คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Page3
(ขอบคุณน้องสาวที่น้ารักในกรุ๊ปเจ้าโด้นะ คึคึ เอามาลงเจิมเพื่อเป็นศิริมงคล มันน่ารักกรุบกริบมากชริงๆ)
Page3
แด่เดทครั้งแรกของเรา^^
ความรักครั้งแรกของปาร์คชานยอลคืออะไรนะหรอครับ
ผมคงเคยบอกไปแล้วสินะว่ามันคือดนตรี และเสียงเพลง สองสิ่งนี้คือสถานที่ที่สิงสถิตหัวใจของผมทั้งดวงเอาไว้ตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
ถ้าหากนอกเหนือจากนั้นล่ะ
..
ผมสามารถเล่ามันได้รึปล่าวนะ..
ช่วงต้นฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน ปีที่ดอกอาซาเลียที่สวยงามตามทางเหี่ยวแห้งที่สุดจากหิมะที่ตกต่อเนื่องติดต่อกันหลายอาทิตย์ ซึ่งสิ่งแวดล้อมแบบนั้นยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้ที่ผมเป็นอยู่กำเริบอย่างหนัก ผมเข้าโรงพยาบาลไปสองครั้งด้วยอาการหวัดเรื้อรังขั้นรุนแรงและไข้ขึ้นสูง แม่ย้ำให้ผมสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆในทุกๆวันและไม่ยอมให้ผมถอดผ้าพันคอออก แม่รู้ดีกว่าใครเสมอว่าผมขี้ร้อนและชื่นชอบอากาศเย็นๆขนาดไหน
ปลายเดือนมกราที่เย็นยะเยือกนั้นปาร์คชายอลยังคงเป็นเด็กเทรนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนในค่ายสักเท่าไหร่ การขาดซ้อมในช่วงเวลาสั้นๆก็ถือเป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อตารางพัฒนาการที่ผมจะโดนจดบันทึกเอาไว้เพื่อทำเป็นแฟ้มรายงานสะสมส่งให้พิจารณาเปอร์เซ็นการได้เดบิวต์เป็นศิลปิน
โชคดีที่ผมมีคิมเยจิน
เยจินเป็นผู้หญิงหนึ่งในหลายๆคนที่เป็นเด็กฝึกหัดในค่ายSn ซึ่งโดยเฉลี่ยแต่ละปีค่ายของผมมีบุคลากรเทรนนีที่เป็นผู้หญิง มากกว่าผู้ชายเป็นอัตราปกติ ผมเคยคิดสงสัยถึงเหตุผลเหล่านั้นเหมือนกันว่าเพราะอะไร คงอาจจะเป็นเรื่องที่พวกผู้หญิงต้องการการมือชื่อเสียง หรือได้แต่งตัวสวยๆตลอดเวลา -_-aผมไม่ชัวร์นักหรอก แต่ที่แน่ๆ ยัยเสาไฟฟ้าของผมไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเราเรียนคลาสพื้นฐานจำพวกเต้น แอคติ้ง ช่วยเหลือและคลุกคลีด้วยกันมาตลอดสองปี
ผมรักเสียงร้องของเธอ รักท่าเต้นของเธอ รักความอึดของเธอ แต่ความรักกับการงานไม่มีทางไปคู่กันได้ ผมได้ข้อสรุปแบบนั้นจากประสบการณ์ของตัวเองอย่างแท้จริงถึงแม้ว่ารุ่นพี่รอบๆตัวจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยการเลิกรากันไปแล้วนับหลายคู่และถูกปิดข่าวจากทางบริษัทจนได้ในที่สุด
เพราะเยจินมีความฝันทีสวยงามและยิ่งใหญ่ ผมเองก็มีความฝันทิ่ใหญ่ไม่ต่างจากเธอเช่นกัน
เรื่องราวระหว่างเราทั้งสองคนมันจึงจบไปโดยไม่ยากนักก่อนหน้าที่ผมจะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของเอ็กโซ่
ผมรู้ว่าเธอดีใจกับความสำเร็จขั้นเล็กๆที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคตของผมมากมายขนาดไหน เธอกอดผมและร้องไห้ออกมาในวันผมถูกเลือกราวกับว่าเป็นข่าวดีของตัวเองเลยก็ว่าได้ พวกเรากอดกันอยู่นานสองนานในห้องซ้อมเต้นรวมอย่างไม่อายใคร
แต่ไม่เป็นไรนะคิมเยจิน ผมเห็นเธอกำลังถึงจุดหมายเหมือนกันแล้วนะ^^
ยัยเสาไฟฟ้าของผมกำลังจะได้เป็นศิลปินอย่างที่เธอใฝ่ฝันในอีกไม่กี่เดือนข้างนี้เช่นกัน เพราะผมยังคงติดตามข่าวคราวของเธออยู่อย่างเงียบๆ เยจินก็ต้องปฎิบัติตามกฏในสัญญาเหมือนที่ผมต้องทำ หนึ่งปีแรกของการเป็นศิลปินคือการไม่สมควร ผมจะใช้คำว่า เราไม่ควร’ มีเรื่องความรักเข้ามาเป็นข่าวคราวทำให้มีผลต่อการโปรโมตเป็นอันขาด
ผมดีใจที่ในที่สุดเธอก็ติดต่อผมกลับมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาว่างจากคิวโปรโมตของเหล่าสมาชิกเอ็กโซ่พอดี ตารางงานพวกเราถูกเว้นช่วงยาวๆไปเป็นอาทิตย์ๆ
