ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #6 : Page6(100%แล้วก้าบบ)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 55


    Page6




    ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกมา รวมทีมกันมา ใช้ชีวิตกินอยู่เป็นครอบครัว คงรวมเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว

    ไม่มีคืนไหนที่ผมนอนหลับสบายเท่าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเลยจริงๆนะ

    น่าแปลกที่ราวกับว่าเมื่อคืนผมได้ฝันดีอย่างน่าประหลาด ในความฝันนั้นผมได้นอนไปพร้อมกับตุ๊กตาหมีนุ่มตัวเล็กๆตัวนึงตลอดทั้งคืน ผมมีความสุข ความสุขที่ผมไม่เคยสัมผัสมันมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว ผมภาวนาให้ความสุขนั้นไม่จากไปไหนตลอดไป แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้..

     
    เพราะมันเป็นเพียงความฝัน


    ความฝันที่มีผมเท่านั้นที่รับรู้

     

    ถึงแม้ว่าเมื่อเช้าตรู่ที่ลืมตาขึ้นมานั้นผมจะไม่ได้พบใครอยู่ด้วยก็ตาม มีก็แค่ผ้าห่มลายตุ้กตางี่เง่าที่ผมทำการขับไล่มันไปเรียบร้อยเมื่อหลายวันก่อน จนถึงตอนนี้มันกลับมาอยู่บนร่างกายใหญ่โตของผมอีกครั้ง

    “แกมีขาเดินเองได้รึไงกัน ...หืม?

    ผมกระซิบบอกกับผ้านวมอันแสนอบอุ่น พลางซุกใบหน้าลงไปเพื่ออยู่กลับกลิ่นหอมที่ราวกับแป้งเด็กอยู่แบบนั้น


    ผมชอบจัง...


    เพราะเสียงกุกกักที่ดังขึ้นแต่เช้า ทันทีที่ชะโงกตัวให้พ้นโซฟาตัวโปรดก็ทำให้เห็นพี่ใหญ่ตัวเล็กอย่างพี่ซูโฮที่กำลังสะพายกระเป๋าดูเหมือนว่าเขากำลังเตรียมตัวออกจากหอเพื่อไปทำอะไรสักอย่างแต่ผมก็ไม่ได้มีโอกาสถามออกไปเพราะสมองที่ยังไม่มีเรี่ยวแรงสั่งการดี พี่ซูโฮมักจะดูวุ่นวายกว่าคนอื่นแบบนี้เสมอ ผมไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่อาจารย์ลีซูมานมักจะเอ็นดูพี่เค้ามากกว่าใครๆเนื่องด้วยจากความขยันและมีความรับผิดชอบอย่างที่พวกผมมักจะเห็นเป็นประจำอยู่ตลอดเวลา


    จะว่าไป

    วันนี้อากาศหนาวด้วยจริงๆสินะ....

     

    ผมยกร่างกายที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวให้ลุกจากโซฟาตัวนุ่มอย่างเชื่องช้าพลางกวาดสายตาไปรอบๆ แมคบุคยังคงปิดสนิทไม่ได้ถูกแตะต้องเหมือนวันที่ผ่านมา


    ไม่มีฮีทเตอร์ทำความร้อนตั้งอยู่


    ไม่มีคยองซูที่นั่งอยู่

    ...

    -..-

    ฮื่อ..


    ถ้ามีใครสักคนที่อยู่ข้างๆผมในเวลานี้คงได้ยินเสียงถอนหายใจอันน่าเกลียดนั่นดังไปทั่วแน่ๆ ผมควรพิจารณาตัวเองได้แล้วถึงความฟุ้งซ่านและเลอะเทอะอันไม่มีที่สิ้นสุด ผมบ้าบอถึงขนาดเก็บเรื่องราวที่ตัวเองหมกหมุ่นตลอดเวลาหลายวันเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ


    แล้วทำไมในความฝันบ้าๆนั่นผมต้องกอดเจ้าเด็กเตี้ยแบบนั้นด้วย


    สัมผัสที่อบอุ่นแบบนั้นยังคงทิ้งเอาไว้บนร่างกายของผมที่ว่างปล่าว มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆจากผ้าห่มของเจ้าหมอนั่นเท่านั่นที่โอบกอดผมเอาไว้


    ผมเผลอปล่อยใจให้กับอะไรแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่

    =_=

     

    ถัดไปบนโต้ะตัวเดิมข้างๆหูฟังเพลง มีโน้ตแปะเอาไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเป็นระเบียบ

     

    “เย็นนี้อาจารย์ให้เป็นตัวแทนไปงานแต่งงานของรุ่นพี่ฮงรกกี
    ปลุกแบคฮยอนด้วยนะชานยอล”

     

    ผมลอกมันออกมาจากโต้ะก่อนที่จะขยุ้มเข้าฝ่ามือ ลายมือแบบนี้ แปะกระดาษแบบนี้ ไม่มีใครที่ไหนหรอก มีเจ้าเตี้ยคนเดียวเท่านั้นที่ทำอยู่คนเดียว -_- ผมได้แต่กวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาเจ้าของเศษกระดาษบนโต้ะ ไม่มีเสียงในห้องครัว--- ไม่มีเสียงในห้องน้ำ------- ไม่มีใครเลยที่ออกมาจากห้องของตัวเอง .... หมอนั่นก็คงจะนอนหลับอยู่ในห้องกับคิมจงอินล่ะสิ
    ผมไม่น่าสงสัยเลย เขาอาจจะออกมาแปะบอกผมเพื่อสั่งเสียอะไรทำนองนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ทันทีที่พี่ซูโฮบอก


    ใช่สิ ความรู้สึกของผมมันก็คงจอมปลอมเหมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปด้วยงั้นใช่ไหม มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

    OO

    ปาร์คชานยอลทำไมนายต้องขมวดคิ้วแบบนั้นด้วยวะหา!?

    ..

    ผมประสบกับความวุ่นวายใจอีกครั้งเมื่อเห็นภาพสะท้อนใบหน้าตัวเองบนฟิล์มเคลือบของหน้าจอมือถือ


    มันบูดบี้น่าเกลียดสิ้นดี


     อย่าทำเหมือนเสียดายแบบนั้นสิ'

     

    ผมสะบัดหัวให้ตัวเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่า การขยับหัวของตัวเองแรงๆสักสองสามทีน่าจะทำให้โดคยองซูที่วิ่งอย่างเริ่งร่าอยู่ในมันสมองและซอกหลืบเส้นเลือดเหล่านั้นหลุดลอกออกไป ผมชันตัวให้ลุกขึ้นท่ามกลางเสียงกรุ่บกรั่บของกระดูกหัวเข่าที่ดังราวกับคนเฒ่าคนแก่เพื่อเดินไปเคาะประตูปลุกเจ้าหมาตามคำสั่งของเด็กเตี้ย

     

    ปึง ปึง !!

     

    “ตื่นได้แล้ว วว!!!!ฉันจะเข้าห้อง!!!...บยอนแบคฮะ..”

    ..

     

    แกร้ก

    ตะโกนทำบ้าอะไรดังแบบนี้!!ฉันตื่นนานแล้วโว้ย”

     
    -__-;;

    แบคฮยอนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าผมจะเดินมาเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง เขาเปิดมันออกทั้งๆที่ผมยังไม่ทันเริ่มหมุนลูกบิดด้วยซ้ำ ประตู่บานสีน้ำตาลของห้องที่ถูกเหวี่ยงเผยให้เห็นใบหหน้าและผมเผ้าของเจ้าหมอนี่ยุ่งเหยิงไปหมด ยุ่งเหยิงพอๆกับห้องที่รกเลอะเทอะด้านหลังนั่น
    ผมจ้องมองพื้นห้องที่มีแต่เศษกระดาษหล่นไปทั่วก่อนที่จะเดินเบี่ยงหลบเจ้าหมาเข้าไปวางแมคบุคตัวเองบนโต้ะทำงานฝั่งตรงข้ามโต้ะทำงานของเขา เจ้าหมอนี่กำลังพูดบางอย่างพึมพำไม่เลิกเหมือนคนแก่ไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด

     

    “รู้อะไรไหม คยองซูตื่นมาบ่นฉันแต่เช้า เจ้าหมอนั่นกลับมาวิญญาณอาจุมม่าสิ่งอีกละ เขาทิ้งแฟ้มแต่งเพลงของฉันไปรึปล่าวก็ไม่รู้ หาไม่เจอเลยเนี่ยะ ...อยากจะบ้าตาย ไปอยู่ไหนก็ไม่รู้”

     

     เจ้าหมาร้องเอะอะเสียงดัง เขาย่อตัวมุดเข้าไปใต้เตียงสองชั้นอย่างกเงิ่นเพื่อตามหาสิ่งของ “ฉันสาบานเลยว่าจะไม่ปล่อยให้หมอนั่นเข้ามาในห้องอีกละ ...โอ้ย ขยะก็เต็มไปหมด— นี่ไอ้แว่นบ้านี่ฉันทิ้งนะ มันจะทิ่มฝ่าเท้าฉันทะลุมั้ยวะเนี่ยะ!!

