ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #4 : Page4

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 55


    Page4

    “ นะ...นายว่ายังไงนะคยองซู?

     

     

    การที่เรายิ่งหนีใครสักคนเท่าไหร่ มันน่าแปลกว่ามั้ยครับ ที่มันกลับกลายเป็นว่าเขาจะยิ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเราบ่อยมากขึ้นเท่านั้น

    แต่ใครก็ตามที่เราคิดถึงเขาสุดหัวใจ อยากเห็นหน้าเขาสักเท่าไหร่ สุดท้าย เราก็มักจะพบกับความว่างปล่าวทุกที..

     

     

     

     

    ผมจ้องมองตัวหนังสือมากมายบนหน้าจอแมคบุคที่เปิดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่างเบื่อหน่ายกับการที่ไม่มีงานหลายวันติดต่อกัน ทั้งที่เคยจินตนาการมาก่อนแล้วแท้ๆว่ามันคงจะมีความสุขมากมายขนาดไหนถ้าหากได้อยู่แบบที่ร่างกายไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรใดๆทั้งสิ้น..แต่พอเอาเข้าจริงถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมชักออยากจะกลับอยากไปทำงานละล่ะ ปล่อยให้ตัวเอง
    นอนง่อยก่อนปีใหม่แบบนี้ชักไม่สนุกซะแล้วสิ=_=


    บรรยากาศเอื่อยอ่ายมันทำให้ผมมองหาอะไรสักอย่างทำไปรอบๆจนไปสะดุดกับก้อนผ้าห่มยักษ์บนเตียงนอนชั้นที่สอง มันกำลังพองขึ้นพองลงราวกับสิ่งมีชีวิต


    อาจเป็นเพราะมันเป็นวันพักผ่อนที่เขาถวิลหาเป็นที่สุด ตอนเช้าแบบนี้แบคฮยอนเลยยังไม่ยอมตื่นสักที เขาหลับด้วยท่าทีที่เหมือนหนอนชาเขียวกำลังขดตัวอยู่ในใยสีขาวที่ห่อหุ้มไปทั่ว


    ผมไม่รู้ว่าเขาทนอากาศร้อนระอุแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ขนาดคืนที่ผ่านมาผมเองตัดสินใจที่จะลองกลับมานอนที่ห้องเพราะเรื่องรบกวนสมองบางอย่างแล้วก็ตามที ถึงอย่างนั้นยังอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองจะทนไปได้อีกนานเท่าไหร่กับพฤติกรรมเสมือนคนขั้วโลกเหนือของเจ้าหมาที่เขามักคุมขังตัวเองไว้กับความอบอ้าวอยู่บ่อยครั้ง



    หวังว่าเสียงปลายนิ้วหนักๆของผมที่กำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่แบบนี้คงจะไม่ทำให้เขาตื่นสินะ

     
    08.23น.

     

    หนาวกันรึปล่าวครับ ..#ห้องกลับมารกอีกครั้ง #ชีทเนื้อเพลงที่ยังไม่ได้แตะ


    อากาศเย็นๆแบบนี้ทำให้ไม่อยากจับต้องอะไรอีกเลยจริงๆ


    อย่างที่ผมบอก เกือบเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปคือโบนัสหยุดงานอันแสนเนิ่นนานที่สุดเท่าที่เคยได้รับมานับจากวันที่เริ่มเดบิวต์ แต่เพราะพวกเรามีแพลนคัมแบคในปีใหม่กับอัลบั้มสองที่ทุกคนรอคอย มันทำให้ถึงแม้จะเป็นวันหยุดส่งท้ายปีเก่าก็ยังคงมีการบ้านเล็กๆน้อยๆจำพวกการฝึกร้องเพลง จดจำเนื้อเพลงและเรียกซ้อมท่าเต้นมาเป็นการบ้านทำยามว่าง

    =_=ผมมีเวลาว่างเต็มไปหมดนะ แต่แค่ไม่อยากหยิบเจ้ากระดาษสี่ห้าใบบนโต้ะนั่นมาอ่านดูก็เท่านั่นล่ะ


    สาเหตุจากความขี้เกียจเลยต้องปล่อยให้ตัวเองมานั่งบ่นเหมือนลุงแก่ๆกับไดอารี่เพียงคนเดียว ผมว่าบรรยากาศแบบนี้มันเริ่มมากขึ้นตั้งแต่ไม่มีงานอีเว้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะตอนเช้าตรู่หอของพวกเรายิ่งเงียบสงบมากกว่าปกติที่เป็นหลายเท่า แลดูเหมือนว่าสมาชิกทั้งหมดชักจะติดใจการนอนตื่นสายชนิดตะวันส่องตูดจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว


    สภาวะแบบนี้มันทำให้ผมเริ่มรำลึกถึงเสียงบ่นที่สุดจะน่ารำคาญของพี่อิมคยุนผู้จัดการสุดสวยที่ลางานกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมครอบครัวของตัวเองที่ปูซานเมื่อหลายวันก่อน ถึงแม้พวกเขาจะดูใจร้าย ขี้เหนียว ชอบบ่น ชอบให้ลุกไปซ้อมแต่เช้า ให้อดอาหารอร่อยๆ ดุ บลาๆ~ แต่บางทีการหายตัวไปพักผ่อนของเมเนเจอร์ทั้งสี่ห้าคนของพวกเราก็ทำให้หอเงียบเหงาลงไปเหมือนกัน เพราะโดยปกติแล้วพวกเขาจะต้องมาหาผมและเพื่อนๆในทุกๆวันพร้อมกับโคดี้นูน่าเพื่อนำชุดสปอนเซอร์และรายละเอียดงานประจำวันมามอบให้ ก่อนที่จะรับเราทั้งหมดไปร้านทำผม แต่งตัว และออกหาเงินในที่สุด

    -_-


    ถ้าหากไม่มีคิวซ้อมเต้นอย่างพรุ่งนี้ตอนเย็น ผมก็คงอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมพี่ชานอีแล้วก็แม่และพ่อที่บ้านอยู่เหมือนกันT^T

    ..

    ไม่เอาน่ะปาร์คชานยอล นายโตละนะ..

    ..
    แม่นะแม่T^Tการคิดถึงแม่ทำให้ท้องผมร้องขึ้นมานิดหน่อยจนต้องตัดสินใจค่อยๆลุกพาสาระร่างโรยราออกมาจากห้องที่รกราวกับรูหนูเพื่อหาอะไรกิน  ใบหน้าของแม่มักจะลอยเข้ามาพร้อมกับผักห่อเนื้อย่างที่กำลังป้อนเข้าปากผมเป็นประจำสมัยเด็กๆทันทีที่ผมปลดปล่อยให้หัวใจของตัวเองอ่อนแอ แต่ก่อนที่ตอนผมเพิ่งเริ่มเป็นเด็กฝึกและย้ายเข้ามานอนหอที่บริษัทจัดเตรียมให้อย่างถาวร บอกได้เลยว่าคืนสุดท้ายที่ผมใช้ชีวิตที่บ้าน .....


    ผมนอนกอดแม่ทั้งคืน...


    ตอนนั้นผมอาจจะเด็กอยู่หรืออะไรก็ตาม แต่จนถึงทุกวันนี้ผมเลี่ยงที่จะไม่คิดแบบนั้นอีกต่อไปและทำงานด้านเพลงที่ผมชอบและพ่อก็สนับสนุนผมมาตลอดแม้ท่านจะมัวง่วนกับโรงเรียนสอนดนตรีที่ตัวเองเปิดอยู่ตลอดก็ตาม


    เพราะฉะนั้นผมจึงต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดและกลับไปยืนต่อหน้าบุพการีอย่างสง่าผ่าเผย


    ผมคิดเสียยืดยาวก่อนที่จะพบว่านอกห้องมีไฟหลายดวงถูกเปิดอยู่พร้อมกับเสียงก้อกแก้กจากในครัวที่ดูจะไม่ได้ดังอึกทึกสักเท่าไหร่

     

    ผมเห็นคยองซูอีกแล้วในเช้านี้น่ะสิ-_-

    เขาขลุกอยู่ในห้องครัวด้วยแสงไฟที่เปิดไปรอบๆหอ แผ่นหลังเล็กๆขยุกขยิกไม่ยอมหยุดเหมือนทำอะไรสักอย่างอยู่ด้วยความขะมักขะเม้น ช่วงเวลาทำอาหารเปรียบเสมือนช่วงวินาทีทองของคยองซูเชียวละ

    ผมได้แต่ลากเก้าอี้ไม้เพื่อนั่งลงมองเขาอย่างเงียบๆ เวลาที่เราไม่ได้คุยกันมันทำให้ผมได้สังเกตคยองซูได้ชัดเจนขึ้นมากกว่าปกติ (สังเกตบ่อยไปนะชาน -.-)


    จะว่าไปเขาเป็นคนผิวขาวกว่าผมเยอะเลยล่ะ ตัวเขาก็เตี้ยกว่าผมเป็นคืบๆเห็นจะได้

    เสียง ปึก ปึก ปึก ดังออกมาจากมีดที่หั่นลงบนเขียงซ้ำไปมา นิ้วเล็กเป็นสีแดงจัดจากการทำอาหารแลดูไม่เป็นอุปสรรคของเขาสักเท่าไหร่ มันก็น่าแปลกจริงที่เขาเป็นผู้ชายๆแท้ๆ แต่กลับดูมีเสน่ห์เวลาลงครัวยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

    เสียงจานใส่คิมบับเขยื้อนหลังจากถูกผมฉวยเข้าปากตัวเองไปหนึ่งคำทำให้คยองซูรู้สึกถึงความผิดปกติด้านหลังของตัวเอง

    “...”

