ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The dark ocean [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่ 19...วิหารแห่งเดลฟี

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.18K
      24
      25 ส.ค. 56


    “มะ หมายความว่ายังไง พะ พวกนายพูดถึงเรื่องอะไร ”ชานยอลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ดวงตากลมโตที่สั่นระริกมองมาที่ร่างเล็กตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาคำตอบ รู้ดีว่าบทสนทนาของคนทั้งสองเกี่ยวข้องกับเพื่อนของเขา เกี่ยวข้องกับชีวิตของไค...
     
     
    “ไม่ ไม่ ไม่จริง มันต้องไม่เป็นแบบนี้”คยองซูพร่ำบอกกับตัวเองซ้ำๆอย่างคนสติหลุด 
     
     
    “คยองซู นาย นายคุยอะไรกับคริส คยองซู!!”
     
     
    “ไม่ ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น ไม่ ไม่มีทาง”ร่างเล็กพูดกับตัวเองก่อนจะกำมือที่สั่นระริกแน่น
     
     
    “ฉันถามว่านายคุยอะไรกับคริส! คยองซู ตอบ ตอบฉันสิ!!!” น้ำตาแห่งความหวาดกลัวเอ่อล้นอยู่ริมขอบตา ปากอิ่มสั่นระริกจนแทบพูดไม่ได้ มือเรียวที่เขย่าอีกคนเย็นยะเยือกราวกับเลือดในกายถูกแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบ หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านด้วยความสงสัย หวาดระแวง และเกรง
    กลัวเสียใจก้อนเนื้อนี้ใกล้แตกสลาย
     
     
    “คยองซู ตอบฉันสิ ชะตากรรมอะไร แล้วนายขอร้องเขาเรื่องอะไร ไคกำลังจะเป็นอะไร ตอบฉันสิ!!!”ชานยอลพุ่งเข้าไปเขย่าตัวคยองซูอย่างบ้าคลั่ง ความเกรงใจ และมารยาทต่างๆนานาที่ควรจะทำกับคนที่ไม่สนิทถูกขจัดออกไปด้วยความห่วงใยและความ อยากรู้อยากเห็นในชะตาชีวิตของเพื่อนสนิท 
     
     
    “ชานยอล หยุด ใจเย็นๆก่อนได้มั้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย!!!”ไครีบถลาร่างเข้ามาแยกชานยอลออกจากคยองซู เฉียบพลันนั้นเสียงของไคก็กระตุกสติของร่างเล็กให้กลับคืน ดวงตาคู่นั้นกระพริบถี่ๆก่อนจะมองไค มือเล็กยกขึ้นประคองใบหน้านั้นเอาไว้ ก่อนจะโผเข้ากอดแน่น 
     
     
    “คยองซู....”
     
     
    “อยู่กับฉัน อย่าไปไหน ได้โปรดอยู่กับฉัน”
     
     
    “นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!”ชานยอลตะหวาดเสียงดังเมื่อเริ่มหมดความอดทน ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่คยองซูเขม็ง ร่างเล็กมองร่างโปร่งสลับกับร่างสูงอย่างชั่งใจ ไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะมาพูดเรื่องความตายของไคต่อหน้าเขา  แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานความสงสัยของชานยอลได้ ร่างโปร่งมีสิทธิจะรู้ เพราะเขาคือเพื่อนของไค เพื่อนสนิทเพียงคนเดียว...
     
     
    “ฉันขอคุยกับชานยอลหน่อยนะ ไค”คยองซูพูดก่อนจะดึงชานยอลออกไปจากห้อง
     
     
    “มันเรื่องอะไร”
     
     
    “ไคกำลังจะตาย”ชานยอลชะงักงัน ร่างทั้งร่างเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงถาโถมเข้ามารุนแรงกว่าครั้งที่ดวงวิญญาณเดลฟีมาเตือน เหมือนเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริงและไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน
     
     
    “ผมรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับ แต่มันคือเรื่องจริง ไคเห็นกลุ่มเทพีมอยเร่เมื่อกี้”
     
     
    “ไม่จริงน่า”ชานยอลพูดอย่างไม่เชื่อ กลุ่มเทพีมอยเร่ สามเทพีผู้กุมชะตาชีวิตของมนุษย์มาปรากฏตัวต่อหน้าไคอย่างนั้นน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้...
     
     
    “มันคือเรื่องไคจะตาย ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องตาย แค่ว่า......”
     
     
    “แค่อะไร!”
     
     
    “จะตายด้วยวิธีไหนเท่านั้นเอง” หัวสมองของชานยอลแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่คยองซูพูด     ทุกพื้นที่ความคิดกำลังถูกคำทำนายของเดลฟีเข้ายึดครอง เคล้าโคลงต่างๆเริ่มปะติดปะต่อเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น สัจจะจากทิศตะวันตกที่ไม่ควรไว้ใจ คือคำสาบานของคริส ที่อาจพลิกผันเป็นอื่น 
    และคนที่รับเคราะห์ของเรื่องนี้เห็นทีจะไม่พ้นเพื่อนของเขา ที่ต้องตกเป็นเหยื่อในเกมส์ของคริส ที่ต้องเป็นเครื่องสังเวยสู่นรกอเวจี!!!
     
     
    “เราต้องหยุดมัน”ชานยอลพูดกับตัวเองก่อนจะตั้งท่าพุ่งไปตามทางที่คริสเพิ่งเดินจากไป
     
     
    “จะไปไหน”
     
     
    “หยุดคริส”
     
     
    “เพื่ออะไร”
     
     
    “เขาจะฆ่าไค!!!”ดวงตากลมโตสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่แววโรจน์ไปด้วยแรงโทสะ คยองซูสบตานั้นนิ่งก่อนจะเริ่มเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างมากขึ้น ชานยอลเข้าใจว่าคริสจะฆ่าไค ซึ่งเรื่องจริง...มันไม่ใช่อย่างนั้น
     
     
    “คริสไม่มีทางฆ่าไค”
     
     
    “นายพูดอะไร นายรู้จักเขาดีหรอ!!!”
     
     
    “ผมเป็นลูกของเพอเซโฟเน่ แม่เลี้ยงที่เขาจงเกลียดจงชัง  ผมรู้ดีว่าท่านคริสจะไม่มีวันฆ่าใคร จริงอยู่ที่ว่าหนทางที่เขาเลือกไม่เคยจะสะอาด แต่มือของเขาก็ไม่เคยเปื้อนเลือดเช่นกัน!!!”
     
     
    “นะ นายคือลูกของเพอเซโฟเน่”
     
     
    “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน”
     
     
    “ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง นายมันก็คนจากนรกเหมือนกับเขา แล้วที่คริสมองหน้าไคอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อนั่น ที่มาบอกฉันให้ใช้เวลาอยู่กับไคให้มากที่สุดนั่นมันคืออะไรกัน!!!”
     
