ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #2 : Page2

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 55


    Page2

     

    อย่างที่บอก


    ความจริงเรารู้อยู่แล้วว่าจะได้อะไรบ้างในค่ำคืนงานประกาศผลรางวัลที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆได้ทราบรายละเอียดคร่าวๆเมื่อครั้งที่มีการประชุมก่อนบินไปที่ฮ่องกงว่าด้วยข้อตกลงในการขึ้นแสดงชุดพิเศษบนเวที เป้าหมายทั้งหมดก็เพื่อโชว์ขีดความสามารถของวงพวกเราให้กับศิลปินค่ายอื่นๆได้เห็นในวันงาน มีผู้บริหารใหญ่มากมายเข้าร่วมประชุม ซึ่งบรรยากาศแบบนั้นมันทำให้ผมก็ตื่นเต้นแล้วก็เกร็งไปทั้งตัวจนแทบบ้า

    ปาร์คชานยอลลุกไปเข้าห้องน้ำถึงสี่รอบใน1ชม. =_=เพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นอาจารย์ลีซูมานอดีตหุ้นส่วนใหญ่ของค่ายSnลงมาโคลงานด้วยตัวเอง

    มันเริ่มต้นตั้งแต่ค่ำคืนหลังจากกลับมาจากไทยผมก็แทบจะไม่ได้งีบเต็มอิ่มดีสักวันเดียว

    ไม่สิ ผมหมายถึงสมาชิกทั้งหมดนั่นล่ะ

    ทุกสิ่งทุกอย่างกดดันศิลปินหน้าใหม่อย่างพวกเราที่เดบิวต์ยังไม่ถึงหนึ่งปีดี เอ็กโซ่กำลังเริ่มประเดิมเวทีใหญ่ด้วยการเป็นตัวแทนเพื่อสร้างหน้าสร้างตาให้กับค่ายรวมไปถึงรุ่นพี่อีกหลายวงที่ติดภาระกิจอื่นๆจนไม่สามารถมาแจมเวทีได้

    ถ้าจะพูดกันตามตรงสำหรับงานนี้ ผมไม่ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ในการให้สัมภาษณ์ถ้าเปรียบเทียบกับงานอื่นๆ รวมถึงสมาชิกในวงด้วย พี่ซูโฮเองที่ปกติเค้าจะต้องท่องสคริปเป็นวักเป็นเวก่อนจะเริ่มในทุกๆรายการที่ผ่านมมา ยังคงมีเวลานั่งเล่นเกมส์บนไอแพดของตัวเองอย่างหมกมุ่นโดยไม่สนใจกิจกรรมการเดินโชว์ตัวบนพรมแดงเพื่อให้นักข่าวได้เก็บภาพก่อนพิธีประกาศผลด้วยซ้ำ

    ถ้วยรางวัลที่ดูมีค่าสำหรับการปั่นโหวตของแฟนคลับอย่างยากลำบากนั้นไม่ได้มีผลอะไรใดๆเลยทั้งสิ้น

    ไม่มีใครสูญเสียน้ำตาออกมาแม้แต่นิดเมื่อได้ยินชื่อของExoประกาศเสียงกึกก้อง แม้แต่ผมเองก็ลืมที่จะยิ้มไปชั่วขณะ

    ผมอยากจะบอกพวกคุณนะ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยให้พวกเราหรอกครับ ยังไงซะ รางวัลทั้งหมดมันก็ถูกจัดวางมาไว้แต่แรกอยู่แล้ว การร่วมสนุกเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น

    แต่ผมก็เป็นเพียงแค่ศิลปิน หรือเอาง่ายๆก็คือลูกจ้างดีๆนี่ละ คงไม่สามารถไปบอกอะไรได้

    ผมเสียใจจริงๆนะ T-T


    แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่ผมเห็นคะแนนที่มากมายเพื่อโหวตให้กับพวกเรา ซึ่งสิ่งนั้นต่างหากเปรียบเสมือนโล่รางวัลที่พวกเราซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
     

    ผมคงจะรู้สึกดีมากกว่านี้ถ้าผมสามารถเขียนทุกอย่างทั่งหมดลงไซเวิลของตัวเอง

    ..

     

     

     
    ...
    ...
    ...
    ..



