ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #3 : Page3

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 55


     

    (ขอบคุณน้องสาวที่น้ารักในกรุ๊ปเจ้าโด้นะ คึคึ เอามาลงเจิมเพื่อเป็นศิริมงคล มันน่ารักกรุบกริบมากชริงๆ)

     

    Page3




    แด่เดทครั้งแรกของเรา^^

     

    ความรักครั้งแรกของปาร์คชานยอลคืออะไรนะหรอครับ

    ผมคงเคยบอกไปแล้วสินะว่ามันคือดนตรี และเสียงเพลง สองสิ่งนี้คือสถานที่ที่สิงสถิตหัวใจของผมทั้งดวงเอาไว้ตั้งแต่เกิดก็ว่าได้

    ถ้าหากนอกเหนือจากนั้นล่ะ

    ..

    ผมสามารถเล่ามันได้รึปล่าวนะ..

    ช่วงต้นฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน ปีที่ดอกอาซาเลียที่สวยงามตามทางเหี่ยวแห้งที่สุดจากหิมะที่ตกต่อเนื่องติดต่อกันหลายอาทิตย์ ซึ่งสิ่งแวดล้อมแบบนั้นยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้ที่ผมเป็นอยู่กำเริบอย่างหนัก ผมเข้าโรงพยาบาลไปสองครั้งด้วยอาการหวัดเรื้อรังขั้นรุนแรงและไข้ขึ้นสูง แม่ย้ำให้ผมสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆในทุกๆวันและไม่ยอมให้ผมถอดผ้าพันคอออก แม่รู้ดีกว่าใครเสมอว่าผมขี้ร้อนและชื่นชอบอากาศเย็นๆขนาดไหน

    ปลายเดือนมกราที่เย็นยะเยือกนั้นปาร์คชายอลยังคงเป็นเด็กเทรนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนในค่ายสักเท่าไหร่ การขาดซ้อมในช่วงเวลาสั้นๆก็ถือเป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อตารางพัฒนาการที่ผมจะโดนจดบันทึกเอาไว้เพื่อทำเป็นแฟ้มรายงานสะสมส่งให้พิจารณาเปอร์เซ็นการได้เดบิวต์เป็นศิลปิน

    โชคดีที่ผมมีคิมเยจิน

    เยจินเป็นผู้หญิงหนึ่งในหลายๆคนที่เป็นเด็กฝึกหัดในค่ายSn ซึ่งโดยเฉลี่ยแต่ละปีค่ายของผมมีบุคลากรเทรนนีที่เป็นผู้หญิง มากกว่าผู้ชายเป็นอัตราปกติ ผมเคยคิดสงสัยถึงเหตุผลเหล่านั้นเหมือนกันว่าเพราะอะไร คงอาจจะเป็นเรื่องที่พวกผู้หญิงต้องการการมือชื่อเสียง หรือได้แต่งตัวสวยๆตลอดเวลา -_-aผมไม่ชัวร์นักหรอก แต่ที่แน่ๆ ยัยเสาไฟฟ้าของผมไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเราเรียนคลาสพื้นฐานจำพวกเต้น แอคติ้ง ช่วยเหลือและคลุกคลีด้วยกันมาตลอดสองปี

    ผมรักเสียงร้องของเธอ รักท่าเต้นของเธอ รักความอึดของเธอ แต่ความรักกับการงานไม่มีทางไปคู่กันได้ ผมได้ข้อสรุปแบบนั้นจากประสบการณ์ของตัวเองอย่างแท้จริงถึงแม้ว่ารุ่นพี่รอบๆตัวจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยการเลิกรากันไปแล้วนับหลายคู่และถูกปิดข่าวจากทางบริษัทจนได้ในที่สุด

    เพราะเยจินมีความฝันทีสวยงามและยิ่งใหญ่ ผมเองก็มีความฝันทิ่ใหญ่ไม่ต่างจากเธอเช่นกัน

    เรื่องราวระหว่างเราทั้งสองคนมันจึงจบไปโดยไม่ยากนักก่อนหน้าที่ผมจะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของเอ็กโซ่

    ผมรู้ว่าเธอดีใจกับความสำเร็จขั้นเล็กๆที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคตของผมมากมายขนาดไหน เธอกอดผมและร้องไห้ออกมาในวันผมถูกเลือกราวกับว่าเป็นข่าวดีของตัวเองเลยก็ว่าได้ พวกเรากอดกันอยู่นานสองนานในห้องซ้อมเต้นรวมอย่างไม่อายใคร

    แต่ไม่เป็นไรนะคิมเยจิน ผมเห็นเธอกำลังถึงจุดหมายเหมือนกันแล้วนะ^^

    ยัยเสาไฟฟ้าของผมกำลังจะได้เป็นศิลปินอย่างที่เธอใฝ่ฝันในอีกไม่กี่เดือนข้างนี้เช่นกัน เพราะผมยังคงติดตามข่าวคราวของเธออยู่อย่างเงียบๆ เยจินก็ต้องปฎิบัติตามกฏในสัญญาเหมือนที่ผมต้องทำ หนึ่งปีแรกของการเป็นศิลปินคือการไม่สมควร ผมจะใช้คำว่า เราไม่ควร’ มีเรื่องความรักเข้ามาเป็นข่าวคราวทำให้มีผลต่อการโปรโมตเป็นอันขาด

    ผมดีใจที่ในที่สุดเธอก็ติดต่อผมกลับมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาว่างจากคิวโปรโมตของเหล่าสมาชิกเอ็กโซ่พอดี ตารางงานพวกเราถูกเว้นช่วงยาวๆไปเป็นอาทิตย์ๆ

