ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The dark ocean [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ 18...เส้นด้ายที่ถูกตัด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.08K
      20
      12 ส.ค. 56

    การเดินทางมาโอลิมปัสมีหลากหลายวิธี แต่การมากับทูตสวรรค์อย่างเซเทสและคาลาอิสไม่อยู่ในแนวทางการเดินทางของคริส และไม่แม้แต่จะสนใจหรือคิดถึงมันด้วยซ้ำ เขาเกลียดเทพเจ้าทั้งสอง และไม่เคยรู้สึกดีสักครั้งที่ต้องใช้เส้นทางพัดของสายลมที่เป็นเหมือนทางด่วนของเทพเจ้าแห่งสายลมในการเดินทาง
     
     
    หวืด หวืด หวิว
     
     
     
    เสียงสายลมที่พัดมาจากสองทิศทางเข้าปะทะกันจนเกิดเสียงบิดพลิ้วของอากาศ  ก้อนเมฆสีขาวสะอาดคลี่ม้วนปะทะร่างของคริสจนก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ครั้นจะใช้การเดินทางผ่านเงาที่ตัวเองถนัดก็ทำไม่ได้ เพราะโอลิมปัสไม่อนุญาตให้คนจากนรกขึ้นมาเดินเล่นบนสรวงสวรรค์อยู่แล้ว ดังนั้นการจะหาจุดเชื่อมระหว่างเงาซึ่งจะใช้เป็นปลายทางของการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำได้ ผลสุดท้ายจึงจำเป็นต้องยอมให้เซเทสและคาลาอิสพาตัวเขาขึ้นมายังเบื้องบน
     
     
     
    ครืน ครืน
     
    หวีด หวิว หวิว
     
     
     
       เสียงทวารแห่งสายลมประจำทิศเหนือถูกเทพเจ้าแหวกออก ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะเดินเข้าไปข้างใน และทันทีที่คนสุดท้ายก้าวผ่านเข้ามาทวารก็ปิดลง ม่านพลังที่มองไม่เห็นค่อยๆเลือนรางลงเผยให้เห็นซุ้มประตูกรีกที่เป็นเหมือนด่านกั้นระหว่างภายนอกกับโอลิมปัส  เคหสถานสของเหล่าเทพเจ้าทั้งปวง....
     
     
     
        โอลิมปัสเป็นเหมือนภูเขาขนาดใหญ่มหึมาที่ถูกสร้างเป็นเมืองเมืองหนึ่ง ด้านนอกสุดมีกำแพงเมืองเป็นปราการ และมีซุ้มประตูกรีกเป็นประตูเชื่อมระหว่างภายนอกกับภายใน ทุกซุ้มมีเทพอารักษ์ขาคอยตรวจตราอย่างเข้มงวด เหนือขึ้นไปบนน่านฟ้ามีสัตว์ในเทพนิยายกรีกทั้งหลายทั้งเพกาซัส ฮิปโปกีฟ และมังกรคอยเฝ้าระวังจากเบื้องบน 
     
     
     
               พวกเขาทั้งหมดเดินไปตามทางเดินพื้นหินอ่อนที่ตัดเรียบไปกับพระราชวังของเหล่าเทพเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นลัดเลาะไปตามไหล่เขาต่างๆ  โดยทางเดินจะเปลี่ยนแปรสภาพของมันช้าๆเมื่อเข้าเขตของเทพเจ้าองค์ต่างๆ พื้นหินอ่อนของทางเดินค่อยๆมีกลีบกุหลาบโรยตัวลงมาจากฟากฟ้า เมื่อพวกเขาเดินผ่านพระราชวังของอะโพไดธ์ เทพธิดาแห่งความรักที่เรืองรองด้วยหินสีชมพูและหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องหอม เหล่าเทพรับใช้ชายหญิงที่มีรูปลักษณ์เลอโฉมต่างเพ่งมองมาที่คริส แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามอง
     
     
    “นั่นมันคริส บุตรแห่งฮาเดสนี่”
     
     
    “งดงามกว่าที่ล่ำลือกันนัก ช่างเป็นความงามที่อันตรายและน่าค้นหาเสียจริง” 
     
     
    “แม้เป็นลูกของท่านฮาเดส ข้าก็ยินดีที่จะมีความรักกับเขานะ พีโอนี่”
     
     
     