พวกเรานัดกันที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมซอยมุนกี1/6ในวันนี้ที่อากาศเริ่มหนาวจนติดลบอีกครั้ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อนเลยล่ะเพราะไม่อยากไปสายสักเท่าไหร่ ผมเลยตั้งนาฬิกาปลุกให้ตัวเองตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ทันทีที่กลับเข้ามาในห้องผมก็พบแบคฮยอนกำลังนอนเคิบเคลิ้มไปกับเพลงในหูฟังอันโตด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ตลอดการพักผ่อน5ชม.ที่ผ่านมาผมยังคงนอนบนโซฟาเหมือนเดิมจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาหลับไปกี่โมงในค่ำคืนของเมื่อวาน คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้แบคฮยอนแลดูมีอารมณ์แหกขี้ตาตื่นขึ้นมานอนฟังเพลงตั้งแต่แปดโมงเช้า
“ไปไหนหรอ” เจ้าหมาพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่มันแผล่บ เขาเอาน้ำมันออยล์ทาที่จมูกอีกแล้วแน่ๆ เจ้าหมอนี่ชอบผิวลอกเวลาหน้าหนาวมาถึงทุกครั้ง
ผมหยิบหมวกในตู้ออกมาลองสองสามใบก่อนที่จะตอบเขาไป
“ไปทำธุระนิดหน่อย ค่ำๆกลับนะ วันนี้พวกนายไม่ได้ไปไหนกันใช่เปล่า”ผมถาม” ถ้าพี่อิมคยุนแวะเอาของสดมาทิ้งไว้ให้แล้วถามถึงฉันบอกฉันไปหาป้าละกัน”
“หนีเที่ยวคนเดียวมันไม่แฟร์เลยนะปาร์คชานยอลล บอกมาตรงๆดีกว่าหนีไปซุกหัวที่ไหนกันแน่วันนี้น่ะ”
“เออน่ะเรื่องของฉัน”
ผมตอบสั้นๆโดยที่ไม่เว้นช่องว่างให้ไอ้หมอนั่นถามต่อไปอีก เพราะไม่แน่ผมอาจจะหลุดบอกความจริงไปจนได้ในที่สุด เรื่องของผมกับเยจิน มีแค่พี่ซูโฮ ตัวผมเอง และคนสุดท้าย
เจ้าโดคยองซู ' กบตาเหลือกประจำหอรู้กันแค่สามคนเท่านั้น ผมเคยปรึกษาเรื่องคิมเยจินในช่วงเวลาที่เราเพิ่งเลิกกันใหม่ๆกับคยองซูเพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่เก็บความลับได้มากที่สุดแล้วจากเพื่อนทั้งหมด
ส่วนแบคฮยอนจอมขี้โวยวายเป็นเรื่องปกติ ถ้าสักวันนึงเขาพลาดบอกทีมงานไป มีหวังทั้งผมและเยจินคงต้องโดนฉีกสัญญาและถูกไล่ออกไปอย่างถาวร
เพราะฉะนั้นอย่าสงสัยอีกว่าทำไมผมถึงได้บอก ผมกับเจ้าลูกกบนั่นสนิทกันมากว่าที่ผมสนิทกับแบคฮยอนนั่นล่ะ
“ถ้างั้นตอนเย็นฝากซื้อน้ำตาเทียมมาให้คยองซูด้วยนะพี่ซูโฮกับจงอินจะเข้าบริษัท ส่วนเจ้าเซฮุนฉันไม่รู้มันจะนอนยันพรุ่งนี้เลยรึป่าว” แบคฮยอนว่าพลางลุกขึ้นจากฟูกนุ่มของตัวเองนำกระดาษแผ่นเล็กๆมายัดใส่ในมือของผม ข้างในมันเขียนภาษาอังกฤษอะไรสักอย่างด้วยลายมือหวัดๆ
“ยี้ห้อยา อย่าลืมนะ ฉันกำลังคืดอยู่เชียวว่าจะออกไปซื้ออตอนไหนดี ไหนๆนายก็ออกบ้านไปแล้วก็อย่าลืมซื้อติดมาล่ะ หนาวขนาดนี้ฉันขอนอนขดอยู่ในหอยันมืดเลยจะดีกว่า=_=”เจ้าหมาบ่นก่อนที่เขาจะทำท่าขยึกขยือเหมือนคนขนลุกไปทั่วทั้งตัว
“ อีกอย่าง ค่ายาไปเบิกเอาที่พี่ซูโฮตอนค่ำก็แล้วกันฉันคงไม่มีให้นายอะ วันนี้พี่ซูโฮคงเข้าไปรับเช็คเงินเดือนเราของปลายปีนี้ด้วย ไม่รู้จะดีใจท่าไหนดีวะชานยอล นี่ฉันถึงกับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยนะ เดือนที่ผ่านมาก็เกือบตายเพราะฉันทำกำไลสปอนเซอร์หายแท้ๆควักจ่ายคืนเค้าไปจนหมดตูดเลยTTจนเป็นบ้า”
“แล้วพวกนายไม่กลับคยองกีกันหรอ หยุดตั้งหลายวันแบคฮยอน” ผมถาม เจ้าหมากับเจ้ากบประจำหอไม่คิดพ่อแม่บ้างรึไงกัน เป็นผมผมจะรีบแพคกระเป๋ากลับไปแล้ว แบคฮยอนส่ายหัวหงึกๆ
“ไม่หรอกเห็นคยองซูบอกว่าพ่อแม่ไม่อยากให้กลับ หิมะที่นู่นตกแรง ไปลำบาก ฉันเองก็ส่งของไปให้แทนละล่ะ ทั้งเสื้อโค้ทแล้วก็ยาบำรุง— ไม่รู้ของจะส่งไปถึงรึยัง”
“จะว่าไปหิมะในโซลก็เริ่มตกออกมาปรอยๆแล้วจริงด้วย – ฉันจะแข็งตายมั้ยเนี่ยะ=_=” ผมบ่นกับตัวเองในขณะที่ก้มลงมองออกไปนอกประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียง ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีหม่นเล็กน้อยพร้อมๆกับเกล็ดน้ำแข็งมากมายที่ค่อยร่วงหล่นลงราวกับขนนก
ช่างเถอะ นี่ก็จะสิบโมงแล้ว ผมใช้เวลาในการแต่งตัวเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ยะT-T อ๋า เยจิน เธอคงไม่ไปถึงก่อนใช่มั้ย
ผมคิดก่อนที่จะเดินเร่งอย่างว่องไวพลางสวมฮูทตัวใหญ่ขึ้นทับหมวกแก้บใบโปรด
“เห้ย อย่ามืดให้มากนะ ยาคยองซูมันต้องหยอดทั้งวัน”
ผมได้ยินเสียงแบคฮยอนร้องออกมา ..ก่อนที่ผมจะปิดประตูหอและล็อคลง ฮึ่ยย ต้องเอาเจ้าหมอนี่มาเป็นปัญหาให้ผมตลอดเวลาเลยสินะ
...