     

    “ชานยอล ปลุกน้องได้แล้ว อีกแปปนึงเครื่องกำลังจะแลนดิ้งละนะ “ เสียงพี่ซูโฮที่เพิ่งเดินผ่านไปปลุกคิมจงอินด้วยตัวเองดังขึ้น มันทำให้ผมต้องละสายตามอจากแมคบุคอีกครั้งก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับเขาไปสั้นๆ ความกดอากาศทำให้หูทั้งสองข้างอื้อเล็กน้อยแต่ก็ยังคงฟังเสียงของพี่ใหญ่ได้ชัดเจนดี

    ที่นั่งของผมติดกับทางเดินริมสุดเพื่อเป็นการไม่รบกวนคนอื่นถ้าหากผมต้องเดินเข้าเดินออกเพราะตัวที่ใหญ่และขาที่ยาวกว่าเค้าเพื่อน

    ทำไมผมต้องทำให้ตัวเองเหมือนสัตว์ประหลาดทุกครั้งเลย=_=
     

    ซ้ายมือถัดไปก็คือแบคฮยอนจอมขี้บ่นที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมนั่งกับเขาเป็นปรกติอยู่แล้วทุกคนคงไม่ต้องสงสัยเลยใช่มั้ยล่ะถึงแม้จะไม่ใช่เพราะไอ้แผนบ้าบออะไรนั่นที่บริษัทมอบหมายเอาไว้ ผมกับเค้าก็เพื่อนกันทั้งนั้น เรื่องของที่นั่งวันนี้ผมเเลยเป็นคนเลือกจะนั่งเอง ผลพลอยได้ก็คือถ้าหากพวกซาแซงที่ตามไฟล์บินของพวกเราแล้วเห็นแผนที่นั่งบนเครื่องบินแล้วละก็

    อะไรนะ..? คำที่พวกผมก็ยังคงอดขำกับวลีพวกนั้นไม่ได้ทุกที (คึคึ오호호~~) ฟิน'อย่างงั้นหรอ??


    ใช่สิ คอมเม้นพวกนั้นมันมักจะอยู่เต็มหน้าวอลไซเวิลของผมทุกครั้งที่มีคลิปตามสนามบิน หรือไม่ก็รูปถ่ายอะไรก็ตาม เพียงแค่ผมหันไปมองแบคฮยอนเท่านั้น ก็เกิดเรื่องราวนิยายรักโรแมนติกขึ้นมาได้เป็นเรื่องๆ

    ผมก็สงสารเจ้าหมอนั่นนะ ที่ต้องเอาชีวิตมาติดแหง่กอยู่แบบนี้
    TT
    ถึงจะยากลำบากในการแซะเจ้าหมอนี่ออกจากที่นั่งแคบๆบนเครื่อง แแต่ผมก็มั่นใจว่าปลุกบยอนแบคฮยอนดีกว่าลากเจ้าคิมจงอินลงจากเตียงเป็นไหนๆ แบคฮยอนเริ่มร้องโวยวายเสียงดังราวกับว่าเขานอนอยู่ที่บ้านทันทีที่ถูกการเขย่าซ้ำๆจากเพื่อนที่น่ารัก

    ผมคงต้องเตรียมลงเครื่องละล่ะนะ^^

    รู้สึกแย่เหมือนกันที่ผมไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเล่าถึงรายละเอียดทุกอย่างได้หมดTT

    ถ้าหากผมมีว่างจากการทำงานมากกว่านี้ผมอาจจะกลับมาเล่าเรื่องราวที่ฮ่องกงให้ฟังว่ามันเป็นยังไงบ้างตามที่ได้สัญญาเอาไว้ มันไม่สนุกอย่างที่คิด วันนั้นงานกร่อยนิดหน่อยน่ะ เพราะอันที่จริงค่ายของผมกับค่ายหุ้นส่วนหลักของแม่งานนั้นไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นะสิ

    แต่เอาเป็นว่ารูปที่ผมโพสลงไปก็คงเพียงพอแล้วนะ^^..
    (ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ได้แต่ภาพมาแค่นี้จริงๆ วันที่เราไปกลับมีฝนตกหนักซะด้วย>< อย่าโวยวายเพราะอยากได้หน้าผมไปประกอบฉากล่ะ รูปของปาร์คชานยอลไม่สามารถเผยแพร่ได้ทุกคนคงไม่อยากให้ผมปิดไซเวิลหรอกจริงมั้ยTT )

     

     

     

    #จากห้องที่เย็นเฉียบ ~ TT อารมณ์แบบไหนกัน....




     

     

     #ร้านทำผมก่อนออกงาน#ฝนตกจนถ่ายอะไรมาก็ไม่รู้สินะTT~~ 엉 엉 엉

     

     

     

     

     สาวๆระวังเปียกฝนนะครับ#ผมเห็นคุณอยู่ >_<ㅎㅎㅎ~
    ㅂㅂ <3




     

     
    ...

    ...

    ....


    ...


    ...