     
          เสียงของเหล่าเทพเจ้าที่ชื่นชมรูปโฉมของคริสดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของทุกคน และดูจะสร้างความไม่พอใจให้กับเซเทสเป็นอย่างมาก เทพเจ้าเร่งความเร็วและชะลอลงเมื่อกลีบกุหลาบบนพื้นค่อยๆถูกแทนที่ด้วยละอองสีทองที่โรยตัวจากฟากฟ้าจนปกคลุมพื้นทางเดินจนกลายเป็นสีทองอร่ามเจิดจ้า เสียงร้องรำทำเพลงเสนาะหูดังแว่วมาจากภายในของพระราชวังของอพอลโล สุริยเทพและเทพแห่งการดนตรี เหล่าเทพทั้งหลายต่างพากันสยายปีกบินวนรอบและร้องเพลงขับกล่อมคณะเดินทางไปจนถึงสุดเขตของวังอพอลโล จากนั้นทางเดินก็ค่อยๆกลายเป็นทรายทะเลสีขาวเม็ดละเอียด เสียงเกลียวคลื่นดังเป็นระลอกๆจากภายในพระราชวังของโพไซดอน  เหล่าเทพรับใช้ต่างพากันทำความเคารพชานยอลที่เดินผ่านไปด้วยท่าทางนอบน้อม
     
     
     
     
          คริสเหลือบตามองการกระทำของเทพเจ้าเหล่านั้นด้วยดวงตาเรียบเฉย พรางยิ้มเยาะเมื่อย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง ที่นี่ไม่มีใครคิดจะทำความเคารพเขาหรอก เพราะเขาเป็นลูกของฮาเดส เทพเจ้าแห่งความตายที่ไม่มีใครต้อนรับนอกจากในนรกใต้บาดาลเท่านั้น และแม้ความจริงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจเลยสักนิด กลับรู้สึกเยาะเย้ยพ่อตัวเองเสียด้วยซ้ำไป ที่แม้แต่พระราชวังบนโอลิมปัสยังไม่มีให้ประทับ!!!
     
     
     
     
        จากนั้นทางเดินก็ค่อยๆสลายหายไปและมีก้อนเมฆขนาดใหญ่ก็เข้ามารองรับน้ำหนักของทุกคนแทน เสาทองคำที่มีหัวเป็นรูปอินทรีย์ยักษ์ผุดพรายขึ้น ม่านสายฟ้าค่อยๆแผ่ขยายออกเชื่อมระหว่างเสาหนึ่งกับอีกเสาหนึ่งเปรียบเสมือนกรอบที่ล้อมทางเดินเอาไว้กันไม่ให้สิ่งมีชีวิตภายนอกเข้ามาข้องแวะกับคณะสัญจร ซุ้มประตูสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล ร่างสูงเดินผ่านเข้าไปโดยปราศจากการขวางกั้นใดๆจากเทพอารักษ์ขา 
     
     
     
        ดวงตาคมเหลือบมองน้ำพุขนาดใหญ่ด้านหน้าที่มีรูปปั้นของเหล่าเทพเจ้าตั้งตระหง่าน โดยทุกองค์กำลังนั่งรายล้อมองค์ที่ยืนอยู่ตรงกลาง ในพระหัตถ์ถืออัสนีบาตรเอาไว้ ดวงตาสีขุ่นจับจ้องไปยังผู้มาเยือน แม้ไม่มีนัยน์ตาแต่ความทรงพลังและน่าเกรงขามก็ยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจมากจนคริสเริ่มอึดอัด...
     
     
     
      ร่างสูงเดินเข้าไปในพระราชวัง ยิ่งใกล้ถึงท้องพระโรงเท่าไร ลางสังหรณ์ในใจก็ยิ่งร้องดังมากขึ้นเท่านั้น อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ดี และไม่อยากไปถึงท้องพระโรง....
     
     
    ครืนน ครืนนน
     
    เปรี้ยง!
     
     
     
    ความกดอากาศรอบๆลดต่ำลงอย่างเฉียบพลันก่อนที่ประจุไฟฟ้าจะวิ่งไปทั่วจนก่อเกิดเป็นเสียงดังเปรี๊ยะๆ อนุภาพของมันรุนแรงและหนักหน่วงยิ่งกว่าของซีวอนหลายพันเท่า ดวงตาคมจ้องมองไปที่แหล่งกำเนิดของมันหลังบานประตูสีทองขนาดใหญ่ที่กั้นเขาออกจากท้องพระโรง
     
     
    “บุตรแห่งฮาเดสและบุตรแห่งโพไซดอนมาถึงแล้วครบ ท่านมหาเทพซุส”
     
     
    “เข้ามาได้”สุ่มเสียงทรงพลังเปล่งขึ้นหลังบานประตู เซเทสและคาลาอิสหันมายกยิ้มให้คริสก่อนจะเอ่ยบอก
     
     
    “โชคดีนะ คริส”เซเทสว่าก่อนที่ประตูจะเปิดออก ฉับพลันนั้นลางสังหรณ์ของคริสก็เริ่มเด่นชัดขึ้น...
     