    พวกเรานัดกันที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมซอยมุนกี1/6ในวันนี้ที่อากาศเริ่มหนาวจนติดลบอีกครั้ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อนเลยล่ะเพราะไม่อยากไปสายสักเท่าไหร่ ผมเลยตั้งนาฬิกาปลุกให้ตัวเองตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ทันทีที่กลับเข้ามาในห้องผมก็พบแบคฮยอนกำลังนอนเคิบเคลิ้มไปกับเพลงในหูฟังอันโตด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ตลอดการพักผ่อน5ชม.ที่ผ่านมาผมยังคงนอนบนโซฟาเหมือนเดิมจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาหลับไปกี่โมงในค่ำคืนของเมื่อวาน คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้แบคฮยอนแลดูมีอารมณ์แหกขี้ตาตื่นขึ้นมานอนฟังเพลงตั้งแต่แปดโมงเช้า

    “ไปไหนหรอ” เจ้าหมาพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่มันแผล่บ เขาเอาน้ำมันออยล์ทาที่จมูกอีกแล้วแน่ๆ เจ้าหมอนี่ชอบผิวลอกเวลาหน้าหนาวมาถึงทุกครั้ง

    ผมหยิบหมวกในตู้ออกมาลองสองสามใบก่อนที่จะตอบเขาไป

    “ไปทำธุระนิดหน่อย ค่ำๆกลับนะ วันนี้พวกนายไม่ได้ไปไหนกันใช่เปล่า”ผมถาม” ถ้าพี่อิมคยุนแวะเอาของสดมาทิ้งไว้ให้แล้วถามถึงฉันบอกฉันไปหาป้าละกัน”

    “หนีเที่ยวคนเดียวมันไม่แฟร์เลยนะปาร์คชานยอลล บอกมาตรงๆดีกว่าหนีไปซุกหัวที่ไหนกันแน่วันนี้น่ะ”

    “เออน่ะเรื่องของฉัน”

    ผมตอบสั้นๆโดยที่ไม่เว้นช่องว่างให้ไอ้หมอนั่นถามต่อไปอีก เพราะไม่แน่ผมอาจจะหลุดบอกความจริงไปจนได้ในที่สุด เรื่องของผมกับเยจิน มีแค่พี่ซูโฮ ตัวผมเอง และคนสุดท้าย

    เจ้าโดคยองซู ' กบตาเหลือกประจำหอรู้กันแค่สามคนเท่านั้น ผมเคยปรึกษาเรื่องคิมเยจินในช่วงเวลาที่เราเพิ่งเลิกกันใหม่ๆกับคยองซูเพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่เก็บความลับได้มากที่สุดแล้วจากเพื่อนทั้งหมด

    ส่วนแบคฮยอนจอมขี้โวยวายเป็นเรื่องปกติ ถ้าสักวันนึงเขาพลาดบอกทีมงานไป มีหวังทั้งผมและเยจินคงต้องโดนฉีกสัญญาและถูกไล่ออกไปอย่างถาวร

    เพราะฉะนั้นอย่าสงสัยอีกว่าทำไมผมถึงได้บอก ผมกับเจ้าลูกกบนั่นสนิทกันมากว่าที่ผมสนิทกับแบคฮยอนนั่นล่ะ

    “ถ้างั้นตอนเย็นฝากซื้อน้ำตาเทียมมาให้คยองซูด้วยนะพี่ซูโฮกับจงอินจะเข้าบริษัท ส่วนเจ้าเซฮุนฉันไม่รู้มันจะนอนยันพรุ่งนี้เลยรึป่าว” แบคฮยอนว่าพลางลุกขึ้นจากฟูกนุ่มของตัวเองนำกระดาษแผ่นเล็กๆมายัดใส่ในมือของผม ข้างในมันเขียนภาษาอังกฤษอะไรสักอย่างด้วยลายมือหวัดๆ

    “ยี้ห้อยา อย่าลืมนะ ฉันกำลังคืดอยู่เชียวว่าจะออกไปซื้ออตอนไหนดี ไหนๆนายก็ออกบ้านไปแล้วก็อย่าลืมซื้อติดมาล่ะ หนาวขนาดนี้ฉันขอนอนขดอยู่ในหอยันมืดเลยจะดีกว่า=_=”เจ้าหมาบ่นก่อนที่เขาจะทำท่าขยึกขยือเหมือนคนขนลุกไปทั่วทั้งตัว

    “ อีกอย่าง ค่ายาไปเบิกเอาที่พี่ซูโฮตอนค่ำก็แล้วกันฉันคงไม่มีให้นายอะ วันนี้พี่ซูโฮคงเข้าไปรับเช็คเงินเดือนเราของปลายปีนี้ด้วย ไม่รู้จะดีใจท่าไหนดีวะชานยอล นี่ฉันถึงกับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยนะ เดือนที่ผ่านมาก็เกือบตายเพราะฉันทำกำไลสปอนเซอร์หายแท้ๆควักจ่ายคืนเค้าไปจนหมดตูดเลย
    TTจนเป็นบ้า”


    “แล้วพวกนายไม่กลับคยองกีกันหรอ หยุดตั้งหลายวันแบคฮยอน” ผมถาม เจ้าหมากับเจ้ากบประจำหอไม่คิดพ่อแม่บ้างรึไงกัน เป็นผมผมจะรีบแพคกระเป๋ากลับไปแล้ว แบคฮยอนส่ายหัวหงึกๆ


    “ไม่หรอกเห็นคยองซูบอกว่าพ่อแม่ไม่อยากให้กลับ หิมะที่นู่นตกแรง ไปลำบาก ฉันเองก็ส่งของไปให้แทนละล่ะ ทั้งเสื้อโค้ทแล้วก็ยาบำรุง— ไม่รู้ของจะส่งไปถึงรึยัง”