     

     

    “ปล่อยมือได้แล้ว ฉันประคบให้หรอกนะนายถึงหายไวแท้ๆเลย”

     

    เสียงของเด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งพูดพึมพำกับเพื่อนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงชั้นที่สอง เขาปรับสายเจลคาดดวงตาเอาไว้ให้กระชับเข้ากับใบหน้าขาวสะอาดที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างว่าง่าย เพราะแสงแฟลชมากมายจากสนามบินขากลับเมื่อวานทำให้อาการของโดคยองซูกำเริบขึ้นมา

    คยองซูตาบวมแดงขึ้นเป็นช่วงๆหลังจากที่พักผ่อนน้อยเกินไป เด็กชายมีทีท่าราวกับว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก่อนวันที่จะบินกลับเกาหลีเพราะฤทธิ์ของยาอักเสบที่ฉีดเข้าไปทันทีเมื่อเครื่องแลนดิ้งถึงฮ่องกงเด้วยความต้องการที่จะแสดงบนเวทีร่วมกับคนอื่นๆ แต่ทันทีที่ร่างกายของเขาสัมผัสอากาศที่เย็นจัดในฤดูหนาวของบ้านเกิด คยองซูเริ่มกลับมามีอาการเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

    ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ของวง ซูโฮเลยตัดสินใจที่จะลงไปซื้อยาทาบรรเทาที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างหอกับเจ้าเด็กง้องแง้งโอเซฮุน

     

    “นี่ๆๆ^^พี่จะแวะซื้ออะไรกินด้วยใช่มั้ยพี่ซูโฮ” เซฮุนพูดในขณะที่เขาหยิบเสื้อโค้ทสองตัวใส่สลับไปสลับมาอยู่หน้ากระจกได้สักพักหนึ่ง  ”ผมหิวข้าวเหมือนจะตายเลยรู้กันมั่งรึปล่าวTT แถมวันนี้พี่คยองซูไม่สบาย พี่เมเนเจอร์ก็ไม่เห็นจะเข้ามาหาสักที ผมต้องไส้ขาดแน่ๆถ้าปวดท้องขึ้นมาอีกน่ะT-T

     “จะกินอะไรไว้หลังจากซื้อยาก่อนละกัน” ซูโฮตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ความจริงหลังกล้องเขาก็ไม่ใชคนที่ยิ้มบ่อยเท่าไหร่นัก เพียงแต่เรื่องความใจดีซูโฮยังคงถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา

    ยังไม่ทันที่ซูโฮและเซฮุนจะจัดแจงทุกอย่างเสร็จดี เสียงฝีเท้าของแบคฮยอนที่เดินออกมาจากห้องของตัวเองก็ดังขึ้นเพราะเขาลอบได้ยินบทสนทนาของเพื่อนทุกคนข้างนอกมาโดยตลอดระหว่างที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ผนังกันห้องของหอถูกบิ้วอินเพิ่มเติมหลังการซื้อเพียงเพื่อสร้างให้ห้องเป็นสัดส่วนเท่านั้นมันจึงไม่ใช่กำแพงปูนหนาพอที่จะเก็บเสียงอะไร แบคฮยอนเริ่มเปิดกระเป๋าตังที่หยิบมาด้วยก่อนที่จะวางเศษเหรียญจำนวนนึงใส่ลงมือของเด็กชายหัวเหลือง


    “นี่ ฉันฝากซื้อน้ำผลไม้กระป๋องที่มีตราของฉันติดอยู่หน่อยสิ ฉันได้ยินว่านายจะลงไปร้านสะดวกซื้อด้วยใช่มั้ย ในอินเตอร์เน็ตบอกว่าน้ำผลไม้พวกเรามันวางขายได้หลายอาทิตย์แล้ว><คิก~


    คำสั่งสั้นๆทำให้เด็กชายหน้างอขึ้นมาทันที

     

    “ผมไม่แวะหรอก แค่จะลงไปเป็นเพื่อนพี่ซูโฮเฉยๆ พี่ซูโฮจะไปซื้อยาแก้อับเสบ-3-“

    “-_-โอ.... เซ ฮุน ...ฉันได้ยินนายพูดว่าจะไปซื้อของกินเมื่อกี้กับหูตัวเอง...นายกล้าโกหกฉันรึไง-*-“

    “ผมปล่าวนี่.....-_-;; “ เซฮุนพูดพึมพำ แต่ก็รับเงินจากมือเล็กที่ยื่นแกว่งไปมาอยู่กลางอากาศมาเก็บเข้าเสื้อโค้ทตัวเองในที่สุด เซฮุนไม่ชอบการเป็นน้องเล็กของใครๆเท่าไหร่ มันทำให้เขาไม่มีอำนาจเลยแม้แต่นิด ซึ่งมันต่างจากเวลาที่อยู่บ้านของเขาเองสมัยเด็กๆ โดยเฉพาะกับบยอนแบคฮยอน พี่แบคฮยอนที่ใจร้ายมักจะเล่นงานเขาทันทีถึงแม้ว่าจะอยู่หน้ากล้องหรือหลังกล้องก็ตาม

    เซฮุนยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่โดนพี่ชายใจร้ายของเขาหยิกแขนต่อหน้าคนอื่น มันน่าอายมากที่สุด เพียงเพราะเขาว่าไม่สนใจการอธิบายกติกาเกมส์ของพิธีกรไทยในรายการชื่อดังรายการหนึ่งเมื่อExoมีโอกาสบินไปโปรโมตครั้งแรก การที่มีแฟนคลับเยอะแยะนอกห้องอัดนั่นกลับทำให้เขาตื่นเต้นและสนใจมากกว่า (ไปตามหาคลิปเอานะจ้ะ มีอยู่><)

    เขาสาบานว่าจะไม่มีทางอยู่สองต่อสองกับพี่ชายคนนี้เป็นอันขาด ถ้าเขายังอยากมีชีวิตที่ยืนยาว

    “พี่จะซื้อเอากระป๋องมาสะสมเป็นแฟนคลับตัวเองละสิ -3-“

    “อะไรนะ ......รสชาติของฉันมันอร่อยที่สุดแล้ว~!”ชายร่างเล็กโวย  ” เอ..ไม่รู้เจ้าชานยอลมันจะเอาไรมั้ย นั่งเล่นเกมส์หรืออะไรของมันอีกก็ไม่รู้ ช่างเถอะ รีบไปรีบมา ฉันจะรอ”

    คนเป็นน้องเล็กเบ้ปากเพื่อแสดงท่าทีไม่พอใจแต่ภายในช่วงเวลาอันสั้นใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อขายาวๆกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปหาซูโฮที่ยืนรออยู่หน้าประตูมาได้สักครู่หนึ่ง”^^พี่ซูโฮผมพร้อมแล้วไปกันเถอะ”

    ..

    ..

    “....พี่ซูโฮอย่าเพิ่งไปนะ”

    เสียงของโดคยองซูที่นอนอยู่บนเตียงร้องดังขึ้น เขายังคงมีเจลคาดตามเอาไว้ราวกับคนที่กำลังดูหนังสามดีอยู่ สมาชิกทั้งหมดต่างก็คิดว่าเขาหลับไปได้ครู่ใหญ่ตั้งแต่ครึ่งชม.ก่อนหน้านั้น

     คิมจงอินที่คอยนั่งอยู่ข้างเตียงชันตัวให้ลุกขึ้นก่อนที่จะเปิดเจลอุ่นๆออกแล้วถามคนตัวเล็ก

    O_Oนายมีอะไรรึปล่าวคยองซู”

    =o=บอกพี่ซูโฮให้หน่อย ซื้อขี้ผึ้งทาฟกช้ำกลับมาด้วยสิจงอิน ชานยอลโดนแฟนคลับพวกเราเบียดจนหัวกระแทกตอนกลับมา ไม่เห็นมีใครไปดูเขาเลย”

    “อ่า...แบคฮยอนบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก-_-”จงอินตอบ

    “พวกนายมาดูฉันหมดแล้วรู้ได้ยังไงเขาโอเคดี ...” คยองซูบ่น เค้ายังคงทำบุคลิกแบบนี้เสมอ “พี่ซูโฮ ผมขอขี้ผึ้งทาแผลด้วยนะ~!!!

    เสียงตะโกนของคยองซูทำให้จงอินถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า การกระทำของคยองซูราวกับว่าจะบั่นทอนจิตใจของคนหลายๆคนด้วยสิ่งธรรมดาที่เขามักจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ

    หลายคนงั้นหรอ ไม่สิ แค่ไม่กี่คนต่างหากล่ะ

    -_-

    เพราะความเยิ่นเย้อทำให้แบคฮยอนร้องไล่ทั้งสองคนที่มัวยืนอยู่หน้าประตูให้ออกไปซื้อยาในที่สุด อีกไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเวลาเย็นพวกเขาก็ต้องมีงานให้ออกไปทำอีก ถ้าหากยังมัวชักช้านอกจากคยองซูจะอาการไม่ดีขึ้น เวลาที่ต้องเดินทางไปร้านทำผมก่อนออกงานก็คงต้องเลื่อนออกไปอีก หลังจากนั้นคงไม่ต้องเดาพวกเขาคงหนีไม่พ้นการที่ต้องโดนเอ็ดทั้งกลุ่มแหงๆ

    ไม่มีใครต้องการแบบนั้น

    แต่ก็นั่นล่ะ ราวกับว่าเสียงพูดคุยของเจ้าเด็กหัวเหลืองก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ

    “พี่ซูโฮจะว่าไป เราก็ลืมเลย ตอนที่พี่เขาชนผมก็เห็น =_= แฟนคลับผู้หญิงพวกนั้นวิ่งมาเหมือนสิงโตในสารคดี ตอนแรกผมมองตามเสียงกรี้ดนั่นล่ะ พอดีเวลานั้นนะผมกับพี่ชานยอลยืนอยู่หางแถว ยังไม่ทันที่ผมจะกระพริบตาเลย ผู้หญิงพวกนั้นก็รุมเข้ามา หลังจากนั้นพี่รู้อะไรมั้ย พี่ซูโฮเดาสิ ...พี่ลองเดาสิ~!! ”โอเซฮุนคงคิดว่าเขาเป็นเด็กอายุสิบสามขวบเหมือนตอนที่เขาเริ่มเดบิวต์อยู่เสมอ มือหนาจิกแขนเสื้อกันหนาวของพี่ใหญ่ที่ตัวเล็กให้แกว่งกว่าไปมาเพื่อจะรอคำตอบจากเรื่องล่าสุดระทึกขวัญนั่น ซูโฮได้แต่ส่ายหัวเป็นเชิงบอกคนตัวสูงให้เล่าต่อไปได้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
    “.....หลังจากนั้นเหมือนผมมีเซ้นล่ะ ผมเลยเบี่ยงตัวขึ้นมาข้างหน้า แต่พี่ชานยอลมัวชักช้า....พอแรงเบียดเยอะๆแถวก็เริ่มล้มพี่เขาก็เลยเอาหัวไปกระแทกประตู้ดังปึ้ง
    !! พี่ชานยอลคงจะดาวขึ้นเต็มหัว ถึงขนาดเดินมาพิงไหล่ผมอยู่ตั้งนาน น่ากลัวเป็นบ้าเลย=_=


    คนเป็นน้องเล็กยังคงไม่สนใจสายตาของพี่แบคฮยอนสุดโหดของตัวเองที่ยืนจ้องเร่งเร้าอีกครั้ง เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่ใหญ่ฟังอย่างออกรสออกชาติด้วยท่าทางที่จำลองเหตุการณ์ของเมื่อวาน “ ผมสาบานเลยว่าจะไม่เดินปิดท้ายให้ใครอีก พี่คงไม่คิดว่าผมเป็นคนใม่ดีใช่มั้ยพี่ซูโฮ..ผมจะบอกพี่เมเนเจอร์ให้ขามาเดินข้างหลังผมแทนแล้วล่ะ=_=

    “นายก็เลิกตัวสูงซะเซฮุน ไม่มีใครกล้าเข้ามาทึ้งนายหรอกเชื่อฉันสิ รีบใส่รองเท้าแล้วออกไปกันเถอะ”

    เสียงสนทนาของคนทั้งคู่เริ่มไกลออกไปก่อนที่จะค่อยๆเงียบหายไปในที่สุดเมื่อฝีเท้าเริ่มทิ้งห่างออกเพราะซูโฮที่พยายามลากโอเซฮุนเจ้าเด็กขี้โม้ออกจากห้องไปด้วยเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา หมอนั่นพูดมากเสมอถ้าหากไม่อยู่หน้ากล้อง ถึงแม้ว่าเขาจะสร้างความรำคาญให้กับพี่ๆไม่น้อย แต่สมาชิกทั้งหมดกลับคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ดีราวกับเป็นเรื่องปกติ

    ได้เวลาเข้าสู่โหมดทำงานในโค้งสุดท้ายของปีแล้วล่ะ

     

     

     

     

     

     

    02.30น.

     

     ผมยังคงนอนไม่หลับบนโซฟาตัวยาวอีกครั้ง หลายคนอาจจะคิดว่าผมรักมันมากประหนึ่งบุคคลสำคัญของครอบครัวแบบที่เพื่อนๆในวงเอาไปพูดบอกตามรายการให้ให้ต่อใครรู้อย่างสนุกสนาน..แต่ไม่เลย เพราะเจ้าแบคฮยอนที่บ้าเปิดฮีตเตอร์ทั้งคืนนั่นต่างหาก =_= เค้ารู้ว่าผมขี้ร้อนมากขนาดไหน แต่ยังไงเค้าก็ยังคงเป็นห่วงตัวเองที่กลัวความหนาวมากกว่าอะไรทั้งสิ้นอยู่ดี

    เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรที่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมานอนกอดก่ายเจ้าโซฟาราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันงี้ทุกครั้ง

    ผมอาจจะพิมพ์บันทึกได้ยาวสามหน้าสี่หน้าก็ได้จนเช้า..