     

    ความจริงผมก็ไม่สนใจในสิ่งที่แบคฮยอนพูดสักเท่าไหร่ เวลาที่เขาโมโหก็มักจะบ่นเหมือนหมีกินรังแตนแบบนี้เสมอๆ

     

    สิ่งที่ผมสมควรทำก็คือปล่อยให้เค้าเอะอะต่อไปเรื่อยๆดูท่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

     

    แต่ทว่าการที่เขาจะเหยียบข้าวของของผมที่มันนอนแอ้งแม้งอยุ่บนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจนี่สิ

     

    “เห้ย เอาๆของฉันมา มันไปอยู่บนพื้นได้ไง ปกติมันอยู่บนโต้ะของฉันนี่” ผมตั้งสติทันทีที่เห็นเจ้าสิ่งของที่แบคฮยอนว่า

     

     “จะไปรู้หรอ ฉันค้นๆหาของจนรอบ รู้อีกที ของบ้ามาจากไหนไม่รู้กระจายทั่วห้องไปหมดละเนี่ยะ โอ้ยยย”

     

    ผมก้าวยาวๆไปคว้าแว่นเทียนสีบานเย็นขึ้นมาจากพื้นก่อนที่จะเป่าฝุ่นที่เกาะมันอยู่เต็มไปหมด แกเกือบตายแล้วรู้รึปล่าว

    ตัวอักษรHappy Birthdayบนนั้นมันทำให้ผมนึกถึงวันเกิดของตัวเองที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมานี้

    ความจริงผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บมันเอาไว้หรอก

    ...
    ช่างเถอะ ผมไม่อยากเล่าถึงประวัติความเป็นมาของมันสักเท่าไหร่

     

    “นายรู้รึยังเย็นนี้เรามีงานนะ” ผมพูดกับคนสติแตกที่เดินพล่านไปทั่วไม่ยอมหยุดอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆล้นปรี่ไปด้วยภูเขาขยะ คนตัวเล็กดูจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่นัก เขาพูดทั้งๆที่สายตายังคงสอดส่ายไปรอบๆ

     

    “งานอะไรอีก?

     

    “เราต้องไปงานแต่งรุ่นพี่ฮงรกกี”

     

    “ปกติเค้าก็ส่งตัวแทนของบริษัทเราไปไม่ใช่รึไง ทำไมต้องขนพวกเราไปทั้งหมดเยอะแยะด้วยเนี่ยะ ไหนบอกจะให้หยุด พูดงี้โกหกกันชัดๆ”

     

    “คิดว่าฉันอยากจะออกจากหองั้นสิ สงสัยที่โรงแรมนู่นสื่อคงยุ่บยั่บ นายก็รู้ว่าแต่ละครั้งที่เราเดินสายโปรโมตวงมันต้องเปลืองแรงจ้างใครต่อใครมาทำข่าว แต่ฉันว่างานประเภทนี้ ดารา เซเลบที่ไปนอย่างน้อยคนพวกนั้นก็ต้องทำข่าวทุกคนเป็นปกติอยู่แล้ว ไหนๆก็ไหน พอเราไปก็ได้ลงหน้าข่าวฟรีๆ ไม่เปลืองต้นทุนบริษัทดีละมั้ง ...รีบเก็บของเหอะ ฉันขี้เกียจโดนบ่นไปด้วยอีกคน หมอนั่นต้องเข้ามากำชับพวกเราให้เตรียมตัวก่อนเที่ยงแน่ๆ”

     

    “คยองซูยิ่งกว่าแม่ฉันอีกว่ะ =_= .....เห้ยๆ ....นั่งบื้อทำบ้าอะไรเล่า ช่วยฉันเก็บเศษกระดาษตรงนั้นดิ้  ฉันต้องมีเวลาเผื่อนิดหน่อยกะว่าจะอาบน้ำในรอบสามวันนี้อะ อากาศหนาวจะแย่ แต่ถ้าไม่อาบที่หอยังไงซะเราไปร้านทำผมก็ต้องสระผมอยู่ดี ..ดูสิ ผมฉันเหนียวไปหมดเลย-_-;;

     

    ผมจ้องมองแบคฮยอนที่เริ่มขยี้หัวเหนียวหนืดของตัวเองไปมาจะเพื่อพิสูจน์ความเน่าหรืออะไรก็ตามที แต่เขากำลังทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ไม่แปลกที่คยองซูจะบ่นเราสองคนไม่เลิกจนถึงทุกวันนี้

    เพราะหมอนั่นแตกต่างกับพวกเราโดยสิ้นเชิง เขายังคงอาบน้ำวันเว้นวันในอาทิตย์ที่มีอุณภูมิดิ่งลงติดลบมากกว่า-12องศา

    เชื่อเลย..-_-

    หรือมันอาจจะเป็นเหตุผลที่เขามีกลิ่นตัวที่หอมบบนั้นตลอดเวลารึปล่าวนะ...

     

    ..

    อะ..

    -_-;;

    ผมว่าผมควรจะตั้งใจช่วยแบคฮยอนเก็บของดีกว่า ไว้เจอกันในไดอารี่เย็นนี้นะครับ^^

     

     ++

     

     



     

    บันทึกของปาร์คชานยอล

     

    วันที่25/11/2012

     

    #ของเล่นชิ้นใหม่#สวยรึปล่าวครับ^^#แค่ความบังเอิญ -0-

     

     

     

     

    “สุขสันต์วันเกิดนะชานยอล”

     

    “อะไรนะ!!

     

    “สุขขขขสันต์วันเกิดนะะะะ^o^!!

     

    เด็กชายตัวเล็กที่กำลังวิ่งไปรอบๆเวทีที่คุ้นเคยอย่างสนุกสนานตะโกนแทรกเสียงดนตรีที่อึกทึกพลางยืนแว่นตาสี่บานเย็นรูปร่างเค้กวันเกิดให้กับร่างสูงที่กำลังร้องเพลงไปพร้อมกับแฟนคลับที่โห่ร้องอย่างสนุกสนานกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายในรอบปีที่กำลังจะจบลง ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่Snเลือกให้เป็นประเทศปิดฉากทัวร์ที่แสนยาวนานตลอดปลายปี
    ศิลปินร่วมกว่าสี่สิบชีวิตบนเวทีกระจายไปทั่วเวทีขนาดกว้างเพื่อทำการแสดงเพลงปิดท้าย


    เด็กชายตัวสูงหยิบแว่นตาสี่เหลี่ยมขึ้นมาสวมทันทีที่เพื่อนตัวเล็กได้วิ่งหายไปกับรุ่นพี่อีกสามสี่คนที่มุมเวทีถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจและมีท่าทียินดียินร้ายในตอนแรกก็ตาม มีเพียงรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อเมื่อเจ้าของแว่นตัวเล็กได้หันหลังลับสายตาไป
    เด็กชายตัวโตสวมใส่มันในช่วงสั้นๆเพียงไม่กี่นาที ไม่นานนักเขาก็รีบถอดมันออกและแอบเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงยืนส์ตลอดจนการทำงานสิ้นสุดลง


    ชานยอลเพียงแต่โกหกคยองซูในภายหลังว่าโยนมันทิ้งให้แฟนคลับไปแล้ว

     

    หลังจากคอนเสิร์ตอันยาวนานจบสิ้น เขารับรู้ได้ว่าเพื่อนตัวเล็กคงจะรู้สึกแย่ทันทีที่รู้เรื่อง เจ้าเด็กเตี้ยไม่พูดคุยกับร่างสูงอีกเลยหลังจากนั้นเป็นต้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะหาเรื่องพูดจาด้วยยังไงก็ตาม


         

    คุยกับฉันหน่อยสิคยองซู!