..
...
++ +++
“หนังสนุกดีเนอะ ชานยอล^^”
เสียงของยัยเสาไฟฟ้ายังคงดังก้องตลอดเวลาเหมือนอยู่ในความฝัน ราวกับว่ามันสามารถเล่นซ้ำกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของผมแบบนั้นไม่ยอมหยุด ภาพใบหน้าของผู้หญิงที่ผมคิดถึงมาตลอดยังคงฝังอยู่ในซีรีบลัมไม่มีทีท่าว่าจะหายไปง่ายๆ ทั้งวันมานี้ผมจ้องเธอแบบนั้นตลอดเวลาราวกับว่าถ้าละสายตาไปแล้วเธอจะไม่กลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก
เราเจอกันตั้งแต่เช้าตามที่ได้นัดหมายเอาไว้
ผมเห็นเธอยืนอยู่หน้าตึกโรงพิมพ์เก่าไกล้กับร้านกาแฟซอยมุนกีตามที่ตกลงกัน ทันที่ไปถึงและยังไม่ได้ทักทายอะไรมากมายในที่สุดคิมเยจินก็ยื่นกระดาษใบเล็กๆสองใบมาให้ พร้อมกับบอกความต้องการที่จะไปห้างในตอนเช้าโดยอาศัยตั๋วที่เธอบอกว่าได้มันมาฟรีหลังจากรู้จักกับทีมงานคนนึงในบริษัทนำเข้าภาพยนต์เครือmegaboxของcoex mall เราเริ่มต้นจากการดูหนังด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงตอนบ่าย
หนังสอง ชม.ครึ่งเป็นแนวโรแมนติกไซไฟ เรื่องราวรักของสองโลกในมุมที่ตรงข้ามกัน ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ
มันก็สนุกดีแต่ทว่าก็ไม่ได้มากเท่าไหร่นัก
ผมได้แต่คิดว่า ผมและเยจินเริ่มจะดูเหมือนเพื่อนสนิทกันเฉยๆมากกว่าคนที่เคยคบกัน หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาหลายปีที่ต่างคนต่างทำงานและแยกกันอยู่
หลังจากออกจากห้างได้ไม่นานช่วงเวลาที่เหลือจากนั้นเราทั้งสองคนเลยตกลงกันที่จะกลับมาที่คอฟฟี่ช่อปที่ไมไกลจากหอของผมนักเพื่อจะได้มีเวลานั่งคุยกันมากขึ้น เรานั่งอยู่ในร้านเป็นเวลานานสองนานด้วยกาแฟที่แค่สองแก้วที่สั่งมาตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน ผมกินมันช้าลงไปนิดหน่อยเพราะผ้าคลุมปากที่แสนจะทุลักทุเลด้วยความกังวลที่จะกลัวมีซาแซงมาเห็นเราสองคนเข้า
ถึงผมกับเธอจะดูไม่สนิทพอที่จะเล่นหัวกันได้เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม แต่มันกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
คิมเยจิน ก็ยังคงเป็นคิมเยจินไม่เปลี่ยนแปลง
เธอถามถึงเรื่องของเพื่อนใหม่ทั้งห้าหกคนที่ที่หอพัก ก่อนที่จะเฝ้าบ่นคำพูดเดิมๆว่าผมผอมแห้งมากมายขนาดไหน ..บางที..เธอเองอาจจะไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่าตัวเองซูบเซียวลงไปมากไม่ต่างจากผมเลยแม้แต่นิด ยัยเสาไฟฟ้าบอกว่าเธอต้องซ้อมเต้นมากกว่าสิบชั่วโมงต่อวันเพื่อรอการเดบิวต์ในอีกไม่กี่เดือน ก่อนช่วงเวลาที่ต้องโปรโมตวุ่นวายนั้นเธอเลยตัดสินใจอยากออกมาหาผมก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
ผมไม่ชอบคำพูดนั่นเลยจริงๆ=_= ผมได้แต่นั่งเงียบเมื่อประโยคสนทนาเหล่านั้นจบลง ผมเริ่มเบี่ยงเบนสายตาของตัวเองให้ออกจากใบหน้าของเธอเพื่อที่จะพาความคิดของตัวเองให้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นๆบ้าง
=_= ตอนนี้เริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ ผู้คนในร้านกาแฟเลยพลุกพล่านเป็นพิเศษ
ท้องฟ้าที่เริ่มส่องแสงริบหรี่ลงทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
---------------------
[Fanacc]121206 ฉันเห็น EXO-K กำลังเล่นปาหิมะใส่กัน ฉันเห็นแบคฮยอนจากบ้านของฉัน เซฮุนดูดีมาก (cr:Melody__Zhang v:HunHanAddicts,triple_planet)
“ย้ากกกกกกกกกกก พี่จะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ ทำแบบนี้ไม่ได้!!!”