     
    “ที่จ้องคงเพราะเห็นยมทูตที่จ้องจะใช้เคียวฟันวิญญาณของไค ที่เตือนเพราะยมทูตตนนั้นใกล้ลงมือเต็มทีแล้ว เราเหลือเวลาอีกไม่มากหรอกนะ” ชานยอลนิ่งคิดตามคำพูดของคยองซู และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวใหม่ทั้งหมด สัจจะจากทิศตะวันตก อาจเป็นอะไรสักอย่างที่ต้องระวังเกี่ยวกับคำสาบานของคริสซึ่งเขายังไขคำทำนายของนี้ไม่ออก ส่วนเพื่อนจะสูญสิ้นนั่นหมายถึงไคอย่างแน่นอน และที่สำคัญสองส่วนนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน คริสไม่ได้กำลังจะฆ่าไค แต่กำลังเตือนเขาถึงการจากไปของไคต่างหาก...
     
     
    “คริสต้องช่วยเรา เขาเป็นถึงลูกของฮาเดส เขาต้องควบคุมความตายได้”
     
     
    “ไม่ ท่านคริสจะไม่มีวันหยุดความตายเด็ดขาด”คยองซูพูดเมื่อคิดถึงคำพูดของคริส  มันเป็นชะตากรรมที่ฉันจะไม่มีวันหยุดมันเด็ดขาด นั่นคือฆาตของไคที่ต้องถึงคราวตายที่คริสจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เพราะเขาคือบุตรแห่งฮาเดส เทพเจ้าแห่งความตาย และยมทูตผู้รักความยุติธรรม
     
     
    “ถ้าคริสไม่ช่วย แล้ว....เราจะทำยังไง”คยองซูสบตากับดวงตาสีฟ้าคู่นั่นก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดดั่งทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ
     
     
    “เราต้องหยุดมันเอง”
     
     
              ชานยอลชะงักงัน  การโกงความตายเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้  แม้แต่เทพเจ้าเองยังไม่แน่เลยด้วยซ้ำว่าทำได้ แล้วมนุษย์ที่มีพลังนุภาพไม่เท่าเศษเสี้ยวขององค์เทพอย่างพวกเขาจะทำยังไงได้
     
     
     
    “แล้วจะหยุดด้วยอะไร”
     
     
    “ถ้าเรารู้ว่าเขาจะตายด้วยอะไร เราก็แค่หยุดหนทางนั้น”
     
     
    “แต่เราไม่รู้อนาคต.....คยองซู อย่าบอกนะว่านายจะ...”ชานยอลหยุดพูดไว้เท่านั้นเมื่อรู้ว่าคยองซูจะทำอะไร
     
     
    “ใช่ เราจะไปขอดูอนาคตจากวิหารเดลฟีกัน” 
     
     
    “ไม่มีทาง เราต้องขออนุญาตเทพอพอลโลก่อน แล้วกว่าเราจะเข้าเฝ้าท่านได้ ก็ต้องหลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น แล้วเราก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นด้วย”ชานยอลแย้งขึ้น เมื่อการเข้าเฝ้าเทพอพอลโลจำเป็นต้องเข้าเฝ้าในตอนกลางคืนที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วเท่านั้น เพราะในยามกลางวันองค์เทพต้องขับราชรถทรงพระอาทิตย์ไปตามเส้นขอบฟ้า และอีกเหตุผลหนึ่งคือ รัศมีขององค์เทพในตอนกลางวันนั้นเรืองรองเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเขาจะมองได้ ดังนั้นการเข้าเฝ้าจึงต้องขอเข้าพบแค่ตอนเย็นเท่านั้น แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่มันอยู่ที่ตอนนี้มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง แล้วเขาจะไปเข้าเฝ้าองค์เทพได้ยังไง...
     
     
    “ผมมีวิธี…”
     
     
    “วิธีอะ....”
     
     
     
    พรึ่บ!
     
     
     
    เฉียบพลันนั้นพื้นใต้เท้าของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาด้วยแสงสีเขียวอ่อนที่ถูกวาดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ดอกไม้นานาพันธุ์ผุดพรายขึ้นตามตำแหน่งของหน้าปัดนาฬิกา หากแต่ไร้เข็มชี้บอกเวลา
     
     
     
    “นาฬิกาดอกไม้ของลินเนีย***(นาฬิกาที่กำหนดช่วงเวลาจากการบานของดอกไม้ต่างๆตามที่คาร์ล ลินเนียส์ นักพฤกษาศาสตร์ชาวสวีเดนได้ทำการศึกษาไว้ เช่น ดอกเดย์ลิลลี่ บานตอน19.00-20.00น.เป็นต้น)”ชานยอลเอ่ยออกมาก่อนที่คยองซูจะสั่งให้ดอกไม้ที่อยู่ตรงตำแหน่งก่ำกึ่งระหว่างทุ่มถึงสองทุ่มบานออก กลีบดอกไม้จำนวนมากพุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของพวกเขา ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะค่อยๆสลายกลายเป็นกลีบดอกไม้แล้วถูกสายลมหอบพัดขึ้นไปยังเบื้องบน
     
     
     
     หัวใจของชานยอลเต้นระรัว ทั้งตื่นเต้นที่ได้เดินทางไปยังโอลิมปัสโดยใช้พฤกษา ทั้งกระวนกระวายเรื่องของไค เขาคงจนปัญญาและหมดหนทางมากกว่านี้แน่ถ้าเขาไม่ได้คยองซู เพื่อนใหม่จากพฤกษาในแดนบาดาล
     
     
     
    “เราจะถึงวังของเทพอพอลโลทันเวลาแน่นอน”คยองซูพูดกลบเสียงลม เขายอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากลัวชานยอล เพราะร่างโปร่งคือบุตรแห่งสมุทรเทพ คือนายของสายน้ำที่เป็นทั้งผู้ให้ชีวิต และคร่าชีวิตของพฤกษา แต่ถ้าเพื่อไคแล้ว เขาก็ยอมละทิ้งความหวาดกลัวเหล่านั้นไปให้หมดสิ้น แล้วยอมร่วมมือกับสายน้ำคนนี้ เพื่อช่วยกันหาทางยื้อชีวิตของไคเอาไว้...
     