    O_O

     

     

    “ทึ่งอะไรเจ้ากบเตี้ย”

    ผมพูดกับคนตัวเล็กที่เงยขึ้นมากจากการหั่นข้าวท่อนยาวๆบนเคาเตอร์ เขาหยุดการสับมันเป็นชิ้นพอดีคำทันทีที่ผมเริ่มจัดการกับของกินที่เขาสรรสร้างมาเรียบร้อยแล้วส่วนหนึ่งบนโต้ะกินข้าว


    “ฉันไม่ใช่กบแล้วก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นสักหน่อย...”คยองซูว่า มือที่ชำนิชำนาญของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง “ชานยอลล้างมือก่อนจะหยิบอะไรกินรึยัง ส่วนนั้นฉันเอาไว้ให้พี่ซูโฮ จงอินกับเซฮุนนะ อย่าพึ่งแตะต้องมันสิ”


    ผมคิดว่าผมฟังไม่ผิดหรอก เด็กเตี้ยกำลังห้ามปรามผมที่กำลังเขมือบอาหารมื้อวิเศษที่เขากำลังปั้นแต่งด้วยความพิถีพิถันให้กับเจ้าน้องตัวแสบทั้งสองคนโดยที่ไม่มีของผมเลยสักกะอัน มันน่าสลดใจมั้ยล่ะที่เขาไม่แม้แต่จะนึกถึงผู้มีพระคุณอย่างปาร์คชานยอลเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นรึยังว่าเจ้าหมอนี่ตอบแทนผมด้วยวิธีแบบไหน=_= ผมถึงพยายามบอกว่าเขาไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคิดหรอกน่า.. ลืมมันไปซะเถอะ

     

    ผมคิดฟุ้งซ่านก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ มันคือการนำาผ้าห่มลายตุ้กตาติ้งต๊องไปคืนเจ้าคยองซูตามที่ผมได้ให้สัญญากับตัวเอง


    ใช่แล้วผมเกือบลืม-_-

    “ นี่เจ้าเตี้ยเรื่องผ้าห่มนายน่ะ ฉันไม่ใช้แล้วล่ะนะ ฉันร้อนตับจะแตก เพราะฉะนั้นมาเอาคืนไปด้วย ฉันไม่ห่มมันแล้ว!

    ผมบ่นบุ้ยใบ้ไปทางโซฟาในห้องกลางก่อนที่จะดูดเม็ดข้าวบนนิ้วสองสามเม็ดให้เข้าปาก ในใจก็คิดว่าเจ้าเด็กเตี้ยคงจะต้องเสียความรู้สึกมากแน่ๆเมื่อผมเอ่ยคำที่ดูหักหามน้ำใจแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าคยองซูกลับไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมพูดเลยแม้แต่อย่างเดียว ในหัวของเขาตอนนี่กลับมีเพียงข้าว มีด สาหร่าย จงอิน พี่ซูโฮและโอเซฮุน!


    “ชานยอลออกไปซื้อสาหร่ายกับฉันหน่อยสิ ฉันว่ามันไม่พอ ฉันอยากห่อให้พี่ซูโฮเยอะๆหน่อยช่วงนี้เขาเป็นตัวแทนไปคุยงานแทนพวกเราประจำเลย เขาสมควจะได้กินอะไรดีๆ นายว่ามั้ย”

    -_-ฉันไม่ไป”


    “มันจะไม่พอในส่วนของชานยอลด้วยนะ”


    -_-;ฉันไม่กินก็ได้”

    “ชานยอลโตแล้ว  อย่าทำนิสัยแบบนี้สิ”

    -*-ฉันก็แก่กว่าเซฮุนไม่กี่ปี เลิกพูดแบบนี้ได้มั้ยหะ!

    “ไปเถอะ เร็วๆ ฉันรู้ว่าชานยอลหิวข้าว ไม่งั้นคงไม่ตื่นแต่เช้าแบบนี้หรอก ใช่มั้ยล่ะ^^

    ยังไม่ทันที่จะได้โวยวายอะไรต่อมือเล็กๆนั่นก็ดึงแขนของผมให้ออกไปทางประตู  เจ้าเตี้ยแกะผ้ากันเปื้อนออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยิบเสื้อโค้ทที่แขวนเอาไวบนราวด้านข้างทางออก สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ให้กับของกินจนได้T-T แต่มันไม่ใช่เพราะคยองซูหรอกที่ทำให้ผมใจอ่อนน่ะ


    อย่าเข้าใจผิดกันไปล่ะ


    ก็ดี ผมก็มีเรื่องจะคุยกับเขาอยู่เหมือนกัน

    ..