ผลั่ว!!!
“นายมันไอ้ลูกแหง่ โอเซฮุน นายมันไอ้ลูกแหง่ ฮ่า ฮ่า...อะ”
พลั่กก~!!!
“เซฮุน นายกล้าปาของแบบนี้ใส่หน้าพี่ชายของนายได้ยังไงกัน!!!!”
เสียงเอะอะวุ่นวายของเด็กชายในพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์หน้าหอพักเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าหมวกไหมพรมที่ถูกดึงถึงใบหูกอปกับผ้าพันคอที่ถูกพันเอาไว้รอบคอจนสูงขึ้นมาถึงปากนั่นจะทำให้ไม่มีใครสนใจพวกเขาที่กำลังเล่นปาหิมะกันอย่างสนุกสนานก็ตามที แต่เสียงเรียกชื่อที่ตะโกนโต้ตอบกันไปมาก็ทำให้เริ่มมีแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ เข้ามามุงอยู่ห่างๆด้วยความสนใจอยู่ไม่น้อย
ฤดูหนาวเข้ามาถึงอย่างเต็มรูปแบบและไว้กว่าปีก่อนนักๆ หิมะเริ่มตกหนักภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งที่หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้นเกาหลียังคงมีตกประปราย
คยองซูนั่งหัวเราะอยู่บนม้านั่งริมทางหน้าหอพักของตัวเองก่อนที่จะถูกเซฮุนร้องโวยวายให้เขากลับเข้าไปข้างใน
“พี่คยองซู วันนี้ผมไม่หิวข้าวแล้ว พี่ไม่ต้องมานั่งรอพวกเราหรอก พี่ขึ้นไปที่ห้องเถอะ หนาวจะตาย เดี๋ยวพี่ก็แสบตาอีกจนได้อะ=_=” เซฮุนปัดเกล็ดปุยน้ำแข็งที่อยู่บนผ้าพันคอและตามเส้นผมให้ออกไปอย่างว่องไวก่อนที่เขาจะวิ่งด้วยท่าทีงุ่นง่านเข้ามาหาพี่ชายตัวเล็กที่ได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆไม่สามารถเข้ามาเล่นกับพวกเขาได้
“ทำเป็นเอาใจแม่แกอีกละนะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวชานยอลก็ซื้อกลับมาเองนั่นละ ฉันฝากเขาไปแล้วเขาบอกจะรีบทำธุระให้เสร็จก่อนมืดอะ”
แบคฮยอนเสริม เขายังคงง่วนอยู่กับพื้นบนฟุตบาทที่มีหิมะหนาเป็นฟุตกองรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
“ฉันสบายดีเซฮุน ^^ พวกนายไปเล่นสิ จะมาหาฉันทำไม.. ฉันชี้เกียจนอนรัดเจลคาดตะ..... โอ้ะOoO” โดคยองซูเบิกตาโพลงก่อนเงียบลงทันทีที่เห็นภาพข้างหลังของโอเซฮุน ก้อนน้ำแข็งกลมๆกำลังจะพุ่งทะยานมาหาเจ้าเด็กหัวเหลืองโดยที่เข้าไม่รู้ตัว
...
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยบอกอะไรน้องเล็กได้มากกว่านั้น หิมะขนาดย่อมก็ได้เข้าจู่โจมแผ่นหลังบางๆของเด็กชายในที่สุด
พลั่ก~!!
อ๊า~~><
เซอุนร้องเอะอะอีกครั้งให้กับแบคฮยอนที่ยืนหัวเราะสะใจผลงานของตัวเองที่ประสบความสำเร็จ เขาทั้งสองคนเริ่มวิ่งพล่านไล่กันอีกครั้งราวกับเด็กเล็ก เพราะตั้งแต่ฝึกและเรียนอย่างหนักรวมไปถึงการออกอัลบั้มมาชีวิตในช่วงวัยของเด็กๆทั้งห้าก็ดูจะขาดหายอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะกิจวัตรที่ต้องรีบเร่งและแข่งขันมากกว่าคนอื่นๆทำให้ในบางครั้งพวกเขาก็หลงลืมไปว่า ตัวเองยังคงเป็นเด็กชายที่ยังถวิลหาความสุข สนุกสนานเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป
จงอินส่งข้อความมาบอกว่าเขากำลังคุยงานเกี่ยวกับการถ่ายแบบเดี่ยวให้กับผลิตภัณฑ์กีฬายี้ห้อนึงอยู่
ส่วนพี่ซูโฮก็เดินทางกลับ คงจะถึงอีกไม่นาน
ความจริงคยองซูเริ่มเจ็บตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะอากาศที่ติดลบถึง6องศา บวกกับน้ำตาเทียมที่ต้องหยอดตลอดเวลาก็หมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ความเบื่อทำให้เด็กชายเดินออกมานั่งเล่นหน้าหอพักเพื่อดูเพื่อนทั้งสองคนเล่นสนุกไปเรื่อยๆ
ปาร์คชานยอลน่ะหรอจะซื้อกลับมาให้เพื่อนที่สร้างความน่ารำคาญให้ตลอดเวลาอย่างเขา