     

    มีคลิปมากมายที่ถูกถ่ายไว้จากสนามบิน ซึ่งนั่นราวกับว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงความน่าอับอายของปาร์คชานยอลและทำให้เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน 

        

    แต่การที่เขายังคงเก็บของชิ้นเล็กเอาไว้กลับเป็นความลับสุดยอด ที่เด็กชายตัวสูงไม่อยากให้ใครรู้เลยมากกว่าคลิปร้อยแปดพันเก้าที่หลุดออกไปสู่โลกอินเตอร์เน็ต

    หนึ่งในอีกสาเหตุหลักที่เด็กชายหวงไดอารี่จากโนตบุคราคาแพงตลอดเวลาเพราะการถ่ายรูปและบันทึกมันลงไป

     

    ปาร์คชานยอลมักจะถือเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่คับโลกเสมอ...

    แต่ทว่า อย่างน้อยๆเขาก็คิดว่ามันยังคงมีความสำคัญอยู่บ้างนิดหน่อยในความรู้สึก

     


    แว่นตาเด็กเล่นเป็นของขวัญชิ้นแรกของปี

     


     ก่อนที่คนอื่นๆจะนึกได้

     


    ก่อนที่วันเกิดจริงๆของเขาจะมาถึง เพราะยังไงซะ วันเกิดของปาร์คชานยอลก็เปรียบได้กับวันทำงานวันหนึ่งอยู่ดี เด็กชายยังคงต้องจัดมีตติ้งพร้อมกับเพื่อนๆทั้งหมด และพูดคุยกับแฟนคลับด้วยสคิปที่ไม่มีใครรู้เหมือนเช่นเคย กิจกรรมที่ถูกจัดเรียงมาก่อนหน้าเพื่อความสนุกสนานและเอาใจกลุ่มคนทติดตามผลงานที่ได้เป็นผู้โชคดีเข้ามามีติ้งแบบปิด

     


    มีของขวัญมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าหมาหลังงานวัดเกิดสิ้นสุดลงจนถึงตอนนี้ก็ยังคงต้องเก็บเอาไว้ในตู้เก็บของเพราะด้วยความที่ไม่สามารถนำมาใช้ทีเดียวได้หมด ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ก็ตาม

     


    แต่ของขวัญชิ้นแรกของปาร์คชานยอลในวันเกิดครอบรอบ21ปีก็คือแว่นตากันแดดติ้งต๊องอันนั้นอยู่ดี

    คนที่จดจำมันได้คนแรกก็คือเจ้าเด็กชายตัวเตี้ยคนเดิม

     

     50%

    ++++++++++++++++++++++++++++



     

    00.45น.

     


     

    การ์ดแต่งงานสวยรึปล่าวครับ#เซฮุนทำมันเลอะ=_=#ปวดขามากเลย#แบบคอกเทลที่แสนโหดTT엉엉엉~





     


    #ก่อนเริ่มงาน#คังอีริน#เมเนเจอร์นูน่าสุดโหด#เจอกันปีหน้านะชานยอล TT#ผมอาจโดนฆ่า



    ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าถึงผมจะขายาวและตัวสูงขนาดไหน เจ้าอวัยวะที่คนบ่นอิจฉานั่นมันมักจะปวดเมื่อยง่ายกว่าคนอื่นทุกที ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่เรายืนฟังระเบียบพีธีในงานมงคลวันนี้ไม่กี่ชั่วโมงด้วยการรับประทานอาหารแบบคอกเทลนั่นก็ทำให้ผมแทบสิ้นใจ คุณคงเข้าใจใช่ไหมครับว่ารูปแบบกึ่งคอกเทลแบบนี้ไม่มีโต้ะกับเก้าอี้นั่งพอให้พวกเราทั้งสี่ห้าคนได้หย่อนก้นลงไปเลย และถึงแม้ว่างานจะแบ่งเป็นสองโซนก็ตามทีเพื่อแยกระหว่างสื่อมวลชนกับเฉพาะแขกที่มางานส่วนหนึ่ง ผมก็ยังสำผัสได้ถึงความจอแจและอึดอัดราวกับว่าจะขาดอากาศหายใจ


    วันนี้พี่คังรินหนึ่งในเมเนเจอร์ที่คนทั่วไปไม่ค่อยเห็นนักเพราะเธอจะทำเพียงแค่ประสานงานภายในเป็นหน้าที่ประจำมากกว่าเข้ามาจัดการระบบตารางคิวงานของexoทั้งหมด แต่เพราะพี่อิมคยุนยังคงอยู่ที่ปูซานและเมเนเจอร์คนอื่นๆยังคงอยู่ในระหว่างพักผ่อนยาว ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่พี่ซูโฮจำเป็นต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าออกไปสนามบินด้วยภาระกิจต้อนรับพี่คังรินหลังจากกลับจากฮ่องกงจากงานประจำในตำแหน่งอื่นที่ยังติดต่อไม่เสร็จดี เธอเข้ามาจัดแจงกำหนดงานต่างๆและติดต่อสปอนเซอร์จากข้อมูลที่พี่ซูโฮยังคงมีรายละเอียดเก็บไว้กับตัวนอกเหนือจากเมเนเจอร์ประจำที่ดูแลพวกเราอยู่

     

    พี่คังรินเป็นพี่สาวที่สวย แต่ดุเป็นบ้า-_- ผมไม่คุ้นเคยกับเธอเท่าไหร่เลยให้ตายสิ วันนี้ตลอดช่วงเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้าและมีแต่ความตึงเครียด

     

    พวกเราทั้งห้าไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่รวมไปถึงพูดคุยกันได้น้อยลงเพื่อสำรวมบุคคลิกอย่างที่ได้ตกลงมาตั้งแต่ต้น


    ผมยังคงต้องยืนเคียงข้างแบคฮยอน และคยองซูก็ยังคงต้องอยู่ขนาบไปกับจงอินตลอดทั้งงาน พี่คังรินบอกว่ามีแฟนคลับส่วนนึงที่มีเส้นสายจากแขกหรื่อที่ถูกรับเชิญมาจำนวนมากเพื่อเข้ามาแอบเก็บภาพซึ่งเราไม่สามารถกั้นคนพวกนั้นให้ออกไปได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตัวให้อยู่ในกฏเกณฑ์ที่มีมาแต่เริ่มแรกอย่างเคร่งครัดจะเป็นผลดีที่สุด

     

    ผมยังคงต้องทนฟังแบคฮยอนบ่นถึงแฟ้มที่เก็บชีทเนื้อเพลงของเขาตั้งแต่นั่งอยู่บนรถยันอยู่ในงาน เซฮุนโดนพี่คังรินดุเข้าไปเล็กน้อยหลังจากเขาเริ่มบ่นกับของกินที่ไม่มีแม้กระทั่งโต้ะให้นั่ง

     

    แต่ผมไม่มีอารมณ์กินอะไรเท่าไหร่หรอก

     

    โดยเฉพาะเสียงงุ้งงิ้งนั่น

     

    “วันนี้ชานยอลเท่ห์มากเลยน้ะ^^

     

    นั่นคือคำพูดของคยองซูที่โพล่งออกมาระหว่างที่ผมกำลังยืนฟังพิธีกรพูดถึงเรื่องราวความเป็นมาของเจ้าสานแสนสวยที่ยืนยิ้มราวกับนางฟ้าอยู่บนเวทีสีขาวบริสุทธิ์ คนมีความรักช่างดูสดใสเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าคนที่มีใบหน้าอัปลักษณ์หรืองดงามก็ตามที เรามักจะผัสถึงมันได้


    มันแย่ที่ผมไม่มี.......

    ไม่สิ 

    ผมห้ามที่จะมี ...ผมมีไม่ได้
    =_= วันหนึ่งวันผมเจอได้เพียงแค่เพื่อนสี่ห้าคนเท่านั้น ผมเจอหน้าพี่ซูโฮ โอเซฮุน บยอนแบคฮยอน คิมจงอิน และเจ้าเตี้ยโดคยองซูมากกว่าพ่อแม่ของตัวเองด้วยซ้ำไป

     

    ผมเลยไม่มีความรักอีก..