    พวกเราสองคนใช้เวลาไม่กี่นาทีในการตระเตรียมอุปกรณ์ป้องกันความหนาวรวมไปถึงพันผ้าพันคอเพื่อพรางหน้าพรางตัวให้ดูมิดชิดจากโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยผู้คน โดคยองซูในเวลานี้มีดวงตาที่สดใสอีกครั้งนึง เขามีทีท่าว่าจะไม่ได้รับความเจ็บปวดจากอากาศที่เย็นอีกต่อไปแล้วแต่กลับกันเขาเริ่มดูร่าเริงขึ้นมากกว่ากลายวันก่อนนัก

    รอบยิ้มจนพวงแก้มยุ้ยๆยกสูงขึ้นปิดตากลมๆสองข้างกำลังจะกลับมาแล้ว..

     

    ผมออกมาข้างนอกกับเขาสองคนบ่อยขึ้นหลังจากทีมงานไม่อยู่ถ้านับจากอาทิตย์ที่ผ่านมาทันทีที่เราพอจะมีเวลาว่างเหมือนคนอื่นๆ บางทีผมก็ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกับเขาจนได้เมื่อเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองคนนั้นมาถึงอีก ทั้งๆที่ทุกครั้งเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้อยู่กับตัวเองเรื่องราวชวนฟุ้งซ่านของคนตัวเล็กด้านหน้าจะโผล่เข้ามาตลอดเวลาจนรกหัวสมองไปหมด

    “ชานยอล” คยองซูถามผมขึ้น เขาไม่ได้หันมามอด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะกำลังหนีลมเย็นที่ชวนแสบไปทั้งใบหน้างั้นสินะ


    “มีอะไร”


    “ถ้าฉันมีเรื่องจะปรึกษาชานยอล จะได้รึปล่าว”

    ดวงตาที่เคยไร้เดียงสาหลุบต่ำลงไปที่พื้นหิมะ คยองซูเริ่มมองไปที่พื้นสีขาวมากกว่าทางเดินด้านหน้าอีกครั้ง...


    ผมรู้สึกตลกกับคำพูดของเขาในตอนนี้เสียจริง ทั้งที่เราก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้วแต่เขายังคงขออนุญาติผมแม้กระทั่งเวลาอยากจะปรึกษาปัญหาอะไรสักอย่าง หรือผมคงน่าเกรงขามมากแน่ๆเลยว่ามั้ยล่ะ เจ้าเด็กนี่ถึงได้ดูกลัวผมแบบนั้น ฮ่า~^^ ผมได่แต่อมยิ้มแบบที่ไม่อยากให้คยองซูเห็นพลางเงียบเสียงลงเพื่อบ่งบอกเป็นเชิงว่าให้เขาเล่ามาเถอะ

    ยังไงซะผมก็มีเรื่องอยากปรึกษาเขาเหมือนกันนั่นล่ะ


    “จะวันเกิดจงอินแล้วหลังปีใหม่...” เจ้ากบหอพูดขึ้นลอยๆ -_- คิมจงอินอีกแล้วให้ตายสิ


    “เจ้าหมอนั้นไม่ชอบให้ใครซื้อของขวัญให้หรอกน่า จำเมื่อปีที่แล้วที่เขาบ่นไม่ได้รึไง”
    ผมชิงอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อวันเกิดของคิมจงอินในปีก่อนที่ครอบครัวของเขาบุกมาถึงที่หอเพื่อจัดงานวัดกิดให้เจ้าเด็กผิวสีแทนที่ยังคงฝึกซ้อมกับพวกเราจนไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านหรืออยู่กับครอบครัวเหมือนเด็กเทรนคนอื่นๆตามกฏของบริษัท

    แต่เพราะเจ้าหมอนั่นรวยมากน่ะสิ พ่อแม่เขาถึงเฝ้าเป็นห่วงจนแทบคลั่งด้วยการส่งนั่นนี่มาให้ที่หอตลอด ผมจำได้ในวันเกิดปีนั่นพี่สาวของจงอินซื้อรองเท้าคู่ใหม่ราคาแพงมาให้ สุดท้ายจงอินก็ไม่ยอมรับมันแล้วบอกว่าเขาขี้เกียจมีภาระในการดูแลและเก็บข้าวของเครื่องใช้เพิ่มเติมจากที่มีอยู่


