ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สถานีบำบัดคนบ้า [KRISYEOL]

    ลำดับตอนที่ #3 : สถานีบำบัดคนบ้า ตอนที่ 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 863
      7
      2 พ.ค. 56

     ผมเดินไปหาชานยอลที่ห้อง  ระหว่างทางเดินที่เดินมา ในหัวผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่อง......อ่ามันไม่ตลกเลยนะที่เราจะ... 
    คิดถึงคนไข้ของเรา
     
     
    “ฮึ่ย  เป็นอะไรของเราวะ  แค่นี้ก็หวั่นไหวแล้วหรอวะ”  ผมทึ้งหัวตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมา  อู๋อี้ฟาน  มาหวั่นไหวกับคนไข้ตัวเองละวะเนี่ย  ทำไมนะ  ทำไมผมไม่เป็นหมออายุรกรรม วิสัญญี  หรืออะไรก็ได้ที่คนไข้ตัวเองไม่ได้บ้าเนี่ย  เฮ้อออ  ให้ตาย  ทำไมผมถึงอยากให้ชานยอลเลิกบ้าด้วยนะ  
     
     
              ผมเดินคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย  รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนตรงหน้าห้องของชานยอลแล้ว  เสียงร่างโปร่งคุยกับไอ้เขียวดังแว่วออกมาให้ได้  (ไหนผอ.อกว่าห้องเก็บเสียงวะ  ดังสนั่นเชียว)   ผมเคาะประตูสองสามที  รอให้คนในห้องตอบกลับมา  ไอ้จะเปิดเข้าไปเลยก็ยังไงอยู่  ถึงจะกวนประสาท แต่เห็นอย่างนี้ผมก็มีมารยาทเหมือนกันนะครับ
     
     
             ผมยืนนิ่งเคาะประตูไปอีกหลายๆที  ไอ้เจ้าเด็กแสบที่เริ่มก่อกวนหัวใจของผมก็ยังไม่ยอมตอบอะไร    ผมตัดสินใจยืนรออยู่หน้าห้องไปสักพัก เผื่อเจ้าตัวแสบจะเดินมาเปิดประตูเอง  แต่ก็เปล่า  ชานยอลไม่มาเปิด  นี่กำลังจะเล่นอะไรอยู่น่ะ คนรอนานๆมันก็เมื่อยนะครับคุณคนไข้
     
     
    “ชานยอล  ถ้าไม่เปิดประตู  พี่หมอจะกลับแล้วนะครับ” ได้ผล  เด็กแสบเปิดประตูทันที  ใบหน้าติดหวานบูดบึ้งไม่มีแววความร่าเริงอยู่บนนั้นเลยสักนิด  เป็นอะไรอีกล่ะ  ทะเลาะกับไอ้เขียวนั่นรึไง  ดูทำหน้าเข้า  หงิกซะ  ผมเลิกคิ้วนิดนึงเป็นเชิงถามว่าเป้นอะไร  คำตอบที่ได้กลับมาคือ......
    เด็กแสบกอดอก  เชิดหน้า  เบ้ปาก ก่อนจะกระทืบเท้าผม
     
     
    “โอ๊ย  ชานยอล!” ณ  จุดนี้  โคตรจะเจ็บครับ  แรงนี่น้อยที่ไหน 
     
     
    “พี่หมอช้า”
     
     
    “ห๊ะ  โอ๊ยยย  พระเจ้า เจ็บ”  สติผมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนแรกสนใจชานยอล  อีกส่วนสนไอ้เท้าที่ระบมไปหมดแล้ว  ให้ตาย  แรงเยอะมาก
     
     
    “พี่หมอ  ช้า”
     
     
    “หื้ม”
     
     
    “ช้า!!!!!  ชอช้างสระอาไม้โท   ช้า!!!”  ช้า  ช้า  ช้าไรวะ  ก็ตรวจเสร็จก็รีบมาเลยเนี่ย  ใบรีเฟอร์อะไรก็ไม่ได้เก็บ  เดินมาทั้งงี้เลยนะครับ  เด็กแสบ
     
     
    “ช้าที่ไหนกันครับ”
     
     
    “พี่หมอเลิกงานตอนห้าโมง พอพี่หมอตรวจคุณป้าคนนั้นเสร็จ  พี่หมอก็ควรมาหาผม เอ๊ย คุโรสิ  แต่พี่หมอมาหาตอนห้าโมงครึ่ง  พี่หมอช้า  มาก!”  โอ้โห เหตุผล    สาระสุดๆ  แต่เดี๋ยวนะครับ  เลิก
    งานตอนห้าโมงหรอ  หึหึ  ผมนึกอะไรดีๆออกได้ละ 
     
     
    “ชานยอลรู้ได้ไงว่าพี่หมอเลิกงานตอนห้าโมงครับ   แล้วรู้ได้ไงว่าคนไข้คนสุดท้ายคือคุณป้า” ดูสิ่  จะตอบว่ายังไง  เด็กแสบหน้าเหวอ  ดวงตาลอกแลกมองซ้ายมองขวาอย่างคนจนมุม  สักพักหนึ่งก็หันไปขอความคิดเห็นจากไอ้เขียวในมือ(คงได้หรอกนะ) 
     
     
    “คุโร  ทำไงดี  พี่หมอรู้แน่เลยว่าแอบตาม”  บอกที ว่านั้นเรียกกระซิบ เสียงดังมากครับเด็กแสบ
     
     
    “ว่าไงครับ  ชานยอล”
     
     
    “ทำไงอ่ะ คุโร”
     
     
    “ไม่ต้องทำไงล่ะ”  ผมตอบแทนไอ้เขียวนั่น
     
     
    “ห๊ะ คุโร  แต่พี่หมอรู้ได้ไงอ่ะ”  น่าน  ยังไม่รู้ตัวอีกว่าคุยกับใคร
     
     
    “ล่องหน! แล้วก็เดินตามรอบโรงบาล  ไม่รู้ก็แปลกละครับ”  คราวนี้เด็กแสบหันขวับมามองหน้าผม  ดวงตากลมเบิกโพล่งด้วยความตกใจ  ก่อนจะรีบเอาไอ้เขียวปิดหน้าตัวเอง  เขินหรอครับบบบบ  ไม่
    ทันแล้วมั้งครับบบบ
     
     
    “ล่องหนแล้วยังเห็นหรอ”
     
     
    “เห็นครับ”
     
     
    “งั้นก็รู้หมดเลย.....”
     