     

    หลังจากการเมินเฉยที่แสดงออกไปคยองซูดูท่าจะไม่ได้พูดจาอะไรกับผมมากไปกว่านั้น หลังจากที่ผมไม่แม้แต่จะโต้ตอบคำพูดของเขาที่เอ่ยออกมา

     

    หมอนั่นไม่รู้รึไงว่านี่เวลางาน  เขาสมควรจะไปพูดคุยกับคิมจงอินโน่น

     

    -_-

     
     

    ใช่สิ..

    นั่นคือสาเหตที่ผมไม่ยอมคุยกับเขาสินะ ...ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเพราะเรื่องงาน ผมเลยทำได้เพียงมองแผ่นหลังเล็กๆนั่นแค่นั้น จดจ้องแผ่นไหล่อันบอบบางเคลื่อนไหวไปมา วัตถุอย่างเจ้าหมอนี่ทำให้สายตาของผมไร้อิสระ ผมต้องก้าวขาออกให้ห่างจากคยองซูทุกครั้งที่ผมลืมตัวเดินเข้าไปหา อาจจะเพราะการพยายามเพ่งจ้องไปที่เวทีที่ไกลเกินไปหรืออะไรก็ตาม

     

    ผมลืมแม้กระทั่งการตอบคำถามร้อยแปดของแบคฮยอนที่คอยจะวกวนแต่เรื่องเดิมๆและพยายามจะให้ผมมีส่วนร่วมในความทรมานใจครั้งล่าสุดเกี่ยวกับกองกระดาษที่ถูกกำจัดทิ้งไป ถ้าหากเขาสังเกตสีหน้าบอกบุญไม่รับของผมสักนิดก็คงดี แบคฮยอนยังคงไม่รับรู้ถึงสมองของผมที่ยังคงไม่มีสมาธิด้วยคำพูดจาน่ารำคาญไม่จบสิ้น ผมทำได้แค่ยกฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดูเป็นระยะๆ เพื่อปล่อยเวลาที่เดินอย่างเชื่องช้าให้รีบๆหมดไป


    เพราะถ้าหากผมยังคงเงยหน้าและมองไปรอบๆ 


    เจ้าเด็กนั่นก็จะอยู่รอบๆผมไปด้วย


    ดวงตาที่ไรเดียงสาแบบนั้นทำให้ผมปั่นป่วน


    ริมฝีปากเล็กอิ่ม ทันที่ที่มันขยับขึ้นไปมาและส่งยิ้ม มันกลับทำให้หัวใจของผมเต้นรัว

     

    ถ้านายไม่ใช่กบโง่หรือโดคยองซู ฉันคงคิดว่านายเป็นแม่เหล็กชิ้นเบ้อเริ่ม ที่พยามยามดูดสิ่งของรอบข้างให้เข้าไปติดกับ ผมอาจจะเป็นเศษเหล็กชิ้นโตที่กำลังถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าหมอนั้นอยู่เรื่อย ไม่ว่าพวกเราจะย้ายกลุ่มไปทางไหนผมมักจะพบว่าคยองซูจะอยู่ข้างซ้าย ไม่ก็ข้างขวา หรือข้างหน้าผมเสมอ

     

    หรือเป็นเพราะฝันสุดแสนจะห่วยแตกเมื่อคืนกันนะ ความรู้สึกผมถึงเหมือนจะกลับมาปั่นป่วนอีกครั้งนึง

     

    เขาทำให้ผมไม่กล้าแม้กระทั่งจะยกมือโอบไหล่ได้เหมือนแต่ก่อน

     

    เขาทำให้ผมต้องย้ายที่ยืนทุกครั้งที่ถ่ายรูป

     

    คยองซูนายกำลังทำอะไรกับฉัน

    นายเริ่มทำให้ฉันนอนไม่หลับอีกครั้งนึงแล้วรู้ตัวบ้างรึปล่าว

    นายรบกวนแม้กระทั่งในความฝันของฉันเจ้างั่ง

    ..



    ผมขอโทษนะครับที่จะต้องจบไดอารี่ของตัวเองเพียงเท่านี้ทั้งๆที่ผมไม่ได้บันทึกมันตั้งแต่เมื่อวาน

    ช่วงนี้ผมไม่สมควรเอาอารมณ์ฟุ่งซ่านและเพ้อเจ้อแบบนี้เก็บเอาไว้บนหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอยู่ได้เป็นสิบๆปีแบบนี้-_-…

    ….


    หรือว่า อันที่จริง ผมสมควรที่เลิกนอนนอกห้องสักที เพราะมันจะทำให้ผมเห็นประตูห้องนอนของคยองซู ถึงแม้กระทั่งตอนนี่ที่ผมกำลังนั่งพิมพ์แมคบุคอยู่ก็ตาม ผมก็ยังคงแบกมันขึ้นมาไว้บนตักเพื่อจะจ้องไปที่หน้าบานประตูสีขาวนั่นตลอดเวลา

    =_=

    ผมเริ่มอยู่ไม่สุขภายใต้พื้นที่ส่วนตัวเล็กๆของตัวเองอีกครั้งหรือจะเป็นเพราะผมไม่ได้พูดกับกับเขาแม้แต่คำเดียวตลอดทั้งวันที่ผ่านมานอกเหนือการอัดช็อทวีดีโอแนะนำโครงการของบริษัทและการแนะนำวงต่อหน้าสื่อในงานแต่งงาน-*-
    ไม่มีแม้กระทั่งประโยคบอกเล่าง่ายๆสักประโยค

    ผมรู้สึกผิดหวังในความพยายามของเขาที่หมดลงไปอย่างง่ายดายกว่าปกติในการกระตุ้นประสาทการพูดจาของผมที่มันมักจะเงียบลงอย่างไร้เหตุผลเหมือนดังเช่นในวันนี้

    ผมกำลังทำในสิ่งที่คิมเยจินพูด ผมกำลังรอเขาให้ออกมาจากห้องใช่ไหม=_=

    ...

    ทุกคืนเขาจะออกมานี่

    ไม่สิเมื่อวานเขาไม่ออกมา ผมก็แค่ฝันไป ....ฝันที่ก่อตัวจากความฟุ่งซ่าน

    แล้วผ้าห่มปัญญาอ่อนผืนนี้ละมันจะมาได้ยังไงกัน!!

     

     

    -o-เป็นบ้าอะไรวะ”

     

    เสียงสูงของใครสักคนที่อยู่รอบๆทำให้ผมหยุดการชักดิ้นชักงอกับผ้าผืนกว้างบนโซฟาลง แบคฮยอนยืนอยู่เหนือผมในขณะที่เขากำลังถือขวดน้ำออกมาเติมนอกห้อง สีหน้าของเจ้าหมอนี่ดูงุนงงกับการกระทำของผมไม่ใช่น้อย

    -_-ผมรีบชันตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปกติที่สุดก่อนจะตอบเขาไป

     

    “ปล่าว...ร้อน...”

     

    “หนาวติดลบขนาดนี้ยังร้อนอีกรึไง โคตรโรคจิตเลยวะชานยอล”

     

    “เออ ฉันโรคจิต...”  ผมพูด น้ำเสียงผมดูผิดปรกติไปไหม หรือว่าสีหน้าของผมดูหงิกงออีกรึปล่าว คงไม่หรอกน่ะ -*- เอาล่ะ การปรากฏตัวของเจ้าหมาจอมโวยอาจจะเป็นเรื่องดีที่มันทำให้ผมคิดถึงอะไรบางอย่าง


     “ถามอะไรหน่อยสิ เมื่อเช้าที่นายตื่นขึ้นมาตั้งกะไก่โห่อะ ได้ออกมานอกห้องมั่งรึปล่าว”

     

    “ก็ออกดิ เจ้าคยองซูถึงรู้ว่าฉันตื่นเลยบุกเข้าไปทำลายห้องฉันไงเล่า=_=

     

    “ใช่ด้วย.........แล้ว..ที่ฉันนอนมีฮีตเตอร์อันเล็กๆวางอยู่มั้ย”
    ผมสร้างคำถามเพื่อหาหนทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากความว้าวุ่นในตอนนี้ แบคฮยอนหรี่ดวงตาเล็กๆลงราวกับว่ากำลังครุ่นคิด

     

    “ฮีตเตอร์หรอ......”เพื่อนจอมเอะอะของผมหยุดคำพูด เขาทำท่าเหมือนคนเพ่งกระแสจิตอยู่ครู่ใหญ่... 
    “ฉันว่าฉันเห็นนะ....ทำไมวะ จะใช้หรอ ฉันเห็นคยองซูยกมันไปเก็บไว้ในห้องแต่งตัวเมื่อเช้าอะ ฉันนึกออกละ...ข้างในสุดในตู้เก็บรองเท้าเลยนะ"

    ประโยคกระทัดรัดของคนแซ่บยอนทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเกรดหก สมัยที่พึ่งหัดเรียนการหารยาวครั้งแรกและภายหลังปรากฏว่าทำโจทย์ออกมาแล้วเหลือเศษย์เท่ากับศูนย์
    มันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และคำตอบมันก็โป้ะเช้ะลงตัว!