    เพดานรอบห้องที่มีเพียงไฟสีส้มสลัวชวนปวดหัวและดูจะทำให้น่าเบื่อไปนิดหน่อย ถึงแม้ทั้งวันมานี้จะจบลงไปด้วยดี3งานรวด ผมเองก็สมควรจะเพลียได้แล้วตั้งแต่กลับมาถึงหอเมื่อสามชั่วโมงก่อนแต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะอาการคันยุกยิกทั่วทั้งตัวจากหงื่อที่ไหลออกมาตามรังควานไม่เลิก ที่สำคัญสาเหตุทั้งหมดมันมาจากผ้าที่ผมสวมใส่ขึ้นแสดงวันนี้ มันทั้งคับและสากผิว

    ผมไม่ใช่คนเรื่องมากหรอกนะ แต่ผมเป็นภูมิแพ้ประเภทน้ำเหลืองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมแพ้ กุ้ง ปู ของจำพวกอาหารทะเลเป็นส่วนมาก แค่ได้กลิ่นบางทีก็มีผื่นขึ้นให้ยุบยั่บ แม่บอกว่า ผมจะเริ่มแพ้ทุกอย่างง่ายถ้าไม่ดูแลดูตัวเองให้ดีหรือกินอาหารไม่มีประโยชน์

    กินอะไรดีๆงั้นหรอ...-_-

    แหงสิ ตั้งแต่ผมอยู่ที่หอนี่ แทบจะพูดได้ว่าผมกินแต่ของประเภท แป้ง แป้ง แป้ง ผมกินสปาเก็ตตี้เฉลี่ยเดือนละ20วัน กินรามยอนในร้านสะดวกซื้อประมาณ10วัน เพราะเจ้าโดคยองซูนั่นทำเมนูซ้ำกันอยู่ได้ไม่รู้จักเปลี่ยน กะอีแค่เด็กเมื่อวานซืนโอเซฮุนและเจ้าจงอินชอบนักชอบหนา ก็บ้ายอทำอยู่ได้ไม่ยอมเลิก ผมตายผมต้องโทษเค้าคนเดียวจริงๆ

    ผมไม่จำเป็นต้องบ่นเจ้าเตี้ยโดคยองซูในไดอารี่ของตัวเองอีกจะดีไหม หมอนั้นอาจจะทำให้ผมที่กลับมาอ่านรู้สึกหงุดหงิดชึ้นมาอีก

    นั่นล่ะคือสิ่งที่เขาถนัด-*-


     

    ในที่สุดพวกเขาก็ทนต่อความรักอันร้อนแรงไม่ไหว”

     

    นั่นคือประเด็นที่เร่าร้อนและสะดุดสายตาของผมในบอร์ดของexoที่ผมมักจะแอบเข้ามาเช็คเป็นประจำระหว่างที่บันทึกไดอารี่เพื่อพักนิ้วที่เมื่อยล้า ผมละปลายคีย์บอร์ดเพื่อมาหยุดที่หัวข้อเหล่านี้เพียงเพราะต้องการเร่งให้เวลานอนมันหมดๆไป แต่เจ้ารูปสองสามใบในกระทู้ที่ขึ้นยอดวิวเป็นหมื่นและยอดคอมเม้นที่ไล่เลี่ยกันกำลังทำให้ผมรู้สึกสนใจเป็นบ้า

    ภายในกระทู้ที่คึกคักนั่น....


     

    มันทำให้ผมเห็นสายตาของใครบางคนที่ทำให้รู้สึกแปลกไปอย่างน่าประหลาด

    รูปของจงอินและคยองซูที่สนามบินเมื่อวานนี้ คิมจงอินใช้คางเกยไหล่ของเจ้าเด็กเตี้ยนั้นอยู่ด้วยใบหน้าที่ผมอธิบายไม่ถูก ผมไม่เข้าใจสายตาแบบนั้นเท่าไหร่

    คยองซูเหลือบมามองเล็กน้อย ..เขาแลดูแปลกใจแต่ก็เหมือนเป็นเรื่องปกติ

    ข้างล่างคือรูปของผมกับแบคฮยอนภายในเกทของสนามบิน มันเป็นช็อทที่ผมคุยกับเขาเรื่องราวที่เกี่ยวกับเมเนเจอร์ของพวกเราเองที่เขาเป็นเพศที่สามซึ่งพวกผมก็รู้ดี

    เอาง่ายๆผมกำลังนินทาเมเนเจอร์ตัวเองนั่นล่ะ เขากำลังยืนรอเอกสารพาสปอร์ตให้พวกเราด้วยท่าทีที่เท้าสะเอวด้วยแขนข้างหนึ่งอยู่หน้าทีมงานทั้งหมด ราวกับเป็นนางพญาอะไรสักอย่าง มันมองดูน่าตลกจนแทบคลั่งแต่ผมก็ทำได้แต่สะกิดแบคฮยอนให้มองตามและขำไปพร้อมกันก็เท่านั้น