     
     
    ตราบที่ร่างกายนี้ยังไม่แตกดับ
     
    ตราบที่ลมหายใจนี้ยังไม่สูญสิ้น
     
    ตราบนั้นเขาจะไม่ยอมให้ไคจากเขาไปเด็ดขาด
     
     
     
    ----------------------------------------
        
     
     
     
     
         คยองซูเคยขึ้นมาโอลิมปัสบ้างเป็นครั้งคราว เพราะปกติแล้วเขาจะขึ้นมาอยู่ที่นี่กับแม่ของเขาในฤดูใบไม้ผลิหลังจากการอยู่ใต้บาดาลมาตลอดช่วงฤดูหนาว ดังนั้นเขาจึงรักการมาเยือนที่นี่มากเพราะมันเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนว่าฤดูหนาวได้สิ้นสุดลงและฤดูใบไม้ผลิได้หวนกลับมาเยือนเขาอีกครั้งแล้ว 
       
     
     
        หากแต่การมาโอลิมปัสครั้งนี้ไม่ทำให้เขารู้สึกดีอย่างที่เคยรู้สึก หัวใจของเขาสั่นไหวทุกครั้งที่เข้าใกล้พระราชวังของเทพอพอลโล ร่างกายที่แปรสภาพเป็นกลีบดอกไม้วูบไหวและหวิดต่อการสลายปลิวไปตามสายลมมากขึ้นทุกที เขาอยากรู้อนาคตของไค แต่กลับกันเขาก็กลัวที่จะรู้ความจริง การเห็นแจ้งในอนาคตไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่าย ความจริงที่เห็นจะสั่นประสาทและหลอนความคิดให้พะว้าพะวงอยู่แต่กับมันจนหนสุดท้ายก็คลุ้มคลั่งจนเสียสติไป
      
     
     
        เขาไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นมั้ย ไม่รู้ว่าตัวเองจะเข้มแข็งถึงขนาดยืนหยัดอยู่ได้แม้รู้ว่าความจริงนั่นคืออะไรรึเปล่า และไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เขาไม่รู้อะไรเลย แต่สิ่งเดียวที่เขารู้คือ เขาจะยื้อ จะยื้อไคเอาไว้ให้ได้นานที่สุด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ไคจากไปอย่างสงบที่สุด...
     
     
     
    “ใกล้จะถึงรึยัง”เสียงของชานยอลถามขึ้นแทรกเสียงสายลมที่พัดผ่าน คยองซูเหลือบตาไปมองทางข้างหน้าที่เห็นพระราชวังขององค์เทพแล้ว ไม่แปลกอะไรที่ร่างโปร่งจะไม่เห็นมัน เพราะเส้นทางที่ใช้อยู่นี่ไม่ใช่เส้นทางธรรมดา แต่เป็นเส้นทางของดอกไม้ โดยการใช้เส้นทางจำเป็นต้องเลือกเปิดบานประตูเวทมนตร์ให้ถูกต้องตามเวลาของนาฬิกาดอกไม้ลินเนียที่ขึ้นอยู่กับเวลาบานของดอกไม้แต่ละชนิด ดังนั้นนอกจากคนของพฤกษาแล้วก็ไม่มีใครรู้ขอบเขตของเส้นทางแห่งดอกไม้นี่เลย
     
     
     
    “ใกล้แล้วล่ะครับ” คยองซูตอบก่อนที่จะพุ่งตัวไปข้างหน้า ยิ่งใกล้ก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งหวาดกลัว...
     
     
     
                  น่านฟ้าเบื้องหน้าค่อยๆฉายแสงเรืองรองมากขึ้นเรื่อยๆ ประกายสีทองโรยตัวลงมาจากฟากฟ้าช้าๆ สายลมค่อยๆลดความแรงลง คยองซูลดความสูงลงเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิมเมื่อเท้าแตะพื้นพระราชวังเรียบร้อยแล้ว
     
     
     
     
    “ถึงแล้วครับ......พระราชวังเทพอพอลโล เจ้าของวิหารเดลฟีผู้พยากรณ์”น้ำเสียงของคยองซูไม่ได้น่ากลัวขึ้นกว่าตอนปกติเลย แต่เนื้อความที่เขาพูดกำลังทำให้ตัวเขาและชานยอลหวาดกลัว
     
     
     
               ร่างโปร่งหลับตานิ่งก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นกว่าที่ตัวเองรู้สึกเพื่อเรียกขวัญกำลังใจของพวกเขาให้กลับคืน
    มา
     
     
     
    “งั้นเราก็เข้าไปขอดูอนาคตของไคกันเถอะ” เขาพูดก่อนจะเดินเข้าไปในพระราชวังที่เรืองรองด้วยแสงพระอาทิตย์ที่แม้จะดูเลือนรางแต่ก็ยังทรงพลัง
     
     
     
             การเข้ามาในพระราชวังของเทพอพอลโลง่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพราะไม่มีทหาร ไม่มีสัตว์ดุร้ายมาคอยขัดขวาง ทางที่พวกเขาเดินไปเงียบสงบและไร้พิษภัย มีเพียงสัญลักษณ์คันศรและดวงอาทิตย์ที่สว่างแวบคอยนำทางให้พวกเขาเท่านั้นที่ดูผิดปกติ แต่พวกเขารีบเกินกว่าที่จะสงสัยหรือระแวดระวัง ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ....อนาคตของไค
     
     
         สัญลักษณ์สว่างวาบที่บานประตูห้องๆหนึ่งก่อนที่มันจะส่องแสงค้างไว้อยู่อย่างนั้น พวกเขารีบผลักประตูเข้าไปทันที เฉียบพลันนั้นห้องทั้งห้องก็สว่างวาบด้วยแสงเรืองรองของพระอาทิตย์จนพวกเขาต้องรีบหลับตาหนีแสง
     
     
     
    “มาสักทีนะ ผู้ขอคำพยาการณ์ทั้งสอง”เสียงทรงพลังแต่ทุ้มนุ่มถูกเปล่งออกมาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง
     
     
    “ท่านรู้หรอครับ”ชานยอลเอ่ยถาม
     
     
    “ไม่มีความลับสำหรับเทพผู้มองเห็นทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างข้า”
     
     
    “พวกเรามาขออนุญาตเข้าไปยังวิหารเดลฟีของท่าน” คยองซูพูดขึ้น
     
     
    “คิดดีแล้วใช่มั้ยที่จะขอเห็นอนาคต”
     
     
    “ครับ พวกเราคิดดีแล้ว”เทพเจ้านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
     
     
    “ถ้าเช่นนั้นก็จงครองสติให้ได้หลังจากเห็นอนาคตเหล่านั้นแล้ว”
     
     
     
    ครืนนนน ครืนนนนน
     
     
     
    พระราชวังทั้งพระราชวังสั่นไหวราวกับมีใครมาเขย่าโอลิมปัสให้สั่นสะเทือน กำแพงปริแตกเกิดรอยแยก บนบัลลังก์ที่เคยมีเทพเจ้านั่งอยู่พลันว่างเปล่าหายไป ทั่วทั้งท้องพระโรงเหลือเพียงแต่พวกเขาและอาคารที่กำลังจะถล่มลงมา
     
