ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #5 : Page5

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 55


    Page5

     





    “ ซ้าย ซ้าย ซ้าย หมุนตัวกลับ ชานยอล ซูโฮยืนเอาไว้!!..ชานยอลมีสมาธิหน่อย เป็นอะไร หรือว่าหยุดหลายวันทำให้เส้นนายพังไปหมดแล้วรึไงหา!!?


    แขนขายาวที่แต่เดิมไม่คุ้นเคยกับการเต้นหรือการถูกคอนโทรลมาตั้งแต่ต้น แต่ด้วยเวลาการเทรนที่หนักหน่วงตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาก็ทำให้เขาอยู่ในระดับที่ถือว่าเทียบเท่ากับเพื่อนคนอื่นได้ในที่สุด


    แต่วันนี้เขากลับกลายมาจุดสู่เริ่มต้นอีกครั้ง


    เสียงตะโกนของครูฝึกทำให้ชายร่างสูงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ชานยอลเดินกลับมาเพื่อตั้งแถวเตรียมซ้อมในส่วนของต้นเพลงอีกครั้งด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้าไปพร้อมๆกับสายตาของเพื่อนในทีมที่เริ่มสังเกตท่าทีของเพื่อนร่างสูงที่เปลี่ยนไป

     

    “ไหวรึปล่าว” จงอินถาม ดวงตาเล็กหรี่ลง เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหัวคิ้วให้ออกไปจากหน้าผาก

     

    “......อืม”

     

    ปาร์คชานยอลเอ่ยตอบรับไปเพียงสั้นๆ  ท่าทีที่เหนื่อยอ่อนมันเกิดจาการที่เขานอนไม่หลับมาตลอดคืนจนทำร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย โดยเฉพาะอากาศที่หนาวเย็นลงติดลบ12องศาในวันนี้ด้วยแล้ว การซ้อมอย่างหนักก็ทำให้สุขภาพของเด็กชายตัวโตกลับมาอ่อนแออีกครั้งอย่างง่ายดาย

     

    “เห้ยชาน ฉันว่าแกดูไม่มีสมาธิมากกว่าไม่สบายอีกนะ มีสติหน่อย เป็นอะไรเนี่ยะ” บยอนแบคฮยอนเข้ามาสมทบทันทีที่จงอินเดินแยกออกไป ดวงตากลมโตของชายร่างสูงยังคงมัวจ้องมองจงอินราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่แบคฮยอนถามสักเท่าไหร่
    “มองไอ้จงอินอยู่ได้ ทำไม เมื่อกี้จงอินมาว่านายรึไง”

     

    แบคฮยอนยังคงถามไม่หยุด

     

    “...ไม่มีอะไร.. ..หมอนั่นก็เป็นห่วงฉันเหมือนที่นายเป็นห่วงนั่นล่ะ ช่างเถอะซ้อมต่อได้แล้ว”

    ...




     

     

     ++++

     





    “ร้านขายกระเป๋าราคาถูกแบบนั้นที่โซลไม่มีหรอกน่า”

     

     

    ผมยังจำเสียงแนะนำเสียงพูดคุยห้วนที่ดูจะขัดกับใบหน้าน่ารักๆของเขาได้ดีนับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เขาดูเป็นเพื่อนที่เหมือนจะใจดีแต่ความจริงแล้วขี้บ่นอย่าบอกใคร

    ผมคิดอยู่เสมอนับตั้งแต่ยอมเซ็นสัญญาและย้ายมาอยู่ที่โซลว่าตัวเองจะใช้ชีวิตในโลกในเมืองแห่งความวุ่นวายเพียงคนเดียวได้นานขนาดไหน แต่เพราะโอกาสก็คงไม่ได้มีมาครั้งเดียว ..
    ทันที่ผมเข้าร่วมการประกวดร้องเพลงแห่งนึงและผลประกาศออกมาว่าได้เป็นผู้ชนะอันดับที่หนึ่ง การติดต่อเข้าเป็นเด็กฝึกในค่ายชื่อดังก็มากองรอตรงหน้าทันทีเมื่อไม่มีใครรู้มาก่อนว่าในรายการที่ผมร่วมมีแมวมองของสังกัด
    Snแฝงตัวเข้ามาอยู่ด้วย ผมลังเลกับการกำหนดอนาคตตัวเองแบบนั้นอยู่หลายวัน


    ไม่สิ


    เป็นหลายอาทิตย์ต่างหาก ผมไม่รู้จักการเป็นดารา ผมไม่รู้จักSn ผมไม่รู้จักโซลได้ดีพอ พ่อบอกผมอยู่เสมอว่า บางทีโอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อยครั้ง ถ้ามันมาถึงแล้ว ต้องรีบเอามันไว้ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะหลุดลอยไป ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าตัวเองจะทำได้และยังไม่รู้จักความหมายของโลกมายาได้ดีด้วยซ้ำ
    แต่ในเมื่อครอบครัวซึ่งคือกำลังใจหลักของผมยังคอยเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมรัก และตัวของผมเอง

    โดคยองซูก็จะต้องทำมันได้


    ผมใช้เวลาร้องเพลงและเริ่มเรียนเต้นอย่างหนักภายในเวลาไม่ถึง3ปี โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ^^


    ผมมีเพื่อนที่น่ารักเยอะแยะเต็มไปหมด พวกเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครๆเข้าใจ ไม่เหมือนอย่างที่โบรัมเพื่อนของผมสมัยเด็กๆที่คยองกีเล่า เธอบอกว่าคนที่โซลเห็นแก่ตัวและเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ขนาดไหน


    ผมอาจจะเจอคนแบบนั้น แต่ผมคิดว่าไม่มีใครที่ร้ายตลอดเวลาไปซะทั้งหมดหรอกครับ J



    “กินแบบนั้นมันคงจะสูงหรอก เจ้าเตี้ย”



    นั่นสิ


    คงต้องรวมไปถึงชานยอลด้วย..