     
    “อื้ม”
     
     
    ปัง!!
     
     
    ชานยอลปิดประตูใส่หน้าผม  ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  นี่คือเขินผมหรอ  โห  เขินแรงเหมือนกันนะเนี่ย  แต่ว่า.....เอ่อ  คำนั้นผมขอชมในใจนะครับ  ผมไม่อยากแชร์
     
     
    “นี่  เขินหรอ”
     
     
    “ไม่รู้  ไม่รู้ ไม่รู้  ไปเลย  ไปเลย!  คุโร ไม่อยากเจอแล้ว  ไปเลยๆ”
     
     
    “ไม่อยากเจอแล้วหรอ  ว๊า แย่จัง  อุส่าห์ รีบมาหาเลยนะครับ”
     
     
    “ผมไม่อยากได้ยินเสียงพี่หมอแล้ว!  เงียบไปเลย!!!”
     
     
    “ไม่อยากได้ยินจริงหรอ”ผมแกล้งถาม  
     
     
    “ใช่!!!”
     
     
    “แน่นะ”  คราวนี้เงียบ  อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรกลับมา    
     
     
    “จะไม่คุยจริงๆหรอครับ”  ก็ยังเงียบอยู่  เขินแล้วโมโหกลบเกลื่อนแฮ่ะ
     
     
    “คุณคนไข้ครับ  ไม่คุยจริงๆหรอ”  เหมือนเดิม  ไม่มีใครตอบกลับมา  ผมยืนยิ้มรออยู่หน้าห้องไปสักพัก  เชื่อเถอะ  ชานยอลต้องเปิดประตูภายใน5นาทีนี้  มาดูกันมั้ยล่ะครับ  เริ่มเลยนะ
     
     
    1
     
     
    2
     
     
    3
     
     
    4
     
     
    ประตูห้องถูกเปิดออก   เด็กแสบคงคิดว่าผมไปแล้ว  แต่เปล่าเลย  ผมยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง  พอเขาเห็นปุ๊บก็รีบปิดประตูใส่หน้าผมทันที
     
     
    “กลับไปเลย!!!”
     
     
    “ฮ่าๆ  โอเคๆ  กลับก็ได้”  
     
     
    “ไปเลย!”  ใครว่าผมจะกลับละครับ  ขออยู่แกล้งต่ออีกหน่อยเถอะ  ไหนก็ไหนๆละ  ผมยืนนิ่งทิ้งเวลาไปสักพัก  ก่อนจะหยิบเศษกระดาษเปล่าๆขึ้นมา  พร้อมกับเขียนข้อความบางอย่างลงไป
     
     
    // เย็นแล้ว  กินข้าวเย็นด้วยนะครับ  แล้วก็กินยาที่คุณพยาบาลเอามาให้ด้วย  อย่าดื้อนะครับ  แล้วพี่หมอจะมาหาชาน เอ๊ย คุโรบุตะบ่อยๆ  //
    ผมสอดกระดาษเข้าไปผ่านช่องว่างใต้ประตู  ยืนรอสักพัก แต่เด็กแสบก็ไม่ยอมส่งตอบกลับมา  ผมเลยตัดสินใจจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานตัวเอง  ยังไม่ทันจะออกเดิน  กระดาษสีขาวก็ถูกสอดออกมา
    จากประตูอีกฝั่ง  ผมหยิบมันขึ้นอ่านทันที
     
     
    //  : P  จะดื้อ //  ชานยอลใช้สีเทียนสีม่วงแปร๊ดเหมือนแว่นเขียนหน้านั่นมาเท่าครึ่งกระดาษเอสี่  ผมหยิบปากกาเขียนตอบกลับไป
     
     
    // งั้นพี่หมอจะไม่มาหานะครับ //
     
     
    // คุโร บุตะจะร้องไห้ // 
     
     
    //ก็อย่าดื้อสิครับ//  ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ผมเริ่มย่อนั่งกับพื้น  และเขียนตอบกับชานยอลอย่างจริงจัง   นี่ผมกำลังเสียสติตามคนไข้ไปแล้วรึไงนะ
     
     
    // ถ้าผมดื้อ......พี่หมอจะ  รักมั้ย//
     
     
    // ใครจะรักคนบ้าอย่างนายกัน  ล่องหน!!! ฮ่าๆ// หลังจากส่งกระดาษแผ่นนั้นไป  ชานยอลก็เงียบไป  ผมแอบได้ยินเสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมา  นี่ผมพูดอะไรผิดรึเปล่า  คนบ้าสติเฟื่องอย่างนั้นไม่น่าจะร้องไห้ได้นี่นา...หรือว่า  เพราะผมหลุดปากไปว่าคนบ้า.....
     
     
    “ชานยอล...”
     
     
    “ผมไม่บ้านะ”  อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเครือ
     
     
    “ไม่บ้าครับ  ไม่บ้า  อย่าร้องไห้สิ  เปิดประตูให้พี่หมอหน่อย  นะ” ผมทุบประตูให้เด็กแสบเปิดประตู
     
     
    “ผมไม่บ้าจริงๆนะ  ผมไม่บ้า  ถ้าผมบ้า พี่หมอจะไม่รัก”  โอ่ย  ทำบ้าไรไปวะอี้ฟาน  ไม่น่าหลุดไปเลยว่าคนบ้า  นี่นายลืมที่เรียนมาหมดแล้วรึไง ว่าห้ามเรียกคนพวกนี้ว่าคนบ้า  พระเจ้าเถอะ  แล้วนี่ผมจะปลอบเด็กแสบนั้นยังไงเนี่ย ประตูก็ไม่ยอมเปิดให้  จะเข้าไปยังไงล่ะทีนี่
     
     
    “ไม่บ้าครับ  ไม่บ้าครับ  พี่หมอ  ขอโทษ”
     