ที่สำคัญถ้าจำไม่ผิด วันนี้ชานยอลมีเดทกับคิมเยจินเพื่อนสมัยเทรนที่เค้าเฝ้ารอ คยองซูยังจำมันได้ดีเพราะเขาเป็นคนที่ได้เห็นข้อความในมือถือของชานยอลก่อนใครๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนตัวสูงบอกกับแบคฮยอนคงเป็นแค่เรื่องโกหกไปก็เท่านั้น
เด็กชายได้แต่เตะหิมะใต้เท้าที่เริ่มเป็นก้อนแข็งๆให้แตกตัวออกเล่นไปอย่างเรื่อยเปื่อย
“ไอ้ตาบ้านี่เมื่อไหร่จะหายเจ็บซักทีก็ไม่รู้ หงุดหงิดจังเลย=3=” คยองซูบ่น ลมหายใจที่ถอนออกมาพรืดใหญ่แตกตัวเป็นควันสีขาวกระจายไปทั่ว มือเล็กๆได้แต่ยกขึ้นมากุมที่ดวงตาข้างซ้ายเพื่อป้องลมเย็นๆไม่ให้เข้าไปถึง เด็กชายคิดวกไปวนมา สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจปลีกตัวเองจากที่นั่งที่เย็นเฉียบเพื่อซื้อยาบรรเทาด้วยตัวเองในที่สุด คงไม่ดีถ้าเขาจะต้องใช่ให้แบคฮยอนหรือเซฮุนไปให้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนที่ต้องมาลำบากเลย
สองพี่น้องยังคงตั้งหน้าตั้งตาปั้นก้อนน้ำแข็งอย่างขะมักขะเม้นโดยที่ไม่ได้สนใจเพื่อนตัวเล็กที่ลุกเดินแยกอย่างเงียบๆ
คยองซูดึงปกคอเสื้อที่หนาไปด้วยผ้าฟูกให้ปิดลำคอและใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
ช่างเถอะ จะไปหวังรออะไรคนอย่างปาร์คชานยอลล่ะ ..
00.04น.
#หอของผมกำลังโดนหิมะบุรุก TT
นอนกันรึยังครับ..^^
ผมยังไม่ง่วงเลย คงจะดีถ้ามีทุกคนอยู่เป็นเพื่อน
ผมยังคงนอนอยู่นอกห้องที่โซฟาตัวเดิมอีกครั้งสำหรับวันนี้ ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่แบคฮยอนก็ไม่มีทีท่าว่าจะปิดฮีตเตอร์ทำความร้อนระหว่างหลับไปตลอดกาลแล้วละ แขนขาที่เมื่อยล้าของผมมันฟ้องว่าตลอดทั้งวันมันให้ความรู้สึกที่หลากหลายจริงๆ
ผมไม่อยากจะบันทึกถึงเรื่องราวการเดทที่ผมจินตนาการไว้อย่างสวยงามก่อนหน้านี้ลงเข้าไปเลย
เพราะวันนี้มันพังไม่เป็นท่าเท่าไหร่
ความจริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก... หลังจากการกินกาแฟและพูดคุยระหว่างผมกับเยจินยังไม่ทันจบดี ตัวเลขบอกเวลาบนหน้าปัดนาฬิกากลับทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดว่ามันเป็นเพราะผมให้สัญญากับแบคฮยอนไว้ว่าจะซื้อยากลับไปให้คยองซูก่อนค่ำนี้นะสิ
ความลนลานทำให้ผมต้องบอกลาเยจินก่อนที่จะวิ่งออกมาจากร้านเหมือนคนสิ้นสติ ผมดูเป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหนจริงๆ
ฉันขอโทษนะยัยเสาไฟฟ้า
ผมได้แต่คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่มีเวลาพอจะพูดออกไป ความคิดโน่นนั่นนี่ที่ไร้สาระกลับแทรกเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ผมเดาว่าปาร์คชานยอลคงรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนทรมานกับความไม่สบายในขณะที่ตัวเองกลับออกมาเดทอย่างมีความสุข มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ถ้าผมไม่สนใจแม้กระทั่งซื้อยากลับไปให้ตรงเวลา
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก =o=
ผมยังคงได้ยินเสียงหอบของตัวเองชัดเจนจนถึงตอนนี้ ผมวิ่งไปหอบไปเหมือนรถไฟที่มีเครื่องจักรไอน้ำอยู่ตรงหัว
ผมกำลังกลัวที่จะได้ยินเสียงของแบคฮยอนบ่นจนเป็นบ้าได้ขนาดนี้ละมั้ง ผมละเชื่อกับตัวเองจริงๆ
ขายาวๆวิ่งมาได้ระยะทางไกลพอสมควรโดยไม่มีวีแววว่าจะผ่อนแรงลง ต้องขอบคุณพ่อที่มอบส่วนสูงที่มายมายให้ผมมาในชาตินี้จริงๆนะ