    ผมเดาว่าครอบครัวนี้มักจะซื้อของใช้นู่นนั่นนี่ให้บรรดาลูกๆเหมือนเป็นงานอดิเรก โดยเฉพาะเจ้าโอเซฮุน รายนี้เคยได้ของจากจงอินมาแล้วหลายอย่าง ด้วยไซส์เสื้อผ้าและรองเท้าที่ไกล้เคียงกันเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะแม่ของจงอินมักจะมาหาที่หอพักของพวกเราแล้วจะซื้อแบรนด์เนมต่างๆพวกนั้นมาให้เสมอๆ


    ถ้าหากเจ้าเปี้ยกนี่คิดจะทำแบบนั้นก็เรียกว่าโง่เต็มทีแล้วล่ะ เขาอยู่ร่วมห้องกันแท้ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้อีก


    ผมชำเลืองหาคนตัวเล็กด้านข้างที่ทอดสายตาไปยังรอยเท้าบนหิมะมากมายด้านหน้า เขาอึกกอักอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดบางอย่างแบบที่เขาชอบทำ พูดจาฟังแล้วดูน่าสับสนและไม่เข้าใจ


    “ชานยอล ถ้าฉันเป็นคนประเภทนั้น นายจะรังเกียจแล้วยังคบฉันเป็นเพื่อนรึปล่าว”คยองซูพูด..
     “ความจริงฉันไม่ได้อยากซื้อของอะไรหรอก ใต้ตู้ชั้นล่างมีสาหร่ายอยู่ พี่อิมคยุนแวะเอามาให้ก่อนเค้ากลับปูซานละล่ะ”

     

    ผมชักฉุนนิดหน่อยที่เขานึกโกหกผม แต่ด้วยหน้าตาเหมือนหมาหงอยอย่างในตอนนี้ทำให้ผมไม่ได้ต่อว่าอะไรออกไป เพียงแต่รอให้เขาระบายในสิ่งที่อยากพูดออกมาให้หมด โอเคผมอาจจะไม่ใช่คนดี เพื่อนที่น่ารักพอที่จะปลอบประโลม แต่ผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้เหมือนกันนะ


    ถ้าหากเรื่องเล่านั้นผมเข้าใจมันได้


    แต่ตอนนี้ผมกลับไม่เข้าใจสิ่งที่คยองซูพูด


    “ฉันไม่เลิกคบเพื่อน เพราะไม่มีเหตุผลหรอกน่ะ ไร้สาระ” ผมตอบไป


     แต่เขานี่ละ ทำให้ผมไม่อยากจะให้คำปรึกษาอะไรต่อไปอีก


    “ชานยอลยังไม่รู้เลยฉันจะบอกอะไร ทำไมถึงตอบเร็วจังล่ะ ฉันอยากคุยกับชานยอลมาหลายวันแล้ว แต่เข้าไปไกล้ทีไรชานยอลดูอารมณ์ไม่ค่อยดีตลอดเลย..”


    “รีบพูดมาสิ สมองฉันไม่ได้เข้าใจภาษาต่างดาวของนายมากมายหรอกนะโดคยองซู”


    ผมเร่งเร้าเขา แต่ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่คิดจะทำแบบนั้น

    เพราะสิ่งที่คยองซูพูดมา มันทำให้ผมไม่อยากจะพูดจาอะไรกับเขาอีกต่อไป ผมอยากจะอยู่ห่างจากเขานับจากนี้และในวันข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ



    “ฉัน..

    ชอบจงอินล่ะ ชานยอล..ฉันชอบเพื่อนตัวเอง เพศเดียวกับฉันเอง”

    ..

     

    “นะ...นายว่ายังไงนะคยองซู?” ผมย้ำเหมือนคนโง่


    "ฉันรู้สึกชอบจงอิน..ฉันชอบเขา"

    "....."
     
     

    เสียงของเจ้าเด็กเตี้ยตากลมดังสะท้อนกลับไปมา เขาพูดว่าอะไรนะ ...คยองซูกำลังบอกว่าอะไร

    สิ้นเสียงทั้งหมดมันทำให้ผมหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง

    "เจ้าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ......."