    มีหวังพี่อิมคยุนรู้ว่าถูกนินทา เอาผมตายแน่ๆ

    ผมเผลอกดเซฟรูปเพ้อเจ้อรูปนี้ลงแมคบุคตัวเอง

     

    กึก กึก

    =_=*

    เสียงกุกกักด้านหลังทำให้ผมต้องหรี่เพลงลงเพื่อหันไปหาต้นเสียงที่ว่า ดึกป่านนี้แล้ว หรือพี่ซูโฮกับเจ้าเซฮุนจะทะเลาะเรื่องเปิดปิดประตู้ห้องอีก-*-

    ห้องของสองคนนั้นยังถูกปิดสนิทอย่างดี

    แต่ผมกลับเห็นเจ้าลูกกบตาเหลือก ทั้งเนื้อทั้งตัวพันไปด้วยผ้าห่มเหมือนผีดักแด้ยืนแข็งทื่ออยู่แทน

    เจ้าลูกอ๊อดกระหายน้ำยามดึกสินะ เขาถึงมาแอบดูผมเล่นแมคบุคอีกแล้ว ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาเห็นอะไรบ้างในขณะที่ผมเล่นไปอย่างเรื่อยเปื่อยเมื่อครู่

    ฮึ่ยยย=_=

     

    “โดคยองซู –.......” ผมลากเสียงทุ้มต่ำอย่างยืดยาวเพื่อขมขู่เจ้าเพื่อนตัวกระเปี้ยกที่ทำทีท่าคล้ายกับพวกขโมยที่มายกเค้ากลางดึกแล้วถูกจับได้ ในมือของคยองซูจับแก้วน้ำเอาไว้แน่น ใบหน้าที่พ้นพันธนาการจากผ้าห่มซีดลงนิดหน่อย

    “ถ้านายไม่มีมารยาทแบบนี้อีกฉันจะทำหอให้สกปรกขึ้นสามเท่าแล้วใช้นายทำมันทั้งวันแน่ๆคยองซู”

    ผมขู่ในสิ่งที่เขารังเกียจที่สุดออกไป คยองซูเบ้ปากก่อนที่ดวงตากลมโตนั่นจะหรี่ลงจนปราศจากความตกตื่นเหมือนเวลาแรก เขายกน้ำขึ้นมาจิบอย่างทุกลักทุเลเพราะผ้าห่มที่พันเนื้อตัวเอาไว้แลดูขัดมือขัดไม้ไปหมด คยองซูเริ่มเดินอย่างุ่นง่านตรงมาที่โซฟาถิ่นอาศัยของผมก่อนที่เขาจะหย่อนตัวกลมๆบนพื้นที่ว่างข้างๆ

    -_-‘

    ผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อย แถมมือไม้ที่มีแต่เหงื่อก็กลับโกยเอาอุปกรณ์แมคบุคและหูฟังทั้งหมดกระเถิบหนีเจ้าเด็กเตี้ยนั่นอย่างอัติโนมัติ

    บ้าจริงผมไม่ชอบให้เขามายุกยิกอะไรไกล้ๆผมเลยให้ตายสิ-*-

    มันร้อนน่ะ-_-

     

    “ชานยอลไม่เจ็บหัวแล้วงั้นหรอ?” นั่นคือสิ่งที่หลุดออกมาจากปากเจ้าบื้อที่ทำท่าที่เหมือนกับคนไร้ซึ่งความผิด

    เดาว่าตอนนี้ใบหน้าและคิ้วของผมคงขมวดชิดกันเหมือนคนแก่ๆเพราะคำพูดของโดคยองซูที่แลดูจะไม่ได้สนใจผมที่นั่งดูรูปเขากับจงอินเมื่อครู่ .. เขาถามว่าผมว่ายังไงนะ
    -_-

    “ฉันไม่เจ็บตั้งแต่แรกนั่นล่ะ........เฮ้~ จะมานั่งอะไรข้างนี้เล่า กระเถิบออกไปหน่อยสิ โน่นที่ตั้งกว้าง”

    ผมโวย เพราะตัวผมเองเลื่อนก้นหนักๆหนีจนชิดอีกฝั่งของโซฟาแล้วน่ะสิ ดวงตากลมๆเหมือนลูกฟุตบอลขนาดย่อมของเขายังคงไม่เลิกจ้องหน้าผมเหมือนกับว่ามันจะมีลายแทงอะไรผุดขึ้นยังไงหยั่งงั้น

     

    “ฉันแค่จะดูหัวของนายเฉยๆ ฉันเห็นตอนชนเสียงออกจะดังขนาดนั้น แต่ว่าเมื่อวานฉันเดินอยู่ข้างหน้าฉันเลยไม่ได้ดูว่านายเป็นยังไงบ้างน่ะ=_= โชคดีจังนายไม่เป็นอะไรชานยอล^^”