     
    “พี่หมอ  ฮึก  รักผมมั้ย รักนะ ห้ามไม่รักนะ”  ผมนิ่งไปพักหนึ่ง  รู้ว่าต่อให้พูดไป  คำพูดสำหรับคนบ้ามันก็คงไม่สำคัญอะไร  แต่จิตใต้สำนึกลึกๆกลับไม่อยากพูดมันไปส่งๆ .......เรารัก  หรือ  ไม่รัก  แต่ว่า....เขาเป็นคนบ้านะ
     
     
      ผมตบหน้าผากตัวเองเบาๆ  คิดไม่ตกว่าตัวเองจะพูดไปดีมั้ย  ทำไมต้องมาใส่ใจกับแค่คำว่ารักสำหรับคนบ้าด้วยวะ  อี้ฟาน  อยากจะบ้าโว้ย  ผมนิ่งเงียบไปนานจนชานยอลเอ่ยพูดออกมา
     
     
    “พี่หมอ  คงไม่รักเด็กแบบผมใช่มั้ย”  ผมนิ่งเงียบไป  ไม่รู้จะตอบยังไงดี  
     
     
    “ม๊าบอกว่า  คนบ้ากับคนปกติรักกันไม่ได้......”  ท้ายประโยคเสียงค่อยเบาจนแทบไม่ได้ยิน  ผมกำลังจะอ้าปากตอบ  แต่ก็ถูกเสียงชานยอลขัดขึ้นเสียก่อน
     
     
    “ทุกคนว่าผมบ้า  พี่หมอก็ว่าผมบ้า  งั้นพี่หมอก็รักผมไม่ได้  แต่ม๊าบอกว่าผมไม่ได้บ้านะ  ผมแค่ทำสติหล่นหาย  ผมต้องไปตามหามัน  ถ้าผมได้มาครบ พี่หมอก็จะรักผมได้ใช่มั้ย”
     
     
    “ชาน....”
     
     
    “ถ้ากินยา  ก็จะหาย  ถ้าหาย พี่หมอก็จะรัก  ผมจะกินยา  จะไม่ดื้อ  ไม่ซนนะ  ผมจะนั่งนิ่งๆ ไม่กวนพี่หมอ  จะอยู่กับคุโรบุตะในห้อง ไม่วิ่งรอบโรงบาลนะ  จะไม่ทำให้พี่หมออายอีกแล้วนะ  พี่หมอ  ฮึก พี่หมอ”
     
     
    “ชาน....”
     
     
    “ผมจะไปตามหาสตินะ  แล้วพี่หมอต้องรักผมนะ  รักนะ  ห้ามไม่รักนะ ”
     
     
    “...........ครับ  พี่หมอจะช่วยชานยอลตามหามันนะ  แต่ตอนนี้เลิกร้องไห้ก่อนนะ ครับ” ประตูห้องค่อยๆเปิดออก  ชานยอลยืนร้องไห้  ฝังใบหน้าตัวเองกับตุ๊กตากบ     ไม่รู้ทำไมตอนนั้นแขนของผมถึงเอื้อมไปกอดอีกคน ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงได้รู้สึกห่วงมาก  ไม่รู้ทำไมหัวใจ.....ต้องสั่นไหวกับน้ำตาของคนบ้าคนนึง
     
     
           ผมยืนกอดปลอบชานยอลอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่ง  ก่อนจะผละออกมาเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเลิกร้องแล้ว  เด็กแสบกระพริบตามองผมตาปริบๆ  กอดตุ๊กตากบไว้แน่น 
     
     
    “พี่หมอ  ต้องรักผมนะ”  ผมยิ้มให้น้อยๆ  แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้ม  เรานี่ยังไงวะเนี่ย  เฮ้อออ  ชานยอล  อย่าขุดหลุมรักให้พี่หมอตกลงไปเลยนะครับ  ขอร้องล่ะ  แค่นี้ขาก็ตาลงไปข้างหนึ่ง
    แล้วนะ  เอ่อ  เมื่อกี้ผมพูดไรไปครับ ลืมมันไปซะนะครับ    พอๆ เลิก
     
     
    “ครับ  ชานยอล  นี่ได้เวลาแล้วนะ  ต้องไปรวมกับคนอื่นๆที่ตึกแล้วนะครับ”   
     
     
    “แล้วพี่หมอล่ะครับ”
     
     
    “ต้องไปตรวจเอกสารต่อน่ะครับ  วันนี้คงไม่ได้ไป”
     
     
    “งั้นผมไปเฝ้าได้มั้ย”
     
     
    “ไม่ได้  ไม่ดื้อสิครับ” ชานยอลเบ้ปากเล็กน้อย  ผมต้องยืนกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมไปรวมกับคนอื่นๆที่ตึกใหญ่  หลังจากเดินไปส่งตัวแสบขี้แยที่ตึกเสร็จผมก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานตัวเอง
     
     
         สาเหตุที่ต้องปล่อยชานยอลและคนไข้คนอื่นๆไปรวมกันที่ตึกใหญ่ก็เพราะเรากลัวว่าถ้าปล่อยคนไข้ให้อยู่ในห้องตามลำพัง  จะเกิดอันตรายได้  ถึงแม้คนไข้ที่อยู่ที่นี้จะไม่ได้มีอาการบ้าคลั่ง  ชอบทำร้ายตัวเองเท่าไร  แต่เราก็ไว้ใจไม่ได้  อย่าคิดว่านี่คือนโยบายที่ผมคิดขึ้นมานะครับ ผอ.เป็นคนคิดขึ้นมาต่างหาก  ผมก็แค่จิตแพทย์มือหนึ่งที่มีนิสัยดี  ทำตามกฎที่ว่าไว้ก็แค่นั้นเอง  ก็งี้ล่ะครับ  ผมเป็นหมอ และลูกน้องที่ดี  เพราะขืนไม่ดีขึ้นมา  มีหวังได้เด้งออกจากที่นี้แน่ๆ
     
     
            ความจริงแล้วห้องทำงานของผม มันก็คือห้องพักส่วนตัวของผมนั่นแหละครับ  ทางโรงบาลจัดไว้สำหรับพวกเจ้าหน้าที่ที่ต้องอยู่ทำงานที่นี้ทั้งวันทั้งคืน  ซึ่งตัวอาคารเราจะอยู่ห่างจากตึกใหญ่ไปประมาณหนึ่ง  ตึกโซนนี้เป็นสำหรับของพวกเจ้าหน้าที่และทีมแพทย์ทั้งหลาย  พวกเราต้องอยู่ทำงาน  กิน  นอนที่นี่  น้อยครั้งที่จะได้ลากลับบ้าน   แรกๆผมก็เซ็งๆนิดหน่อย  แต่หลังๆชักเริ่มชิน  และโดยเฉพาะช่วงนี้.....ผมแทบไม่อยากกลับบ้านเลย  ไม่รู้ว่าเพราะชินมากๆแล้ว  หรือเพราะมีใครบางคนอยู่ด้วยกันแน่....
     