     

    มันคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกตัวเองว่า รอยเท้าที่เกิดขึ้นบนน้ำแข็งด้านหลังจากรอยย่ำของเราสองคนมันเป็นเพียงฝันไป ผมไม่ได้ออกมาซื้อของกับโดคยองซูในเช้านี้ ผมไม่ได้เดินมากับเขาแล้วเราก็พูดคุยกัน ผมไม่ได้มีอะไรจะถามเขาต่อจากนี้อีก

    ปาร์คชานยอลยังคงนอนหลับและกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันกับท้องที่ร้องโครกครากเพื่อรอมื้อกลางวัน

    ผมจะตื่นมาแล้วพบว่ามีคิมบับข้าวห่อสาหร่ายนอกเหนือจากสปาเก็ตตี้และบะหมี่สำเร็จรูปตั้งรอคอยอยู่บนโต้ะกินข้าว เพื่อนทุกคนกำลังพูดคุยกันเสียงดังถึงความสุขสบายที่ได้รับหลังวันหยุด


    ผมอยากแสร้งไม่ได้ยินคำพูดที่หลุดลอยออกมาแบบนั้นราวกับว่ามันเป็นอากาศที่ผ่านเลยไป และพาเขาไปซื้อของอะไรก็ได้ถึงแม้ว่าเจ้าสาหร่ายพวกนั้นมันจะคงมีเต็มตู้เก็บของก็ตามที


    ผมจะไม่ถามเกี่ยวกับความรู้สึกผิดแปลกคนทั่วไปแบบนั้นของเขาอีก


    เรื่องที่โดคยองซูเป็น....


    ....ไม่สิ ผมบอกไปแล้วว่าผมจะไม่พูดถึงมันอีก


    ที่สำคัญไปกว่านั้น เขากำลังตกหลุมรักคิมจงอิน คนที่ผมฝึกซ้อมเต้นมาด้วยตลอด1ปีหลังที่ผ่านมา


    คยองซูชอบคิมจงอินแบบนั้นใช่มั้ย..

    ..



    “ฉันขอโทษนะชานยอล นายคงรับมันไม่ได้...ฉันไม่น่าพูดมันออกมาเลย”


    คยองซู นายพูดมันเบาเหลือเกิน...เจ้าเด็กเตี้ยเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาอย่างแผ่วเบาเสียจนแทบจะไม่ได้ยินอะไรอีก –คงเพราะท่าทีของผมที่ชะงักไป


    เพื่อนผมเป็นเกย์


    ในหัวของผมมีอยู่เพียงเท่านั้นในเวลานี้จริงๆ

    ใบหน้าสีขาวงุดลงไปในผ้าพันคอจนผมแทบจะไม่เห็นมันอีก
    ทั้งที่เขาคงอยากต้องการที่ระบายมันออกมา 

    คยองซู ฉันเพื่อนนายเองนะ ปาร์คชานยอล ฉันขอโทษที่ทำท่าทีแบบนี้ออกไปจริงๆ 


    “ถ้าไม่มีอะไรต้องซื้อก็กลับเถอะ...อากาศหนาว” ผมได้แต่พูดประโยคไม่ยืดยาวนัก ด้วยความรู้สึกที่สับสนไปหมด ทั้งที่ผมเองก็มีเรื่องที่เตรียมไว้อยากจะพูดคุยกับเขาเหมือนกัน ผมกำลังจะต่อว่าเรื่องที่เขาชอบทำตัวให้น่าหงุดหงิดตลอดเวลา ทั้งที่เตรียมไว้ว่าจะต้องโวยวายใส่แล้วแท้ๆ


    มันดันกลับตาลปัตรไปหมด


    ผมเร่งฝีเท้าซะจนลืมมองกลับไปข้างหลังว่าคยองซูได้ตามมาด้วยมั้ยเพราะสมองในตอนนั้นเริ่มด้านชาขึ้นมาอีกครั้ง

    ไม่มีใครยอมรับเพศที่สามสักเท่าไหร่ในบ้านเมืองของเราใครๆก็รู้ ถึงการตลาดที่คลุมเครือของบริษัทจะหยิบยกเรื่องพรรค์นี้มากเป็นจุดขายก็เถอะ แต่เพราะต่างคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงงาน งานที่ออกไปสู่สังคมที่เขาอาจจะยมรับ

    แต่ผมเกิดและโตที่นี่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะรับกับเรื่องแบบนี้ได้รึปล่าว ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กเตี้ยด้วย ..หรือเป็นเพราะแผนงานบ้าบอบแบบนั้นทำให้พวกเขาไกล้ชิดกันเกินไป

    ถ้าอย่างนั้นผมขอเกลียดบริษัทแห่งนี้ได้ไหม

    ผมขอเกลียดทีมงานที่ดูแลผมตั้งแต่วันนี้เลยได้รึปล่าว

    ทำไมนายต้องมาวางใจคนที่ปากร้ายอย่างฉันให้เก็บความลับอะไรแบบนี้ไว้ด้วยนะคยองซู

    ..