     
     
    ซุสประทับอยู่บนบัลลังก์โดยมีซีวอนนั่งอยู่ด้านหลัง และขนาบข้างด้วยบัลลังก์ของโพไซดอนและฮาเดส
     
     
     
    “ข้าเรียกพวกเจ้ามาครั้งนี้เพื่อมาฟังการเปลี่ยนแปลงพันธสัญญาของคริสกับชานยอล”ซุสพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่แฝงไปด้วยความทรงพลัง  ดวงตาน่าเกรงขามจับจ้องมาที่คริสกับชานยอลที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรง 
     
     
     
    “ท่านจะเปลี่ยนอะไรในพันธสัญญา”คริสถามกลับ 
     
     
    “จะใช้คำว่าเปลี่ยนอาจไม่ถูกต้องนัก ต้องใช้คำว่า......”มหาเทพเว้นช่วงไปก่อนจะพูดคำที่กระชากสติของคริสมากที่สุด
     
     
    “ยุติเสียมากกว่า”
     
     
    “ท่านหมายความว่ายังไง!!!”คริสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด มารยาทนอบน้อมที่พยายามทำเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น
     
     
    “สามหาว! อย่าได้บังอาจขึ้นเสียงกับมหาเทพเช่นข้าอีกเป็นครั้งที่สอง”ซุสประกาศก้องก่อนจะผ่าสายฟ้าไปที่ร่างของคริสแล้วจึงพูดต่อ
     
     
    “ข้า โพไซดอน และฮาเดสเห็นพ้องให้เจ้า บุตรแห่งฮาเดสยุติพันธสัญญาและคลายข้อผูกมัดของเจ้ากับชานยอลลงทั้งหมด” มือหนากำแน่น ดวงตาสีทองเจิดจ้าจับจ้องไปที่มหาเทพ ไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่ จะโมโหที่ถูกทำให้เสียแผน หรือจะโกรธเคืองที่ถูกแยกออกจากกัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่ชอบกับคำสั่งในครั้งนี้ และจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
     
     
    “ท่านมีเหตุผลอะไรถึงมาเปลี่ยนพันธสัญญาครั้งนี้”
     
     
    “เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจ เหตุผลที่ข้าต้องสั่งให้ยุติ”
     
     
    “ผมไม่ยอมรับมันเด็ดขาด!!!”ร่างสูงพูดเสียงไม่พอใจก่อนจะพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่ทันจะทรงตัวได้ก็ถูกโซ่สายฟ้าตรึงร่างไว้กับพื้นเสียก่อน
     
     
    “เจ้าจะขัดคำสั่งของมหาเทพเยี่ยงข้าอย่างนั้นน่ะรึ บุตรแห่งฮาเดส!!!”
     
     
    “ท่านโพไซดอนยอมให้พันธะสัญญาครั้งนี้เป็นโมฆะอย่างนั้นหรอครับ ท่านยอมให้ตัวเองเสื่อมเสียเกียรติอย่างนั้นหรอ”ร่างสูงหันไปถามโพไซดอน สมุทรเทพมองมาที่เขาก่อนจะเอ่ยตอบ
     
     
    “เจ้าเป็นคนผิดสัญญาเองมิใช่รึ คริส”
     
     
    “ผมทำอะไร”โพไซดอนหยัดกายลุกขึ้นก่อนจะเดินลงมาจากบัลลังก์ไปหาชานยอลที่ยืนอยู่ข้างๆร่างสูงแล้วจับแขนข้างที่มีรอยแผลจางๆจากการถูกฮาร์ปี้กัดขึ้นมา
     
     
    “แล้วนี่มันคืออะไร!!!  เจ้าให้ฮาร์ปี้สัตว์เลี้ยงของฮาเดสมาทำร้ายลูกข้าจนเกือบตาย!!!”โพไซดอนตอบด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นจนท้องพระโรงสั่นคลอน เสียงท้องทะเลปั่นป่วนดังแว่วมาให้ได้ยิน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องมาที่คริสอย่างเดือดดาล เขาเองเป็นพ่อที่ไม่ค่อยได้ดูแลลูก แต่เขาจะไม่ยอมให้ลูกเป็นอันตรายเด็ดขาด!!!
     
     
    “ซีวอนมันบอกท่านอย่างนั้นหรอ”คริสถามอย่างโมโหเมื่อความจริงของเรื่องกำลังถูกบิดพลิ้วและเขากำลังถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนทำร้ายชานยอล ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายชานยอล
     
     
    “ต่อให้เขาไม่บอก เจ้าคิดว่าเทพเจ้าอย่างข้าจะไม่รู้งั้นรึว่าเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง!!!”ชานยอลที่ได้ยินคำของพ่อก็หัวใจหล่นวูบ รู้อย่างนั้นหรอว่าเกิดอะไรขึ้น งั้นโพไซดอนก็คงจะรู้เรื่องที่เขากับคริส.....
     
     
    “ท่านพ่อ...”
     