     ปาร์คชานยอลคือเพื่อนที่ผมมักจะใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาเพื่อนๆทั้งหมดหลังจากที่เราได้รวมทีมกัน ผมสนิทกับเขาพอๆกับคิมจงอินรูมเมทของตัวเอง จงอินเป็นเพื่อนรวมงานที่บางครั้งก็เหมือนเด็ก บางครั้งก็ดูเป็นผู้ใหญ่เราจึงสนิทกันไม่ยากหลังจากต้องทำงานด้วยกันมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ ซึ่งไม่เหมือนชานยอล


    เขาเด็กตลอดเวลา แต่มักจะทำให้ตัวเองดูโตตลอดเวลา


    ในตอนแรกๆผมก็ไม่ชอบนิสัยของชานยอลที่มักจะพูดจาไม่ดีใส่คนอื่นไปทั่วแบบนั่นเท่าไหร่ เขาดูขี้หงุดหงิดและมักจะซ่อนอะไรหลายอย่างเอาไว้ ในใจเสมอ ไม่ใช่คนประเภทโวยวายเหมือนแบคฮยอนเลยซะทีเดียว
    แต่พอได้ไกล้ชิด นานวันเข้า ..ทุกคนจะเข้าเองครับในสิ่งที่ผมรู้สึก  เขามักจะดูแลคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัวเสมอ นั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อน ชานยอลเหมือนพี่ชายของผมที่อาศัยอยู่ด้วยกันสมัยเด็กๆถึงแม้ว่าในเวลานี้เขาจะไปเป็นทหารแล้วก็ตาม พี่มักจะตีผมประจำเวลาที่ผมทำตัวเหมือนคนโง่หรือถูกใครรังแก เขาไม่เคยปลอบผมด้วยอ้อมกอดอบอุ่นเลยสักครั้ง เพียงแต่พยายามจะให้ผมเรียนรู้จากโลกภายนอกโดยที่มีเขาคอยประคับประคองอยู่ห่างๆมากกว่า

    เมื่อเวลาผ่านไปจนโตขึ้นถึงได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ควางอูไม่ได้จากไปไหนเลย เขามักจะคอยดูอยู่รอบๆ คอยช่วยผมมาตลอด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการประกวดร้องเพลงที่ทำให้ผมมีวันนี้ เขาเป็นคนตระเตรียมทุกอย่าง ไปรับส่งและคอยดูแลเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนที่บริษัทเสนอมา เพื่อให้ตัวผมไม่ถูกหลอกหรือลำบากได้ในอนาคต


    ปาร์คชานยอลเหมือนกับพี่ควางอู


    เขาอยู่รอบๆผมเสมอ ถึงแม้ที่ทุกครั้งที่ผมอยากจะขอบคุณ เขาก็กลับมักจะตอบแทนด้วยคำต่อว่าเสียงดังกลับมาแทน


    ชานยอลชอบโวยวายในเวลาที่เขากำลังอ่อนโยนเสมอ ผมมักจะนึกขำท่าทีของเพื่อนตัวสูงคนนี้อยู่บ่อยๆ  ชานยอลมีความลับมากมายในตัวที่เลือกที่จะมาบอกผมเพราะเขาไม่อยากแสดงด้านที่อ่อนแอให้ใครได้เห็น


    รวมถึงเรื่องของคิมเยจิน ผู้หญิงที่ผมรู้ว่าเค้ารักมากที่สุดตั้งแต่เป็นเทรนนีมาด้วยกัน ชานยอลมีแววตาที่ลุกลน และพูดจาไม่รู้เรื่องทุกครั้งที่เขากระวนกระวายใจ ถึงแม้สุดท้ายเขาจะไปจบที่การเปิดแมคบุคและขลุกอยู่กับมันทั้งวันก็ตาม


    เขาคงมีความลับมากมายที่ระบายมันลงไปในนั้น

    ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาบันทึกลงไปจะมีส่วนหนึ่งที่มีผมอยู่บ้างรึปล่าวนะ


    ผมไม่ชอบให้เขาทุกข์ใจหรือซึมเศร้าเท่าไหร่เลย ผมอาจจะดูทึ่มหรือโง่ในบางที แต่ความช่วยเหลือของผมมันคงทำได้แค่นั้น  ผมทำได้เพียงการสร้างความรำคาญให้ชานยอลมากขึ้นหลังจากเขาต้องการคำปรึกษาหรือคำพูดจาดีๆ


    เขากำลังทำให้ผมรู้สึกผิดที่เป็นคนไร้ประโยชน์


    ผมไม่ชอบชานยอลที่มีดวงตาเลื่อนลอย ผมชอบเวลาที่เขาอยู่หน้ากล้อง ในยามที่มีการแสดง มีงานเข้ามาปาร์คชานยอลจะมีรอยยิ้มกว้างๆ เขายิ้มให้ทุกคนและแลดูมีความสุข เขามักจะหัวเราะเสียงดังชวนให้ขำไปด้วยไม่เลิก


    รวมถึงมอบใบหน้าสดใสแบบนั้นให้ผมด้วย


    ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตามที


    เพราะผมจะไม่มีทางได้มันหรอกถ้าไม่ใช่เวลางาน เขาไม่ยิ้มให้ใครเท่าไหร่ ถ้าเราไม่ได้อยู่บนเวที ที่มีเสียงแฟนคลับ เสียงผู้คนกรีดร้อง


    ชานยอลคงจะรำคาญผมมากๆจริงๆอย่างที่จงอินเคยพูดนั่นล่ะ


    ..ผมหงุดหงิดตัวเองจังเลย— มันยากที่จะทำให้คนทุกคนรัก และมันจะยิ่งยากมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก กับคนที่เราหวังว่าเขาจะมีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วย


    วันเวลาหลายปีที่ผ่านมามันทำให้ผมไม่ชอบตัวเองขึ้นมากเรื่อยๆ


    ถ้ารอยยิ้มของชานยอลเป็นสิ่งที่ผมปรารถนา ผมก็อาจจะต้องมอบรอยยิ้มของผมให้กับเขา ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้ยิ้มแบบนั้นอีก



    “นายเพื่อนฉันคยองซู ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก


    แต่สำหรับเขา..ฉันไม่รู้


    ถ้าเขารับมันไม่ได้ล่ะคยองซู...


    บอกกับชานยอลว่านายชอบฉันดู....ถ้าเขารับสิ่งแบบนั้นได้— มันก็ดี ..แต่ถ้าไม่

    จำเอาไว้...ฉันก็ยังเป็นเพื่อนนายเข้าใจไหม...”