     

    “เจ้าบ้านั่นเป็นคนเอามันไปเก็บจริงๆ..~!!นายต้องเป็นพยานนะ ว่านายเห็นเขาน่ะ! บยอนแบคฮยอน

     

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองแหกปากร้องลั่นออกไปดังขนาดไหนใส่บยอนแบคฮยอนที่ถลึงตาดวงเล็กๆเบิกโพลงด้วยความตกใจ แขนสองข้างของผมเขย่าตัวเจ้าหมาจนหัวยุ่งๆของเขาโคลงเคลงไปหมด ราวกับว่าเขาไม่อาจจะทนพฤติกรรมเหมือนคนเป็นโรคจิตอ่อนๆอย่างผมได้ ในที่สุดแบคฮยอนเลยตัดสินใจสะบัดมือของผมออกก่อนที่จะร้องตะโกนกลับ

     

    “เห้ยๆๆคอจะหลุด!! หนาวอะสิ้ แล้วก็ชอบบ่นว่าฉันทำให้ห้องเหมือนเตาอบ บ้าเอ้ย... เขย่าจนปวดไปหมด โน่นๆ อยากไปเอามาใช่ก็โน่นไปหยิบมาเสียบเองนะเว้ย ไม่ทำให้”

     

    ผมไม่ได้สนใจคำพูดของงเพื่อนตัวเล็กสักเท่าไหร่ก่อนที่จะปล่อยให้เขาเป็นอิสระและเดินงุ่นง่านไปรองน้ำจากในตู้เย็นเพื่อเอาไปดื่มในห้อง

     

    ตลอดทั้งวันมาผมเพียงแต่รู้สึกว่าผมยังจดจำสำผัสที่ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้อยู่ตลอดเวลา 
    ร่างกายที่อบอุ่น และบอบบาง ..รวมไปถึงกลิ่นหอมจากเส้นผมและเนื้อตัวที่ไม่เหมือนใคร..

    แต่กลับไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าเรื่องนั้นมันเป็นความจริง


    ผมมั่นใจว่ามีเจ้าหมอนั่นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เอาฮีตเตอร์มาให้ผมใช้ในวันที่หนาวเหน็บตลอดคืนที่ผ่านมาพร้อมๆกับผ้าห่มผืนเดิมที่ผมสั่งให้เขาเอามันไปเก็บเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ที่ผมสวมกอดคยองซูก็น่าจะเป็นความจริงไปด้วย เพียงแต่เขาแลดูไม่สนใจกับสิ่งที่ผมทำลงไปเลยก็เท่านั้น ผมยังคงเห็นคยองซูอยู่กับคนอื่นด้วยใบหน้าที่สดใสท่ามกลางผมที่ยังคมมีความรู้สึกที่ว้าวุ่นไม่เลิก คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าบยอนแบคฮยอนจะเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่ผมอยากจะระบายออกมาให้หมด แต่ติดที่ว่าสิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถบอกใครได้ถึงอาการแปลกประหลาดเหล่านั้น

     

    อาการที่ผมมีให้กับเพื่อน แล้วเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกับตัวเอง

    ผมจะจัดการกับมันอย่างไร..?

    คยองซูทำให้ผมสงบลงทุกครั้งที่ร่างกายและความคิดของผมวิ่งพล่านไปหมด

     

    เขาทำได้จริงๆ

     

    ทันที่ที่เขากำลังเมินเฉย หรือกำลังยิ้มและหัวเราะด้วยใบหน้าที่มีความสุขให้กับคนอื่นมันทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ผมจะเฝ้าหลอกตัวเองตลอดว่าผมสบายดีก็ตามที

     

    เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมไม่ได้พูดคุยกับหรือพยายามจะวิ่งหนีออกไปให้ห่าง ผมก็มักจะพบว่าตัวเองกำลังวิ่งกลับมาที่เดิมทุกครั้ง

     

    ผมอุตส่าห์กอดเขาไปแบบนั้น ผมสับสนแค่ไหนกว่าจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่ผมปฏิเสธมาตลอดชีวิตแบบนั้นได้ ทำไมเจ้าเตี้ยถึงไม่รับรู้อะไรสักอย่างเลยล่ะ หรือเป็นเพราะเขารักจงอินมากมายรึไงกัน =_=

     

    อ่า..

    =_=

     

    ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ก็ไม่รู้

     

    ชานยอลนายเข้าขั้นบ้าแล้วล่ะ....ตกกลางคืนนายก็บ้าอีกแล้วสินะ..

     

    ผมไม่รู้ความบ้าของตัวเองมันมาถึงขั้นไหนแล้ว เพราะรู้สึกตัวอีกทีขาสองข้างก็ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องคยองซูและจงอิน


    แบคฮยอนกลับไปที่ห้องเป็นที่เรียบร้อยด้วยน้ำปล่าวหนึ่งขวดอย่างที่เขาต้องการ คงไม่อยากจะจินตนาการเท่าไหร่ถ้าหากเขาได้มีโอกาสเห็นปาร์คชานยอลผู้ยิ่งใหญ่ในสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้.....

     

    ผมเฝ้าจ้องมองประตูสีขาวสะอาดด้วยความรู้สึกที่อธิบายออกมาไม่ได้ ผมอยากตะโกนเรียกเขาให้ออกมา วันนี้ทั้งวันผมไม่ได้คุยกับเขาสักประโยคด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆคืนนี้เขาก็สมควรจะทำอะไรให้ผมกินสักหน่อย แต่เพราะผมโดนคำสั่งให้ควบคุมนำหนัก ทุกคนกำลังจำกัดมื้อของว่างทั้งหมด มันเลยเป็นสาเหตุที่คยองซูเลิกทำอาหารเย็นไปแล้ว

     

    แต่ตอนนี้ผมหิวรึปล่าวนะ  ผมรู้สึกหงุดหงิดจังเลย -_-

     

    สิ่งนั้นไม่ใช่สาเหตุหลัก เพราะทุกครั้งที่เซฮุนบ่นว่าหิว หรืออยากจะได้อะไรล้างท้องไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ คยองซูจะดิ่งมาที่ตู้เย็นเพื่อสรรหาอะไรให้เจ้าเด็กนั้นกินทันทีอย่างไม่ลังเล

     

    ตอนนี้ผมอยากให้ทำกับผมแบบนั้นบ้าง

    ผมคิดวกวนพลางคว้ามือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงวอร์มออกมาก่อนที่จะกดเบอร์เจ้าหมอนั่นลงไป ปลายนิ้วหยาบสำผัสตัวเลข11ตัวบนหน้าจอภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที มันน่าร้อนใจอย่างเหลือเชื่อ..

    ผมเอนตัวทิ้งน้ำหนักบนผนังห้องให้แผ่นหลังกว้างได้ผ่อนคลายและเฝ้าคอย

     

    ก็แค่เที่ยงคืนกว่า หวังว่าเขาคงยังไม่นอนสินะ   .... ผมภาวนาแบบนั้นอยู่ในใจไปเรื่อยๆระหว่างการรอสายที่แสนยาวนาน

     

    ตึก ..ตึก. ตึก~

    =*=

    ผมอยากจะเอากำปั้นทุบลงไปบนหน้าอกให้มันเลิกทำท่าทางบ้าๆแบบนั้นไปซะ

     

    หัวใจของผมเต้นแรงอีกแล้ว

    ….

     

    และดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดพยศง่ายๆ ผมได้แต่สูดหายใจเข้าไปจนสุดปอด ก่อนที่จะผ่อนออกมาช้าๆเพื่อบรรเทาอาการประหม่าอยู่แบบนั้น

     

    ทำไมมันถีงเนิ่นนานแบบนี้ เจ้าบ้านั่นคงไม่ได้ปิดเสียงแล้วหลับไปแล้วใข่ไหม....