     
             ผมทรุดตัวนั่งกับเก้าอี้ทำงาน  ก่อนจะนั่งตรวจงานไปเรื่อยๆ   ระหว่างที่นั่งตรวจไป ในหัวของผมก็นั่งคิดถึงใครบางคน.....
     
     
    “สติของผมหล่นหาย  ผมต้องตามหาให้เจอ”   ผมหยิบใบ Refer ของชานยอลขึ้นมาตรวจอย่างละเอียด  ในใจหวังลึกๆว่าขอให้มีทางรักษาหาย... 
     
     
           ผมนั่งตรวจไปเรื่อยๆ  ชานยอลเริ่มมีอาการทางจิตตั้งแต่อายุสิบห้า  จากนั้นอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ  และเริ่มทรงตัวในสองปีหลัง  จากเท่าที่ดูผลการรักษาต่างๆ เขามีโอกาสที่จะ......
     
     
     
     
    อ่า  It’s my secret 
     ผมไม่บอกพวกคุณหรอก
     
     
     
         หลังจากตรวจของชานยอลเสร็จ  ผมก็นั่งดูใบ Refer ของคนอื่นๆต่อจนเวลาร่วงเลยเกือบสามทุ่ม  ผมลุกจากเก้าอี้  เดินไปอาบน้ำ   วันนี้เหนื่อยชะมัด  วิ่งตามเจ้าเด็กแสบขี้แย  ต้องเดินตรวรคนไข้อีก แต่จะว่าไปไอ้ที่เหนื่อยนี่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอกนะครับ  มันเหนื่อยแบบ  เอ่อ ว่าไงดีล่ะ  เหนื่อยแบบมีความสุขน่ะครับ  มีความสุขที่......
    ที่ได้เจอไอ้เด็กแสบ
     
     
     
         พอคิดถึงทีไร  ผมก็หลุดยิ้มออกมาทุกที  ให้ตายเถอะ  นี่เราเป็นบ้าไปแล้วหรอวะ  พอๆเลิกคิด อาบน้ำเว้ย  อาบน้ำ  ผมเอื้อมมือไปเปิดฝักบัว  ปล่อยให้สายน้ำชโลมร่างตัวเอง    ก่อนจะถูสบู่  ใช้เวลาเพียงไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ  นี่กี่โมงแล้วนะ  ป่านนี้ไอ้เด็กแสบจะทำอะไรอยู่  จะเดินกลับถึงห้องรึยังนะ  หรือว่าจะกำลังงอแง  ไม่ดิ  อย่างเด็กแสบคงต้องแกล้งคนอื่นอยู่  แต่เฮ้ย  จะแกล้งคนอื่นนอกจากผมหรอ  ไม่ยอมนะเว้ย! แต่เอ่อ.....นี่ทำไมเราต้องหวงคนไข้เราด้วยวะ  พอ  ไอ้คริส  เลิกบ้าครับ  หยุดคิดเลยครับ  
     
     
     
               ผมใช้ผ้าเช็ดผมขยี้ผมตัวเอง  ไล่ความคิดบ้าๆพวกนั้นออกไป  แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมออก  เพราะผมถึงขั้นตาเบลอ มองเห็นชานยอลนั่งยิ้มแฉ่งอยู่บนเตียงตัวเอง   นี่ถึงขั้นเพ้อเลยหรอวะเรา  ผมขยี้ผมตัวเองหนักกว่าเก่า  ก่อนจะหันไปมองใหม่....
     
     
     
    เอ่อ  ไม่ยังอยู่วะ
     
    มองใหม่ๆ  อาจจะตาฝาด
    คราวนี้ไม่นั่งละ  แต่นอนเลย  เฮ้ย  นี่ไม่ใช่เพ้อละ  นี่มันตัวจริง!!!
     
     
    “มานี่ได้ไงเนี่ย!!!” 
     
     
    “พยาบาลจองมาส่ง”ชานยอลยิ้มหวาน  ก่อนจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงผม....
     
     
     
    เพิ่งจะปูผ้าปู  ทำยับซะงั้นน่ะ
     
     
    “พยาบาลจองมาส่ง  แล้วนี่ทำไมไม่นอนห้องตัวเอง”
     
     
    “คุโรรรรร  บุตะอยากนอนกับพี่หมอ”  ชานยอลหยุดกลิ้ง  ก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำ ท้าวคางตัวเองกับฝ่ามือเรียว  จ้องผมตาแป๋ว
     
     
    “ชานยอล” ผมเรียกเสียงเรียบ  รู้หรอกว่ามันคงไม่ใช่ไอ้เขียวนั่นแน่   ชานยอลเบ้ปากเล็กน้อย  ก่อนจะตอบกลับมา
     
     
    “ผมกลัวผี  แล้วห้องนั้นน่ะ  ไม่มีหมอนข้างด้วย  พี่หมอเป็นหมอนข้างให้หน่อย”
     
     
    “ห๊ะ”
     
     
    “หมอที่ดีต้องตามใจคนไข้!”
     
     
    “แต่”
     
     
    “ผมจะนอนนี่”  เด็กแสบนอนแผ่กลางแขนกลางขาเป็นปลาดาวนอนตายคาเตียงผม  ให้ตาย  บอกผมทีว่าเมื่อเย็นเขากำลังร้องไห้อยู่  ทำไมเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวอย่างนี้นะ   
     
     
     
       ผมตบหน้าผากตัวเองอย่างคนจนปัญญา  มาถึงขนาดนี้แล้วจะไล่กลับห้องก็ยังไงอยู่  คงต้องปล่อยให้นอนนี่แล้วล่ะ  ครั้งแรกเลยนะที่นอนกับคนบ้า  แล้วมันต้องทำไงวะเนี่ย  หวังว่ากลางคืนจะไม่คึกมากระโดดทับตัวผมก็แล้วกัน  ดูเหมือนว่าผมจะไม่ต้องคิดมากให้เปลืองเวลาแล้ว  ในเมื่อไอ้เด็กแสบกำลังทำให้ดูอยู่ตอนนี้!!!
     