     

     

     

    +++

     


     

     

    สาม สี่ ห้า หก

    จั้มป์ หมุนตัวไปที่วงกลางแล้วต้องร้องท่อนไหนนะ...หมุนตัวเสร็จแล้วมันต้องอะไรต่อกันล่ะ
    ผมลืมมันอีกแล้ว


    =_=


    ใครก็ได้ช่วยผมที ผมไม่สมาธิเลยให้ตายสิ


    อาจจะเป็นเพราะผมนอนไม่พอใช่มั้ยตลอดเมื่อคืนที่เกิดอาการร้อนและคันเหมือนเดิม ผมกระสับกระส่ายเหมือนตอนไม่ได้กินข้าว ปวดท้อง ปวดหัว อะไรก็ไม่รู้วุ่นวายไปหมด=_=


    ผมโดนอาจารย์ฮวางดุไม่ต่ำกว่าสี่รอบแล้วตลอดการซ้อมที่ผ่านมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นจวบจนตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมยังคงพลาดในท่อนเดิมๆจนต้องทำการพักชั่วคราวให้ได้หยุดหายใจก่อน โดยอาจารย์บอกว่าบางทีผมอาจจะรวบรวมสติอะไรได้มากขึ้น


    ปาร์คชานยอลนายเป็นอะไร -_-


    ระหว่างการได้หยุดเคลื่อนไหวที่ติดต่อกันเป็นเวลาหลาย ชม. กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยให้ผมดีขึ้นสักเท่าไหร่ การมีเวลาสังเกตรอบๆห้องไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับปาร์คชานยอลในเวลานี้ ผมเผลอจ้องมองไปทางเจ้าเตี้ยที่นั่งพักอยู่อีกฝั่งนึงของห้อง เขามีใบหน้าที่แดงจัดจากความเหนื่อย มือเล็กๆนั่นกำลังแบ่งน้ำปล่าวในมือให้คิมจงอินและเซฮุนกินอยู่ด้วยเสียงพูดคุยที่สนุกสนาน เราสบตากันเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะเฉไฉไปมองที่ขวดน้ำตรงหน้าของตัวเอง


    -_-


    เห่อะ =o= นี่น่ะหรอ ที่เขาไว้ใจผม ดูตอนนี้สิ ขนาดสบตากันเขายังไม่อยากจะทำเลย คงจะมีความสุขละสิท่า หมอนั่นชอบจงอินนี่ ผมไม่เห็นต้องสงสัยเลย ผมมันก็แค่เพื่อนที่เขาเอาไว้ระบายความอัดอั้นที่เก็บกดเอาไว้มานานมากกว่า


    ตอนนี้เขาระบายมันออกมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็แค่คนที่ต้องซ้อมเต้นด้วยในวันนี้ก็แค่นั้น

    น่าโมโหจริงๆ


    เขาทำให้ผมหงุดหงิดแม้กระทั่งเวลานั่งเฉยๆ ผมอยากจะเอาความรู้สึกบ้าๆแบบนั้นออกไปให้หมดจากหัวสมอง ผมจะต้องเลิกจ้องมองเจ้าหมอนั่นซักทีแล้วตั้งสมาธิ บางทีการเคลื่อนไหวไปมาของคยองซูจะยิ่งทำให้ผมหมดอารมณ์ทำนู่นนี่ต่อไปมากขึ้นกว่าที่เป็น  โดคยองซูทำให้ผมปั่นป่วนไปหมด เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่!!


    เพราะคำสารภาพรักผิดที่ผิดทางแบบนั้นใช่ไหม เขาต้องบ้าไปแล้วที่มาสารภาพรักกับคนที่เขาไม่ได้รัก


    คยองซูกำลังเล่นตลกกับผมอย่างงั้นล่ะสิ จงอินก็ดูจะรับได้นี่นา เขาก็ดูห่วงใยเจ้าเด็กเตี้ยนั่นอยู่ตลอด ผมว่าอะไรๆมันจะง่ายดายกว่าที่เขามาทำหน้าเศร้าแล้วพูดเรื่องราวชวนเลี่ยนนั่นให้ผมได้รับรู้


    เขากำลังยิ้มแบบนั้นให้จงอินอีกแล้ว

    -*-

    ผมชักจะหมดความอดทนแล้วล่ะ


    “พี่ซูโฮ อาจารย์ครับ ผมขอโทษจริงๆ วันนี้ผมรู้สึกไม่สบาย ไว้ผมจะขอเมคอัพพคลาสกับอาจารย์ตัวต่อตัวนะครับ จะดึกยังไงก็ได้ผมจะมาให้ ฉันขอโทษพวกนายด้วยละกันนะวันนี้”


    นั่นคือสิ่งที่ผมพูดออกไปทันทีที่สมองสั่งการให้ทำแบบนั้น ผมพบว่าตัวเองมีปัญหาอย่างหนักกับเซลล์ประสาทที่สั่งการอย่างเชื่องช้าและเอาแต่ว้าวุ่นคิดอะไรฟุ้งซ่านมากเกินไป สองขาของผมก้าวไวเกินกว่าที่ผู้คนในห้องจะบอกอะไรได้ทัน

    ผมได้ยินเสียงเรียกของแบคฮยอนที่ดังตามหลังมา มันค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรอีกตั้งแต่ก้าวขาออกจากที่นั่นแล้วล่ะ ผมคงต้องนอนพักสักงีบนึงเพื่อให้ตัวเองกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง


    และเหมือนสวรรค์เข้าข้างปาร์คชานยอล

    ในยามผมกำลังต้องการใครสักคน


    เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นจากทางเดินของลิพท์ทางซ้ายมือในขณะที่ผมกำลังพาร่างกายที่อ่อนล้าให้เคลื่อนไหวอย่างเหนื่อยอ่อน


    ผมเห็นเยจินที่แลดูเหมือนจะพึ่งซ้อมเต้นเสร็จมาหมาดๆจากห้องซ้อมชั้นใต้ดินสำหรับเด็กเทรนด์ที่กำลังเดตรียมเดบิวต์วงเดียวกัน เธอสะพายกระเป๋าเป้ใบโตที่หลังเพื่อกลับหอของตัวเองพร้อมกับเพื่อนอีกสี่ห้าคนในชุดวอร์มเข้ารูปสีฟ้าอ่อนดูสบายตาเราไม่ได้เจอกันในเวลางานแบบนี้บ่อยนักเพราะคิวของห้องซ้อมที่ผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เยจินโบกมือเป็นเชิงให้เพื่อนของตัวเองเดินนำล่วงหน้าไปก่อนที่จะทักทายผมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

     

    “ว่าไงเนี่ยะ นานทีนะเราจะได้เจอกันหลังทำงานนะชานยอล^^” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนปกติ..ผมคิดว่าจะไม่เจอเธอหลังจากเดทอันแสนวุ่นวายวันนั้นซะแล้วสินะ คิมเยจินTT ความรู้สึกแย่ๆแบบนั้นเกาะกุมหัวใจของผมอีกแล้ว..