     
    “นับจากนี้เจ้าจะต้องเลิกยุ่งกับลูกของข้า!!!”
     
     
    “ผมไม่ยอมรับ เรื่องฮาร์ปี้นั่นผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น!!!”
     
     
    “แต่การที่เจ้าเรียกสัตว์เลี้ยงของข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นการกระทำที่อันตรายเกินกว่าที่จะไว้ใจเจ้าได้อีกแล้ว คริส”ฮาเดสพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวเมื่อนึกถึงความผิดที่ลูกตัวเองก่อไว้ ลำพังแค่เรียกสัตว์เลี้ยงของเขาโดยพละการแล้ว ยังใช้มันเพื่อไปทำร้ายคนอื่นอีก อย่างนี้เทพผู้รักความยุติธรรมอย่างเขาคงจะนิ่งเฉยไม่ได้
     

    “ผมไม่ยอมรับคำสั่งครั้งนี้!!!”
     
     
    เปรี้ยงงง!!
     
     
    สายฟ้าลำใหญ่ผ่าลงกลางท้องพระโรงจนทั้งห้องสั่นไหวและสว่างวาบด้วยประกายสายฟ้า ซุสลุกขึ้นยืนเหนือบัลลังก์ก่อนจะเงื้ออัสนีบาตขึ้นตามฟาดฟันลงมาที่ร่างของคริส
     
     
    “สามหาว! เจ้าจะปฏิเสธคำสั่งของข้างั้นรึ!!!”
     
     
    “ผม....”
     
     
    “ในนามของข้า ซุส มหาเทพแห่งโอลิมปัส ขอสั่งให้พันธะสัญญาทั้งหมดระหว่างคริส บุตรแห่งฮาเดส และชานยอล บุตรแห่งโพไซดอนยุติลงตั้งแต่บัดนี้ และข้าขอสาบานกับแม่น้ำสติกซ์ว่าถ้าผู้ใดฝ่าฝืนข้าจะสาปส่งให้ลงไปอยู่ในทาทาร์รัสชั่วกัปชั่วกัลป์!!!”
     
     
    “ผม....”คริสชะงักคำพูดไว้เท่านั้นเพราะเริ่มจนตรอกคิดหาทางหลบเลี่ยงคำสั่งของซุสไม่ออก ในหัวของเขามีแต่คำว่าพันธะยุติ พันธะยุติ แยกจากชานยอล แยกจากชานยอล เขาจะทำยังไง จะหาทางออกจากคำสั่งของมหาเทพอย่างซุสยังไง!!!
     
     
    “เจ้ามีอะไรจะโต้เถียงอีก บุตรแห่งฮาเดส!!!” คริสกรอกตาไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมหาเทพ พลันสายตาก็ไปสบเข้ากับซีวอนที่กำลังส่งสายตาให้กำลังใจชานยอลอยู่  เฉียบพลันนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ถ้าอยากให้พันธะสัญญายุติ เขาก็จะทำให้....
     
     
    “ผมจะยอมทำตามคำสั่งของท่านก็ได้”
     
     
    “สาบานกับแม่น้ำสติกซ์!!!”โพไซดอนแผดเสียงกึกก้องไปทั่วพระราชวัง คริสเงยหน้าขึ้นสบตากับเทพเจ้าก่อนจะเปล่งคำสาบาน
     
     
    “ในนามของข้า คริส บุตรแห่งฮาเดส ขอสาบานกับแม่น้ำสติกซ์ว่าจะยุติพันธะสัญญาการดูแลชานยอล บุตรแห่งโพไซดอน ตามบัญชาของมหาเทพซุส ถ้าข้าผิดคำสาบานขอให้ข้ามอดไหม้ลงในทาทาร์รัสที่แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีไว้ให้หวนรำลึก”
     
     
    “ดี!!! นับจากนี้เจ้าจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับชานยอล บุตรแห่งข้าทั้งสิ้น!!!”โพไซดอนประกาศก้องจนท้องพระโรงสั่นคลอน 
     
     
    “ครับ ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆกับเขาทั้งสิ้น” คริสย้ำคำพูดก่อนจะก้มหน้าลงพลางต่อคำพูดในใจ...
     
     
    แต่ผมจะยุ่งเกี่ยวกับคนสำคัญของเขา และเมื่อถึงเวลานั้นลูกของท่านก็จะเป็นฝ่ายเข้าหาผมเอง!!!
     
     
     
          ชานยอลเหลือบมองคริสอย่างไม่เชื่อสายตา แต่คลื่นความดีใจระคนเสียใจเล็กน้อยที่ถาโถมเข้ามาสู่จิตใจก็กลบเกลื่อนความคลางแคลงใจทั้งหมดให้มิดจนไร้เคล้าลางที่จะทำให้เขารู้จักระแวดระวังถึงภยันตรายที่กำลังจะกล้ำกลายเข้ามาในไม่ช้านี้....
     