     
    “พี่หมอออออ  มานอนเร็วๆ”  ชานยอลลากผมให้ลงไปนอนกับเตียง
     
     
    “เพิ่งจะสามทุ่มกว่า  ยังไม่ง่วง”
     
     
    “คุณพยาบาลจองบอกว่า  เราต้องรีบนอน  เพื่อสุขภาพที่ดีนะ”  ผมอยากจะกระโดดออกไปจัดการเธอจริงๆ  เธอก็รู้ว่าผมเป็นประเภทนอนดึก  ส่งชานยอลมางี้ยังไงก็ต้องนอนเร็ว  ให้ตายเถอะ  โปรแกรมผมยังมียังกว่านี้นะ  ให้นอนตอนนี้ได้ไงวะ!!!
     
     
    “ชานยอล  นอนไปก่อนเถอะ  พี่หมอมีงานต้องทำต่อ”
     
     
    “ไม  ไม่  ไม้  ไม๊  ไม๋   เป็นเด็กต้องรีบนอนนน  พยาบาลจองบอก  พี่หมออย่าดื้อสิ  นอนกัน  ง่วงแล้ว”
     
     
    “ห๊ะ เฮ้ย  ไรวะเนี่ย”  ยังไม่ทันที่ผมจะบ่นจบ  ชานยอลก็เอื้อมมือมาปิดปากผม  พร้อมกับ นอนกอด ก่ายขาล็อคตัวผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
     
    “อาน  ออน!!!!”
     
    “เงียบๆ!!!  นอนเลย นอน”
     
     
    อะไรวะเนี่ย
     
     
     
        ชานยอลนอนหลับตาพริ้ม  ยิ้มมุมปากเล็กๆอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของผม  จากที่จะโวยวาย  ผมดันกลายเป็นหลุดยิ้มออกมา  ตอนหลับอย่างนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแฮ่ะ   ผมนอนมองใบหน้าอีกคนจนลืมเวลา  กว่าจะรู้ตัวอีกทีเด็กแสบก็หลับไปแล้ว
     
     
    “นี่  หลับแล้วหรอ”  เงียบไม่มีปฎิกริยาตอบกลับ
     
    “ชานยอล”  ดูท่าว่าจะหลับจริงๆ  ผมนอนมองหน้าเด็กแสบต่อไปอีกสักพัก   คนอะไรหน้าอย่างกับเด็กผู้หญิง  นี่พระเจ้าให้เพศผิดมารึเปล่า   ดูตาสิ  เรียวอย่างกับเม็ดแอลมอล  จมูกโด่งที่รับกับสัดส่วนบนใบหน้า  ริมฝีปากอิ่มที่มัน......น่าจูบ  อะไรบางอย่างผลักดันให้ผมโน้มหน้าลงไปจูบกลีบปากนั้นเบาๆ  ก่อนจะผละออกมา 
     
    “ขอโทษที่ลักหลับนะครับ คุณคนไข้”  ผมยิ้มให้คนที่หลับไปแล้ว  ก่อนจะกอดอีกคนไว้หลวมๆ แล้วนอนหลับไปด้วยกัน......
    คืนนี้ผมคง.....หลับฝันดีมากๆเลย
     
     
    ------------------------------------------------
     
     
     
              แสงอาทิตย์ค่อยๆกรีดม่านเมฆหมอกสีดำให้ขาดออกเป็นริ้วๆ  ก่อนจะอาบไล้ ขจัดความมืดมิดยามค่ำคืนให้กระเจิดกระเจิงออกไป   สัญญาณแห่งวันใหม่มาถึงแล้ว  สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่มากมาย  ตั้งแต่ระดับชั้นล่าง อย่างสัตว์ตัวเล็กๆ  เรื่อยไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดที่สุดอย่างมนุษย์ต่างพากันลืมตาตื่น  รับเช้าวันใหม่ที่มาเยือน   
            
     
              ร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ   เขาหยุดยืนมองคนบนเตียง  รอยยิ้มละมุนค่อยๆจุดอยู่ที่กลีบปากหนา  ขายาวพาร่างของเจ้าของเดินเข้าไปใกล้ๆเตียงสีน้ำเงินเข้ม  เขาค่อยๆทรุดตัวนั่งลงข้างๆคนที่หลับใหล   มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย  ทั้งมีความสุข  ทั้งเอ็นดู  บางครั้งแววตานั้นก็เจือไปด้วยแววตาแห่ง.......ความรัก
            
     
     
              มือใหญ่เอื้อมไปปัดปอยผมสีน้ำตาลเข็มของอีกฝ่ายออกจากดวงหน้านวล  ปากหนาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ  พลางในใจก็นึกถามตัวเอง ที่เขามีความสุขเป็นเพราะคนตรงหน้านี่  หรือเป็นเพราะบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิด้านนอกกันแน่นะ  แล้วที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ มันเรียกว่ารัก  หรือแค่เอ็นดูกันนะ  เขาไม่รู้เลยจริงๆ.....
           