     

    “อ่า...เยจิน เรื่องวันนั้น ฉันขอโทษที่ไม่ได้ส่งเธอแล้วก็...วิ่งออกมา..” ผมอ้ำอึ้งนิดหน่อยที่จะต้องพูดถึงความผิดของตัวเองเพื่อขอรับการยกโทษจากหญิงสาวตรงหน้า แต่แลดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา เยจินหัวเราะร่วนก่อนที่จะพูดด้วยอารมณ์ดี

     

    “นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆขอโทษอะไรกัน นายก็ลาฉันนี่ แต่แค่ตอนออกจากร้านไปไม่เท่ห์เท่าไหร่ นายวิ่งหยั่งกะจะรีบไปทำอะไรงั้นล่ะ ฮ่าๆ” เธอหัวเราะ

     

     “ว่าแต่ เป็นอะไรรึปล่าว สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย ซ้อมหนักหรอ”

     

    คำถามของเธอทำให้ผมเงียบลงไปนิดหน่อย นั่นสิ ทำไมผมต้องมีสีหน้าที่ดูไม่ดี แล้วก็ต้องขอเลิกซ้อมก่อนทั้งที่คนอื่นยังคงทำงานอยู่แบบนี้ด้วย มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย คำถามมากมายเริ่มผุดออกมาราวกับดอกเห็ดบนขอนไม้ชื้นๆ  มันกำลังงอกงามอยู่ในความคิดของผมจนเต็มไปหมด L


    ....หรือบางทีการที่ผมเจอคิมเยจินวันนี้ อาจจะเป็นเพราะฟ้าอาจจะกำลังส่งเธอมาช่วยเหลือผมที่กำลังตกยากในเวลานี้ก็เป็นได้  ผมอาจจะต้องทำเหมือนเจ้ากบหอตาปูดนั้นใช่ไหม หาใครสักคนเพื่อนระบายมันออกมา ผมกำลังรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้าตายเพราะความรู้สีกชวนเวียนหัวที่ตัวเองพบเจออยู่


    ผมได้แต่สร้างรอยยิ้มหลอกๆก่อนที่จะช่วนเยจินเดินไปนั่งในส่วนของลอบบี้บริษัท


    “ฉันมีเรื่องปรึกษาเธอแปปนึง จะได้มั้ย” ผมพูดออกไป เธอมักจะอยู่กับผมเวลาแบบนี้เสมอตั้งแต่ตอนเรายังเป็นเด็กๆเทรนด้วยกันตอนนั้น ดูสิถึงเวลานี้ เธอก็ยังต้องทำหน้าที่นี้อยู่เหมือนเดิม ผมรู้สึกผิดจังแหะ


    “นายมีอะไรจริงๆด้วย ฉันว่าแล้วสีหน้านายมันบอกสุดๆ ทำไมหรอก อกหัก งานเยอะ หรืออะไรกัน?


    คำพูดของคิมเยจินทำให้ผมฉุนขึ้นมาเล็กๆ กับคำว่าอกหัก! แต่ผมก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนไปก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่จุกในอกของผมมานานแสนานตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา

    มันต้องดีขึ้นใช่ไหมนะ..


    “ฉันไม่รู้ว่าฉันเป้นอะไรเหมือนกัน”

    ผมบ่นเหมือนคนสมองทึ่ม


    “นายไม่รู้แล้วนายจะปรึกษาฉันได้ยังไง”

     .....
    .......

     

    “...คือ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเพื่อนฉันน่ะ ฉันเครียดแทนเค้ามากจนทำอะไรไม่ได้เลย “ ผมอุปโลกน์ตัวละครขึ้นมาอย่างน่าไม่อายจริง ๆ =_=เยจินเลิกคิ้วเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่เธอจะรอผมเล่ามันออกมา

    ผมไม่รู้ว่าสายตาของผมตอนนี้ที่พยายามหลบต่ำลงมันจะดูล่อกแล่กขนาดไหน

     

    “ฉันมีเพื่อนคนนึง...เพื่อนคนนั้นมีเพื่อนสนิทอีกคน....อ่า...เพื่อนสนิทคนนั้นเป็นคนน่ารำคาญมากๆ เขางี่เง่า วุ่นวาย จู้จี้ที่สุดเลย ถ้าเธอเห็นเธอจะรู้ว่าเจ้าคนนั้นน่ารำคาญขนาดไหน ถ้าวันนึงมี24ชม. เขาจะวนเวียนอยู่รอบๆเธอสัก18ชม. ทำทุกอย่างที่ดูน่าเกะกะไปหมด แต่ถ้าพูดถึงนิสัย จริงๆ เจ้านั่นก็โอเคละนะ..ฉันหมายถึงที่เพื่อนฉันเล่ามานะ เธออย่าเข้าใจผิดละ ...เพื่อนสนิทคนนั้นก็เป็นคนดีนั่นละนะ เขาใจดีแล้วก็อ่อนโยนมากๆ เค้ามักจะทำนู่นนั้นนี่ให้คนอื่นเหมือนคนโง่ .....

    ....แต่ว่า...มีอยู่มาวันนึง เพื่อนของฉันก็รู้ว่าเพื่อสนิทของเขาคนนั้น ชอบเพื่อนในกลุ่มด้วยกันเอง คือเขาชอบเพื่อนในกลุ่มด้วยกันไม่พอ ยังจะมีหน้ามาบอกเพื่อนของฉันอีกนะว่าเขาชอบขนาดไหนชอบยังไง มันทำให้เพื่อนของฉันคนนี้ รู้สึกแปลกๆ รู้สึกรำคาญ รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เหม็นขี้หน้า มันหงุดหงิดมากเยจิน มันเหมือนร่างกายจะระเบิดออกมา แต่มันก็ได้แต่ร้อนระอุอึดอัดอยู่แบบนั้น บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกที่โดนเพื่อนทรยศ... “

     

    “ปาร์คชานยอล....นายชอบเพื่อนคนนั้นใช่รึปล่าว”

     

    “หะ.....

    .....นี่คิมเยจิน ฉันบอกแล้วไง ว่ามันเรื่องของเพื่อนฉันอีกทีน่ะ!

     

    “นายเล่าอะไรมาฟังดูวกวนปวดหัวไปหมดเลยรู้ตัวปล่าวเนี่ยะ – แรกก็ดูนายเล่าเพราะเป็นเรื่องของเพื่อน แต่หลัง นายทำหยั่งกับเป็นเรื่องของตัวเองแน่ะ ...ทำไมหรอ ชอบใครเข้าล่ะ อาการแบบนั้นเค้าเรียกว่าหึงรู้มั้ย ไม่ชอบให้เขาไปอยู่กับคนอื่นแบบนั้นน่ะ ~~นายหึงคนๆนั้นแล้วล่ะชานยอลอา~..^^

     

    เป็นครั้งแรกที่คิมเยจินพูดจาไม่เข้าหูผมมากที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา เธอกลับกลายทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนมากขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า หัวใจของผมกำลังเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนระฆังที่กำลังตีสลับกันไปมาจนหนวกหูไม่ยอมหยุด  ผมได้แต่นั่งหายใจทิ้งโดยที่คิดคำพูดอื่นไม่ออก ผมหลอกคนอื่นได้ แต่ผมหลอกผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลยสักครั้งเดียว

     

    จะว่าไป..