     
     
    หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็เหลือเพียงแต่คริสกับชานยอลเท่านั้น เพราะซีวอนถูกซุสเรียกไปพบเพื่อคุยเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น ในขณะที่ฮาเดสและโพไซดอนเองก็มีเหตุให้ต้องรีบกลับอาณาเขตุของตัวเองเช่นกัน เพราะสองมหาเทพยังมีงานอีกล้นเหลือให้ต้องรีบกลับไปดูแล ดังนั้นจึงเหลือเพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่อยู่ที่นี่
     
     
     
     
    ทั่วทั้งท้องพระโรงถูกความเงียบและบรรยากาศมืดมนโรยตัวแผ่ปกคลุมไปทั่วจนเสียงประกายสายฟ้าจากด้านนอกดังเข้ามาด้านใน รัศมีทะมึนไม่น่าไว้ใจแผ่ออกมาจากตัวของร่างสูง มากจนขับไล่เอาความดีใจในใจของชานยอลออกไปแล้วแทนที่มันด้วยความแคลงใจ แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นหวาดระแวงวิตกถึงอันตรายเสียจนหลอนประสาท เพราะคำศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างสูงสาบานไว้เป็นเครื่องป้องกันเขาจากภยันตรายใดๆทั้งปวง
     
     
    ตราบใดที่คำสาบานยังคงอยู่
     
    เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น
     
     
     
    “สมใจแล้วใช่ไหมล่ะ ที่ฉันไม่ได้อยู่ดูแลนายแล้ว”คริสพูดขึ้นทำลายความเงียบ ร่างโปร่งหันกลับไปมองก่อนจะตอบ
     
     
    “ที่ผ่านมานายไม่เคยดูแลฉันเลยสักครั้งเดียว”
     
     
    “หึ ไม่เคยงั้นหรอ ฉัน....”คริสชะงักเมื่อตัวเองเกือบหลุดความจริงบางอย่างออกไป
     
     
    “ฉันอะไร”คริสนิ่งเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
     
     
    “จะกลับโรงเรียนกันได้รึยัง”
     
     
    “นายไม่จำเป็นต้องกลับไปที่นั่นอีกแล้ว พันธะยุติลงเรียบร้อยแล้ว”ชานยอลตอบไปตามความจริงของพันธะสัญญาที่โดยทั่วไปเมื่อข้อผูกมัดเสื่อมคลายลง เงื่อนไขต่างๆที่เคยตั้งไว้ก็จะถูกยกเลิกไปโดยปริยายด้วย ดังนั้นคริสจึงไม่จำเป็นต้องกลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้นอีก เพราะแต่เดิมนั่นก็ไม่ใช่ที่ที่คริสควรจะอยู่แต่แรกอยู่แล้ว....
     
     
    “มนตร์บิดเบือนความทรงจำไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของพันธะแต่เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น แล้วเทพซุสก็สั่งยุติแค่พันธะไม่ใช่มนต์บิดเบือน เพราะฉะนั้นฉันก็ยังเป็นนักเรียนของที่นั่น.....”ชานยอลชะงักงันไปเมื่อได้ฟังคำตอบของคริส แวบแรกที่รู้สึกคือไม่ไว้ใจ แต่พอย้อนกลับไปคิดถึงคำสาบานเขาก็เลิกเกรงกลัว เพราะไม่ว่าคริสจะอยู่หรือไม่อยู่มันก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอยู่แล้วในเมื่อพวกเขาสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีกต่อไป
     
     
    “งั้นจะรออะไร กลับสิ”ชานยอลเอ่ยบอก เพราะการจะให้เขาที่เพิ่งฟื้นจากพิษของฮาร์ปี้กลับจากโอลิมปัสเองคงจะเป็นเรื่องยากจนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้เขาก็คงจะต้องพึ่งพลังของคริสไปสียก่อน แต่เดี๋ยว พิษของฮาร์ปี้งั้นหรอ....
     
     
     
          ชานยอลเหลือบตาไปมองมือของคริสที่ถูกผ้าพันแผลเอาไว้ ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว แต่คราบเลือดแห้งกรังบนผ้าบ่งบอกให้รู้ว่าร่างสูงถูกพิษของฮาร์ปี้เข้าไป และคริสคงไม่ได้ขลาดเขลาจนเผลอไปถูกสัตว์เลี้ยงตัวเองกัด นอกเสียจากว่าเขาจะรับพิษจากชานยอลไปไว้เสียเอง...
     
     
     
           บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความคิดของคริสเลย  ทั้งๆที่เกลียดแต่ทำไมถึงยอมรักษาเขา ทำไมถึงต้องทำทั้งๆที่ความตายของเขาคือสิ่งที่คริสต้องการมาโดยตลอด...
     