    “จะว่าไปหิมะในโซลก็เริ่มตกออกมาปรอยๆแล้วจริงด้วย – ฉันจะแข็งตายมั้ยเนี่ยะ=_=” ผมบ่นกับตัวเองในขณะที่ก้มลงมองออกไปนอกประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียง ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีหม่นเล็กน้อยพร้อมๆกับเกล็ดน้ำแข็งมากมายที่ค่อยร่วงหล่นลงราวกับขนนก


    ช่างเถอะ นี่ก็จะสิบโมงแล้ว ผมใช้เวลาในการแต่งตัวเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ยะT-T อ๋า  เยจิน เธอคงไม่ไปถึงก่อนใช่มั้ย

    ผมคิดก่อนที่จะเดินเร่งอย่างว่องไวพลางสวมฮูทตัวใหญ่ขึ้นทับหมวกแก้บใบโปรด

    “เห้ย อย่ามืดให้มากนะ ยาคยองซูมันต้องหยอดทั้งวัน”

    ผมได้ยินเสียงแบคฮยอนร้องออกมา ..ก่อนที่ผมจะปิดประตูหอและล็อคลง ฮึ่ยย ต้องเอาเจ้าหมอนี่มาเป็นปัญหาให้ผมตลอดเวลาเลยสินะ

     

    ...

    ..

    ...

    ++ +++

     

     

    “หนังสนุกดีเนอะ ชานยอล^^

    เสียงของยัยเสาไฟฟ้ายังคงดังก้องตลอดเวลาเหมือนอยู่ในความฝัน ราวกับว่ามันสามารถเล่นซ้ำกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของผมแบบนั้นไม่ยอมหยุด ภาพใบหน้าของผู้หญิงที่ผมคิดถึงมาตลอดยังคงฝังอยู่ในซีรีบลัมไม่มีทีท่าว่าจะหายไปง่ายๆ ทั้งวันมานี้ผมจ้องเธอแบบนั้นตลอดเวลาราวกับว่าถ้าละสายตาไปแล้วเธอจะไม่กลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก

    เราเจอกันตั้งแต่เช้าตามที่ได้นัดหมายเอาไว้

    ผมเห็นเธอยืนอยู่หน้าตึกโรงพิมพ์เก่าไกล้กับร้านกาแฟซอยมุนกีตามที่ตกลงกัน ทันที่ไปถึงและยังไม่ได้ทักทายอะไรมากมายในที่สุดคิมเยจินก็ยื่นกระดาษใบเล็กๆสองใบมาให้ พร้อมกับบอกความต้องการที่จะไปห้างในตอนเช้าโดยอาศัยตั๋วที่เธอบอกว่าได้มันมาฟรีหลังจากรู้จักกับทีมงานคนนึงในบริษัทนำเข้าภาพยนต์เครือmegaboxของcoex mall เราเริ่มต้นจากการดูหนังด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงตอนบ่าย

    หนังสอง ชม.ครึ่งเป็นแนวโรแมนติกไซไฟ เรื่องราวรักของสองโลกในมุมที่ตรงข้ามกัน ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ

    มันก็สนุกดีแต่ทว่าก็ไม่ได้มากเท่าไหร่นัก

    ผมได้แต่คิดว่า ผมและเยจินเริ่มจะดูเหมือนเพื่อนสนิทกันเฉยๆมากกว่าคนที่เคยคบกัน หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาหลายปีที่ต่างคนต่างทำงานและแยกกันอยู่

    หลังจากออกจากห้างได้ไม่นานช่วงเวลาที่เหลือจากนั้นเราทั้งสองคนเลยตกลงกันที่จะกลับมาที่คอฟฟี่ช่อปที่ไมไกลจากหอของผมนักเพื่อจะได้มีเวลานั่งคุยกันมากขึ้น เรานั่งอยู่ในร้านเป็นเวลานานสองนานด้วยกาแฟที่แค่สองแก้วที่สั่งมาตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน ผมกินมันช้าลงไปนิดหน่อยเพราะผ้าคลุมปากที่แสนจะทุลักทุเลด้วยความกังวลที่จะกลัวมีซาแซงมาเห็นเราสองคนเข้า

    ถึงผมกับเธอจะดูไม่สนิทพอที่จะเล่นหัวกันได้เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม แต่มันกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

     คิมเยจิน ก็ยังคงเป็นคิมเยจินไม่เปลี่ยนแปลง

     เธอถามถึงเรื่องของเพื่อนใหม่ทั้งห้าหกคนที่ที่หอพัก ก่อนที่จะเฝ้าบ่นคำพูดเดิมๆว่าผมผอมแห้งมากมายขนาดไหน ..บางที..เธอเองอาจจะไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่าตัวเองซูบเซียวลงไปมากไม่ต่างจากผมเลยแม้แต่นิด ยัยเสาไฟฟ้าบอกว่าเธอต้องซ้อมเต้นมากกว่าสิบชั่วโมงต่อวันเพื่อรอการเดบิวต์ในอีกไม่กี่เดือน ก่อนช่วงเวลาที่ต้องโปรโมตวุ่นวายนั้นเธอเลยตัดสินใจอยากออกมาหาผมก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก

    ผมไม่ชอบคำพูดนั่นเลยจริงๆ=_= ผมได้แต่นั่งเงียบเมื่อประโยคสนทนาเหล่านั้นจบลง ผมเริ่มเบี่ยงเบนสายตาของตัวเองให้ออกจากใบหน้าของเธอเพื่อที่จะพาความคิดของตัวเองให้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นๆบ้าง

    =_= ตอนนี้เริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ ผู้คนในร้านกาแฟเลยพลุกพล่านเป็นพิเศษ

    ท้องฟ้าที่เริ่มส่องแสงริบหรี่ลงทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     ---------------------

     

    [Fanacc]121206 ฉันเห็น EXO-K กำลังเล่นปาหิมะใส่กัน ฉันเห็นแบคฮยอนจากบ้านของฉัน เซฮุนดูดีมาก (cr:Melody__Zhang v:HunHanAddicts,triple_planet)

     

     

    “ย้ากกกกกกกกกกก พี่จะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ ทำแบบนี้ไม่ได้!!!