    “..ฟืด”

    เสียงสูดน้ำมูกเล็กๆข้างหลังทำให้ผมไม่กล้าหันไปทันทีที่เรากลับมายืนอยู่หน้าลิพท์เพื่อขึ้นห้อง  ผมยังคงเดินนำเขามาตั้งแต่แรกหลังจากเราจบบทสนทนาที่น่าอึดอัดเหล่านั้นลงไปและตัดสินใจที่จะไม่ไปไหนอีก


    ฉันจะแสร้งว่าฉันไม่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่นายพูดมาก็แล้วกันนะโดคยองซู..~

     

     

     

    09.30น.
    นาฬิกาบนฝาผนังบ่งบอกว่าเป็นเวลาสายแล้วหลังจากเด็กชายสองคนตกลงที่จะออกไปซื้อของมาตระเตรียมอาหารเช้า ถึงแม้ว่าสิ่งที่ได้กลับมาหลังจากนั้นจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องดื่มอุ่นๆสักกระป๋อง ภายในหอพักขนาดกว้างเริ่มจอแจเพราะเหล่าสมาชิกจอมวุ่นได้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราจนเกือบหมดแล้วรวมไปถึงโอเซฮุนที่กำลังนั่งกินคิมบับในจานอย่างเอร็ดอร่อย เขาโยกเก้าอี้ไปมาแสดงท่าทีดีใจราวกับเด็กๆเมื่อเห็นคยองซูถอดเสื้อโค้ทเพื่อเก็บมันเข้ากับราวแขวนทันทีที่กลับมาถึง


    “พี่คยองซู พี่ทำมันไว้ให้ฉันใช่ไหม ดีจังเลยน้า ตื่นมาก็มีอะไรให้รองท้อง พี่นี่น่ารักจริงๆ><” เซฮุนพูดทั้งๆที่ในปากยังคงมีข้าวปั้นจุกอยู่แน่นไปหมด ”ว่าแต่พี่ไปไหนกับพี่ชานยอลมาหรอOO ไม่เห็นมีอะไรกลับมาสักอย่าง ผมกำลังจะโทรไปฝากซื้อชานมหน่อยแล้วเชียว”


    “ไปไหนก็เรื่องของพวกฉันน่ะ..นี่เหลือให้ฉันด้วย!”ปาร์คชานยอลกระซิบผ่านไรฟัน คนตัวสูงทำท่าขู่คนเป็นน้องก่อนจะเบี่ยงตัวเพื่อเดินหลบเข้าไปล้างมือที่อ่าง คยองซูยังคงไม่พูดอะไรก่อนที่จะหยิบสาหร่ายแผ่นออกมาจากเคาเตอร์พร้อมข้าวในกล่องนำมาทำคิมบับให้พอกับจำนวนสมาชิกอีกครั้ง


    “นายไม่สบายรึปล่าวคยองซู หรือเจ็บตาอีก” ซูโฮพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงทันทีที่เเขาเดินออกมาจากห้องที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆเพราะเสปรย์น้ำหอมปรับอากาศหลังจากเพิ่งฉีดเสร็จ ดูท่าจะมีเสียงบ่นงึมงำจากคนเป็นพี่ใหญ่ไม่ยอมหยุดถึงกลิ่นปลาหมึกย่างที่เซฮุนแอบเอาเข้าไปกินระหว่างเล่นโนตบุคของตัวเองในห้องตั้งแต่เมื่อคืนวาน เพราะซูโฮถือเป็นอีกคนนึงที่เจ้าระเบียบและรักสะอาดพอกับโดคยองซูเลยก็ว่าได้


    คยองซูได้แต่ยิ้มบางๆก่อนที่จะตอบ

    “ผมสบายดี อากาศแค่หนาวขึ้นเร็วเกินไปนิดหน่อยเอง^^

    “ดีแล้ว...เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราต้องซ้อมเต้นกันอีกยาวเลย ไม่แน่วันที่30นี้อาจจะมีงานรายการด้วย นายไม่สบายขึ้นมาอีกละแย่แน่ๆ อากาศช่วงนี้ก็ยิ่งไม่คงที่ ฉันละจะบ้าตาย นี่เช็คเงินเดินพวกนายก็ยังไม่ได้เลยนะ สงสัยต้องรอไปก่อน” ซูโฮว่า แบคฮยอนที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จเมื่อได้ยินถึงเรื่องเงินๆทองๆถึงกับหน้าเจื่อนลงไปทันที เขาเฝ้ารอเงินเดือนเดือนนี้แทบใจจะขาดรอนๆ แต่มันก็ไม่ออกมาให้ชื่นใจอีกครั้งจนได้ คนตัวเล็กดูท่าจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย ใบหน้าที่บูดเบี้ยวเริ่มที่จะเอะอะเสียงดังไปทั่ว