     
     
    ครืนนน ครืนนน เปรี๊ยะ
     
     
     
    คานที่อยู่เหนือหัวพังครืนลงมา ชานยอลและคยองซูรีบหลับตาโก่งตัวหลบทันที หากแต่ร่างกายของเขากลับไม่เจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างยังปกติและไม่เป็นอันตรายใดๆ พวกเขาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ 
     
     
     
    พระราชวังที่เห็นเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยห้องมืดมิดอนธการ ทั่วทั้งห้องเรียงรายไปด้วยซากสัตว์และรูปปั้นมนุษย์ที่กำลังแสดงสีหน้าและท่าทางหวาดผวา โศกเศร้า และคลุ้มคลั่งอยู่  อุณหภูมิของห้องเย็นยะเยือกจนชวนขนหัวลุก พื้นห้องมีควันสีเขียวที่ส่งกลิ่นเหี้ยนลอยเอื่อยคลอเคลียไปกับเท้าของพวกเขา  
     
     
     
    พรึ่บ!
     
     
     
    ทั้งห้องสว่างวาบด้วยคบไฟสีเขียวที่จุดอยู่ตามเสา เผยให้เห็นร่างแห้งเหี่ยวของหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ ดวงตาเรืองรองของนางจับจ้องมาที่พวกเขา ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มจนเห็นกระดูกฟันที่บิดเบี้ยวผิดรูปที่ดูน่าสะอิดสะเอียนและขนหัวลุกที่สุดออกมา
     
     
     
    “คยองซู ชานยอล”
     
     
    “พวกเรา....อยากรู้อนาคตของไค”คยองซูเอ่ยตอบ
     
     
    “และวิธีที่จะช่วยเขา”ชานยอลรีบต่อคำพูด 
     
     
    “ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นตามที่ปรารถนา”
     
     
    พรึ่บ!
     
     
     
    ร่างของหญิงชราพุ่งเข้าใส่พวกเขา มือของนางยึดหน้าของพวกเขาเอาไว้ ก่อนที่ดวงตาเรืองรองนั่นจะจับจ้องมาที่ตาของพวกเขา แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเด่นชัดในหัวสมองของพวกเขาทีละนิด ทีละนิด...
     
     
     
            ห้องของชานยอลกำลังเด่นชัดอยู่ในห้วงความคิดของพวกเขา  ร่างของไคนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและสับสน มือหนาเสยผมก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ
     
     
     
    “มันต้องไม่จริง ไม่จริง  สองคนนั้นคงกำลังซ้อมบทละครกันแน่ๆ เทพเจ้าบ้าบอ ฉันกำลังจะตาย ไม่จริง มันไม่จริงหรอก”ไคพูดก่อนจะยันตัวลุก
    ขึ้นยืนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาสับสน ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาใครบางคน
     
     
    “ฮัลโหล แม่ครับ ตอนนี้แม่ว่างมั้ย”
     
     
    “ผมไปหาแม่ได้มั้ย ไม่ครับ ผมแค่ แค่....เจอเรื่องแปลกๆ ผมไม่เข้าใจ ผมกลัว ผมสับสน ผมไปหาแม่ได้มั้ยครับ”
     
     
    “งั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปหาแม่นะ”ร่างสูงพูดก่อนจะวางสาย  แล้วรีบออกจากห้องไป  
     
     
     
         ไครีบวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดตัวออกสู่ประตูหน้าของโรงเรียน ใบหน้าของเขาฉายแววตื่นกลัว และสับสน ดวงตาคู่คมหันมองรถที่ถนน ก่อนที่เขาจะก้าวขาเดินข้ามออกไปเพราะคิดว่าไม่มีรถแล้ว แต่เขา.....คิดผิด
     
     
     
    แปร๋นนนนนนนนนนนนนนนน
     
     
     
    โคร่ม!!!
     
     
     
    รถชนปะทะร่างของไคอย่างแรงจนร่างกระเด็นไปตกที่ถนนอีกฟาก ร่างของเขานอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นถนน ดวงตาเบิกโพล่งแทบถลน กระดูกขาบิดผิดรูปพับขึ้นมา ในขณะที่กระดูกแขนแทงออกมาจากเนื้อ เลือดและเนื้อสมองไหลออกมาจากศีรษะจนถนนตรงนั้นเจิ่งนองไปด้วยเลือดสีแดงฉานและเนื้อสมองสีขาวเหลืองที่เละแหลกละเอียด
     
     
     
    “ไค!!!!”ชานยอลแผดเสียงร้องก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อยๆจางหายไป ทุกอย่างกลับมาสู่ห้องมืดมิดของดวงวิญญาณแห่งเดลฟีอีกครั้ง
     
     
    “........มัน มันไม่จริงใช่มั้ย ท่าน..”คยองซูพูดอย่างเสียสติภาพที่ไคตายยังคงติดตาจนตราตรึงลงไปในหัวใจของเขาให้แหลกสลาย
     
     
     
    “มันคือเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้น ส่วนหนทางที่จะช่วยเขาทรมานน้อยที่สุดคือ.........”ห้องทั้งห้องสั่นไหวหมอกควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากปากของหญิงชรา สัตว์มีพิษมากมายคลานออกมาจากปากยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
     
     
    “คืออะไร”คยองซูถามย้ำ ก่อนที่เทพพยากรณ์จะฉีกยิ้มสยดสยองแล้วพูดถ้อยคำทำนาย
     
     
    “จงไปอ้อนวอนทายาทแห่งความตาย พึงพิงบุตรแห่งสมุทรเทพ ทำให้เขายอมละทิ้งคำมั่นที่ยึดถือ สั่นคลอนความเชื่อของเขาด้วยวาจาที่จริงใจ และไร้การเกลียดชัง!!!”เฉียบพลันนั้นคยองซูก็สบตาชานยอลก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วคุกเข่าขอร้องต่อหน้าร่างโปร่งทั้งน้ำตานองหน้า
     
     
     
    “ชานยอล ผมขอร้อง ช่วยไคด้วย  ขอร้องท่านคริสให้เขาช่วยไคที ฮึก...ได้โปรด”ร่างเล็กก้มลงคำนับแทบเท้าร่างโปร่งที่ยืนสั่นระริกอยู่ ดวงตากลมโตเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสับสน  มือเรียวกำเสื้อแน่นอย่างพยายามหาที่ยึดเหนี่ยว
     
     
     
    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา ทุกอย่างเดิมพันกับความเกลียดชังของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเขาละทิ้งมันได้ ไคก็จะเป็นสุข แต่ถ้าไม่....สภาพก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาได้เห็นในนิมิตของเดลฟี
     
     
    เขาจะทำอย่างไรดี จะละทิ้งความเกลียดชังที่มีมากขนาดนั้นภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร แล้วเขาควรจะใช้คำพูดอะไรอ้อนวอนขอคนอย่างคริสให้มายอมช่วยกัน
     
     
     
    เขาจะทำอย่างไรดี  จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี....