     

    หึง??...หึงบ้าหึงบออะไรกัน ผมก็เคยไม่ชอบที่เยจินอยู่กับเพื่อนเทรนคนอื่นๆ แต่มันก็ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย

     

    “น่าเสียใจจังที่นายมีคนอื่นที่ชอบแล้ว ฉันคงตกกระป๋องสินะเนี่ยะ ชานยอลของเราเหงื่อแตกเยอะแยะเลยดูสิ...^^


    “อย่ามาจับนะ....ฉันแค่ร้อนน่ะ..”

     

    “นายเขินต่างหาก... หูนายแดงหมดแล้วนะ เวลาเขินนายจะหูแดงแบบนี้นายไม่รู้ตัวหรอก^^ ...ฉันจะบอกอะไรให้ชานยอล การที่เราไม่รู้ใจตัวเองน่ะ มันทรมานที่สุด นายลองคิดว่าตัวเองจะไม่ได้เล่นดนตรีหรือร้องเพลงแล้วสิ นายจะทนอยู่ได้รึปล่าว โดยที่ไม่กระวนกระวายใจ ...นายก็ทำมันไม่ได้หรอกใช่มั้ยล่ะ....ความรักก็เป็นแบบนั้นล่ะ พอนายกำลังรู้สึกว่านายจะหมดความสำคัญ นายกำลังจะไม่ได้รับมันอีกต่อไป นายก็กระวนกระวาย ไม่ชอบใจ อยู่ไม่ได้ อย่างที่นายเป็นตอนนี้ไงล่ะ” ยัยเสาไฟฟ้ายิ้มกว้าง เธออธิบายด้วยคำพูดยืดยาว ก่อนที่จะเตรียมถือกระเป๋าเป้ใบโตพลางลุกขึ้นยืนในที่สุด

     

    “ฉันต้องไปแล้วนะเจ้าคนปากแข็ง ....เพื่อนๆฉันรออยู่ข้างนอกนานแล้วล่ะเดี๋ยวจะพาลบ่นกันไปหมด มีอะไรนายก็โทรมานะ --- อย่ามัวไปคิดเรื่องของเพื่อนของเพื่อนอะไรนั่นของนายมากไปละ ฮิฮิ ฉันไปล้ะ^^

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกลาเธอสักเท่าไหร่ ราวกับโดนแก้แค้นให้ถูกทิ้งเป็นเจ้าบื้ออยู่บนโซฟาแบบนั้น

     

    เหมือนกับที่เยจินถูกทิ้งไว้ในร้านกาแฟในเดทครั้งล่าสุดของเรา

    ผมได้ยินเสียงรองเท้าผ้าใบของยัยเสาไฟฟ้าถูกับพื้นดังเอี้ยดอ๊าดไปมา เธอยังคงวิ่งเร็วเหมือนเดิม ทุกอย่างเริ่มเงียบสงบลงไปทันทีที่ผมเห็นเธอแสตมนิ้วมือออกจากตึก ประตูเลื่อนระบบความปลอดภัยที่ปิดตัวลงเริ่มทิ้งความเงียบให้เข้าปกคลุมผมพร้อมกับความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง

     

    ความรักก็เป็นแบบนั้นล่ะ พอนายกำลังรู้สึกว่านายจะหมดความสำคัญ นายกำลังจะไม่ได้รับมันอีกต่อไป นายก็กระวนกระวาย ไม่ชอบใจ อยู่ไม่ได้ อย่างที่นายเป็นตอนนี้ไงล่ะ

     

    ผมกลัวคยองซูจะไม่มาสนใจ ไม่มาวุ่นวายผมอีกน่ะหรอ

     

    ไม่มีทาง ผมรำคาญหมอนั่นออก ผมไม่มีทางชอบคยองซูแน่นอน

     

    ผมไม่มีทางชอบเพศเดียวกันเอง ผมเชื่อในตัวเอง ผมยังรักคิมเยจิน..=_=

    ...

     

    “ ไม่รู้ชานยอลจะหลับไปยังไงนะเนี่ย เขาออกไปได้พักนึงแล้ว รู้งี้ถ้าอาจารย์จะปล่อยไวแบบนี้ น่าจะบอกให้เขารอพวกเราก่อน”

     

    “ช่างมันเถอะคยองซู ฉันตะโกนคอแทบแตก ดูดิไม่เห็นจะหันมาตอบฉันสักคำ  เดินลิ่วๆ น่าโมโหเป็นบ้า”

     

    “ผมว่าพี่ชานยอลต้องโกรธอาจารย์ฮวางที่ดุเขามากกว่าพี่ซูโฮว่ามั้ย เขาดูไม่ดีเลยนะ.....แต่ที่แน่ๆ พี่ซูโฮ พี่สัญญาจะซื้อนมลิตรก่อนเข้าหอให้ผมละนะ พี่อิมคยุนไม่เห็นเอามันมาใส่ไว้ในตู้เย็นให้ก่อนไปปูซานเลย พี่เค้าลืมได้ไงว่าผมต้องกินมันทุกวันน่ะ =_=

     

    “ฉันก็ให้เงินนายเอาไว้ละไงเมื่อวานก่อน ทำไมไม่ออกไปซื้อเล่า ฉันอยากเข้าหอนอนเลยนะ ซ้อมเต้นกลางคืนฉันง่วงจะแย่”

     

    “พี่จงอินโกหก!! พี่ให้เงินมาซะเมื่อไหร่ ผมสัญญากับพี่ซูโฮเอาไว้พี่ไม่เกี่ยวสักหน่อยน่ะ “

     

    “เลิกพูดเถอะน่า ฉันรำคาญ!!