    “ทำไมถึงทำกันแบบนี้นะ!!พี่ซูโฮรู้มั้ยว่าผมกรอบขนาดไหนอะT-T ทำไมรอบนี้ถึงออกช้านักล่ะ หรือเพราะพี่เมเนเจอร์เราไม่อยู่เคลียร์เรื่องให้” บยอนแบคโอดครวญก่อนที่จะมาสมทบร่วมวงในโต้ะกินข้าวอีกครั้งหนึ่ง เซฮุนที่นั่งครอบครองจานคิมบับรีบคว้ากก้อนข้าวที่แลดูจะเละตุ้มเป้ะเข้าปากอย่างไม่รีรอ ราวกับว่าพี่ตัวเล็กจอมหาเรื่องจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไป


    คยองซูหันกลับมาก่อนที่จะเสิร์ฟจานคิมบับจานสุดท้ายอีกครั้ง เขาแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้ในไมโครเวฟเพื่อสำรองไว้สำหรับคิมจงอินที่อยู่ในห้อง


    “ผมไปปลุกจงอินเองนะ” เด็กชายพูดกับซูโฮที่เริ่มอธิบายถึงสาเหตุที่รายได้เดือนนี้ถูกปันมาช้ามากกว่าปกติให้กับน้องๆที่โวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เขาเพียงยิ้มบางๆให้คนเด็กชายตากลมก่อนที่จะหันกลับมาเล่าเหตุผลต่อด้วยความดุเดือด


    ปาร์คชานยอลเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองตั้งแต่ล้างมือเสร็จโดยที่ไม่ออกมาอีก

    เด็กชายได้แต่มองประตูห้องข้างๆที่ถูกปิดไปแล้วด้วยสายตาที่ว่างปล่าว ก่อนจะก้าวขาที่แลดูจะหนักอึ้งเสียเหลือกกินมาที่ห้องนอนของตัวเอง มือที่เย็นเฉียบบิดลูกหนึ่งครั้งเพื่อเปิดมันเข้าไป

    ข้างในห้องไม่ได้เป็นอย่างที่อย่างที่เขาคิดสักเท่าไหร่ คิมจงอินเองก็ตื่นแล้วและกำลังนั่งอยู่บนเตียงของตัวเองเงียบๆ

    ใบหน้าของเด็กชายเริ่มร้อนผ่าวอีกครั้งเมื่อประตูห้องได้ปิดลงไปพร้อมกับเสียงพูดคุยที่แสนวุ่นวายด้านนอก ดวงตากลมที่เคยสดใสของเขาเริ่มสั่นไหวไปมาก่อนที่จมูกเล็กๆจะเป็นสีแดงระรื่อ

     

    “คยองซู...นายร้องไห้ทำไม??

     

     

    ++++

     

    เรื่องมันอาจจะมีวุ่นวายเบาๆกับความรู้สึกของคยองซูแล้วก็ความสับสนของชานยอลTTด้วยความที่ตานี่เคยมีแฟนสาวมาก่อนนี่ละค่ะ ชานยอลเลยกำลังแอนตี้กับตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น

    โถอยากจะจับมาให้อยู่ด้วยกันจู๋จี๋ให้รู้แล้วรู้รอด(แล้วไมเอ็งไม่ทำ)

    ไม่ถนัดอะ บรรยายไม่เก่ง รอก่อนนะรีดเดอร์คะ!! ตอนนี้มาห้วนๆ ฟีลหายๆ คิดอะไรไม่ออกจริงๆ เลยออกมาชุ้ยๆแบบนี้ ขอโทษนะคะ TT อีกอย่างคือว่าจะกลับไปอัพเรื่องMy Boyfriend's a Ghost? ที่ดองเอาไว้ด้วยTT
    ส่วนเรื่องของทวิตเตอร์ คือไรเตอร์ไม่ค่อยสิงอะ จะสิ่งในกรุปเจ้าโด้ในเฟสบุคอะค่ะ ยังไงก็https://www.facebook.com/zuinnuiiz.ten น้าไว้ดึงเข้ากลุ่มไปเม้ามอยกัน ฮี่ๆ ชมรมคนรักชานโด้ กรี้สสสสสสสส><

    ขอบคุณนะคะคนที่เข้ามาติดตามไรเตอร์มือใหม่เต่าะแตะอย่างเค้าน้า เดี๋ยวคงจะมีอีดิทแก้คำอีกรอบทีหลัง แป่ะเอาวไก่อน อ่านขัดลูกกะตายังไงขอโทษล่วงหน้าเลยน้ะT-T

    ชอบคุณทุกคอมเม้นจริงๆ ดูแลสุขภาพกันด้วยเช่นกันนะคะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมากกกกT-T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×