    ผลั่ว!!!

    “นายมันไอ้ลูกแหง่ โอเซฮุน  นายมันไอ้ลูกแหง่ ฮ่า ฮ่า...อะ”

    พลั่กก~!!!

    “เซฮุน นายกล้าปาของแบบนี้ใส่หน้าพี่ชายของนายได้ยังไงกัน!!!!

    เสียงเอะอะวุ่นวายของเด็กชายในพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์หน้าหอพักเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าหมวกไหมพรมที่ถูกดึงถึงใบหูกอปกับผ้าพันคอที่ถูกพันเอาไว้รอบคอจนสูงขึ้นมาถึงปากนั่นจะทำให้ไม่มีใครสนใจพวกเขาที่กำลังเล่นปาหิมะกันอย่างสนุกสนานก็ตามที แต่เสียงเรียกชื่อที่ตะโกนโต้ตอบกันไปมาก็ทำให้เริ่มมีแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ เข้ามามุงอยู่ห่างๆด้วยความสนใจอยู่ไม่น้อย

    ฤดูหนาวเข้ามาถึงอย่างเต็มรูปแบบและไว้กว่าปีก่อนนักๆ หิมะเริ่มตกหนักภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งที่หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้นเกาหลียังคงมีตกประปราย

    คยองซูนั่งหัวเราะอยู่บนม้านั่งริมทางหน้าหอพักของตัวเองก่อนที่จะถูกเซฮุนร้องโวยวายให้เขากลับเข้าไปข้างใน

    “พี่คยองซู วันนี้ผมไม่หิวข้าวแล้ว พี่ไม่ต้องมานั่งรอพวกเราหรอก พี่ขึ้นไปที่ห้องเถอะ หนาวจะตาย เดี๋ยวพี่ก็แสบตาอีกจนได้อะ=_= เซฮุนปัดเกล็ดปุยน้ำแข็งที่อยู่บนผ้าพันคอและตามเส้นผมให้ออกไปอย่างว่องไวก่อนที่เขาจะวิ่งด้วยท่าทีงุ่นง่านเข้ามาหาพี่ชายตัวเล็กที่ได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆไม่สามารถเข้ามาเล่นกับพวกเขาได้

    “ทำเป็นเอาใจแม่แกอีกละนะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวชานยอลก็ซื้อกลับมาเองนั่นละ ฉันฝากเขาไปแล้วเขาบอกจะรีบทำธุระให้เสร็จก่อนมืดอะ”

    แบคฮยอนเสริม เขายังคงง่วนอยู่กับพื้นบนฟุตบาทที่มีหิมะหนาเป็นฟุตกองรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ

    “ฉันสบายดีเซฮุน ^^ พวกนายไปเล่นสิ จะมาหาฉันทำไม.. ฉันชี้เกียจนอนรัดเจลคาดตะ..... โอ้ะOoO” โดคยองซูเบิกตาโพลงก่อนเงียบลงทันทีที่เห็นภาพข้างหลังของโอเซฮุน ก้อนน้ำแข็งกลมๆกำลังจะพุ่งทะยานมาหาเจ้าเด็กหัวเหลืองโดยที่เข้าไม่รู้ตัว

     

    ...

     

    ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยบอกอะไรน้องเล็กได้มากกว่านั้น หิมะขนาดย่อมก็ได้เข้าจู่โจมแผ่นหลังบางๆของเด็กชายในที่สุด

     

    พลั่ก~!!

     

    อ๊า~~><

     

    เซอุนร้องเอะอะอีกครั้งให้กับแบคฮยอนที่ยืนหัวเราะสะใจผลงานของตัวเองที่ประสบความสำเร็จ เขาทั้งสองคนเริ่มวิ่งพล่านไล่กันอีกครั้งราวกับเด็กเล็ก เพราะตั้งแต่ฝึกและเรียนอย่างหนักรวมไปถึงการออกอัลบั้มมาชีวิตในช่วงวัยของเด็กๆทั้งห้าก็ดูจะขาดหายอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะกิจวัตรที่ต้องรีบเร่งและแข่งขันมากกว่าคนอื่นๆทำให้ในบางครั้งพวกเขาก็หลงลืมไปว่า ตัวเองยังคงเป็นเด็กชายที่ยังถวิลหาความสุข สนุกสนานเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป


    จงอินส่งข้อความมาบอกว่าเขากำลังคุยงานเกี่ยวกับการถ่ายแบบเดี่ยวให้กับผลิตภัณฑ์กีฬายี้ห้อนึงอยู่

    ส่วนพี่ซูโฮก็เดินทางกลับ คงจะถึงอีกไม่นาน


    ความจริงคยองซูเริ่มเจ็บตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะอากาศที่ติดลบถึง6องศา บวกกับน้ำตาเทียมที่ต้องหยอดตลอดเวลาก็หมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ความเบื่อทำให้เด็กชายเดินออกมานั่งเล่นหน้าหอพักเพื่อดูเพื่อนทั้งสองคนเล่นสนุกไปเรื่อยๆ

