศโดยรอบเย็นชื่นใจชวนให้จิตใจปลอดโปร่ง  ทว่าไม่เกิดผลกับผู้ที่ย่ำเท้าเบาๆผ่านมวลไม้พงไพรท่ามกลางความมืดทั้งสองเลย



    จิตใจของเนตรมณีไม่เป็นสุขแม้แต่น้อยขณะเดินตามหลังแบมบี้เข้าไปในป่ามรกตแก้ว  ใจหนึ่งของเธอนั้นอยากกลับบ้านเหลือเกิน  ซึ่งเธอตอบสนองโดยการลดฝีเท้าลงเรื่อยๆ  แต่ในขณะเดียวกัน  อีกใจหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็นว่าที่แบมบี้พูดนั้นเป็นจริงหรือไม่  ซึ่งเธอตอบสนองโดยการกระทืบเท้าแรงๆ(ทำให้แบมบี้นึกว่าเป็นแผ่นดินไหว)และเดินเร็วขึ้น…







    เนตรมณีมีความผูกพันอย่างเหนียวแน่นกับป่ามรกตแก้ว ณ หมู่บ้านพฤกษาราชาติที่เธออาศัยมาตั้งแต่เกิด  ป่ามรกตแก้วเป็นป่าเขียวชอุ่มที่ไร้พิษภัยใดๆ  เธอมักจะเข้าป่านี้ตอนกลางวันในวันหยุดและสำรวจให้ทั่ว  เธอมักจะเจอสัตว์จำพวกกวาง กระต่าย หนู และลิง  ทว่าแทบจะไม่มีงู จระเข้ หรือสัตว์อันตรายใดๆใน ณ ที่นี้เลย  เธอรู้จักป่านี้แทบทุกซอกทุกมุม  เนตรมณีรู้ว่าสัตว์ชนิดไหนมักจะอยู่ตรงแถวๆไหน  เธอไม่เคยเข้าป่าในตอนกลางคืนเลย  จะมีก็แต่แอบแม่เลี้ยงนิสัยไม่ค่อยจะดีนักชื่อวาลีมานั่งบนม้านั่งริมป่าพลางมองดูจันทรานวลตาส่องแสงกลางนภา  บางครั้งก็เผลอผล็อยหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่เช่นนั้น(และครั้งนั้นโดนวาลีด่าลั่นบ้าน)



    แต่ช่วงนี้ผู้คนพบเรื่องประหลาดในป่า คือเจอสัตว์ตายเพราะถูกอะไรสักอย่างทับจนแบน(ซึ่งเนตรมณีฝังศพไว้ให้เรียบร้อยแล้ว)  ซึ่งมันจะไม่เป็นที่สังเกตเลยถ้าไม่มีการล้มระเนระนาดของต้นไม้



    ต้นไม้ในป่ามรกตแก้วนั้นขึ้นชื่อได้ว่าค่อนข้างดงดิบมาก  เพราะฉะนั้น  เมื่อมีชาวบ้านเห็นต้นไม้ล้มแบนเป็นช่วงๆจึงสนใจเป็นอย่างยิ่ง  และนักข่าวก็สนใจในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้น  หนังสือพิมพ์ต่างๆจึงลงข่าวกันครึกโครมเกี่ยวกับเรื่องนี้  --





    “รอยจานบิน?  เหตุการณ์ประหลาดในป่ามรกตแก้วของหมู่บ้านพฤกษาราชาติ!”

    “ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในหมู่บ้านพฤกษาราชาติ”

    “นักท่องเที่ยวแห่กันไปดู  รอยประหลาดในป่ามรกตแก้ว!”






    สิ่งเหล่านี้มีข้อดีข้อเดียวคือ  ทำให้หมู่บ้านมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นเป็นเท่าตัว  ส่วนตัวแบมบี้เองยังสนใจเรื่องนี้มากๆด้วยเช่นกัน



    อ้อ!  คุณอาจจะสงสัยก็ได้ว่าแบมบี้  หนูประหลาดที่พูดได้นั้นมาจากไหน  เรื่องมีอยู่ว่า  ตอนเนตรมณีอายุสิบปีนั้น  เธอพบแบมบี้เข้าเช้าวันหนึ่งที่ริมชายป่า  เธออ้าปากค้างเมื่อเห็นหนูตัวใหญ่พูดได้กำลังพูดแจ้วๆด้วยความไร้เดียงสาบริสุทธิ์แท้ๆ