     
     
             คนบนเตียงพลิกตัวไปมา   เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ   นิ้วเรียวยกขึ้นขยี้ตาสองสามทีเพื่อขจัดความง่วงออกจากร่างกาย   ชายที่ยืนอยู่หัวเราะเบาๆกับนิสัยของคนตรงหน้า  ตัวก็โต ทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลไปได้  ยังว่าไม่ทันขาดคำ  ร่างโปร่งบนเตียงก็มุดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม  สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากดักแด้ผีเสื้อที่ชอบดุ๊กดิ๊กไปมา  ร่างสูงส่ายศีรษะเอือมระอาปนอ่อนใจ  มือหนาเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆเพื่อปลุกและแกมบังคับให้ลุกขึ้นได้แล้ว
     
     
    “ตื่นได้แล้ว คุณคนไข้”
     
     
    “หลับปุ๋ย”  หลับแต่ตอบได้...... เก่งสุดๆ
     
     
    “ชานยอล  ตื่น”ผมเรียกเสียงเข้ม  แต่ดูท่าว่ามันไม่มีผลอะไรเลยกับคนไข้ของผม
     
     
    “ชานยอล....”  ใบหน้ากลมๆค่อยๆโผล่ออกมาจากถุงดักแด้นั้น  เด็กแสบยิ้มไม่ยิงฟันให้ผม  แก้มเนียนแต้มไปด้วยสีเลือดฝาด  นี่อย่างบอกนะว่ากำลังเขินนะ  โอ้  อย่าเขินบ่อยนักเลย  รู้มั้ยว่าคนเห็นมันทำใจมองตรงๆยาก.....
     
     
     
    เพราะยิ่งมองทีไร....ใจมันชอบเต้นแรงทุกที
     
     
    “ปี้หมอ”
     
     
    “ห๊ะ  ครับๆ”
     
     
    “อุ้มหน่อยสิ”  ชานยอลกางแขน ทำท่าให้ผมอุ้ม  ผมผงะไปนิดนึง  บอกตามตรงนะครับ  ถ้าตัวเล็กกว่านี้หน่อย  รับรองผมจะอุ้มทั้งวันเลย แต่บังเอิญว่า.....มันไม่ใช่
     
     
    “ตัวก็โต  แถมยังสูง ยังหนักอีก  ไม่อุ้ม  ลุกเองสิ”  ชานยอลเบ้ปาก  คว้าเอาไอ้เขียวมากอดอย่างหงุดหงิด   ดูทำเข้าดิ  น่ารักตายล่ะวะ  เอ่อ  แต่มองไปมองมา  ก็น่ารักนะ  ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะ
    ลุกขึ้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้า
     
     
    “เดี๋ยว  ปี้หมอ!!!  ผมตัวโตหรอ” 
     
     
    “มาก”ผมตอบโดยที่ไม่ได้หันกลับไป  จะให้หันได้ไง ก็กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่นี่หว่า  
     
     
    “พี่หมอ  หันมานี่ๆ  ผมตัวน้อยแล้ว”
     
     
    “หื้ม”  ผมหันไปตามคำบอก......
     
     
     
    พระเจ้าเถอะ
    นี่คนไข้ของผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!!!!
     
     
            ชานยอลลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นที่มีมดเดินเป็นทางอยู่  นี่จะไปช่วยมันทำทางรึไงครับคุณคนไข้  ให้ตายเถอะ!
     
     
    “นี่พี่หมอดูสิ   ผมอะสูงกว่ามดแค่นิดเดียวเองนะ  ดูๆ”  ชานยอลทำมือวัดความสูงจากมดถึงหัวของเขา  
     
     
    “ลงไปนอนทำไมเนี่ย”
     
     
    “ก็พี่หมอว่าผมตัวโต  ผมตัวน้อยนะ  นี่ไง สูงกว่าคุณมดแค่นิดเดียวเอง  เพราะฉะนั้นพี่หมอก็จะอุ้มผมได้แล้ว”
     
     
     
    ....ณ จุดๆนี้.....
    .....ไร้คำบรรยาย......
     
     
     
    “ผมตัวน้อย  อุ้ม!! อุ้มสิ  อุ้มได้แล้วนะ  ตัวน้อย  สูงกว่ามดสองเซ็นเอง”  ผมขออึ้งต่ออีกสักสิบวิครับ  นี่มุขหรืออะไร  My Patient Tell me Plz!!!  อยากบอกว่า  ล้ำมาก  
     
     
    “พี่หมอ.....”
     
     
    “ครับ?”
     
     
    “อุ้มสิ”  เด็กแสบยิ้มแฉ่ง  คือ.....ลงไปนอนกับพื้นก็ไม่ได้ทำให้นายเบาเหมือนมดนะครับ!!!
     
     
    “หนัก”
     
     
    “ไม่หนัก  หนักเท่ามดเอง  อุ้มได้  เร็วๆ  มดจะกัดผมแล้วนะ”  ผมก้มมองขบวนมดที่เริ่มจะแห่กันเดินเข้าหาชานยอล  ถ้าไม่อุ้มนี่ก็คงจะนอนตายให้มดมารุมกัดใช่มั้ยเนี่ย   ก็ได้วะ  อุ้มก็อุ้ม นี่เพราะสงสารหรอกนะครับ  ไม่ได้ห่วง 
     
     
        ผมกรอกตาไปมาก่อนจะย่อตัวลงไปอุ้มไอ้ยักษย์หูกางนั่น  ผมขอไม่เล่าอะไรมากนะครับ  เพราะตอนนี้......มันโคตรจะหนักเลย  นี่คนหรือช้าง  ช้างงั้นหรอ โอเค ก็เกือบใช่  ดูจากหูน่ะนะ  ดัมโบ้ชัดๆ เผลอๆนี่อาจเป็นพี่ดัมโบ้เพราะหูกางกว่า  เฮ้  อย่าคิดว่าผมด่านะครับ  ผมแค่พูดตามความจริงที่เห็น  เท่านั้นเอง  ผมวางยักษ์ดัมโบ้นั่นลงกับเตียงได้อย่างทุกลักทุเล  บอกตรงๆนะครับ  ไอ้ที่พระเอกอุ้มนางเอกลงบนเตียงแบบนุ่มนิ่มนั่น  เป็นไรที่โคตรหลอกลวงเลยครับ  ของจริงมันเป็นไรที่.......โคตรจะหนัก  ว่าแต่เด็กแสบนี่เป็นนางเอกหรอ.......
     
     
    “พี่หมออุ้มได้  คุโรรรรรรรร  บุตะ  พี่หมอเก่งจัง”
     
     
    “เรื่องเยอะจริง  แล้วนี่จะไปอาบน้ำได้ยังครับ คุณคนไข้”  ผมยื่นหน้าเข้าไปถาม  ไม่ได้อยากแกล้ง  แค่เผลอทำ....
     