    50%


    -----------------------------
     
     
     
      การเดินทางกลับจากโอลิมปัสดูจะรวดเร็วมากหากเทียบกับขามา เมื่อคยองซูเลือกเปิดประตูดอกไม้ที่อยู่ตำแหน่งก่ำกึ่งของเวลาตีสองกับตีสาม และผลุนผลันใช้พลังผลักดันให้เวลาในเส้นทางของดอกไม้หมุนไวขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ไปหาคริสและอ้อนวอนขอให้ร่างสูงช่วยบิดเบือนความตายได้ทันเวลาก่อนที่นิมิตของเดลฝีจะเกิดขึ้น 
     
     
     
      ตลอดเส้นทางที่มากลิ่นหอมของพฤกษาไม่อาจทำให้ชานยอลคลายความเครียดลงไปได้ เขากำลังหมกหมุนกับหนทางที่เขาจะต้องเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เขากำลังจะไปหาคริส กำลังจะไปอ้อนวอนขอคนที่เกลียดที่สุดเพื่อให้ร่างสูงช่วยไคให้พ้นจากชะตาอันโหดร้ายทั้งๆที่ตัวเขาเองตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่คำจะทักทายหรือวลีที่ควรจะเอ่ยออกมาเลยด้วยซ้ำ หัวสมองของเขาสับสนและวุ่นวายไปหมดเสียจนสมองแทบจะระเบิดออกมา แต่สิ่งเดียวที่ยึดมั่นเขาเอาไว้ตอนนี้คือ..การช่วยไค ไม่ว่าอย่างไรก็จะช่วยให้สุดกำลัง แม้หนทางนั้นจะขัดกับความรู้สึกของเขาก็ตาม
     
     
     
        กลิ่นไอเย็นๆ และความหนาวเหน็บของอากาศที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสัญญาณบอกชานยอลให้รู้ว่าการเดินทางของเขาใกล้สิ้นสุดลงแล้ว  หัวใจของเขาเต้นถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกที่เกาะกุมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ความตื่นเต้น แต่เป็นความกังวล กลัว และสับสน เหมือนหนูตัวหนึ่งที่กำลังเข้าไปขอมนุษย์ให้ปล่อยเพื่อนที่ติดกับดัก หากเปรียบเทียบแล้วชะตาของไคก็เปรียบเสมือนหนูที่ติดกับดักที่เหนี่ยวรั้งหนูอย่างเขาเอาไว้ให้ไปช่วย  และคริสก็คือมนุษย์ที่หนูอย่างเขาไปขอความช่วยเหลือ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามนุษย์คนนั้นจะทำอย่างไรกับตน
     
     
     
    ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลา
     
    ช่างเป็นการกระทำที่สูญเปล่า
     
     
    ไม่มีมนุษย์คนไหนปล่อยหนูที่ติดกับดักไปหรอก
     
     
     
    “ใกล้จะถึงแล้ว”คยองซูเอ่ยบอก แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูน่ากลัว แต่มันก็ทำให้เลือดในกายของชานยอลหยุดไหลไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ไม่อยากช่วยไค แต่การเดินเข้าไปหามัจจุราชอย่างคริสไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้น่ายินดีปรีดาเลย
     
     
     
    “ชานยอลต้องช่วยไคนะ ต้องขอร้องท่านคริสให้ได้นะ”ชานยอลพยักหน้ารับ ความรู้สึกเหมือนน้ำหนักของท้องฟ้ากำลังกดทับลงบนบ่าทั้งสองของเขาอยู่
     
     
     
     
        เส้นทางของดอกไม้ค่อยๆสลายหายไปช้าๆ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะค่อยๆปรากฏสู่สายตาของชานยอล สุสาน ณ ที่แห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเกาหลี หิมะโปรยปรายไปทั่วสุสานจนปกคลุมพื้นสนามสีเขียวให้กลายเป็นสีขาวโพลน ขับไล้ให้ป้ายหลุมศพดูเย็นชืดและวิเวกวังเวงมากขึ้น หากแต่สิ่งเดียวที่ตกแต่งสุสานและเหนี่ยวรั้งไม่ให้มันหดหู่ไปมากกว่านี้คือช่อดอกไม้ที่มักมีดอกป็อบปี้สัญลักษณ์ทหารผ่านศึกแซมอยู่ในทุกช่อวางอยู่ที่เกือบทุกหลุมศพ 
     
     
     
    “ท่านคริสอยู่ตรงนั้น ผมเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว ท่านคริสเกลียดผม”คยองซูพูดพร้อมกับจับจ้องไปยังร่างของคริสที่ยืนอยู่ด้านในสุสาน ก่อนจะจับแขนชานยอลแล้วอ้อนวอนขอให้ร่างโปร่งช่วยเขา
     
     
    “ได้โปรด ช่วยไคด้วย ขอร้องท่านคริสที ทำให้เขาช่วยไคที ผมขอร้อง นะ ชานยอล”
     
     
    “ฉันต้องช่วยเพื่อนของฉันอยู่แล้ว”ชานยอลรับคำ หัวใจดวงน้อยบีบแน่นไปด้วยความรู้สึกฝืนทนกล้ำกลืนเพราะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียด เขาจะต้องทิ้งความชิงชังทั้งหมดที่มีแล้วเข้าไปอ้อนวอนขอคนที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขาและยัดเยียดความอัปยศเหลือคณานับมาให้เขา  เพียงแค่คิดมันก็ทรมานจนเจียนคลั่ง โกรธแค้นจนเจียนตาย แต่ถึงกระนั่นเขาก็ต้องทำ ต้องอภัยในความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต้องละในสิ่งที่เสียไปทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนของเขา  เพื่อนคนเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
     
     
       ร่างโปร่งสูดหายใจลึก รวบรวมแรงใจทั้งหมดที่มี ก่อนจะขจัดความกล้ำกลืนออกไป แล้วทดแทนมันด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี เขาต้องทำได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ ก่อนจะเดินเข้าไปหายังบุรุษแห่งความตายด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว และเต็มไปด้วยความกล้าหาญ มีความหวัง และหวาดกลัว…
     
     
    “คริส...”น้ำเสียงที่เรียกชื่ออีกฝ่ายเบาหวิวจนเหมือนผู้พูดกำลังจะร้องไห้ ร่างสูงเปรยตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ฉายแววใดๆ ก่อนจะหันกลับไปมองยังป้ายหลุมศพของนายทหารคนหนึ่งต่อ
     