    “สวัสดีครับ  คุณเป็นใคร”  เขาหรี่ตาลงอย่างระแวงนิดๆ  “ผมหลงมาจากเมืองหนูครับ  แต่นั้นมันก็สองวันผ่านมาแล้ว  แล้วที่นี่ที่ไหนเหรอครับ”  เขาหันไปดูรอบๆตัวอย่างเศร้าๆ  “ใช่ป่าเมืองหนูหรือเปล่าครับ  คือผมออกมาเดินเล่น  แต่พอเจองูผมเลยวิ่งหนีสุดชีวิต  วิ่งอย่างนั้นตั้งหลายนาทีกว่าจะรู้ว่างูมันตามไม่ทัน  และนั่นก็นานพอที่จะทำให้ผมหลงทางได้  เพราะห่างออกมาจากที่อยู่ตั้งหลายไมล์แน่ะ”



    นับเป็นโชคดีของแบมบี้ที่ไปพบเจอกับมนุษย์ดีๆเช่นเนตรมณี  เพราะถ้าเขาไปพูดกับมนุษย์ที่ไม่ดี(เนตรมณีเคยพูดกับแบมบี้เช่นนี้เมื่อเขารู้เรื่องโลกมนุษย์มากขึ้นมาอีกหน่อย)  เขาอาจจะนำข่าวนี้ไปเผยแพร่เพื่อชื่อเสียงเงินทอง  แล้วแบมบี้ก็จะถูกนำไปยังศูนย์วิจัยและอาจถูกขังอยู่ในกรงเป็นปีๆเพื่อทำการทดลองอะไรบางอย่าง(เนตรมณีเอ่ยถึง ‘ทำการทดลองอะไรบางอย่าง’ อย่างน่าพรั่นพรึงจนแบมบี้ตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง  และบอกว่าเนตรมณีจินตนาการ ‘เว่อร์’ เกินไป)  แบมบี้เล่าให้ฟังว่าหนูทุกตัวในเมืองหนูจะมีร่างกายคล้ายๆคน  ส่วนที่เนตรมณีตั้งชื่อให้ว่าแบมบี้นั้นเพราะเธอเห็นว่ามันน่ารักดี(แม้แบมบี้จะบ่นกระปอดกระแปดว่ามันเป็นชื่อเฉิ่มๆที่เอามาจากกวางในการ์ตูนก็ตามที)  แบมบี้อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆมาสองปีกว่าแล้ว  และเขาก็พยายามหาเมืองหนูที่เขาอยู่มาสองปีกว่าด้วยเช่นกัน  กิจวัตรประจำวันเสาร์และอาทิตย์ของเนตรมณีคือพาแบมบี้เข้าไปในป่าตอนบ่าย  เธอให้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงในการพาแบมบี้เดินเข้าป่าลึกๆเพื่อหาเมืองหนู  เธอจะสวมรองเท้าบู๊ตยางเผื่อเจองู  และแต่งตัวเหมือนนักเดินป่า  แล้ววิ่งเอาๆเพื่อเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้  เธอจะวิ่งเป็นทางตรงตลอดเพื่อไม่ให้หลงทาง



    เพราะฉะนั้น  คุณคงรู้แล้วว่าทำไมแบมบี้ถึงสนใจเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับป่ามรกตแก้ว  เขาคิดว่ามันอาจเกี่ยวกับเมืองหนูก็ได้







    ย้อนกลับมาที่เนตรมณีกับแบมบี้…



    ขณะที่เนตรมณีจิตใจสับสนวุ่นวายอยู่นั้น  แบมบี้ก็หยุดเดินกระทันหัน  เนตรมณีเองก็หยุดเช่นกัน



    “ได้ยินเสียงนั่นไหมแบมบี้”  เนตรมณีกระซิบถามอย่างตื่นเต้น



    “ฮื่อ”  แบมบี้ทำเสียงในลำคอ(ซึ่งเนตรมณีแทบจะไม่ได้ยิน)ตอบอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน



    เสียงสวบๆดังมาจากด้านซ้ายของทางเดินที่ถากหญ้าจนค่อนข้างราบ  เสียงนั้นเหมือนเสียงต้นไม้ล้มเพราะถูกอะไรบางอย่างกดกระแทกอย่างรุนแรงให้ติดกับพื้นดิน  เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกทีๆ…