ผมเริ่มหรี่ตาที่ความจริงแล้วหลังผมทำเลสิกมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ ผมเพ่งมองป้ายที่เป็นสัญญลักษณ์ตัวบวกสีเขียวอยู่สักพักเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดที่แน่ๆก่อนจะก้าวเข้าไป
กรุ้งกริ้ง~
เสียงระฆังเล็กหน้าประตูร้านขายยามันทำให้ผมยิ้มออก อย่างน้อยๆกว่าผมจะเดินกลับไปถึงหอพักก็คงไม่เกิน1ทุ่มครึ่ง
“น้ำตาเทียมครับ” ผมพูดกับเภสัชกรทันทีที่มองเห็นเค้าเตอร์จุดชำระเงิน มือใหญ่ๆควานหาเศษกระดาษที่แบคฮยอนให้มาตั่งแต่เมื่อเช้าส่งให้เภสัชจัดการอย่างวุ่นวาย ผมมัวรีบเร่งจนลืมว่าผ้าปิดปากที่สวมเอาไว้หลุดไปแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“....OoOถ้าไม่มีแบบที่จดมาผมขอยี้ห้ออะไรก็ได้ที่ดีๆหน่อยนะ”
ผมกำชับก่อนที่จะหยิบกระเป๋าตังค์ในเสื้อโค้ทเพื่อควักออกมาจ่ายเงินอย่างเร่งรีบโดยที่ก็ไม่รู้ตัวเองว่าจะเร่งรีบขนาดนั้นไปทำไม มันทำให้บุคลิกเสียเป็นบ้าเลยถ้ากลับมานั่งนึกดูอีกที =_=แย่ชะมัด ถ้าหากมีแฟนคลับของพวกเราเห็นเวลานั้นคงต้องหาว่าผมเสียสติแน่ๆ แล้วถ้ามีรูปด้วยล่ะTT
(ทุกคนครับ ใครก็ตามที่เห็นผมเวลานั้น หรือมีรูปอยู่ จะเป็นการดีมากถ้าคุณไม่เผยแพร่มันออกไปนะ ผมรักคุณTT)
เภสัชกรเองก็แลดูจะตกอกตกใจกับท่าทีของผมไม่น้อย เขาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆบรรจุใส่ถุงก่อนที่จะเขียนรายละเอียดสั้นๆกำกับเอาไว้แล้วยื่นให้
“ขอบคุณฮะ” ผมดึงมันก่อนที่จะหันรีหันขวางเพื่อหลบลูกค้าคนอื่นๆในร้านและเดินออกมา
กรุ้งกริ้ง~
ประตูกระจกถูกเหวี่ยงให้เปิดลงอีกครั้งพร้อมกับผมเองที่กลับมายืนอยู่ข้างหน้าร้านราวกับทำภารกิจสำเร็จในที่สุด><
แต่มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกถ้าผมไม่เจอใครบางคนซะก่อน
เด็กผู้ชายที่มีใบหน้าจมลงไปในเสื้อโค้ทสีน้ำเงินเข้มคนนึงกำลังถลึงตามองผมที่ยืนเกะกะอยู่ประตูทางเข้าหน้าร้านขายยา เขาจ้องมองผมจนแทบจะไม่กระพริบก่อนที่จะบ่นอู้อี้อะไรบางอย่างใต้ผ้าพันคอข้างใน
“ชานยอลอา~”
-_-^
ทันทีที่ได้สติพอทีจะรู้ว่าเจ้าตุ๊กตาล้มลุกนั้นเป็นใครผมก็รีบดึงมือเจ้าเตี้ยนั่นให้ออกมาจากหน้าร้านที่แสนวุ่นวายซึ่งเป็นจุดรวมความสนใจจากคนสัญจรไปมา เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาอย่างเฟอะฟะน่ารำคาญ ผมลากเขามาได้ประมาณนึงจนถึงหน้าร้านรามยอนของป้าฮานี ร้านขาประจำที่เด็กเทรนที่อาศัยอยู่ที่หอเหมือนพวกเรามักจะเดินมาหาอะไรกินบ่อยๆ
โดคยองซูมีมือที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเลยล่ะ=_=
“นายกำลังจะไปทำบ้าอะไรแถวนั้นเนี่ยะเจ้าเด็กเตี้ย” ผมถามทันทีที่เราหยุดวิ่งมาได้ครู่นึง ลมหายใจของเราสร้างกลุ่มควันที่ลอยละล่องเหมือนหมอกแผ่ไปทั่ว
“ฉันจะไปซื้อยาหยอดตา..” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา มือของเจ้าหมอนั่นที่ผมกำเอาไว้เริ่มขยับไปมา จนในที่สุดผมต้องปล่อยมือของเค้าออกให้ป็นอิสระ
ก็แค่ลืมตัว-_-
ผมมองใบหน้าซีดเซียวของคนตัวเล็กก่อนที่จะพบว่าเปลือกตาของเขาเริ่มแดงขึ้นมานิดหน่อย
ฮึ่ยย=_=..
เขาเป็นประเภทพวกชอบทำร้ายตัวเองให้คนอื่นสนใจรึไงกันนะ ผมเข้าใจว่ามุกนี้มันอาจจะใช้สำเร็จกับพวกสมาชิกเด็กเมื่อวานซืนกับพี่ที่ขี้ใจอ่อนอย่างพี่ซูโฮอยู่หรอก แต่ผมไม่มีทางหลงกลกับมุกตื้นๆของเจ้าเด็กเตี้ยง่ายๆรู้เอาไว้ซะ
เว้นเสียแต่ถ้าเขาจะเลิกจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นซักที..