     
    “ถ้าจะมาขอร้องเรื่องนั้นก็หยุดซะ เพราะฉันจะ…”ชานยอลเม้มปากแน่นก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
     
     
    “ได้โปรด....”ร่างสูงหันกลับมามองด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา หากแต่ในนั้นไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเห็นใจเลยสักนิด จนหัวใจของร่างโปร่งกระตุกวูบ หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อมองไม่เห็นหนทางที่คริสจะตอบรับคำขอนี้
     
     
    “ช่วยเพื่อนฉันที เขากำลังจะตาย คริส เขากำลังจะตาย ฉันทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นเพื่อนฉันตายแบบนั้น อย่างน้อย อย่างน้อย ก็ขอให้เขาจากไปอย่างสงบได้มั้ย ขอร้องล่ะคริส ได้โปรดช่วยเราที ได้โปรด”ชานยอลขอร้องทั้งน้ำตา ทั้งยังยอมก้มหัวให้ แต่สิ่งที่ได้กลับมามีแค่ความเงียบ และการเดินจากไปของร่างสูง
     
     
    “คริส ได้โปรด”
     
     
    “เก็บคำขอร้องของนายไว้ตรงนั้นเถอะ ชานยอล”
     
     
    “ฉันขอร้อง คริส ฉันขอร้อง ให้ทำยังไงฉันก็ยอม แต่ได้โปรดช่วยเพื่อนฉันเถอะนะ” ร่างสูงนิ่งเฉยไม่สนใจต่อคำขอเขายังคงเดินห่างออกไปเรื่อยๆโดยไม่มีท่าทีจะสนใจใยดีร่างโปร่งที่ร่ำไห้อ้อนวอนขอเขาเลยสักนิด
     
     
    “ฮึก ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรออยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่านายจะยอมรับคำขอของฉัน”คริสเปรยตามามองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจากไปในเงามืด
     
     
    “ไร้ประโยชน์”ชานยอลเม้มปากแน่น หยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหมือนจะชโลมไปทั่วหัวใจดวงน้อยให้หนาวเหน็บ เขาไม่รู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงนิมิตของเดลฟีจะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าคริสจะตอบรับ เขาไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้มันจะได้ผลจริงหรือ คริสจะยอมใจอ่อนจริงหรือ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เดลฟีบอกอย่างนั้นหรือ     เขาไม่รู้อะไรเลย...
     
     
    หนทางที่มืดมน
     
     
    เส้นทางที่เลือนราง
     
     
    มีแต่เขาที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังที่เดียวดาย
     
     
     
    “ชานยอล...”เสียงคยองซูที่วิ่งเข้ามาในตัวสุสานทันทีที่คริสจากไปเรียกด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ชานยอลได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ถึงกระนั้นนั้นก็เป็นคำตอบสำหรับร่างเล็กแล้ว....คริสไม่ยอมช่วยพวกเขา
     
     
    “ฮึก ไม่  ไม่สำเร็จ ใช่มั้ย ชานยอล ฮึก ทำไม ทำไม ฮึก ทำไมท่านคริสถึงไม่ช่วย”คยองซูทรุดฮวบลงกับพื้น มือบางค้ำยันพื้นสุสานอันหนาวเหน็บเอาไว้อย่างไม่สนใจหิมะที่กำลังกัดกินเนื้อของเขา
     
     
    “เราจะทำยังไงกันดี จะทำยังไงกันดี ชานยอล”ชานยอลส่ายหน้าไปมาช้าๆอย่างสิ้นหวังก่อนจะเอ่ยตอบ
     
     
    “ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันจะอยู่รอเขาอยู่ตรงนี้”คยองซูนิ่งเงียบไป ก่อนจะคุกเข่าสะอึกสะอื้นอยู่ข้างชานยอล ในขณะที่ร่างโปร่งเองก็ร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆ หยาดน้ำตาไหลร่วงหล่นลงสู่หิมะสีขาวโพลน แต่ความอุ่นของมันก็ไม่อาจหลอมละลายความหนาวเหน็บให้คลายลงไปได้ ซ้ำยังเพิ่มความเย็นยะเยือกให้กับหัวใจของเขาให้เพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว  
     
     
    เขากำลังหวาดกลัว หนาวเหน็บ และสิ้นหวัง
     
     
         สายลมเย็นในฤดูหนาวพัดหอบเอาความเย็นสุดขั้วเข้าปะทะร่างของคนทั้งสองให้สั่นสะท้านและหนาวเหน็บ พายุหิมะค่อยๆโหมกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าราวกับต้องการจะซ้ำเติมตอกย้ำในโชคชะตา ความเย็นยะเยือกของมันค่อยๆกัดกินผิวหนังให้แดงก่ำและแทรกซึมเข้ามาในเนื้อในให้เจ็บปวดทีละนิดๆเหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มแทงซ้ำๆจนเนื้อบริเวณที่ถูกสัมผัสไร้สีเลือดและความรู้สึก 
     
     
     
        ชานยอลตัวสั่นงันงกอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ปากอิ่มพ่นลมหายใจที่กลายเป็นควันออกมาถี่ๆตามความหนาวเหน็บที่ร่างกายกำลังทานทน มือเรียวที่วางอยู่ตรงหน้าตักเริ่มปวดตุบๆ สีเนื้อจากสีซีดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง และเริ่มมีแผลผุผองที่มีเลือดคั่งอยู่ด้านในขึ้นประปรายไปตามเลือนร่าง ชานยอลรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง เขากำลังถูกหิมะกัด และถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อวัยวะส่วนที่ถูกกัดก็จะค่อยๆตายช้าๆ จนในที่สุดมันก็จะใช้การไม่ได้เลย…
     
     
    เขากำลังจะพิการเพราะหิมะ
     
    กำลังจะหนาวตายท่ามกลางความหนาวเหน็บ
     
    และกำลังจะสิ้นหวังโดยปราศจากเงาของคริส
     
     
    “ลุกขึ้น”เฉียบพลันนั้นน้ำเสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังของชานยอล ดวงตากลมโตเบิกตากว้างก่อนจะสบกับดวงตาคม ก่อนที่กลีบปากอิ่มจะแย้มยิ้มบางๆออกมา
     
    “นาย...นาย มา....นาย นายจะช่วย....ชะ ใช่มั้ย"คริสเลือกจะเงียบแทนคำตอบ ก่อนจะฉุดร่างของชานยอลให้ลุกขึ้นยืน 
     
     
    “จะ ช่วย ใช่มั้ย ขอบ..ขอบคุณ”
     
     
    “ท่านคริส...ท่าน”คยองซูพูดขึ้น ก่อนจะคำนับขอบคุณร่างสูงซ้ำๆ
     
     
    “ขอบคุณ ท่านคริส ขอบคุณ”
     