    ทั้งสองยืนนิ่งด้วยความตกใจกลัว  แต่สักพักเสียงก็เงียบหายไป



    หากทว่า  --



    “แบมบี้!  ข้างบน!”  เนตรมณีกรีดร้องสุดเสียง  แบมบี้หันไปมองเนตรมณี  แล้วก็แลเห็นว่าเธอกำลังเงยหน้าดูข้างบนแล้วทำท่าผงะอยู่  แบมบี้เงยหน้าตาม  แล้วเขาก็รู้สึกว่าร่างกายนั้นแข็งทื่อไปหมดสิ้น…



    …วัตถุอย่างหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะพวกเขาประมาณสามสี่เมตรขึ้นไป  เนื่องจากมันมืดจึงมองเห็นไม่ค่อยชัดถนัดตานัก  เป็นวัตถุรีๆและมีรอยโค้งนิดๆอยู่ทางด้านยาวซ้ายข้างเดียว  มองแล้วคล้ายพื้นรองเท้าขนาดยักษ์  ซึ่งกว้างประมาณสองเมตร  และยาวประมาณสามเมตรครึ่ง…



    …ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง  วัตถุนั้นก็ลอยต่ำลงมา  เนตรมณีและแบมบี้รู้ได้เพราะเงาของมันมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…



    สิ่งที่ตามมานั้นเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่ง  --  “อ๊ากกกก!”  แบมบี้ตะโกนสุดเสียง  --  เนตรมณีใช้ความสามารถที่โรงเรียนตอนชั่วโมงพละกระโดดให้พ้นรัศมีที่วัตถุนั้นจะเคลื่อนลงมาทับ  --  เธอตะโกนเรียกแบมบี้สุดเสียง  “แบมบี้!  แบมบี้!  มาเร็วๆเข้า”  --  ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง  แบมบี้รีบวิ่งเร็วจี๋ไปยังทิศตรงข้ามกับที่เนตรมณียืนอยู่  เขาวิ่งไปซักพักแล้วหยุดหอบหายใจหนักๆ  แต่แทนที่เสียงสวบๆที่ได้ยินตอนแรกจะเงียบหายไป  มันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ  แบมบี้เหลียวหลังกลับไปดู  แล้วคิดว่าตัวเองตกอยู่ในฝันร้าย…  ฝันร้ายที่ไม่มีทางสิ้นสุด…



    รองเท้าคู่หนึ่งที่ใหญ่มหึมาขนาดสูงเท่าตัวเนตรมณีอยู่ห่างจากแบมบี้ไปสี่เมตร  --  หมายความว่า  --  เป็นรองเท้าจริงๆ  มันมีเชือกผูกรองเท้าอยู่ด้วย  ผิวรองเท้าก็ถูกขัดเงาจนมันปลาบ  และมีผ้าอะไรสักอย่างสีน้ำเงิน  เนื้อผ้าดูคล้ายๆกางเกงขายาว  มันพันรอบๆ(สิ่งที่แบมบี้คิดว่า)ขาคู่หนึ่ง  หรือจะกล่าวให้ง่ายขึ้นว่าอะไรก็ตามที่แบมบี้เห็นมีขาใส่กางเกงยีนส์และสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาล  และขาคู่นั้นเองที่พารองเท้าไล่ตามแบมบี้มา…



    แบมบี้ไม่มีเวลามองขึ้นข้างบนว่ามันคืออะไร  ที่กล่าวมาในข้างต้นคือการอธิบายสิ่งที่แบมบี้เห็นในชั่วพริบตาเท่านั้น  ขาคู่นั้นไม่ได้หยุดเดิน  แบมบี้เริ่มออกวิ่งอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง



    แต่ทว่าการเดินแต่ละก้าวของสิ่งมหึมาที่แบมบี้เห็นนั้นยาวกว่าการก้าววิ่งของแบมบี้ที่เป็นหนูอยู่มากโขนัก  แม้ตอนนี้แบมบี้จะมีสารอะดรีนาลินอาบทั่วร่างก็ตาม  ดังนั้น  ไม่นานนักสิ่งนั้นก็เข้ามากระชั้นชิดแบมบี้ขึ้นเรื่อยๆ  เขาไม่อาจวิ่งออกไปทางซ้ายหรือขวาได้เลย  เพราะมีต้นไม้รกครึ้ม  และรัศมีความกว้างในการเดินของสิ่งนั้นก็มีมากเกินไปที่จะเลี่ยงใช้เวลาออกไปให้พ้นทางได้  และแค่ทางที่แบมบี้วิ่งอยู่นั้นก็ขรุขระและมีก้อนหินเล็กๆขวางทางเต็มไปหมดแล้ว



    ขณะที่แบมบี้กำลังอ่อนแรงอยู่นั้นเอง  เขาก็เห็นรูขนาดเล็กรูหนึ่ง  ซึ่งน่าจะเกิดจากพวกกวางมาเหยียบไว้ตอนฝนตก  มันกว้างและลึกพอที่หนูตัวใหญ่(มาก)เช่นเขาจะลงไปได้  มันเป็นความหวังเดียวของเขา..



    เขารวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายวิ่งสุดแรงเกิดแล้วกระโดดพุ่งหลาวเข้าไปในรูนั้น(โดยอาศัยความสามารถเล็กๆน้อยๆจากการปีนขึ้นหลังคาเวลารีบหลบดวงแก้วกับวาลี)ได้พอดิบพอดี  และเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดด้วย  เพราะทันทีที่ร่างของแบมบี้กระแทกพื้นในรูอย่างรุนแรงนิดหน่อยนั้น  รองเท้านั่นก็เหยียบปากรูจนมิดในทันใดจนรอบตัวแบมบี้มืดสนิทไปวินาทีหนึ่ง



    หลังจากเท้าคู่นั้นผ่านพ้นไปแล้ว  แบมบี้ก็เริ่มหายใจทั่วท้อง  เขาค่อยๆโผล่ศีรษะขึ้นมาดูช้าๆ..



    เป็นภาพที่ค่อนข้างน่ากลัวและน่าตื่นตะลึงมาก…  สูงประมาณสิบสี่เมตร!  …รูปร่างเป็นคนธรรมดาๆ  แต่  -- แต่ที่ไม่ปกติคือ  --  มันสูงประมาณสิบสี่เมตร!  --  ร่างกายทุกส่วนของมันขยายขึ้นตามความสูง  --  แขนอาจมีความยาวเท่าบ้านสองชั้นหรือประมาณห้าเมตรครึ่ง!  --  ขายาวประมาณสองเท่าของแขน!  --  หัวมีความสูงพอๆกับผู้ใหญ่โตเต็มที่คนหนึ่งกับเด็กอนุบาลสามคนยืนต่อตัวกันเลย…



    ยักษ์!



    นั่นคือคำที่ผุดขึ้นในหัวของแบมบี้ขณะนั้น  แม้เขาเองยังไม่อยากจะเชื่อก็ตาม  ‘ยักษ์’ ตนนั้นเดินเข้าหาแสงจันทร์  ทำให้เงาดำของมันตัดกับแสงจันทราดูน่ากลัวยิ่ง  ระหว่างที่เดินมันก็เหยียบต้นไม้ล้มระเนระนาดเต็มไปหมดเป็นช่วงๆ



    แบมบี้ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้นหลายสิบนาที  แล้วจึงมีเสียงดังขึ้น  --



    แบมบี้!  เธออยู่ที่ไหนเหรอ  แบมบี้!”  เนตรมณีนั่นเอง  เธอร้องเรียกหาแบมบี้อยู่  แบมบี้จึงตะโกนกลับไป



    “ฉันอยู่นี่!”



    เนตรมณีรีบวิ่งมาหาทันที  “แบมบี้  แบมบี้  เธอเห็นใช่ไหม  เธอเห็นใช่ไหม”  เธอพูดซ้ำๆเพราะความตื่นเต้นจนตัวสั่น  “มันคือ  --



    “ยักษ์!”



    ทั้งสองพูดพร้อมกันและยืนจ้องตากันด้วยความตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจ



    “แบมบี้”  เนตรมณีพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแหบแห้งเพราะตะโกนมากเกินไป  เธอทรุดนั่งลงบนเนินดินด้วยความอ่อนเพลีย  แบมบี้นั่งลงด้วยเช่นกัน  “เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังซิ”



    แบมบี้จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังจากที่เขาวิ่งออกมาในทิศทางตรงกันข้าม  มีบางตอนที่เนตรมณีร้องออกมาเบาๆ  “ทีนี้”  แบมบี้ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติซึ่งต่างกับเนตรมณี  “เรื่องประหลาดทั้งหมดก็ได้คำตอบแล้ว  รอยที่หนังสือพิมพ์พูดถึงนั่นก็คือ รอยเท้ายักษ์ นั่นเอง  แต่ฉันยังสงสัยว่ายักษ์ตัวสูงขนาดนั้นหลบสายตาคนได้ไง”



    “ง่ายมาก”  เนตรมณีตอบ  “ก็ถ้าใครไปบอกคนอื่นว่าพวกเขาเห็นยักษ์  คนอื่นก็จะคิดว่าพวกเขาเพี้ยนน่ะสิ  ถ้าเห็นกันหลายคนยังว่าไปอย่าง  และอีกอย่างนะ  มันมักปรากฏตอนดึกอย่างตอนนี้ไงล่ะ  ตอนกลางวันมันก็แค่เข้าป่าไปลึกๆก็ไม่มีใครเห็น”