     

    ผมได้เสียงสนทนาจากทางเดินข้างในและเสียงตะโกนต่อว่าน้องๆของแบคฮยอนดังลั่นทางเดินไปหมด พวกเขาเลิกซ้อมแล้วในที่สุด—คงเป็นเพราะการฝึกเต้นเพลงเปิดตัวขาดสมาชิกไปคนหนึ่งคงจะทำได้ลำบาก การซ้อมเลยสิ้นสุดแบบนี้ บ้าจริง ผมจะไปบอกเพื่อนๆทั้งหมดยังไงกับการที่หนีออกมาจากห้องซ้อมแบบไร้เหตุผลเมื่อกี้ ทุกคนแลดูไม่เข้าใจการกระทำของผมเลย


    ซึ่งผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

     

    “ลองโทรหาชานยอลสิ เผื่อเขาจะออกไปไม่ไกล” ผมได้ยินจงอินพูด

    และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มือถือของผมดังขึ้นอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     ++++++++++++++

     

     

     

    02.15น. 

     

     

    “จะนอนข้างนอกหรอ เห้ย ถ้ารู้สึกไม่สบายก็นอนที่มันอุ่นม่ดีกว่ารึไง”


    ยังคงเป็นแบคฮยอนที่บนกับผมไม่เลิกแทนทันทีที่พวกเขามาถึงหอ

    ผมแสร้งไม่รับสายหลังจากที่เพื่อนโทรตามที่บริษัทและรีบนั่งแทกซี่เข้ามาก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว เพียงแต่อ้างว่าตัวเองไม่สบายออกไป ถึงเหตุผลที่ต้องขอเลิกซ้อมก่อนเพื่อตัดปัญหาและคำถามที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างยืดยาวหลังจากนั้น

    ผมรู้สึกแย่กับการที่ต้องทำแบบนี้นะ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมเหนื่อยล้ากับความปั่นป่วนของความคิดของตัวเองมากเกินไป ผมได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆให้กับแบคฮยอนที่ง่วนกับการดึงม่านเพื่อปิดแสงจากระเบียงที่กั้นด้วยประตูกระจก เขาเอาแต่บ่นว่าแสงจากดวงไฟจากข้างทางที่สะท้อนเข้ามาทำให้นอนไม่หลับ


    แต่ผมเองไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่เพราะที่นอนประจำของผมมันคือโซฟานอกห้องมากกว่าเตียงนุ่มๆในนี้นะสิ ความง่วงเล็กๆทำให้ผมรีบเก็บสัมภาระพร้อมกับดึงแมคบุคที่ชาร์ททิ้งเอาไว้ระหว่างซ้อมเต้นออกมาด้วย มันมีแบตเตอรี่อยู่เต็มเปี่ยม แต่ทว่าผมไม่พร้อมที่จะเปิดใช้มันสักเท่าไหร่ การเดินอย่างทุลักทุเลทำให้แบคฮยอนเป็นฝ่ายปิดประตูห้องแทนผมที่เดินแบกข้าวของมากมายกลับมาที่เขตประจำของตัวเอง


    ผมมองไปที่ประตูห้องข้างๆด้วยความลืมตัว

    -_-

    เด็กเตี้ยคงกลับมาแล้วละสิ ..


    “ถ้าฉันรู้ว่านายชอบเขาน่ะนะ .– วันหลังก็ช่วยเลิกออกมาจากห้องตัวเองแล้วมาก่อกวนชาวบ้านซักทีเถอะ นอนด้วยกันสองคนน่าจะชอบไม่ใช่รึไง..-*-”

     

    ..
    ....

    “พี่บ่นอะไรคนเดียวน่ะ พี่ชานยอล”


    -_-


    เสียงของเจ้าผีหัวเหลืองที่กำลังชะโงกหัวของออกมาจากประตูห้องของตัวเองถามขึ้นในขณะที่ลอบได้ยินผมบ่นกับประตูห้องของคยองซู เจ้าบ้านี่คงแอบเปิดประตูห้องตอนพี่ซูโฮหลับอีกแล้วแน่ๆ โชคร้ายที่ดันมาได้ยินผมบ่นเหมือนคนบ้าอยู่เข้า
    ผมได้แต่หันรีหันขวางราวกับว่าเพิ่งพูดคุยกับแบคฮอยนหน้าห้องของตัวเองไปอย่างข้างๆคูๆ  เพื่อหลอกล่อให้เจ้าเด็กจอมจุ้นถอยทัพกลับเข้าไปในอาณาเขตตัวเองเหมือนเดิม มันคงเป็นโชคดีที่โอเซฮุนดูง่วงเกินกว่าที่จะมาหาเรื่องผมในเวลาดึกขนาดนี้แล้วล่ะ


    บ้าจริง-*-


    ….


    =_=เห้อ..


    ผมกำลังเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีๆ

    ผมไม่อยากจะเชื่อตัวเองหรอกนะถ้าผมเป็นแบบที่เยจินพูดจริงๆ ..ไม่มีทาง....

     


    แกร้ก..~

    O_O


    เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ใครบางคนกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ถูกขยี้บนใบหน้าจนมองไม่เห็นอะไร แต่ชุดนอนเสื้อฮู้ทสีเหลืองที่ได้ฟรีอย่างถาวรจากสปอนเซอร์นั่นมันทำให้ผมนึกออก


    เจ้าตัวปัญหาของผมยังไม่ได้เข้านอน เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ!!


    ไม่นะ...


    ผมหวังว่าเขาคงจะไม่หูดีขนาดได้ยินสิ่งที่ผมบ่นหน้าห้องของเขาอย่างนั้นหรอก ใช่มั้ย..T^T


    ดูเหมือนว่าคยองซูกำลังเดินอย่างเชื่องช้าไปทางห้องครัวโดยที่ไม่ทันสังเกตปาร์คชานยอลที่นั่งขดตัวให้โซฟาบังแขนขายาวๆอย่างยากลำบาก (แล้วเอ็งจะหลบทำไม!) ผมไม่สามารถเจอเขาในเวลานี้ได้อีก คยองซูสร้างความผิดปกติให้ผมมากเกินไป ผมสมควรจะรอจนกว่าเขาจะเข้าห้องไป....... ใช่แล้ว........ รอแค่เขาเข้าห้องก็เท่านั้น... ชานยอล.... นายต้องอดทน!

    ...

    “อ่า...ฮีตเตอร์อีกเครื่องอยู่นี่ นี่เอง ...โชคดีนะเนี่ยะ ที่ยังไม่ได้ย้ายไปเก็บที่ไหน--- ชานยอลบอกว่าไม่สบาย..ถ้าออกมานอนโซฟาอีกจะเป็นอะไรมั้ยนะ”

     

    เสียงของคยองซูที่เข้ามาไกล้เรื่อยๆจากพิกัดที่ผมนั่งอยู่ทำให้หัวใจของผมเต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้ง

    ชานยอล นายจะไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม....นายยังคงปกติอยู่ ..........ปาร์คชานยอล.........ฮู่ว... -o-

     ..