     
    “เก็บคำขอบคุณของพวกนายไปซะ”
     
     
    “นะ นาย นาย จะช่วยใช่มั้ย”ชานยอลถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ ดวงตากลมโตเผลอมองมาที่คริสอย่างมีความหวังเสียจนร่างสูงจำต้องหลบสายตา เขาเลือกที่จะนิ่งเฉย ก่อนจะเปิดประตูแห่งความมืดขึ้นมาเป็นคำตอบ แล้วผลุบหายเข้าไปในเส้นทางนั้นพร้อมกับชานยอลและคยองซู
     
     
       ชานยอลไม่เคยรู้สึกดีกับการเดินทางผ่านความมืดมากเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าเพราะมีเพื่อนรวมทางเพิ่มมาด้วยให้อุ่นใจ แต่เป็นเพราะคำตอบที่ไร้เสียงของคริสต่างหาก เขาไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วคำตอบของคริสคืออะไร แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าไม่ใช่คำปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนอย่างคริสคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่เองหรอก  
        
     
     
     รอยยิ้มบางๆถูกวาดขึ้นที่กลีบปากอิ่ม แม้ชะตาชีวิตของไคจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะถึงอย่างไรไคก็ต้องตายอยู่ดี แต่อย่างน้อยตอนนี้เพื่อนของเขาก็คงไม่ต้องพบเจอความตายอันน่าเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้ช่วยเพื่อนของเขาเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะช่วยได้แล้ว...
     
     
     
      การเดินทางผ่านความมืดผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะคริสที่เดินนำหน้าอยู่เร่งรุดใช้พลังของเขาในการควบคุมเส้นทางแห่งความมืดให้ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วที่สุดจนวิญญาณที่อยู่สองข้างทางกลายเป็นเพียงเส้นสีหม่นสีเทาแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาออกมาจากประตูแห่งความมืดในวินาทีต่อมา
     
     
     
      พวกเขามาหยุดอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามหน้าโรงเรียนในวันที่อากาศหม่นหมองอย่างที่เห็นในนิมิตของเดลฟี  ทุกอย่างเหมือนกันมากจนหัวใจของชานยอลและคยองซูกระตุกวูบไหวด้วยความกลัวที่เข้าจู่โจมจิตใจ ภาพการตายของไคแวบเข้ามาในหัวและฉายค้างอยู่อย่างนั้นให้หลอนประสาทและเขย่าความรู้สึกให้สั่นคลอน ดวงตากลมโตของคนทั้งสองสอดส่ายหาร่างของไคก่อนจะเพ่งมองไปยังบริเวณประตูโรงเรียนที่เปิดเอาไว้
     
     
    “ไม่ต้องมองหรอก”คริสพูดเสียงเรียบราวกับรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ก่อนที่ร่างสูงจะพูดต่อ
     
     
    “อีกสิบหกนาทีสามวินาทีจะถึงเวลาตายของคิมจงอิน”
     
     
    “สิบหกนาที! แล้ว แล้ว นายจะทำยังไง นายจะเปลี่ยนความตายของไคยังไง”ชานยอลถามอย่างร้อนรน มือเรียวเขย่าแขนของร่างสูงไปมาอย่างลืมตัว ดวงตาคมเปรยตามองเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบ
     
     
    “เดี๋ยวก็รู้”
     
     
    “ท่าน ท่านจะไม่ทำให้เขาทรมาน ใช่มั้ย”คริสหลับตาข่มอารมณ์ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ


    “ตราบใดที่พวกนายสองคนไม่ทำให้ฉันรำคาญมากไปกว่านี้ เขาก็จะไม่เป็นอะไร”ทั้งสองคนเงียบเสียงลง ทั้งๆที่ในใจร่ำร้องอยากถามคำถามอีกหลายสิบคำถามแต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้เพราะกลัวว่าคริสจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยไค
     
     
       ชานยอลและคยองซูจับจ้องไปที่ประตูโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อ หัวใจของพวกเขาเต้นถี่รัว ร่างกายระส่ำระส่าย จิตใจร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้วคริสยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง คลื่นความไม่แน่ใจ หวาดระแวง และกังวลถาโถมเข้ามาสู่จิตใจจนเริ่มสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มีต่อร่างสูงช้าๆ ก่อนมันจะพังทลายลงมาเมื่อเสียงคนวิ่งดังออกมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของรั้วโรงเรียน
     
     
    “คริส! ทำอะไรสักอย่างสิ”ชานยอลเขย่าแขนร่างสูง แต่เขาก็ยังคงมีท่าทีนิ่งสงบไม่สนใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่บานประตู
     
     
    ตึง ตึง ตึง
     
     
    เสียงคนวิ่งดังกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ร่างของไคจะวิ่งออกมาที่หน้าประตูโรงเรียน
     
     
    “ท่านคริส...”
     
     
    “อีกสามนาทีสิบสามวินาที”คริสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมกริบที่จับจ้องร่างของไคแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า 
     
     
    “คริส ช่วยไคสิ คริส ฉันขอร้อง”
     
     
    “ห้าสิบหกวินาที”
     
     
    “ท่านคริส ท่านคริส ผมขอร้อง”คยองซูอ้อนวอนเมื่อเห็นว่าไคกำลังจะเดินข้ามถนนมา
     
     
    “สิบวินาที”บรรยากาศรอบด้านเริ่มขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นไอแห่งความตายและอากาศอันหนาวเหน็บค่อยๆแผ่ออกมาจากตัวของร่างสูง  
     
     
    “คริส ได้โปรด ฉันขอร้อง”ชานยอลขอร้องทั้งน้ำตา  ภาพในนิมิตฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ไคกำลังจะตาย กำลังจะถูกรถชนตาย
     
     
    “9 8 7 6 5 4 3 2 1 ..............หมดเวลา”
     
     
    แปร๋นนนนน
     
     
    เสียงรถบีบแตรดังสนั่น เฉียบพลันนั้นเวลาเหมือนถูกหยุดไว้แค่วินาทีนั้น ชานยอลและคยองซูได้แต่หลับตาหนีออกจากภาพที่เห็น  
     
     
    โคร่มมมม
     
     
     
        พวกเขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพที่เห็นเบื้องหน้าแทบทำให้พวกเขาหยุดหายใจ ภูตผีตัวอื่นๆกำลังฉุดรั้งลดแรงรถที่จะปะทะร่างของไคให้ผ่อนแรงลง
     
     
    “ไค!”ชานยอลและคยองซูแผดเสียงลั่นพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาไคตามสัญชาตญาณ
     
     
     