    เธอถอนหายใจยาวขณะก้มลงมองตัวเอง  “เฮ้อ!  ดูสารรูปฉันสิแบมบี้  ไม่จืดเลยสักนิด  เสื้อนอนลายทางของฉันเปื้อนเหงื่อชุ่มเลย  เสื้อคลุมยิ่งแล้วใหญ่  ทั้งเหงื่อ  ทั้งฝุ่น”



    แบมบี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว  เขากับเนตรมณียังคุยกันอยู่พักใหญ่จนไม่ได้ดูเวลาเลย



    “เนตร  กี่โมงแล้ว”  จู่ๆแบมบี้ก็ถามขึ้น



    เนตรมณีตรวจดูนาฬิกาเรืองแสงดิจิตอลอย่างไม่มีอาการตื่นกลัวเลย  “โธ่เอ๊ย!  เราคุยกันไม่นานหระ  --  ”  เสียงของเนตรมณีหายไปในลำคอ  และเธอเกิดอาการ ‘ชักกระตุก’ ขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นเวลา  “ตะ  --  ตีสามหะ  --  ห้าสิบแล้ว”  เธอพูดเสียงสั่นๆ  “วาลีจะมาตรวจบ้านอะ  --  อีกสิบนาที!”



    เนตรมณีสบตากับแบมบี้อย่างรู้กัน  เธอรีบฉวยแบมบี้ขึ้นมาบนไหล่  จากนั้นก็รีบวิ่งโกยอ้าวไปยังทางกลับบ้านทันที  “แบมบี้  เธอรีบวิ่งขึ้นบ้านต้นไม้ไปเลยนะ”  เนตรมณีกระซิบกับแบมบี้ขณะที่วิ่งจนเกือบสำลักน้ำลายตัวเองเข้าให้



    ‘บ้านต้นไม้’ คือบ้านที่เนตรมณีได้รับจากพ่อตอนอายุห้าขวบเป็นของขวัญวันเกิด



    “อืม”  แบมบี้ตอบในลำคอ  โอ้โห…  เขาคิด  …วิ่งเร็วสมเป็นนักกีฬาเหรียญทองของโรงเรียนเขาเลยเนตรเนี่ย  แทบไม่ต่างจากการนั่งมอร์เตอร์ไซค์เลยมั้ง…



    แบมบี้คิดเช่นนั้นเพราะลมลู่ไปด้านหลังตามขนของเขา  จึงให้ความรู้สึกเหมือนว่าลมพยายามจะพัดเขาตกด้วย  และทางที่เนตรมณีวิ่งนั้นยังค่อนข้างเรียบด้วย



    “วันนี้เราผจญภัยกันมามากเลยนะ”  แบมบี้พูดอย่างพึงพอใจอยู่บนไหล่เนตรมณีซึ่งกำลัง ’ควบ’ ด้วยความเร็วสูงสุด  เขาพยายามเกาะผมเนตรมณีให้แน่น



    “อืม  รู้สึกจะมากเกินไปด้วยซ้ำนะ  คุณกวางน้อย”  เธอพูดเชิงประชดนิดๆขณะที่วิ่งอย่างไม่ย่อท้อ



    “ก็บอกว่าอย่าเรียกฉันอย่างนั้นไงล่ะ!”  แบมบี้พูดโกรธๆ



    “ฉันหวังว่าวาลีคงไม่โวยบ้านแตกนะ”  เนตรมณีเอ่ย  โดยทำเป็นไม่ได้ยินแบมบี้ไปเสีย  “ขอให้ยัยวาลีตรวจสายเหมือนเกือบทุกครั้งเถอะน่า!”





    โปรดติดตามตอนต่อไปได้ใน  \"โรงเรียนจัสเฟร็ช\"

    ***

    Special Thanks


    ขอขอบคุณ  คุณ Dome  คุณ Korn  และคุณ Shakri  สำหรับคำแนะนำในการขัดเกลากลอนครับ^^

    และขอขอบคุณ  คุณต้นหญ้าเอื้อมฟ้า มากเป็นพิเศษ  เนื่องจากต้นหญ้าช่วยแปรรูปกลอนที่ยังไม่เสร็จดีให้ออกมาสวยงามตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้

    ขอบคุณทุกๆท่านมากๆเลยครับ...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×