     

    นั่นสิทำไมผมต้องมาลากเขาออกมาจากเตียงยามวิกาลแบบนี้ด้วย

     

    บ้าจริง

     

    ผมคิดกลับไปกลับมาด้วยความสับสนอลหม่านของสมองซีกซ้ายขวาที่ทำงานร่วมกันอย่างไม่สามัคคี หากมันต้องเป็นแบบนั้น นายคงต้องถอดใจแล้วล่ะชานยอล....

    นิ้วหัวแม่มือที่สั่นไหวของผมแสดงถึงความประหม่าที่จุกแน่นไปทั่ว
    มันพร้อมที่จะกดวาง
    แต่ทันใดก็กลับได้ยินปลายสายที่เฝ้ารอกดรับและเอ่ยทักขึ้นมาในที่สุด

     

    (ฮัลโหล....)

     

    “...นะ...นายหลับรึยัง”

    ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
    แต่กลับกัน คยองซูยังคงมีน้ำเสียงที่สดใส ราวกับว่าเขายังไม่ได้พักผ่อน ..ผมกำลังทำอะไรกัน

     

    (ฉันยังไม่นอนหรอก ชานยอลมีอะไร)

     

    “ฉันหิว”

     

    (ชานยอลต้องไดเอ็ทนี่นา....หรือว่านายทนไม่ไหวหรอ)

     

    “ปล่าว....นายออกมาหน่อยสิ “

     

    (ฮะฮะ^^ฉันเข้าใจละล่ะ นั่นสิ เราอยู่แค่นี้เอง จะโทรให้เปลืองทำไมสิ รอฉันแปปนะ)

     

    แค่นั้นเอง ผมกดวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัว

     

    ผมเห็นรอยยิ้มของตัวเองสะท้อนกับแผ่นฟิล์มเคลือบหน้าจอมือถืออีกแล้ว มันฉีกกว้างอยู่แบบนั้นจนผมรู้สึกตัวและรีบหุบมันลงเพราะเสียงประตูข้างหน้าที่กำลังเปิดออก คยองซูในชุดฮู้ทสีขาวตัวใหญ่กำลังเดินด้วยท่าทางผ่อนปลายเท้าราวกับว่าจงอินได้เข้านอนไปแล้ว


    ...ลมอุ่นที่พัดวูบออกมาจากห้องมีกลิ่นหอมแบบที่ผมชอบลอยฟุ้งชวนผ่อนคลาย


    ตึก. ตึก ตึก ตึก..

    O_O
     

    เสียงอะไรบางอย่างในตัวของผมดังขึ้นอีกครั้งทันทีที่เห็นใบหน้าสีขาวและรอยยิ้มสดใสแบบนั้น คยองซูยกยิ้มจนดวงตากลมนั้นชิดกินเหมือนพระจันทร์ลูกเล็กๆ เขาถามผมด้วยคำพูดเรียบร้อยๆเหมือนเดิม

     

    “ชานยอลหิวอะไรล่ะ นมเอามั้ย พี่ซูโฮซื้อให้เซฮุนเอาไว้ มันไม่อ้วนหรอก ฉันอุ่นให้^^” คยองซูเดินนำผมออกไปยังห้องครัว มือเล็กของเขาซุกเอาไว้ใต้เสื้อกันหนาวตัวยักษ์นั่น มันบ่งบอกว่าเขากำลังหนาวขนาดไหน

     

    ผมเพียงแต่เดินตามคนตัวเล็กไปอย่างเงียบๆ

     

    ความจริงก็คือผมไม่ได้หิวหรอก

     

    ผมแค่เห็นเขาเคลื่อนไหวไปมาอยู่แบบนี้ก็พอที่จะทำให้ท้องไส้และความปั่นป่วนสงบลงไปจนเกือบหมด

     

    คยองซูยังคงทำนู่นนี่ให้ใครๆด้วยท่าทีที่ไม่จักเบื่อแบบนี้เสมอเลยรึปล่าวกัน

     

    “นายไม่โกรธฉันหรอที่เรียกออกมาดึกๆแบบนี้”

    ผมถามเจ้ากบตาปูดออกไปในขณะที่เขาเริ่มรินนมลงแก้วเข้าสู่ไมโครเวฟ คยองซูหมุนเลื่อนเวลาการตั้งอุณภูมิพลางหันกลับมา

     

    “เรื่องแค่นี้ฉันไม่เหนื่อยหรอกน่า^^”

     
    ....

    “นมฉันอุ่นกินเองได้นายก็รู้....แล้วนายจะลุกมาทำไม”

     

    “....”

     

    ผมไม่ได้ยินคำตอบจากคยองซูอีกทั้งๆที่ในใจผมต้องการมันมากเหลือเกิน

     

    เพราะบางครั้งผมก็สับสนกับสิ่งที่คยองซูทำ ยิ่งเขาทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนได้ตลอดเวลา

     

    คยองซูยังคงทำดีกับใครๆไปทั่ว....... ยิ้มให้ใครไปทั่ว........ ถ้าหากเขายังคงทำแบบนั้นต่อไปอีก...... ผมคงต้องประสาทกินเข้าสักวันในอนาคต

     

    ผมได้แต่จ้องมองแผ่นหลังเล็กๆนั่นแล้วเงียบลงจมสู่ความสับสนของตัวเอง

     

    หากว่าความรักไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบที่ตายตัว

    หัวใจของคนเราก็คงจะเป็นอิสระใช่ไหมครับ...

    ผมสำควรกำหนดให้รูปแบบความรักของตัวเองไปในทิศทางแบบไหนดีนะ..

    ถ้าผมอยากจะเป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจต้องการ...

     

    ผมเกลียดที่เขาเงียบ และไม่พูดอะไรสักอย่างออกมา ถ้าหากเขารู้สึกตัวรวมถึงรับรู้ถึงเหตุการณ์ของเมื่อวาน ทำไมคยองซูกลับทำเป็นว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

     

    หรือว่าเขามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ

    หรือว่าเขามักจะโดนใครๆสัมผัสไปทั่วอย่างง่ายดายแบบนั้น

    ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย :(
     

     

    “เมื่อวานนายลุกไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
    ผมยังคงจดจ้องเป็นฝ่ายถามคำถามใส่ร่างเล็กที่ทำเพียงแค่ใช้ดวงตากลมๆจ้องมองกลับมาแทนคำพูด.
    มันน่ารำคาญที่เขายังคงเลือกที่จะปฎิเสธการตอบโต้ผมอยู่เรื่อยแต่เพราะแววตานั่น ..
    เพียงแค่เขาใช้อาวุธเพียงสิ่งเดียว มันกลับทำให้ผมเย็นลงในตอนจบทุกครั้ง ดวงตาที่ประดุงดั่งลูกกบตัวน้อยแต่ทว่ายังคงสดใสและบริสุทธิ์

     

    ผมรักที่มันไม่เสแสร้งเหมือนคนอื่นๆ คยองซูทำให้ผมชอบจ้องมองดวงตาของเขาอยู่แบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

     

    เจ้าเด็กเตี้ยเลื่อนนมอุ่นๆที่มีควันสีขาวลอยอยู่เหนือปากแก้วหลังจากเข้าไมโครเวฟเสร็จเรียบร้อยแล้วมาตั้งไว้ตรงหน้าผมที่ยืนรออยู่ข้างโต้ะ เขาพูดพำพัมบางอย่างจนผมต้องเงี่ยหูฟังด้วยเสียงที่แผ่วเบากว่าปกติ

     

    “ชานยอลหลับไป เหมือนจะไม่สบาย..ฉันไม่กล้าปลุก เลยปล่อยให้ชานยอลนอน" เจ้าตัวเล็กอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความไม่มั่นใจ ก่อนที่ผมจะเริ่มถอนหายใจอย่างลืมตัวเป็นรอบที่ล้าน

     

    “..อย่างนี้นี่เอง...” ผมพูด ..
    แต่ราวกับว่ามันงุมงำอยู่ในลำคอ ฟังไม่ได้ศัพท์
    ใบหน้าเล็กที้ก้มง่วนอยู่กับการทำความสะอาดหยดนมสดบนเคาว์เตอร์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไร้แรงโน้มถ่วง

    เขากำลังทำให้หัวใจของผมผิดหวัง  

     

    มันผิดหวังที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรแม้แต่สักอย่างเดียวกับสิ่งที่เขาทำให้ผมทรมานจนแทบบ้า  

     

    อ้อมกอดที่ทำให้หัวใจของผมเต้นเสียจนคิดว่ามันคงจะหลุดออกมาจากอกได้ในไม่ช้า

     

    ..