     
    “ม๊ายยยย  ปายยยยยย  ขี้เกียจ  เปลืองน้ำนะ”
     
     
    “ไปอาบ”
     
     
    “ไม่”
     
     
    “โอเค๊ๆ  ตามใจ งั้นก็นั่งเน่าต่อไปก็แล้วกัน”  ผมเลิกจะต่อปากต่อคำกับเด็กแสบ  แล้วเดินกลับมาเลือกเสื้อผ้าต่อ  ขืนยืนเถียงต่อด้วย มีหวังได้เข้าเวรสายพอดี 
     
     
     
           ผมยืนเลือกเสื้อไปเรื่อยโดยที่ไม่ได้สนใจเด็กแสบที่นั่งอยู่บนเตียง  ผมกวาดตามองหาสีเสื้อที่ต้องการ  ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาใส่ ระหว่างที่ติดกระดุมก็หันกลับมาหาเด็กแสบ  กะจะมาไล่ให้ไปอาบน้ำ  แต่พอเห็นแก้มแดงๆนั่นผมก็ลืมคำพูดไปจนหมด...
     
     
    “หน้าแดงทำไม”  ชานยอลที่ฝังหน้าตัวเองลงกับตุ๊กตากบส่ายหัวไปมา  ผมหรี่ตามอง  เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ  กระดงกระดุมไม่ต้องติดละครับ  มันมีเรื่องที่สนุกให้ทำมากกว่านั้นแล้ว
     
     
    “ชานยอล”  ชานยอลยิ่งฝังหน้าตัวเองลงกับไอ้เขียวมากขึ้น  เขินอาดิ่  โด่ว 
     
     
    “ถามไรหน่อยสิครับ  เวลาคนทำอะไรให้เรา  เราต้องทำยังไงครับ”  เด็กแสบเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ  คงไม่คิดว่าผมจะมาถามอะไรแบบนี้เอาตอนนี้
     
     
    “ก็......ต้องขอบคุณหรือไม่ก็ให้รางวัล  หม่าม๊าบอกมา  ถ้าไม่ทำ  สติจะหายเพิ่มอีก แล้วก็จะตามหายากด้วย” 
     
     
    “หรอครับ  งั้นเมื่อกี้ที่พี่หมออุ้มชานยอล  พี่หมอขอรางวัลหน่อยได้มั้ย”
     
     
    “พี่หมออยากได้อะไรล่ะครับ  อมยิ้ม  แมลงของคุโรรรรรรร  ขนม  หรือว่าไซเรนปี้หมอๆ”
     
     
    “ไม่  แค่ติดกระดุมเสื้อให้หน่อย” ตากลมเบิกโพล่ง  พอสติกลับมาก็รีบก้มหน้างุด
     
     
    “ถ้าไม่ทำ  สติจะหล่นหายแล้วพี่หมอก็จะ.....”
     
     
    “ติดแล้ว!!!”  ชานยอลรีบเอื้อมมือมาติดกระดุมเสื้อให้  ตลอดเวลาที่ติดแก้มใสๆนั่นก็ขึ้นสีเรื่อยๆ  อยากจะบอกว่าตอนนี้มันแดงไปถึงหูแล้ว  ผมลอบยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ  ฮ่าๆ  ดูหน้าเขาสิ  มันตลกเป็นบ้า  ชานยอลรีบติดกระดุมให้  แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งรน  เด็กแสบนั่นติดผิดหมดเลย  สุดท้ายเลยต้องมานั่งติดใหม่อีกรอบ  พอติดเสร็จก็รีบกระโดดลุกจากเตียง วิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
     
     
    “ฮ่าๆ รีบอาบเลยนะ”
     
     
    “ผมจะให้คุโรกัดพี่หมอให้ตายเลย!!!”
     
     
    “ฮ่าๆ อย่าเลย อย่าเลย ฮ่าๆ”
     
     
    “เงียบเลยนะ เงียบนะ”
     
     
    “ฮ่าๆ โอเคๆ  รีบๆอาบเข้า  ต้องรีบไปกินข้าว รู้มั้ย
     
     
         ผมมองออกไปยังนอกหน้าต่าง  มองวิวด้านนอก ทั้งๆที่ยังยืนขำชานยอลอยู่ สายลมอ่อนๆของฤดูใบไม้ผลิ  พัดผ่านดอกไม้นานาพันธ์ให้พลิ้วไหวไปตามแรงลม  อย่างกับว่าพวกมันกำลังเริงร่าเต้น
    ระบำกันอยู่   ทำไมภาพตรงหน้ามันถึงสวยและสดชื่นอย่างนี้นะ  หรือเพราะผมกำลังมีความสุขมากๆอยู่กันแน่ มันถึงสวยนะ  ผมค่อยๆหลับตาลง  สูดหายใจเอาอากาศยามเช้าเข้าไปจนเต็มปอด  กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ลอยเข้ามาแตะจมูก  แต่แล้วจู่ๆก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่เข้ามาแทนที่  
     
     
    “มาตั้งแต่เมื่อไร”  ผมหันไปถามเด็กแสบที่ตอนนี้กำลังชะโงกหน้ามาใกล้ๆผม  นี่คิดจะทำอะไรอีกแล้ววะเนี่ย 
     
     
    “เมื่อกี้  พี่หมอกำลังมองต้นไม้ใบหญ้าอยู่หรอ”
     
     
    “อื้ม  ไมล่ะ  มันสวยดี เลยดู”
     
     
    “มองต้นไหน”  ชานยอลว่าพร้อมกับหันไปชี้ๆต้นไม้ด้านนอก  ว่าแต่  นี่จะถามทำไมว่ามองต้นไหน
     
     
    “ต้น  ต้น  ต้นหญ้า ดอกหญ้าสีม่วงๆนั่นไง”  ผมตอบส่งๆไป ไม่ได้คิดจริงจังอะไร  แต่ดูเหมือนคนข้างๆผมจะไม่คิดอย่างนั้นแฮ่ะ
     
     
    “ห้ามมอง  ผมจะตัดมัน!!!”  ไม่พูดเปล่า  ชานยอลวิ่งโล่ออกไปทั้งๆที่ใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำ  โอ่ย พระเจ้าๆ กลับมาก่อน  กลับมาก่อนโว๊ยยย
     