       ร่างของไคนอนสลบอยู่บนพื้นถนน ตามเนื้อตัวมีเพียงแค่แผลศีรษะแตกไม่สยดสยองเท่ากับที่เห็นในนิมิตของเดลฟี คริสย่อตัวนั่งลงข้างๆก่อนจะแตะหน้าผากของไค เฉียบพลันนั้นหมอกควันสีเทาก็ลอยม้วนไปทั่วร่าง ก่อนที่วิญญาณของไคจะค่อยๆถูกร่างสูงดึงออกมาจากร่างช้าๆโดยไร้ความเจ็บปวดและทรมาน
     
     
    “เขาตายรึยัง คริส เขาตายรึยัง”ร่างสูงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
     
     
    “เขาตายแล้ว”
     
     
    “ไค!!!”ชานยอลและคยองซูเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอาลัยอาวรณ์ แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทำใจยอมรับได้เมื่อถึงเวลาจริง
     
     
    “ไค ฮึก ไค ไค นาย นายตายแล้วหรอ ไค”คยองซูเขย่าร่างของไคอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะซบหน้าลงกับร่างของไค 
     
     
    “ไค....”ชานยอลเรียกเพื่อนด้วยเสียงเบาหวิวก่อนที่น้ำตาจะหลั่งรินออกมาเป็นสาย เพื่อนคนเดียวของเขาจากไปแล้ว...
     
     
    “ท่านคริส ฮึก..เขายังอยู่ แถวนี้มั้ย”ร่างสูงค่อยๆทำให้ไคปรากฏต่อหน้าทุกคนแทนการตอบ
     
     
    “รีบๆล่ำลากันซะ ก่อนที่เวลาจะหมด”คริสเอ่ยบอก 
     
     
    “ไค!!”สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน ร่างโปร่งแสงของไคมองร่างของตัวเองด้วยความมึนงง ก่อนจะเหลือบไปมองคริสเล็กน้อย
     
     
    “มัน มันคือเรื่องจริงหรอ ฉัน ฉันตายไปแล้วหรอ”
     
     
    “ฮึก ไค ไค”คยองซูร่ำร้องหาอีกคน แต่ก็เข้าไปสัมผัสไม่ได้
     
     
    “ไค...”ชานยอลเรียกเสียงเบาหวิว หยาดน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
     
     
     
             ชานยอลและคยองซูได้แต่มองร่างโปร่งแสงของไคแล้วร่ำไห้อยู่อย่างนั้น หัวสมองหมดคำพูดที่จะเอือนเอ่ย ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว สิ่งเดียวที่รู้สึกคือความเสียใจ และตกใจ แม้พวกเขาจะรู้ว่าอย่างไรเสียไคก็ต้องจากไป แต่เขาก็ทำใจยอมรับมันไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถจะปล่อยวางปล่อยให้ไคจากไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจฝืนให้อยู่กับเขาได้เช่นกัน สุดท้ายจึงได้แต่ทุรนทุรายอยู่กับการสูญเสียครั้งนี้
     
     
    “อย่าร้องไห้เลย พวกนาย...พวกนายเป็นถึงลูกของเทพเจ้านะ”ไคพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่มั่นใจกึ่งสับสน 
     
     
    “ฉัน  ฉันขอโทษที่ไม่เคยบอก”คยองซูพูดไปสะอึกสะอื้นไป
     
     
    “ไค  ต่อไปนี้ ฉันคงไม่ได้เจอนายแล้วใช่มั้ย”ชานยอลพูดทั้งน้ำตา ท่าทางที่อ่อนแออย่างนั้นทำให้เพื่อนอย่างเขาหัวใจกระตุกวูบ ชานยอลไม่เคยอ่อนแอ และแทบไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นเลยสักครั้ง
     
     
    “อย่าร้องไห้เลย นายยังมีคยองซูนี่ไง”
     
     
    “แต่....”ชานยอลพูดอะไรไม่ออก ตอนนั้นหัวสมองตีตื้อกันไปหมด  เขาจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าการเสียเพื่อนอย่างไคไป ชีวิตเขาจะเป็นยังไง 
     
     
    “ใกล้หมดเวลาแล้ว”คริสเตือนเสียงเรียบ ไคเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปกอดร่างของชานยอลและคยองซู แม้ว่าเขาจะสัมผัสทั้งสองไม่ได้ก็ตาม....
     
     
    “ฉันต้องไปแล้ว  คยองซูฝากดูแลชานยอลด้วยนะ ส่วนนาย..ชานยอล......นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ตลอดไป”
     
     
    “ไค...”
     
     
    “ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง โชคดีนะ”ไคพูดก่อนจะผละออกมาแล้วเดินกลับไปยืนเคียงข้างคริส
     
     
    “ได้เวลาแล้ว”คริสพูดขึ้น ตอนนั้นเองที่ชานยอลและคยองซูเห็นผู้มาใหม่ เฮอร์มีสเทพแห่งการส่งสารและมัคคุเทศก์นำทางคนตายกำลังยืนอยู่
    เคียงข้างร่างโปร่งแสงของไค 
     
     
    “คงต้องขอตัวเพื่อนนายไปก่อนนะ ชานยอล และคยองซู”เทพเจ้าพูดขึ้น สีหน้าขององค์เทพดูเป็นมิตรเมื่อพูดกับพวกเขาทั้งสองคน แต่เมื่อมองคริสกลับเต็มไปด้วยความกังวลราวกับมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับร่างสูงที่ทำให้องค์เทพเป็นห่วง...
     
     
    “ดูแลตัวเองด้วยนะ คยองซู ชานยอล”ไคยิ้มบางๆให้ก่อนที่เทพเจ้าจะนำทางเข้าไป ร่างของเทพเจ้าเดินเลยผ่านร่างของคริสไป ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
     
     
    “คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย คริส”ร่างสูงเลือกจะเงียบแทนคำตอบ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา...
     
     
     
            ร่างของเทพเจ้าและไคค่อยๆเรือนรางหายไปในอากาศช้าๆ โดยทิ้งไว้แต่ชานยอลและคยองซูที่มองตามไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ขณะที่คริสมองตามไปด้วยสายตาเรียบเฉย เพราะทุกประสาทสัมผัสของเขากำลังถูกตรึงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่อยู่อีกฟากฝั่งของถนน...
     
     
    ผู้คุมนักโทษจากทาทารัส
     
     
    คริสกระตุกยิ้มมุมปาก เขารู้ดีว่าสองคนนั้นไม่ได้มาคุมนักโทษหรอก แต่มาเพื่อจับกุมนักโทษที่ละเมิดกฎของนรกข้อที่มีโทษร้ายแรงมากที่สุดต่างหาก...
     
     
     
    ข้อที่กล้าบิดเบือนความตาย   และฝ่าฝืนคำสั่งของฮาเดส ว่าห้ามข้องแวะกับความตายของมนุษย์เด็ดขาด





     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×