“ไม่ต้องไปไหนทั้งงั้นอะ ฉันซื้อมาแล้ว” ผมพูดพลางชูมืออีกข้างที่กำถุงยาเอาไว้ให้เขาเห็น อย่างน้อยๆหมอนี่ควรจะภูมิใจว่ามีเพื่อนอย่างปาร์คชานยอลนี่ดีกว่าใครเป็นไหนๆ คยองซูมองตามถุงสีขาวนั่นก่อนที่จะยิ้มกว้างออกมาด้วยรอยยิ้มแบบที่ผมมักจะเห็นบ่อยๆจนชินตา-*-
“ยิ้มอะไรนักหนา รีบเดินเถอะ ฉันอยากหลับไปนอนละล่ะ”
ผมหมุนตัวกลับมาเพื่อจำอ้าวให้ถึงเป้าหมายโดยไวอีกครั้งหนึ่ง
คยองซูเป็นฝ่ายเดินตามหลังผมมาเรื่อยๆตลอดระยะทาง เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
“ชานยอลไปเดทวันนี้สนุกมั้ย”
คำถามของเขาแลดูไม่ช่วยรักษาความลับให้ผมเลย เจ้าเตี้ยนี่นิ-*-
“สนุก”
ผมตอบไปสั้นๆแค่นั้น ทั้งที่ความจริงผมอยากจะพูดต่อไปอีกว่า มันจะสนุกกว่านี้ ถ้าไม่มีเรื่องของนายเข้ามายุ่ง แต่ช่างเถอะ ผมขี้เกียจหาเรื่องชวนเจ้ากบตาปูดทะเลาะให้มันเปลืองน้ำลายเวลานี้หรอก ผมเหนื่อยมากเกินไป
ทันทีที่บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลง กลับกลายเป็นมีเพียงเสียงฝีเท้าของผมและคยองซูที่ลากกับน้ำแข็งบนพื้นดังสลับกันไปมา ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องมองผืนฟ้าที่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีดำสนิทไปซะแล้ว หิมะที่เย็นเฉียบร่วงหล่นลงบนเปลือกตาของผมนับไม่ถ้วน
ผมชอบนะ มันสวมงามจนผมไม่อยากหลับตาเลย ยิ่งช่วงเวลาที่แสงสว่างน้อยลงไปเท่าไหร่ เกล็ดละอองของน้ำแข็งเม็ดเล็กๆก็ดูจะชัดเจนทั่วไปหมด
มันคงจะดีถ้าตอนนี้ผมได้เดินไปส่งเยจินขึ้นรถเมล์หรือไม่ก็บอกลาเธอดีๆ...
เพราะใครกัน-*-
ผมแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กเจ้าปัญหาที่เดินเชื่องช้ามากกว่าเป็นระยะๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เดินตกท่อไปหรือรถชนตายไประหว่างทางอีก เขากำลังซุกมือสั้นๆทั้ง2ข้างของตัวเองเข้าเสื้อโค้ทที่ดูจะไม่เชิงหนาสักเท่าไหร่ เจ้าเปี้ยกเดินอืดอาดเป็นเต่าเพราะเขาแลดูจะสนใจพื้นบนทางเท้ามากกว่าทางเดินข้างหน้าจนแทบไม่ทันสังเกตว่ารอบๆตัวเริ่มมีแฟนคลับในละแวกหอที่ติดตามเราอยู่เป็นประจำกำลังสังเกตเห็นและหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
-_- โดคยองซูคือตัวปัญหา เขาคือตัวปัญหา คยองซูคือปัญหา…..
และผมคือผู้พิทักษ์เจ้าเตี้ยตัวปัญหาใช่ไหม!
“นี่ นายจะเดินช้าไปแล้วนะ รีบใส่แล้วรีบเดินมาให้ไวเลย” ผมตัดสินใจถอดหมวกของตัวเองและวางไว้บนหัวเล็กๆของคนด้านข้างก่อนที่จะคว้ามือที่ชื้นเหงื่อของเขาให้ออกมาจากเสื้อโค้ท แรงดึงจากแขนของผมที่ถ่ายเทไปหวังว่าจะกระตุ้นให้เขาต่อสู้กับความหนาวและเดินกระฉับบกระเฉงขึ้นอีก
ผมเร่งฝีเท้าตัวเองให้รวดเร็วพอๆกับคยองซูที่แลดูจะตื่นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว คราวนี้ผมตั้งใจจับมือเขาน่ะ ก็เรื่องปกตินั่นล่ะนะ มันเป็นเรื่องธรรมดา-_-
“ชานยอลขี้ระแวงจังเลย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นฉันน่ะ” โดคยองซูผู้โลกสวยพูดกับผมที่ยังคงลากเค้าต่อไปเรื่อยๆ “ถ้ายาตกหายไป ต้องแย่แน่ๆ ชานยอลนายขายาวนี่ ฉันเดินตามนายมันจะไปทันกันมั้ยเล่า”
-ไม่มีใครรู้หรอก ก็แค่หน้าเค้าโผล่ออกมาครึ่งนึง แล้วไอ้แววตากลมๆแบบนั้นไม่มีใครมองแล้วรู้เลย-
ผมละเบื่อนิสัยของเขาที่ติดมาจากต่างจังหวัดเสียจริง คยองซูยังคงไม่ชินกับโลกของคนเมืองแล้วก็อิทธิฤทธิ์ของแฟนคลับขึ้นเลยถึงแม้เวลาจะผ่านมาตั้งสองปีสามปีแล้วตั้งแต่เขาย้ายมาใช้ชีวิตในโซล จากวันนั้นจนถึงวันนี้เจ้าหมอนี่ก็ยังคงกิน นอน ตื่น พูดทำทุกอย่างเหมือนเดิมๆราวกับว่าไม่ได้ถูกสภาพแวดล้อมอะไรเข้าไปเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยแม้แต่นิด
การที่คยองซูยังทำแบบนี้มันทำให้ใครต่อใครต้องเป็นห่วงเขาเสมอ
ผมสัมผัสถึงมือเล็กๆที่กำนิ้วของผมแน่นขึ้น
-_-
“มือชานยอลอุ่นจัง^^”
=_=;;
“รีบเดินเถอะหน่า ไม่งั้นฉันปล่อยมือนายละนะ-*-“
…
…
“....ถ้าชานยอลปล่อยมือฉันไป แต่ฉันยังจับมือของชานยอลอยู่ มือเราสองคนก็ยังอยู่ด้วยกันแบบนี้เหมือนเดิมใช่มั้ย.....” คยองซูพึมพำประโยคที่ฟังดูเข้าใจยาก ผมได้แต่สาวเท้าโดยที่ไม่คิดสนใจประโยคซับซ้อนของเจ้าเตี้ยอีก เขาเหมาะสมกับฉายาดีโอสี่มิติแบบที่แฟนคลับใช่เรียกกันบ่อยๆจริงๆนั่นล่ะ
“.....”