     
    “ชาน  ชาน  เดี๋ยว หยุด”  ตลอดทางที่วิ่งผ่านคนอื่นๆก็หันมามองเรากันเป็นตาเดียว  พวกเจ้าหน้าที่ก็พากันหัวเราะภาพที่เห็น  ไม่บ่อยนักหรอกครับ  ที่หมอคริสคนนี้จะมาวิ่งไล่จับคนไข้   โอ่ย  แล้ว
    ไอ้คุณเด็กแสบนี่จะวิ่งสู้ฟัดอีกนานมั้ยครับ  พระเจ้า  คนแก่ก็เหนื่อยเป็นนะเว้ย
     
     
    “ชาน  ชาน เดี๋ยว”
     
     
    “ต้นไหน”ชานยอลพูดแต่ไม่ต้องการคำตอบจากผม  ร่างโปร่งคว้าเอากรรไกรตัดหญ้าของคุณลุงคนสวยมา  ก่อนจะนั่งตัดต้นหญ้าพวกนั้น
     
     
    “เฮ้  ทำอะไรเนี่ย”
     
     
    “ผมโกรธมัน  ผมไม่ชอบมัน!!”
     
     
    “ห๊ะ หา  แล้วทำไมต้อง...”
     
     
    “พี่หมอมองมันได้ไง  พี่หมอชมมันว่าสวยได้ไง   ไม่ชอบ!!!”  ชานยอลลงมือตัดหญ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผมอ้าปากค้างกับคำพูดและการกระทำของเขา  ก่อนจะหัวเราะให้กับนิสัยเพี้ยนๆบ๊องๆของ
    ชานยอล
     
     
    “ชานครับ  คือ  พี่มองว่ามัน  เอ้อ  เอ่อ  สวยดี  แค่ต้นไม้  ต้นไม้น่ะ  เข้าใจมั้ยครับ เฮ้ๆ  เดี๋ยว ใจเย็นก่อนสิ”
     
     
    “ได้ไง  ชมได้ไง  ไม่ยอม!!! ”  ชานยอลตะบันตัดแหลก
     
     
    “ก็มันสวย.....”
     
     
    “ไม่!!!! ไม่!!!! ไม่!!!!”
     
     
    “มันสวยนะ......”  ผมค่อยๆย่อตัวลงนั่งยองๆมองคนตรงหน้า
     
     
    “ไม่สวย!”
     
     
    “มันสวยนะ.......คนที่กำลังตัดหญ้าอยู่” 
     
     
    “พี่หมอ” ชานยอลหยุดตัด เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างไม่เชื่อสายตา  ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะลุกเดินหนีไป  อยู่นานก็โดนซักนานดิ
     
     
    “รีบตามมาล่ะ   พี่หมอหิวข้าวจะแย่แล้ว” ชานยอลนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะวิ่งตามผมมา
     
     
    “รอด้วยสิ”
     
     
     
     
        หลังจากนั้นผมก็พาชานยอลไปใส่เสื้อผ้า  แล้วก็พาไปกินข้าวด้วยกัน  คุณจินตนาการออกมั้ยการกินข้าวกับคนบ้าน่ะ  มันจะเป็นยังไงไปได้ล่ะนอกจาก.....
     
     
    “ชานยอลอย่ากินเลอะ” ผมเอื้อมมือไปเช็ดคราบตรงริมมุมปากบาง
     
     
    “ชานยอลอย่าเป่าน้ำเล่น”
     
     
    “ชานยอล  อย่าเตะขาพี่หมอ”
     
     
    “ชานยอล  ไม่อมช้อน”
     
     
    ชานยอล  ชานยอล  ชานยอล ชานยอล ชานยอล  และชานยอล  ผมจำไม่ได้หรอกว่าเรียกชื่อชานยอลไปกี่ครั้ง  รู้แค่มันเยอะมากพอจนอาจทำผมละเมอได้....
     
     
       หลังจากมื้อเช้าอันแสนจะ....วุ่นวายจบลง  ผมก็ต้องแยกจากชานยอล เพื่อไปตรวจคนไข้คนอื่น  ทีแรกก็เด็กแสบก็ไม่ยอมหรอก  แต่พอผมบอกว่าเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงจะมาช่วยตามหาสติ  เท่านั้นล่ะก็รีบวิ่งแจ้นกลับไปรวมกับคนอื่นๆที่โถงทันที   ผมเดินตรวจคนไข้ไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่ทำเมื่อวาน   ไม่นานนักก็ได้เวลาที่ผมจะต้องไปตรวจชานยอล  พอมาถึงก็เจอเด็กแสบยิ้มแป้นแล้นยืนรออยู่แล้ว  
     
     
    “พี่หมอมาแล้ว  พี่หมอมาหาแล้วคุโรรรรร  บุตะ”  ผมยิ้มก่อนจะเอ่ยบอก
     
     
    “ไปตรวจที่ห้องพี่หมอเถอะ  แถวนี้ไม่สะดวก”
     
     
    “อื้อ!!!”  ชานยอลเดินตามหลังผมมาต้อยๆ  มาจาถึงห้องทำงานพิเศษที่สำหรับตรวจคนไข้โดยเฉพาะ    ผมเลื่อนเก้าอี้ให้ชานยอลนั่ง  ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้าม  ชานยอลมองซ้ายมองขวา  สำรวจสภาพที่แปลกใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ผมหลุดยิ้มออกมาให้กับนิสัยเอ๋อๆของคนตรงหน้า  
     
     
    “นี่  มองอยู่นั่น  มาตรวจนะครับ  ไม่ใช่มาทัวร์ห้องใหม่”
     
     
    “ฮิฮิ  คุโรรรร  บุตะ  อยากรู้อยากเห็น  ผมป่าวววววว”  แถไปเรื่อย  ผมหยิบรูปขึ้นหนึ่งใบ  ยื่นให้ชานยอลดู  พร้อมกับถามว่านี่คือรูปอะไร.....
     
     
     
    อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้  เราจะได้รู้กันสักที
    ว่าผมจะตามหาสติของชานยอลกลับมาได้รึเปล่า
     
     
     
     
     
    .....และเรา......จะรักกันได้มั้ย.....
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×