     
     
     
    หวืดดดดด หวิววววว
     
     
     
    จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขณะที่พวกเขากำลังจะออกไปจากโอลิมปัส ชานยอลหันขวับไปมองตามเสียง เฉียบพลันนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่งราวกับมีใครมาหยุดเวลาของสรวงสวรรค์เอาไว้ สายหมอกสีเขียวที่มีกลิ่นหอมของกำยานพัดผ่านมาทางเขา ภายในม่านหมอกปรากฏเป็นดวงตาสีเรืองๆกำลังจ้องมองเขาอยู่ และเมื่อมันสัมผัสกับสิ่งใดของพวกนั้นก็จะเสื่อมอายุลง ต้นไม้เหี่ยวเฉา สัตว์มีชีวิตพลันเป็นซากสัตว์ตายแล้ว ทางเดินหินอ่อนกลายเป็นพื้นไม้ผุพัง ดวงตากลมโตเพ่งมองไปที่สิ่งของเหล่านั้นอย่างไม่เชื่อสายตา รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไร....
     
     
     
    พรึ่บ!
     
     
     
    มือแห้งเหี่ยวโผล่พรวดออกมาจากม่านหมอกมาจับใบหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนที่หมอกสีเขียวจะสลายหายไปแล้วเผยให้เห็นร่างที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของหญิงชราคนหนึ่งที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเธอตายไป เพราะดวงตาสีขาวโพลนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่...
     
     
     
    “ชานยอล...”เสียงของนางแหบแห้งและดังชี่ๆคล้ายพวกวิญญาณแต่ทรงพลังและขลังกว่า
     
     
    “จงระวัง สัจจะจากทิศตะวันตก สหายจะสูญสิ้น ทุกอย่างจะเสื่อมสลาย หัวใจของเจ้าจะถูกขโมย สุดท้ายเจ้าจะไม่เหลือใคร.....แม้แต่ตัวเอง” 
     
     
    “ท่าน ท่านหมายความว่ายังไง”
     
     
    “จงระวัง ทิศตะวันตกจะนำภัย จงระวัง”
     
     
    “ทิศตะวันตก?”
     
     
    “จงระวัง”
     
     
     
    วู้บบบบ
     
     
     
    แล้วหญิงคนนั้นก็สลายหายไปกับอากาศ 
     
     
     
    “ท่านเดลฟี ท่านเดลฟี!!!”ชานยอลตะโกนหาแต่ตอนนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติเสียแล้ว ดวงวิญญาณแห่งเดลฟี ผู้อ่านคำพยากรณ์แห่งเทพอพอลโลหายไปเสียแล้ว
     
     
     
    “เดลฟี? เดลฟีทำไม”คริสที่เดินนำอยู่ข้างหน้าถามด้วยความแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่เดลฟีจะออกมาเตือนและอ่านคำทำนายเอง
     
     
     
    “มะ ไม่ ไม่มีอะไร ไปต่อเถอะ”คริสขมวดคิ้ว หรี่ตามองดูร่างโปร่งเล็กน้อย แม้จะไม่เชื่อคำพูดของชานยอล แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สักถาม แล้วออกเดินต่อ ดวงตากลมโตมองแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย พลางคิดถึงคำพยากรณ์ของดวงวิญญาณแห่งเดลฟี
     
     
     
    “จงระวัง สัจจะจากทางทิศตะวันตก สหายจะสูญสิ้น ทุกอย่างจะเสื่อมสลาย หัวใจของเจ้าจะถูกขโมย สุดท้ายเจ้าจะไม่เหลือใคร.....แม้แต่ตัวเอง” 
    อะไรคือทิศตะวันตก แล้วเพื่อนคนไหนจะตาย หัวใจของเขาจะถูกใครขโมย แล้วสุดท้ายอะไรทำให้เขาไม่เหลือใครเลย ....แม้แต่ตัวเอง
     
     
     
     
     
            การเดินทางผ่านเงาครั้งนี้ไม่ลำบากยากเข็ญและอันตรายเท่าครั้งที่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีโซ่ตรวน หรือการถูกทำร้ายจากคริส แต่สิ่งที่ได้ในครั้งนี้คือความเงียบ และบรรยากาศน่าขนลุกที่แผ่ออกมารอบๆจากร่างสูง คริสในตอนนี้นิ่งสงบเยือกเย็นราวกับท้องทะเลที่เงียบสงบก่อนที่จะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่หลวงเหมือนดั่งครั้งก่อนที่ร่างสูงก็นิ่งไปแบบนี้ แต่ชานยอลก็เลือกที่จะไม่สนใจ เพราะคิดว่ามันคงไม่มีอะไร มันคงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นภายใต้คำสาบานนั่น...
            