ผมเห็นหน้าหอของเราไกล้เข้ามาเรื่อย ผมเห็นเจ้าโอเซฮุนหัวเหลืองกำลังลากแขนพี่ซูโฮที่แลดูจะเพิ่งกลับมาถึงให้มาถ่ายรูปคู่กับตุ้กตาหิมะที่เขากับแบคฮยอนท่าทางจะช่วยกันปั้นมันขึ้นจนมีรูปร่างๆแปลกๆ จงอินที่กลับมาถึงแล้วก็กำลังพยายามขุดเจาะฐานปฎิมากรรมของเจ้าเด็กตัวป่วนนั่นให้ทลายลง
ทั้งที่เจ้าหมาเองเป็นคนบอกกับผมว่าจะขอนอนขดอยู่ในห้องทั้งวันแล้วแท้ๆ สุดท้ายเขาก็ยังทำมันไม่ได้
เสียงหัวเราะของทุกคนทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ
เสียงของเจ้าโอเซฮุนตะโกนซะดังไปทั่ว
ราวกับว่าคิมจงอินจะเป็นผู้สังเกตคนแรกถึงการกลับมาของเราสองคน
“คยองซู!” เขาตะโกนทันทีที่เขาเห็นหน้าเจ้าเด็กเตี้ยข้างๆผมเมื่อเราเดินเข้ามาไกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“นายไปไหนมา ฉันบอกแล้วว่าอากาศเย็นๆนายน่าจะนอนอยู่บนหอซี่ ...ฉันนึกว่านายอยู่ข้างบนนะเนี่ยะ”
.ใบหน้าคยองซูดูสดใสขึ้นอีกครั้ง
“ฉันไปซื้อยามาจงอิน ฉันอาการดีขึ้นแล้วล่ะ” คยองซูปล่อยมือของผมออก เขาชูถุงยาไปมาก่อนที่จะเดินไปกับจงอินในที่สุด ทิ้งให้ผมยืนนิ่งๆอยู่แบบนั้น ผมมองหมวกของตัวเองที่ถูกเจ้าเด็กเตี้ยเนรคุณนั่นสวมมันไปด้วย เขาเป็นคนที่เรียงลำดับความสำคัญของคนได้แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา
ผมยังจำได้ ผมไม่ได้เป็นคนที่ปล่อยมือของเขาก่อน
เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายปล่อยมือของผมให้หลุดออกไป…
ผมก้มลงกำน้ำแข็งบนพื้นที่เย็นเฉียบขึ้นมาเป็นก้อนๆก่อนที่จะขว้างมันไปใส่แบคฮยอนที่โบกมือหย็อยๆให้
“ฉันกลับมาแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เพราะเสียงตะโกนจากการเล่นกันเมื่อเย็นทำให้ผมยังรู้สึกเจ็บคอจนถึงตอนนี้
ไปๆมาๆผมไม่ค่อยมีอารมณ์ ในการบันทึกในไดอารี่ของตัวเองเท่าไหร่ละล่ะ
..
ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ผมละสายตาออกจากแมคบุคและหยุดบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างในวันนี้เพี่อพักมันโดยการจ้องไปที่เพดานห้องสีมืดแทน แขนขาที่ยาวกว่าชาวบ้านก็มักจะเมื่อยง่ายกว่าคนอื่นๆนั่นคือข้อเสียที่ผมไม่อยากบอกใคร ผ้านวมที่กลิ้งขยุกๆอยู่ที่ปลายเท้าทำให้ผมกำลังสติแตกอีกรอบ ผมจ้องมองของใช้ของโดของคยองซูที่ตัวเองใช้คลายหนาวในบางครั้งตลอดสองสามคืนที่ผ่านมา
มันอยู่กับผมมาสองคืนเต็มๆได้ยังไง!-*- ..
เพราะโดคยองซูเด็กเตี้ยไม่เอามันไปเก็บซะทีเพียงแต่พับวางเอาไว้ให้บนโซฟาในทุกๆเช้าแทนน่ะสิ
ถึงตอนนี้..
ผมไม่ต้องการมันแล้วล่ะ -*-
เขาทำให้ผมหัวเสีย
และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมยังคงนอนไม่หลับจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่า
ถ้าหากหมอนั่นยังทำให้ผมเป็นบ้าอยู่แบบนี้ละก็
พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
-_-
++++++++++
ฟิคเริ่มงึมงัมอะ ภาษาก็กากๆ 55555 อ่านไปอย่าไปหวังเนื้อเรื่องอะไรจากเรื่องนี้เลยนะคะ55555 เหมือนฟังคนบ่นนั่นละ จริงๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นตึ้กตัก
คาดว่าจะไม่ยาวมาค่ะ
ไม่มีปมอะไรมากมาย
เบาๆ
อ่านให้ปวดตาเล่น
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนนะคะ
ขอบคุณที่เสียสละเวลาเพื่อคอมเม้น มันเป้นกำลังใจที่ดีจริงๆสำหรับหน้าใหม่อย่างเรา><
รอเจอกันตอนหน้านะคะ
เพื่อชานจะรู้ตัวเองสักที ว่าควรจะทำอะไรต่อไป><
ความคิดเห็น