    ปาร์คชานยอลน่ะหรอจะซื้อกลับมาให้เพื่อนที่สร้างความน่ารำคาญให้ตลอดเวลาอย่างเขา

    ที่สำคัญถ้าจำไม่ผิด วันนี้ชานยอลมีเดทกับคิมเยจินเพื่อนสมัยเทรนที่เค้าเฝ้ารอ คยองซูยังจำมันได้ดีเพราะเขาเป็นคนที่ได้เห็นข้อความในมือถือของชานยอลก่อนใครๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนตัวสูงบอกกับแบคฮยอนคงเป็นแค่เรื่องโกหกไปก็เท่านั้น

    เด็กชายได้แต่เตะหิมะใต้เท้าที่เริ่มเป็นก้อนแข็งๆให้แตกตัวออกเล่นไปอย่างเรื่อยเปื่อย

    “ไอ้ตาบ้านี่เมื่อไหร่จะหายเจ็บซักทีก็ไม่รู้ หงุดหงิดจังเลย=3=” คยองซูบ่น ลมหายใจที่ถอนออกมาพรืดใหญ่แตกตัวเป็นควันสีขาวกระจายไปทั่ว มือเล็กๆได้แต่ยกขึ้นมากุมที่ดวงตาข้างซ้ายเพื่อป้องลมเย็นๆไม่ให้เข้าไปถึง เด็กชายคิดวกไปวนมา สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจปลีกตัวเองจากที่นั่งที่เย็นเฉียบเพื่อซื้อยาบรรเทาด้วยตัวเองในที่สุด คงไม่ดีถ้าเขาจะต้องใช่ให้แบคฮยอนหรือเซฮุนไปให้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนที่ต้องมาลำบากเลย

    สองพี่น้องยังคงตั้งหน้าตั้งตาปั้นก้อนน้ำแข็งอย่างขะมักขะเม้นโดยที่ไม่ได้สนใจเพื่อนตัวเล็กที่ลุกเดินแยกอย่างเงียบๆ

    คยองซูดึงปกคอเสื้อที่หนาไปด้วยผ้าฟูกให้ปิดลำคอและใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง

    ช่างเถอะ จะไปหวังรออะไรคนอย่างปาร์คชานยอลล่ะ ..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    00.04น.

     

     #หอของผมกำลังโดนหิมะบุรุก TT


     


     

     นอนกันรึยังครับ..^^

    ผมยังไม่ง่วงเลย คงจะดีถ้ามีทุกคนอยู่เป็นเพื่อน

    ผมยังคงนอนอยู่นอกห้องที่โซฟาตัวเดิมอีกครั้งสำหรับวันนี้ ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่แบคฮยอนก็ไม่มีทีท่าว่าจะปิดฮีตเตอร์ทำความร้อนระหว่างหลับไปตลอดกาลแล้วละ แขนขาที่เมื่อยล้าของผมมันฟ้องว่าตลอดทั้งวันมันให้ความรู้สึกที่หลากหลายจริงๆ

    ผมไม่อยากจะบันทึกถึงเรื่องราวการเดทที่ผมจินตนาการไว้อย่างสวยงามก่อนหน้านี้ลงเข้าไปเลย 

    เพราะวันนี้มันพังไม่เป็นท่าเท่าไหร่

    ความจริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก... หลังจากการกินกาแฟและพูดคุยระหว่างผมกับเยจินยังไม่ทันจบดี ตัวเลขบอกเวลาบนหน้าปัดนาฬิกากลับทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดว่ามันเป็นเพราะผมให้สัญญากับแบคฮยอนไว้ว่าจะซื้อยากลับไปให้คยองซูก่อนค่ำนี้นะสิ

    ความลนลานทำให้ผมต้องบอกลาเยจินก่อนที่จะวิ่งออกมาจากร้านเหมือนคนสิ้นสติ ผมดูเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหนจริงๆ

    ฉันขอโทษนะยัยเสาไฟฟ้า

    ผมได้แต่คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่มีเวลาพอจะพูดออกไป ความคิดโน่นนั่นนี่ที่ไร้สาระกลับแทรกเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ผมเดาว่าปาร์คชานยอลคงรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนทรมานกับความไม่สบายในขณะที่ตัวเองกลับออกมาเดทอย่างมีความสุข มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ถ้าผมไม่สนใจแม้กระทั่งซื้อยากลับไปให้ตรงเวลา

    แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก =o=

    ผมยังคงได้ยินเสียงหอบของตัวเองชัดเจนจนถึงตอนนี้ ผมวิ่งไปหอบไปเหมือนรถไฟที่มีเครื่องจักรไอน้ำอยู่ตรงหัว

    ผมกำลังกลัวที่จะได้ยินเสียงของแบคฮยอนบ่นจนเป็นบ้าได้ขนาดนี้ละมั้ง ผมละเชื่อกับตัวเองจริงๆ

    ขายาวๆวิ่งมาได้ระยะทางไกลพอสมควรโดยไม่มีวีแววว่าจะผ่อนแรงลง ต้องขอบคุณพ่อที่มอบส่วนสูงที่มายมายให้ผมมาในชาตินี้จริงๆนะ

    ผมเริ่มหรี่ตาที่ความจริงแล้วหลังผมทำเลสิกมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ ผมเพ่งมองป้ายที่เป็นสัญญลักษณ์ตัวบวกสีเขียวอยู่สักพักเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดที่แน่ๆก่อนจะก้าวเข้าไป

     

    กรุ้งกริ้ง~

     

    เสียงระฆังเล็กหน้าประตูร้านขายยามันทำให้ผมยิ้มออก อย่างน้อยๆกว่าผมจะเดินกลับไปถึงหอพักก็คงไม่เกิน1ทุ่มครึ่ง

    “น้ำตาเทียมครับ” ผมพูดกับเภสัชกรทันทีที่มองเห็นเค้าเตอร์จุดชำระเงิน มือใหญ่ๆควานหาเศษกระดาษที่แบคฮยอนให้มาตั่งแต่เมื่อเช้าส่งให้เภสัชจัดการอย่างวุ่นวาย ผมมัวรีบเร่งจนลืมว่าผ้าปิดปากที่สวมเอาไว้หลุดไปแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