     
     
            ม่านหมอกสีดำ และเสียงวิญญาณในเส้นทางที่เคลื่อนไปค่อยๆเบาลงอย่างช้าๆ ที่ปลายทางไกลๆมีจุดแสงสีขาวส่องสว่างอยู่อย่างริบหรี่ ก่อนที่มันจะค่อยๆแผ่ขยายกว้างออกขึ้นเรื่อยๆ ชานยอลรีบหลับตาลงเมื่อแสงจ้าเกินกว่าจะสู้ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงสว่างกลืนกินเอาความมืดไปหมดแล้ว
           
     
     
     
            วันนี้โรงเรียนในยามเย็นเงียบสงบเกินกว่าที่ควรจะเป็น เหล่าเด็กนักเรียนต่างพากันหลบเข้าที่พักกันหมด เพราะหิมะที่โรยตัวลงมาจากฟากฟ้ามากจนมนุษย์สู้ไม่ไหว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับมนุษย์กึ่งเทพอย่างพวกเขา 
           
     
     
            คริสเดินนำชานยอลกลับไปที่หอพักนักเรียน  ทุกขั้นบันใดที่ก้าวไปไม่มีคนอื่นเดินสวนมาเลย จนกระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงเท้าที่เดินออกมาจากห้อง ชานยอลไม่คิดว่ามันสำคัญ มันก็เป็นเหมือนเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ แต่ดูเหมือนคริสจะไม่คิดอย่างนั้น
          
     
     
    ร่างสูงหยุดชะงัก ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งไปที่แหล่งกำเนิดเสียงนิ่ง
     
     
     
    “มีอะไร”ชานยอลถามอย่างไม่เข้าใจ คริสยืนนิ่งก่อนจะหันเตรียมมาตอบเขา
     
     
    “พวก...”
     
     
    “ไอ้ชานยอล!!!”เสียงไคดังขึ้นก่อนจะวิ่งเข้ามาหาเขา
     
     
    “ไง”
     
     
    “หายไปหลายวัน นายเป็นไงบ้าง ไม่ได้...ถูกใครทำร้ายใช่มั้ย”ไคลดเสียงลงและเหลือบตาไปมองคริสที่กำลังจ้องเขาเขม็ง
     
     
    “ไม่ แล้วนี่จะไปไหน”
     
     
    “จะออกไปหาอะไรกินกับคยองซูเขาหน่อย เอาไรมั้ย”ไคพูดก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางคยองซูที่เดินตามมาข้างหลัง
     
     
    “ไม่ว่ะ รีบไปซื้อเหอะ เดี๋ยวหิมะตกหนัก” ไคพยักหน้าก่อนจะเดินไปโดยมีสายตาของคริสจับจ้องไล่ส่งไปตลอด พอชานยอลหันมาเห็น ร่างสูงก็แสยะยิ้มก่อนจะเดินนำต่อไป ชานยอลเกลียดสายตาและรอยยิ้มแบบนี้ มันเหมือนกับ.....คริสกำลังมีแผนอะไรบางอย่างอยู่...
     
     
    “ไคกับนายสนิทกันมานานรึไง”
     
     
    “ทำไม”
     
     
    “หึ ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่า......”คริสเว้นช่วงก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับชานยอลแล้วพูดประโยคที่เขย่าหัวใจของเขาให้สั่นสะท้าน
     
     
    “ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนของนายให้คุ้ม ก่อนที่จะไม่มีเพื่อนให้คบ!”ชานยอลหน้าชา ก่อนที่คำเตือนของดวงวิญญาณแห่งเดลฟีจะแวบเข้ามาในหัว
     
     
     
    จงระวัง สัจจะจากทิศตะวันตก สหายจะสูญสิ้น
     
     
    ทิศตะวันตกคือ........ทิศแห่งคนตาย
     
     
    เพื่อนคนเดียวของเขาก็คือ......ไค
     
     
    สัจจะจากทิศตะวันตกคือสัจจะจากทิศแห่งคนตาย สหายจะสูญสิ้น ก็คือไคจะได้รับอันตราย จงระวังสัจจะจากทิศตะวันตก สหายจะสูญสิ้น นั่นหมายถึง......
     
     
    ชานยอลภาวนาในใจว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด ก่อนจะนึกถึงคำสาบานของคริส
     
     
     
    ในนามของข้าพเจ้า คริส บุตรแห่งฮาเดส ขอสาบานว่าจะยุติพันธะสัญญาการดูแลชานยอล บุตรแห่งโพไซดอน 
     
     
    คำสาบานมีอำนาจปกป้องแค่ชีวิตของเขาเท่านั้น ดังนั้นคริสก็มีสิทธิ.....
     
     
     
     
    จะทำร้ายคนอื่น!!!!
     