    แต่แล้วคยองซูก็เห็นผมในที่สุด เขาแบกฮีทเตอร์เครื่องเล็กที่เก็บไว้ในห้องแต่งตัวติดมือมาด้วย เจ้ากบดูตกใจเล็กน้อยที่ไม่นึกว่าผมจะออกมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานแล้ว คยองซูยังคงไม่สบตาผมเหมือนเดิมก่อนที่จะวางเครื่องทำความอุ่นเล็กๆบนพื้นและหันหลังกลับไปในเวลาอันสั้น

     

    ..

    ไม่หรอก เข้ายังไม่ได้เข้าห้องนอน มันเป็นเพราะผมเองนี่ละ

     

    “อย่าเพิ่งไปโดคยองซู”

    ผมพูดชื่อเจ้าหมอนั่นออกมาจนแล้วจนรอด ความจริงก็คือผมไม่ชอบที่เขาต้องทำท่าทีกระอักกระอ่วนตลอดเวลาที่เจอผมแบบนี้สักเท่าไหร่ การพูดคุยกันครั้งสุดท้ายในวันนั้นเป็นเหตุผลของการกระทำพิลึกแบบนี้ของเขางั้นหรือ
    ??ถ้าหากเป็นแบบนั้นเขาเจ้าเด็กเตี้ยก็คงแปลกๆพอๆกับผมแล้วล่ะ


    คยองซูหันมาช้าๆแต่ยังคงไม่พูดอะไร
    .......ให้ตายสิเจ้าเด็กคนนี้นิ-*-


    “ฉันเรียกนายไม่ได้ยินรึไงเล่า ฉันอยู่นี่ไม่ใช่บนพื้น"
    ผมตะคอกใส่คนตัวเล็กที่ไม่วายมองเพียงแค่พื้นห้องอยู่เหมือนเดิม


    “..ฉันเข้าใจแล้วล่ะชานยอล”

    คยองซูเดินย้อนกลับมาด้วยก้าวเล็กๆของตัวเองเพื่อมาหาผมที่โซฟาในที่สุด  แต่เขายังคงไม่สนใจผมอยู่ดี เจ้าหมอนั่นเริ่มการสนทนากับฮีตเตอร์ทำความร้อนที่แบกมาตั้งทิ้งเอาไว้ให้ผมในตอนแรกแทน   “ ฉันลืมเสียบปลั้กฮีทเตอร์ให้นาย ขอโทษด้วยนะ..นายคงใช้รุ่นนี้ไม่เป็น มันเป็นแบบเก่า เดี๋ยวฉันจะตั้งค่าให้ละกัน เผื่อชานยอลนอนตอนกลางคืนแล้วหนาวฉันดูมาว่าพรุ่งนี้จะติดลบมากกว่าเดิม2องศาแน่ะ”

     

    “นาย..บอกเรื่องนั้นกับจงอินรึยัง”
    ผมถามคำถามที่แลดูจะไม่รู้เวลาสักเท่าไหร่ ไม่แปลกหรอกที่ใครๆจะว่าผมเป็นจอมขวานผ่าซาก
    คนตัวเล็กด้านหน้าเริ่มหยุดการกระทำทุกอย่างลง เขาเริ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนที่จะย้ายลงมานั่งข้างๆผมที่อยู่บนโซฟาตั้งแต่แรก


    เชื่อไหมว่าเจ้าเด็กโง่นี่ยังคงไม่สบตาผมเหมือนเดิม.... ผมเพียงแค่เห็นรอยยิ้มเล็กที่มุมแก้มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง


    เขาเริ่มเอ่ยคำพูดที่เบาราวกระซิบ

     

    “ดีจังเลย ที่ชานยอลไม่กระเถิบหนีฉันแล้ว”

     

    “ฉันเคยหนีนายเมื่อไหร่กัน...”

     
     

    สิ้นเสียงโต้ตอบประโยคของเจ้ากบตัวจิ๋วด้านข้าง ดูเหมือนว่าความเงียบเริ่มกลับเข้ามาครอบคลุมเราสองคนอีกครั้ง  ผมจ้องมองไปที่ปุ่มสีแดงบนตัวเครื่องฮีทเตอร์ขนาดเล็กที่คยองซูตั้งค่าและทำมันไว้ บ่งบอกถึงอุณภูมิที่กำลังมากขึ้นหลังจากเครื่องทำงาน แต่ทำไมผมไม่รู้สึกอุ่นขึ้นเลย อากาศยังคงหนาวเหมือนเดิม แต่เหงื่อของผมต่างหากที่กำลังออกมามากขึ้น

     

    ปาร์คชานยอลพบกับความล้มเหลวหลังจากหักห้ามตัวเองที่กำลังหันไปชำเลืองมองคนตัวเล็กด้านข้างไม่ได้ ดวงตากลมๆของเขาจ้องมองพื้นกระเบื้องอยู่อย่างนั้น

     

    ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการหลบหนีคยองซูตลอดทั้งวันที่ผ่านมามันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่ากับเวลาในขณะนี้ ความว้าวุ่นและทรมานกำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆหลังจากเจ้าหมอนี่เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆผม

     

    นั่งเฉยๆโดยที่ไม่ต้องทำอะไร..

     

    กลิ่นแชมพูและสบู่อ่อนๆที่คยองซูใช้มันประจำราวกับว่าเป็นของใช้ที่ผมคุ้นเคยซะเองกระจายไปทั่วอีกครั้ง

    หัวใจของผมกำลังเต้นแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจังหวะเพลงของ Celo & Abdi ในอัลบั้มแรกๆ


    บางทีการที่เขามีท่าทีซึมเศร้าแบบนี้ ..คยองซูอาจจะผิดหวังกับการสารภาพรักรึปล่าวนะ..


    คิมจงอินอาจจะไม่ยอมรับสิ่งที่คยองซูรู้สึก

    และเจ้าเด็กโง่นี่อาจจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นสดใสเวลาอยู่ต่อหน้าคิมจงอินเหมือนเดิมต่อไปเรื่อยเพียงเพราะไม่อยากให้ใครทุกข์ใจเหมือนเดิม ..


    ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงแย่ ผมคิดอยู่แล้วล่ะ ไม่มีใครรับเรื่องราวแบบนี้ได้ง่ายๆหรอก

    เจ้าเด็กเตี้ย

     

    “นายเศร้าอะไรก็บอกฉันได้นะ..ฉัน....
    ฉันหมายถึง...ฉันก็เพื่อนนายคนนึงน่ะ”

     

    ผมพูดออกไปอย่างยากลำบากเล็กน้อย  ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับการทำอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากเขากันแน่

    ใช่...ผมกำลังปลอบเขาอยู่ ผมทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดจะทำมาก่อนกับคนอื่นๆ ผมโอ๋ใครไม่เป็น ผมพูดจาดีๆกับใครไม่เป็นอย่างที่คยองซูเคยว่านั่นล่ะ

    “อื้ม..”