     

    “...นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง......ไม่สิฉันคงต้องขอโทษนายมากกว่าที่ทำอะไรงี่เง่าลงไป...ที่ร้องไห้แบบนั้นก็เพราะไม่ใช่เจ้าจงอินสินะ..”

     

    “ชานยอลจะขอโทษฉันทำไม..เรื่องนั้นน่ะ..”

     

    “นายคงรังเกียจฉันมากกว่า ใช่มั้ยละ ฉันชอบด่านายนี่........ ช่างเถอะ ฉันอาจจะไม่สบายอย่างที่นายว่านั่นละ ถ้างั้นก็ลืมมันซะละกัน ฉันยังไม่ได้บอกใครหรอกนะว่านายชอบจงอิน สบายใจได้..นมนี่นายก็กินซะฉันไม่หิวแล้ว จะได้สูงๆ โดคยองซูมันก็แค่เจ้าเด็กเตี้ย..”


    ผมหันหลังพาร่างกายที่อ่อนล้าเพื่อกลับที่เขตของตัวเอง แข้งขาที่ปวดเมื่อยเริ่มอ่อนแรงอีกครั้ง


    ผมควรจะจบความรู้สึกที่เลวร้ายเหล่านั้นให้รีบหมดลงไปซักที หยุดหาเรื่องทำอะไรที่ดูเหมือนคนประสาท  ในวันข้างหน้าพวกเรายังคงต้องทำงานด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องอีกสามปี สี่ปี หรือมากกว่านั้น คงจะไม่ดีถ้าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นนับจากนี้ต่อไปเพราะตัวของผมเองเป็นต้นเหตุ


    ผมได้ยินเสียงที่เริ่มสั่นเครือของคยองซูอยู่ภายหลัง เขาเริ่มพร่ำบ่นอะไรที่ยืดยาวออกมา


    “ชานยอลเอาแต่หลบฉันตลอดเวลา..ชานยอลต่างหากที่รังเกียจฉัน .....ชานยอลไม่ชอบที่ฉันเป็นแบบนั้น ชานยอลเกลียดที่ฉันชอบเพื่อนตัวเอง ชานยอลไม่ให้ฉันชอบเพื่อนตัวเอง ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง แล้วชานยอลก็ทำให้ฉันเจ็บปวดแบบนี้ ...ชานยอลทำให้ฉันเริ่มเกลียดตัวเองที่เหมือนตัวประหลาด......”  เจ้ากบตัวเตี้ยพูด เขาทำเสียงแบบนั้นอีกแล้ว เขากำลังทำให้ผมใจอ่อน เขามักจะทำตัวให้น่าสงสารเพื่อให้ใครต่อใครสนใจ

     

    นายกำลังทำให้ฉันสนใจแต่นาย คยองซู มันมากเกินไปแล้ว...

     

    “ ชานยอลไม่รู้หรอกว่าฉันเองก็เกลียดตัวเองพอๆกับที่ชานยอลรู้สึกนั่นล่ะ ..ฉัน........ฉัน----ไม่อยากเป็นตัวประหลาด ...ถ้านายอยากให้ ฮึก.....ถ้านายอยากให้ฉันเก็บมันเอาไว้ ....ฉันก็จะทำมัน เพราะชานยอลเป็นเพื่อนของฉัน...... .”

     

    ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกและเสียงสะอื้นงี่เง่าแบบนั้นอีกครั้งเป็นรอบที่สอง

     

    เพียงแค่เหลือบมองไปด้านหลัง ผมก็พบเจ้าตัวเล็กที่กำลังเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมา ผมไม่ค่อยได้เห็นน้ำตาของเขาสักเท่าไหร่ ไม่เคยแม้กระทั่งในเวลาที่เราขึ้นรับรางวัลใหญ่ทั้งสองรางวัลที่ผ่านมา คยองซูไม่ใช่เด็กอ่อนแออย่างที่คนทั่วไปอาจจะมองเห็นว่าเขาเรียบร้อยหรืออะไรก็ตามที

    -*-

    แต่สำหรับคยองซูที่ผมได้เจอตลอดสองวันนี้ เข้ากลับขี้แยเหมือนเด็กสามขวบไม่มีผิด

     

    ผมคงต้องเพิ่มข้อจำกัดความสำหรับปาร์คชานยอลอีกอย่างลงไป ผมแพ้น้ำตาผู้ชายด้วยกันเอง


    ได้โปรดเถอะโดคยองซู ไหล่ของนายที่สั่นไหวเพราะความเศร้าใจแบบนั้นยิ่งทำให้ฉันอยากเข้าไปปลอบโยน

    ฉันอยากจะเดินเข้าไปเพื่อให้นายพึ่งพิงบ่าอันไร้ประโยชน์ของฉันบ้าง

    แต่ฉันคงไม่ใช่วีรบุรุษี่จะสามาระทำลายหยดน้ำแห่งความโศกเศร้าบนพวงแก้มที่มายมายของนายให้ออกไปได้..

    ..

     

    ....

    ราวกับว่าเสียงสะอื้นเหล่านั้นๆค่อยๆหายไป ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อยๆ

     

    เจ้าเตี้ยนั่นก้มลงเช็ดใบหน้าซีดๆลงบนแขนเสื้อก่อนที่เขาจะถือนมในแก้วมาด้วยมือที่สั่นไหว

     

    ผมแสร้งเดินต่อไปเพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าผมเองกำลังหยุดยืนดูพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ต้น คยองซูสูดน้ำมูกดังฟึดฟัด  ราวกับว่าต้องการที่จะขวางไม่ให้ผมไปไหนด้วยนมอุ่นๆแก้วเดิม


    “ชานยอลกินเถอะ ฉันไม่กินแล้ว ฉันกินเท่าไหร่ก็คงไม่สูงละล่ะ ....ฉันขอโทษฉันร้องไห้แบบนี้ ไม่เท่ห์เอาซะเลย..^^ ชานยอลกินเถอะนะ ตั้งแต่ในงานแล้วชานยอลดูไม่ได้กินอะไรเลย”


    ยังคงยิ้มได้สินะ..


    นายมันสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ตายยากจริงๆ
    คยองซูยิ้มได้ทั้งที่ใบหน้ามีแต่น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนจนทั่วราวกับเด็กเล็ก

    ถ้าหากเขากลายเป็นเด็กได้เวลานี้ก็คงดีสินะ ผมจะใช่มือที่มีแทนกระดาษทิชชู่เพื่อเช็ดคราบความเศร้าเหล่านั้นออกไป

    ดวงตาทั้งสองข้างของเขาที่แดงก่ำหล่อรื้นด้วยน้ำใสๆอยู่เต็มไปหมด จมูกเล็กบนใบหน้าขาวสะอาดนั่นกำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูและก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกส่งเสียงอัดอั้นน่ารำคาญลงได้ง่ายๆ.....
     

     

    “ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆ” ผมสบถกับคนตัวเล็กดานหน้าด้วยหัวใจที่เหนื่อยเหลือเกิน

     

    ดูเหมือนว่าค่ำคืนที่ยาวนานของวันนี้จะไม่ยอมจบลงเสียที  ร่างกายที่ร้อนขึ้นราวกับภูเขาไฟไกล้จะระเบิดนั่นทำให้ผมอึดอัดและแทบจะทนไมไหวอีกต่อไปแล้วถ้าหากผมยังคงพยายามสะกดมันลงกลับไปอยู่แบบนี้
    คงมีทางเลือกอยู่ไม่กี่หนทางที่จะทำมันสำเร็จได้..
    ก็คือคยองซูต้องหายไป ...
    เขาต้องออกไปจากอาณาเขตที่ผมจะมองเห็น
    ผมจะปิดตา
    กลั้นหายใจ
    ปิดหูตัวเองไม่ให้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขา


    ที่ผ่านมาผมถึงล้มเหลวไปเป็นท่า

    ผมผิดเองที่เรียกเขาออกมา..