     “....OoOถ้าไม่มีแบบที่จดมาผมขอยี้ห้ออะไรก็ได้ที่ดีๆหน่อยนะ”
     

    ผมกำชับก่อนที่จะหยิบกระเป๋าตังค์ในเสื้อโค้ทเพื่อควักออกมาจ่ายเงินอย่างเร่งรีบโดยที่ก็ไม่รู้ตัวเองว่าจะเร่งรีบขนาดนั้นไปทำไม มันทำให้บุคลิกเสียเป็นบ้าเลยถ้ากลับมานั่งนึกดูอีกที =_=แย่ชะมัด ถ้าหากมีแฟนคลับของพวกเราเห็นเวลานั้นคงต้องหาว่าผมเสียสติแน่ๆ แล้วถ้ามีรูปด้วยล่ะTT

    (ทุกคนครับ ใครก็ตามที่เห็นผมเวลานั้น หรือมีรูปอยู่ จะเป็นการดีมากถ้าคุณไม่เผยแพร่มันออกไปนะ ผมรักคุณTT)

    เภสัชกรเองก็แลดูจะตกอกตกใจกับท่าทีของผมไม่น้อย เขาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆบรรจุใส่ถุงก่อนที่จะเขียนรายละเอียดสั้นๆกำกับเอาไว้แล้วยื่นให้

    “ขอบคุณฮะ” ผมดึงมันก่อนที่จะหันรีหันขวางเพื่อหลบลูกค้าคนอื่นๆในร้านและเดินออกมา

     

     

    กรุ้งกริ้ง~

     

    ประตูกระจกถูกเหวี่ยงให้เปิดลงอีกครั้งพร้อมกับผมเองที่กลับมายืนอยู่ข้างหน้าร้านราวกับทำภารกิจสำเร็จในที่สุด><

    แต่มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกถ้าผมไม่เจอใครบางคนซะก่อน

    เด็กผู้ชายที่มีใบหน้าจมลงไปในเสื้อโค้ทสีน้ำเงินเข้มคนนึงกำลังถลึงตามองผมที่ยืนเกะกะอยู่ประตูทางเข้าหน้าร้านขายยา เขาจ้องมองผมจนแทบจะไม่กระพริบก่อนที่จะบ่นอู้อี้อะไรบางอย่างใต้ผ้าพันคอข้างใน


    “ชานยอลอา~
    -_-^

    ทันทีที่ได้สติพอทีจะรู้ว่าเจ้าตุ๊กตาล้มลุกนั้นเป็นใครผมก็รีบดึงมือเจ้าเตี้ยนั่นให้ออกมาจากหน้าร้านที่แสนวุ่นวายซึ่งเป็นจุดรวมความสนใจจากคนสัญจรไปมา เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาอย่างเฟอะฟะน่ารำคาญ  ผมลากเขามาได้ประมาณนึงจนถึงหน้าร้านรามยอนของป้าฮานี ร้านขาประจำที่เด็กเทรนที่อาศัยอยู่ที่หอเหมือนพวกเรามักจะเดินมาหาอะไรกินบ่อยๆ

     โดคยองซูมีมือที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเลยล่ะ=_=

     

     


    “นายกำลังจะไปทำบ้าอะไรแถวนั้นเนี่ยะเจ้าเด็กเตี้ย” ผมถามทันทีที่เราหยุดวิ่งมาได้ครู่นึง ลมหายใจของเราสร้างกลุ่มควันที่ลอยละล่องเหมือนหมอกแผ่ไปทั่ว

    “ฉันจะไปซื้อยาหยอดตา..” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา มือของเจ้าหมอนั่นที่ผมกำเอาไว้เริ่มขยับไปมา จนในที่สุดผมต้องปล่อยมือของเค้าออกให้ป็นอิสระ

    ก็แค่ลืมตัว-_-

    ผมมองใบหน้าซีดเซียวของคนตัวเล็กก่อนที่จะพบว่าเปลือกตาของเขาเริ่มแดงขึ้นมานิดหน่อย

    ฮึ่ยย=_=..

     เขาเป็นประเภทพวกชอบทำร้ายตัวเองให้คนอื่นสนใจรึไงกันนะ ผมเข้าใจว่ามุกนี้มันอาจจะใช้สำเร็จกับพวกสมาชิกเด็กเมื่อวานซืนกับพี่ที่ขี้ใจอ่อนอย่างพี่ซูโฮอยู่หรอก แต่ผมไม่มีทางหลงกลกับมุกตื้นๆของเจ้าเด็กเตี้ยง่ายๆรู้เอาไว้ซะ
     

    เว้นเสียแต่ถ้าเขาจะเลิกจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นซักที..
     