    ผมได้ยินแค่นั้นออกมาจริงๆ เจ้างั่งนี่คงไม่รู้ว่าผมต้องใช้เวลามากมายขนาดไหนในการเอ่ยประโยคพวกนี้ออกมาสินะ แต่บางทีผมว่า ถ้าหากความผิดปรกติทุกอย่างของผมตลอดเวลาที่ผ่านมามันเริ่มจากที่คยองซูเป็นต้นเหตุ และถ้าผมยังคงปล่อยให้มันวนเวียน ขึ้นลงอยู่ในความรู้สึกของผมแบบนี้อยู่อีกต่อไป ผมคงต้องเป็นบ้าแน่เข้าสักวันนึง


    ความคิดสั้นๆอย่างที่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง...


    ราวกับว่าผมโหยหาเขามานานแสนนาน..


    อะไรบางอย่างที่คงมีอิทธิพลต่อตัวผมอย่างถึงที่สุดกำลังสั่งให้แขนทั้งสองข้างเบี่ยงเข้ากระชับร่างกายเล็กๆของโดคยองซูที่นั่งแน่นิ่งให้แนบกับแผ่นไหล่กว้างอันแสนร้อนระอุของตัวเองอย่างเชื่องช้า 
    แขนของปาร์คชานยอลยาวมากว่าแผ่นหลังของโดคยองซูกี่เท่ากันนะ.. .คยองซู...นายเคยรู้มันมั่งรึปล่าว.....

    เราอาจจะอยู่ด้วยความเคยชินมาเนิ่นนานจนบางครั้งผมก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนในตอนนี้ว่าเขาบอบบางมากเหลือเกิน..


    ผมได้กลิ่นกายของคยองซูชัดเจนขึ้นมากกว่าทุกๆครั้ง...

    กลิ่นที่เหมือนเด็ก
    กลิ่นหอมที่สดใสเหมือนกับรอยยิ้มของเขา 


    ร่างกายของเราแนบชิดกันจนผมได้ยินเสียงหัวใจของเจ้าตัวเล็กว่ามันเริ่มดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นขนาดไหน

     

    ทำไมผมถึงได้รู้สึกอบอุ่นแบบนี้ก็ไม่รู้..

     

    “ชะ...ชานยอล”

     

    ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อนั่นดังขึ้นอยู่ข้างหูของตัวเอง..


    คยองซูคงต้องตกใจมากแน่ๆที่ผมทำแบบนั้นลงไป….


    ฉันขอโทษนะ ถ้าคนที่นายกำลังกอดอยู่ด้วยในเวลานี้ไม่ใช่คิมจงอิน…..


    คนที่นายชอบไม่ใช่ฉัน….


    แต่มันมีวิธีนี้วิธีเดียวจริงๆที่จะช่วยให้ฉันรู้ตัวเองสักทีว่าต้องการอะไร

     

    ผมเพียงแค่คิดก่อนที่จะกดใบหน้าและดวงตาอันแสนเหนื่อยล้าเต็มทนลงบ่าเล็กๆของคยองซูที่ผมสร้างพันธนาการให้กับร่างกายของเขาเอาไว้ ถ้าหากคนเราทิ้งโลกแห่งความเป็นจริงแล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้นเหมือนในความฝันได้ก็คงดี

     

    ...

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองกอดเจ้าเตี้ยนั่นไปนานขนาดไหนจนรับรู้ได้ถึงไหล่ที่ชุ่มไปหมด


    ผมกำลังพบว่ามีน้ำตามากมายบนบ่าหนาๆของตัวเอง..


    ถึงมันจะเป็นเพียงของเหลวที่ระบายออกจากร่างกายของมนุษย์ตามกลไกของธรรมชาติ แต่กลับมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนอย่างไม่น่าเชื่อ คยองซูสะอื้นเบาๆเหมือนว่าเขาพยายามจะกลั้นมันลงไปเพื่อไม่ให้ผมเห็นท่าทีแบบนั้น ซึ่งความพยายามแบบโดคยองซูมันช่างดูงี่เง่าเสียจริง


    ผิดหวังสินะ...
    ผมไม่ใช่จงอินนี่นา..

     

    ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สะอื้นมากขึ้นเรื่อยๆ

     

    อยากจะปล่อยเขาออกไปให้ไกล....แต่กลับทำแบบนั้นไม่ได้

     

    “คยองซู ถ้านายมัวแต่ร้องไห้อยู่แบบนี้ นายจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจของฉันนะ เจ้าเด็กโง่”

     

    ++++++++++

     

    ป้าดดดดดดดดดดดดดดด ไกล้แล้วมั้งเนี่ยะ เรื่องนี้ไม่ยาวจริงด้วย 55555555555555555555555555
    โอ้ย อัพไม่สนแล้วใครเม้นไม่เม้น ฮี่ๆ ได้เม้ากับน้องที่แอดเฟสไปบ้างไรบ้าง สนุกสนานมาก
    >< ขอบคุณกำลังใจนะจ้ะ แล้วขอบคุณคอมเม้นที่ยังคงติดตาม T-T กะว่าจะให้เรื่องนี้จบก่อนก็แล้วกัน จะไปสะสางเรื่องเก่า ไม่งั้นสมองตีกัน 5555(แต่งนี่เอ็งใช้สมองแล้ว?) 5555
    ตอนนี้อาจจะไม่ทันสถาณการณ์แล้วนะ เพราะกิจกรรมน้องบางอย่างไม่อำนวยต่อเนื้อเรื่องฟิคบางอย่าง จากที่น้องไปงานแต่งมาก็ไม่ได้ใส่เข้าไปTT
    อย่าให้เนื้อหามันเดินอะคะ  ฮือออ
    ที่สำคัญเครียดกับการเขียนฉากโรแมนซ์มาก ไม่เคยแต่งถึงจุดนี้เลย กลัวว่าจะสื่อให้คนอ่านไม่เข้าใจ จะพยายามพัฒนานะคะ
    และสุดท้ายเหมือนเดิมคะ รีบลงจะมีผิดไปบ้าง แต่จะมาอีดิทแก้ให้ทีหลังกับภาษาขัดๆ
    *กราบงามๆ* ขอบคุณนะคะ
    TT

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×