     

    และมันคงสายเกินไปที่จะขับไสไล่ส่งคยองซูไปให้พ้นๆจริงๆใช่ไหม

     

    ถ้าเขายังคงมาให้ผมจ้องมองแบบนั้นอีก

     

     “นายจะทำแบบนี้ทำไมกัน....”

    “.....”

     

    “นายต้องการอะไร..”

     

    “....”

     

    “เรียกร้องความสนใจรึไง ....ที่นายร้องไห้ก็เพื่อแบบนั้นด้วยใช่มั้ย”

     

    “........”

     

    “เพราะฉะนั้นฉันจะทำยังไงกับนายก็ได้ใช่รึปล่าว?? ตอบฉันมาสิ โดคยองซู .....ตอนนี้ฉันบ้าเต็มรูปแบบแล้ว ฉันเป็นแบบที่นายต้องการแล้ว พอใจรึยัง !!"

    คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุด มันคือไม่กี่คำถามจากสิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวสมองของผมที่เหลืออีกเป็นร้อยๆ
    ร่างบางยกริมฝีปากเพียงเล็กน้อยราวกับว่าจะโต้ตอบกลับมา ดวงตาคู่กลมและคิ้วสวยขมวดถึงราวกับใช้ความคิด

    แต่สุดท้ายเขาก็เงียบลงไป....

    ผมได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าก้าวเข้าไปไกล้เจ้าหมอนั่นอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และมากกว่านั้นที่ผมพยายามเฝ้าสั่งตัวเอง และสุดท้ายผมก็ล้มเหลวมาโดยตลอดเหมือนอย่างในเวลานี้ที่ผมก้าวเข้าไปประชิดร่างกายเล็กๆนั่นอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงคยองซูที่เนื้อตัวสั่นไปหมด เขายังคงกำแก้วนมแน่นราวกับว่าผมเป็นปีศาจที่กำลังกลายร่างในไม่ช้า

     

    คยองซูกลัวผมอยู่ ..

     

    ผมสิแย่กว่านั้น..


    แต่ผมกลับกลัวหัวใจของตัวเอง

     

    ถ้าหากการสำผัสหลังจากนี้จะทำให้ผมหายจากการเป็นคนบ้าได้ผมก็คงจะต้องยอมรับมันเสียที


    ผมทนไม่ไหวกับความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

     

    ผมรู้แค่เพียงว่า..ผมอยากสัมผัสคยองซู... ผมอยากกอด.... อยากพูดคุย ...อยากเฝ้ามองรอยยิ้มที่สวยงามแบบนี้ตลอดตราบใดที่เราทั้งหมดยังอยู่ด้วยกัน ผมทรมานเหลือเกินที่เห็นเจ้างั่งเอาแต่สนใจจงอิน สนใจคนอื่นๆที่ไม่ใช่ปาร์คชานยอล

     

    ผมโมโหที่เค้ารักจงอิน

     

    ผมโมโหที่เห็นน้ำตาของคยองซูทุกครั้งที่ผมเข้าไกล้เขา

     

    จวบจนกระทั่งเวลานี้


    "อยู่นิ่งๆนะ...."

    ผมกระซิบข้างใบหูที่กำลังเปลี่ยนสีของร่างเล็กข้างหน้าก่อนที่จะคว้าแก้วนมในมือของคยองซูมาถือเอาไว้
    เขาตัวแข็งทื่อราวกับตุ๊กตากบสลัก ผมเคลื่อนตัวเข้าใส่คยองซูเจ้ากบตัวเล็กอย่างอ่อนโยนทั้งๆที่มือยังคงง่วนกำการทรงตัวไม่ให้ของเหลวในแก้วใสหกออกมาเสียก่อนที่ผมจะได้สัมผัสคนตรงหน้า

     

    ใบหน้าของคยองซูไกล้เข้ามาเรื่อยๆราวกับต้องมนสะกด.. ถึงแม้เขาจะยังไม่ยอมจ้องมองผมตรงๆก็ตามที แต่ผมรู้สึกได้ถึงควมประหม่าที่กำลังก่อตัวพร้อมๆลมหายใจอุ่นๆของเด็กชายที่ถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

    ผมว่าผมเองก็ไม่ต่างกัน

     

    ในสายตาที่แคบเพียงจ้องมองเห็นแค่ริมฝีปากเล็กที่สั่นระริกนั้นเริ่มพร่ามัวไปหมด

     

    หัวใจของผมสูบฉีดเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว

    ผมบังคับดวงตาที่กำลังจะปิดลงให้จ้องมองใบหน้าสีขาวสะอาดนั่นต่อไปเรื่อยๆก่อนที่จะยกมือที่หนักอึ้งขึ้นรองรับศรีษะเล็กที่พอดีกับนิ้วเรียวยาวทั้งห้าที่เย็นเฉียบ..... ผมรับรู้ถึงเส้นผมของเขาที่นุ่มนิ่มพอๆกับเนื้อตัวเล็กๆด้านหน้า
     

    ลมหายใจของเราสองคนรดบนใบหน้าของกันและกันจนทำให้ผมสังเกตเห็นสีหน้าของคยองซูที่เริ่มเปลี่ยนสีทันที่หน้าผากเข้าแนบชิดจนไม่รู้ตัว

    รวมไปถึงริมฝีปากอิ่มที่ไกล้กันเพียงปลายจมูกในตอนนี้ ผมตกหลุมรักมันมากกว่าสิ่งไหนๆในยามที่โดคยองซูกำลังยิ้มอย่างมีความสุข

     

    ความอึดอัดและปั่นป่วนหายไปอย่างสิ้นเชิงอีกแล้ว..

     

    ผมกำลังรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นจากปลายสัมผัสอันอบอุ่นของเจ้าตัวเล็กที่กำลังกลายเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียวในระยะเวลาเสี้ยววินาที เขาไม่ยอมขยับมันไปไหนพอๆกับดวงตาที่เริ่มจะปิดลงไป ..

    มันอ่อนหวานพอๆกับลูกวาดราคาแพง

     

    จนถึงเวลานี้แล้วคงได้แต่เริ่มต้นมันด้วยความเชื่องช้าทั้งๆที่ร่างกายฟ้องว่าโหยหาเขามาขนาดไหนก็ตาม

     

    ผมอยากมอบความอ่อนโยนทั้งหมดที่ตัวเองพอจะมีหลงเหลือถ่ายทอดไปให้เขาจังเลย..

     

    ผมรู้ว่าตัวเองกยาบกระด้างมากมายขนาดไหนที่ผ่านมา..

     

     

    คยองซู นายจะรู้ไหมว่าหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว….

     

    ถ้าหากฉันรังเกียจในสิ่งที่นายเป็นจริงๆ ฉันคงต้องรังเกียจตัวของฉันเองมากกว่าที่นายรู้สึกแล้วล่ะ

     

    ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าคืนวันนี้.. ฉันไม่ได้ฝันไป...

    ขอบคุณที่ไม่ปฎิเสธจูบแรกอันแสนไร้ประสิทธิภาพ
    ของฉันด้วยนะ...


    เจ้าเด็กเตี้ย".....





    ++++



    กราบรีดเดอร์งามๆ กราบสามที
    ขอบคุณเพื่อนๆขาประจำที่แวะมาเม้นให้ชืื่นใจเรื่อยเลย ฮี่ๆ
    วันนี้มีธุระอีกแล้วเลยรีบๆTT 555 เลยเอามาลงต่อให้ครบ100เปอร์เซ็นก่อน
    สารภาพจากใจว่าไม่อ่านเอ็นซีหรือฉากรักๆมากท่าไหร่เลย  แต่งยากที่สุดกะอีแค่การจูบ พาร์ทนี้ มันเลยแบบแข็งๆ งงๆ เป็นซีนที่งงๆมากๆ แต่งไปยังงง ๆ

    โอ้ย แต่ในที่สุดก็ผ่านไปแล้วว เกือบตาย ฮ่าๆๆๆ


    เอาเป็นว่า อีกสองสามตอนที่เหลือจะให้มีกุ้กกิ้กสักที (ยากอีกแล้วT^T) 

    รอไรเตอร์ และทนอ่านกันให้จบด้วยนะ!!! อีกอึดใจเดียวค่ะ !! สู้ๆ!!><



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×