    “ไม่ต้องไปไหนทั้งงั้นอะ ฉันซื้อมาแล้ว” ผมพูดพลางชูมืออีกข้างที่กำถุงยาเอาไว้ให้เขาเห็น อย่างน้อยๆหมอนี่ควรจะภูมิใจว่ามีเพื่อนอย่างปาร์คชานยอลนี่ดีกว่าใครเป็นไหนๆ คยองซูมองตามถุงสีขาวนั่นก่อนที่จะยิ้มกว้างออกมาด้วยรอยยิ้มแบบที่ผมมักจะเห็นบ่อยๆจนชินตา-*-

    “ยิ้มอะไรนักหนา รีบเดินเถอะ ฉันอยากหลับไปนอนละล่ะ”

    ผมหมุนตัวกลับมาเพื่อจำอ้าวให้ถึงเป้าหมายโดยไวอีกครั้งหนึ่ง

    คยองซูเป็นฝ่ายเดินตามหลังผมมาเรื่อยๆตลอดระยะทาง เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

    “ชานยอลไปเดทวันนี้สนุกมั้ย”

    คำถามของเขาแลดูไม่ช่วยรักษาความลับให้ผมเลย เจ้าเตี้ยนี่นิ-*-

    “สนุก”

    ผมตอบไปสั้นๆแค่นั้น ทั้งที่ความจริงผมอยากจะพูดต่อไปอีกว่า มันจะสนุกกว่านี้ ถ้าไม่มีเรื่องของนายเข้ามายุ่ง แต่ช่างเถอะ ผมขี้เกียจหาเรื่องชวนเจ้ากบตาปูดทะเลาะให้มันเปลืองน้ำลายเวลานี้หรอก ผมเหนื่อยมากเกินไป

    ทันทีที่บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลง กลับกลายเป็นมีเพียงเสียงฝีเท้าของผมและคยองซูที่ลากกับน้ำแข็งบนพื้นดังสลับกันไปมา ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องมองผืนฟ้าที่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีดำสนิทไปซะแล้ว หิมะที่เย็นเฉียบร่วงหล่นลงบนเปลือกตาของผมนับไม่ถ้วน
    ผมชอบนะ มันสวมงามจนผมไม่อยากหลับตาเลย ยิ่งช่วงเวลาที่แสงสว่างน้อยลงไปเท่าไหร่ เกล็ดละอองของน้ำแข็งเม็ดเล็กๆก็ดูจะชัดเจนทั่วไปหมด

    มันคงจะดีถ้าตอนนี้ผมได้เดินไปส่งเยจินขึ้นรถเมล์หรือไม่ก็บอกลาเธอดีๆ...


    เพราะใครกัน-*-

    ผมแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กเจ้าปัญหาที่เดินเชื่องช้ามากกว่าเป็นระยะๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เดินตกท่อไปหรือรถชนตายไประหว่างทางอีก เขากำลังซุกมือสั้นๆทั้ง2ข้างของตัวเองเข้าเสื้อโค้ทที่ดูจะไม่เชิงหนาสักเท่าไหร่ เจ้าเปี้ยกเดินอืดอาดเป็นเต่าเพราะเขาแลดูจะสนใจพื้นบนทางเท้ามากกว่าทางเดินข้างหน้าจนแทบไม่ทันสังเกตว่ารอบๆตัวเริ่มมีแฟนคลับในละแวกหอที่ติดตามเราอยู่เป็นประจำกำลังสังเกตเห็นและหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

    -_- โดคยองซูคือตัวปัญหา เขาคือตัวปัญหา คยองซูคือปัญหา…..

    และผมคือผู้พิทักษ์เจ้าเตี้ยตัวปัญหาใช่ไหม!

    “นี่ นายจะเดินช้าไปแล้วนะ รีบใส่แล้วรีบเดินมาให้ไวเลย” ผมตัดสินใจถอดหมวกของตัวเองและวางไว้บนหัวเล็กๆของคนด้านข้างก่อนที่จะคว้ามือที่ชื้นเหงื่อของเขาให้ออกมาจากเสื้อโค้ท แรงดึงจากแขนของผมที่ถ่ายเทไปหวังว่าจะกระตุ้นให้เขาต่อสู้กับความหนาวและเดินกระฉับบกระเฉงขึ้นอีก

    ผมเร่งฝีเท้าตัวเองให้รวดเร็วพอๆกับคยองซูที่แลดูจะตื่นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว  คราวนี้ผมตั้งใจจับมือเขาน่ะ ก็เรื่องปกตินั่นล่ะนะ มันเป็นเรื่องธรรมดา-_-

    “ชานยอลขี้ระแวงจังเลย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นฉันน่ะ” โดคยองซูผู้โลกสวยพูดกับผมที่ยังคงลากเค้าต่อไปเรื่อยๆ “ถ้ายาตกหายไป   ต้องแย่แน่ๆ ชานยอลนายขายาวนี่ ฉันเดินตามนายมันจะไปทันกันมั้ยเล่า”

    -ไม่มีใครรู้หรอก ก็แค่หน้าเค้าโผล่ออกมาครึ่งนึง แล้วไอ้แววตากลมๆแบบนั้นไม่มีใครมองแล้วรู้เลย-

    ผมละเบื่อนิสัยของเขาที่ติดมาจากต่างจังหวัดเสียจริง คยองซูยังคงไม่ชินกับโลกของคนเมืองแล้วก็อิทธิฤทธิ์ของแฟนคลับขึ้นเลยถึงแม้เวลาจะผ่านมาตั้งสองปีสามปีแล้วตั้งแต่เขาย้ายมาใช้ชีวิตในโซล จากวันนั้นจนถึงวันนี้เจ้าหมอนี่ก็ยังคงกิน นอน ตื่น พูดทำทุกอย่างเหมือนเดิมๆราวกับว่าไม่ได้ถูกสภาพแวดล้อมอะไรเข้าไปเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยแม้แต่นิด

    การที่คยองซูยังทำแบบนี้มันทำให้ใครต่อใครต้องเป็นห่วงเขาเสมอ

    ผมสัมผัสถึงมือเล็กๆที่กำนิ้วของผมแน่นขึ้น

    -_-

    “มือชานยอลอุ่นจัง^^

    =_=;;

    “รีบเดินเถอะหน่า ไม่งั้นฉันปล่อยมือนายละนะ-*-“


    “....ถ้าชานยอลปล่อยมือฉันไป แต่ฉันยังจับมือของชานยอลอยู่ มือเราสองคนก็ยังอยู่ด้วยกันแบบนี้เหมือนเดิมใช่มั้ย.....” คยองซูพึมพำประโยคที่ฟังดูเข้าใจยาก ผมได้แต่สาวเท้าโดยที่ไม่คิดสนใจประโยคซับซ้อนของเจ้าเตี้ยอีก เขาเหมาะสมกับฉายาดีโอสี่มิติแบบที่แฟนคลับใช่เรียกกันบ่อยๆจริงๆนั่นล่ะ

    “.....”