     
     
     
    -----------------------------------------------
     
     
     
     
    “กินอะไรกันดีล่ะ”ไคเอ่ยถามขึ้นขณะที่เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อป้องกันความหนาวเย็นที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
     
     
     
    “โรงอาหารก็ปิดหมดแล้ว ลองออกไปดูข้างนอกมั้ย”คยองซูตอบ หากแต่หัวสมองไม่ได้จดจ่ออยู่ที่การหาร้านอาหาร แต่เป็นเรื่องของคริสต่างหาก...
    สายตาที่ร่างสูงมองมาแบบนั้นมันไม่น่าไว้ใจ และไม่ว่าเขาจะคิดทำอะไร มันก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน...
     
     
    “คยองซู”
     
     
    “ห๊ะ มีอะไรหรอ”คยองซูหันไปหาอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองไปที่สนามหญ้าของโรงเรียนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
     
     
    “เห็นนั่นมั้ย”ไคชี้ไปที่พื้นที่ว่างเปล่ากลางสนาม
     
     
    “อะไรหรอ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
     
     
    “ตลกน่า จะไม่เห็นได้ไง พวกคุณยายไม่ได้ตัวเล็กๆนะคยองซู”ไคว่าติดตลก แต่คนฟังกลับรู้สึกตรงกันข้าม 
     
     
    “คุณยาย? คุณยายอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลยนะไค”
     
     
    “นายไม่เห็นหรอ ก็คุณยายสามคนที่กำลังปั่นด้าย ทอด้าย แล้วก็ตัดด้ายนั่นไง”เฉียบพลันนั้นร่างของคยองซูเหมือนถูกหิมะแทรกซึมไปทั่วร่างกาย เขาจะไม่วิตกหรือกังวลอะไรเลย ถ้าสิ่งที่ไคเห็นไม่ใช่กลุ่มเทพีมอยเร่ สามเทพีผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์ผ่านเส้นด้ายแห่งชีวิตที่พวกนางถืออยู่!!!
     
     
     
     
    เทพีโคลโธ มีหน้าที่ปั่นเส้นด้ายแห่งชีวิต หมายถึง การกำเนิดของชีวิต 
     
     
    เทพีลาเคซิส มีหน้าที่ทอเส้นด้าย   หมายถึง  การเติบโตของชีวิตจากวัยเด็กถึงวัยชรา
     
     
    และเทพีอโคพอส มีหน้าที่ตัดเส้นด้าย นั่นหมายถึง............การหมดเวลาบนโลกมนุษย์!!!
     
     
    “ไม่ มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น”
     
     
    “ห๊ะ นายพูดว่าอะไรนะคยองซู”
     
     
    “ไค กลับกันเถอะ ฉันไม่หิวแล้ว!”คยองซูว่าก่อนจะจับแขนไคแล้วพาออกวิ่งกลับไป เป้าหมายอยู่ที่ห้องของชานยอล เขาต้องการขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่มีอำนาจมากพอ ใครสักคนที่สั่งการความตายได้ ซึ่งนั่นก็คือ.....คริส
     
     
     
    “อ่าว เฮ้ย รีบไปไหนเนี่ย”ไคร้องถามหากแต่คยองซูกลับเอาแต่นิ่งเฉย ท่าทางเคร่งเครียดไปตลอดทางที่วิ่งไป ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของชานยอล
     
     
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
     
     
    มือบางเคาะประตูห้องรัว
     
     
    “มาที่นี่ทำไม คยองซู”
     
     
    ผัวะ
     
     
    เสียงประตูที่เปิดออกโดยชานยอลขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งสอง เฉียบพลันนั้นร่างบางของคยองซูก็รีบถลาร่างเข้าไปหาคริสที่ยืนเก็บของอยู่ในห้องทันที
     
     
    “พี่....ผมมีเรื่องจะขอร้อง”คริสเปรยตามองก่อนจะหันกลับไปเก็บของต่อ
     
     
    “ถ้าจะขอร้องเรื่องนั้น ก็หยุดซะ”
     
     
    “ผมขอร้อง”ร่างสูงนิ่งเงียบไปก่อนจะคว้ากระเป๋ามาถือ แล้วเดินผละออกไป โดยทิ้งคำพูดที่กรีดแทงหัวใจของคยองซูไว้เบื้องหลัง
     
     
    “มันเป็นชะตากรรมที่ฉันจะไม่มีวันหยุดมันเด็ดขาด”คยองซูทรุดฮวบลงกับพื้น พลันน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มเนียน รับรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้...
     
     
     
     
     
     
    ไคกำลังจะจากเขาไป โดยที่เขาช่วยอะไร....ไม่ได้เลย
     
     
     





    *** เทพีมอยเร่ :: สัญญาณเตือนแห่งความตาย มีแค่ผู้ที่กำลังจะหมดอายุขัยเท่านั้น ที่จะได้เห็นพวกนาง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×