    ผมเห็นหน้าหอของเราไกล้เข้ามาเรื่อย ผมเห็นเจ้าโอเซฮุนหัวเหลืองกำลังลากแขนพี่ซูโฮที่แลดูจะเพิ่งกลับมาถึงให้มาถ่ายรูปคู่กับตุ้กตาหิมะที่เขากับแบคฮยอนท่าทางจะช่วยกันปั้นมันขึ้นจนมีรูปร่างๆแปลกๆ จงอินที่กลับมาถึงแล้วก็กำลังพยายามขุดเจาะฐานปฎิมากรรมของเจ้าเด็กตัวป่วนนั่นให้ทลายลง
    ทั้งที่เจ้าหมาเองเป็นคนบอกกับผมว่าจะขอนอนขดอยู่ในห้องทั้งวันแล้วแท้ๆ สุดท้ายเขาก็ยังทำมันไม่ได้
    เสียงหัวเราะของทุกคนทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ


    เสียงของเจ้าโอเซฮุนตะโกนซะดังไปทั่ว

    ราวกับว่าคิมจงอินจะเป็นผู้สังเกตคนแรกถึงการกลับมาของเราสองคน

    “คยองซู!” เขาตะโกนทันทีที่เขาเห็นหน้าเจ้าเด็กเตี้ยข้างๆผมเมื่อเราเดินเข้ามาไกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

    “นายไปไหนมา ฉันบอกแล้วว่าอากาศเย็นๆนายน่าจะนอนอยู่บนหอซี่ ...ฉันนึกว่านายอยู่ข้างบนนะเนี่ยะ”

    .ใบหน้าคยองซูดูสดใสขึ้นอีกครั้ง

    “ฉันไปซื้อยามาจงอิน ฉันอาการดีขึ้นแล้วล่ะ” คยองซูปล่อยมือของผมออก เขาชูถุงยาไปมาก่อนที่จะเดินไปกับจงอินในที่สุด ทิ้งให้ผมยืนนิ่งๆอยู่แบบนั้น ผมมองหมวกของตัวเองที่ถูกเจ้าเด็กเตี้ยเนรคุณนั่นสวมมันไปด้วย เขาเป็นคนที่เรียงลำดับความสำคัญของคนได้แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา

     

    ผมยังจำได้ ผมไม่ได้เป็นคนที่ปล่อยมือของเขาก่อน

    เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายปล่อยมือของผมให้หลุดออกไป

     

    ผมก้มลงกำน้ำแข็งบนพื้นที่เย็นเฉียบขึ้นมาเป็นก้อนๆก่อนที่จะขว้างมันไปใส่แบคฮยอนที่โบกมือหย็อยๆให้

    “ฉันกลับมาแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    เพราะเสียงตะโกนจากการเล่นกันเมื่อเย็นทำให้ผมยังรู้สึกเจ็บคอจนถึงตอนนี้

    ไปๆมาๆผมไม่ค่อยมีอารมณ์ ในการบันทึกในไดอารี่ของตัวเองเท่าไหร่ละล่ะ

     

    ..

    ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ผมละสายตาออกจากแมคบุคและหยุดบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างในวันนี้เพี่อพักมันโดยการจ้องไปที่เพดานห้องสีมืดแทน แขนขาที่ยาวกว่าชาวบ้านก็มักจะเมื่อยง่ายกว่าคนอื่นๆนั่นคือข้อเสียที่ผมไม่อยากบอกใคร ผ้านวมที่กลิ้งขยุกๆอยู่ที่ปลายเท้าทำให้ผมกำลังสติแตกอีกรอบ ผมจ้องมองของใช้ของโดของคยองซูที่ตัวเองใช้คลายหนาวในบางครั้งตลอดสองสามคืนที่ผ่านมา

     มันอยู่กับผมมาสองคืนเต็มๆได้ยังไง!-*- ..

    เพราะโดคยองซูเด็กเตี้ยไม่เอามันไปเก็บซะทีเพียงแต่พับวางเอาไว้ให้บนโซฟาในทุกๆเช้าแทนน่ะสิ

    ถึงตอนนี้..

    ผมไม่ต้องการมันแล้วล่ะ -*-

    เขาทำให้ผมหัวเสีย

    และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมยังคงนอนไม่หลับจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่า

    ถ้าหากหมอนั่นยังทำให้ผมเป็นบ้าอยู่แบบนี้ละก็

    พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

     

    -_-

     

     

     

     ++++++++++

    ฟิคเริ่มงึมงัมอะ ภาษาก็กากๆ 55555 อ่านไปอย่าไปหวังเนื้อเรื่องอะไรจากเรื่องนี้เลยนะคะ55555 เหมือนฟังคนบ่นนั่นละ จริงๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นตึ้กตัก
    คาดว่าจะไม่ยาวมาค่ะ 
    ไม่มีปมอะไรมากมาย
    เบาๆ 
    อ่านให้ปวดตาเล่น

    ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนนะคะ 
    ขอบคุณที่เสียสละเวลาเพื่อคอมเม้น มันเป้นกำลังใจที่ดีจริงๆสำหรับหน้าใหม่อย่างเรา><


    รอเจอกันตอนหน้านะคะ 
    เพื่อชานจะรู้ตัวเองสักที ว่าควรจะทำอะไรต่อไป><

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×