     

    ผมเงียบลง นั่นล่ะ ผมแค่เงียบลง ผมไม่รู้จะเถียงอะไรเขาอีกต่อไปและดูเหมือนว่าเจ้ากบดักแด้นั่นทำสายตามองเข้ามาในแมคบุคของผมอย่างแยบยลอีกครั้งนึงก่อนที่เขาจะพบว่ามันว่างปล่าวไปแล้ว

    คยองซูเริ่มหันมาดิ้นขลุกขลักในผ้าห่มที่เขาพันมันไปรอบๆตัวเองก่อนที่จะพยายามทำท่าคลี่มันไปให้พ้นๆเพื่อคลายออกเป็นผืนกว้างอย่างยากลำบาก เจ้าหมอนั่นยังคงทำตัวเกะกะผมถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ ถ้าวันไหนเขาไม่มาป่วนผมวันนั้นเขาคงนอนไม่หลับรึปล่าวนะ คยองซูตัวปัญหาเริ่มทำให้ผมคิดแบบนั้น-.- ...
    แว้บนึงราวๆเสี้ยววินาที ผมแอบมองตาเขานิดหน่อยและพบว่ามันไม่ได้แดงอีกต่อไป 
    -_- แน่นอน แบคฮยอนบอกว่าเจ้าลูกชายของเขากับพี่ซูโฮรีบแจ้นไปซื้อหยูกยามาให้กินเป็นที่เรียบร้อยก่อนช่วงเวลาที่เราจะต้องขึ้นแสดงโชว์เมื่อเย็น เพราะฉะนั้นผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องถามถึงมันอีก
    ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ..

    ผมก็แค่คิดเท่านั้นล่ะ ก่อนที่จะแสร้งเปิดเกมส์นั่นนี่ขึ้นมาเล่น ถึงแม้ว่าความจริงผมกำลังถ่วงเวลาที่จะหาคำพูดเพื่อไล่คยองซูกลับเข้าไปในห้องนอนต่างหาก แต่ทว่าสมองของปาร์คชานยอลเวลานี้ต้องใช้เวลาประมวลผลซักเล็กน้อยมันคงดึกมากแล้วสินะผมถึงได้รู้สึกมึนตึงไปหมด+_+ ทั้งที่ในช่วงเวลาทำงานผมเองก็ไม่ได้เป็นคนหัวช้าหรือสมองเฉื่อยสักเท่าไหร่ เวลาตอบสัมภาษณ์อะไรถ้าหากทั้งวงเงียบหรือไปต่อไม่ได้ ผมก็จะเสนอตัวเป็นคนพูดขึ้นแทนทุกครั้ง


     อ่า...แต่มันก็แค่ช่วงเวลานั้น แต่สำหรับตอนนี้ ผมยังคิดอะไรไม่ค่อยออก-_-

    ลมบางอย่างพัดเข้ามาวูบนึงก่อนที่ความอุ่นจนเรียกได้ว่าร้อนสำหรับผมเกิดขึ้นรอบๆตัว

    ใบหน้าของหมอนั่นเริ่มวนเวียนไปมา ทั้งซ้ายมือ ขวามือ ข้างๆ  ด้านหน้า ด้านหลัง@_@ผมมองเห้นเขาเต็มไปหมดพร้อมกับกลิ่นแชมพูอ่อนๆที่เหมือนของเด็กๆ


     ไม่สิ

    มันเป็นกลิ่นเสื้อผ้าของเขาต่างหาก ที่มันจะเป็นแบบนี้เสมอ คยองซูรักสะอาดมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆทั้งหมด เขาไม่เคยเก็บหมักหมมเสื้อผ้าใส่แล้วเมื่อถึงเวลาต้องซักเลยสักครั้ง รวมถึงยังเก็บของเพื่อนๆคนอื่นที่มักจะเขวี้ยงทิ้งเอาไว้ในห้องไปด้วยเสมอ

    มือเล็กๆนั่นป่ายปัดผ้าห่มให้อยู่บนตัวของผมราวกับว่าเขาจะไม่ให้ร่างกายใหญ่โตด้านข้างได้มีโอากาศหายใจเลยแม้แต่นิดเดียว

    ผ้าห่มที่พันรอบตัวผมก็มีกลิ่นแบบนั้นอยู่ไปทั่ว

    -_-;;

    ตึก ตึก ตึก ตึก

    O_O

     

    ปาร์คชานยอลเผลอลืมกระพริบตาอีกแล้วล่ะT-T ผมจ้องไปที่หน้าจอแมคบุคที่รักของตัวเองเหมือนศพฟาโรห์หรือไม่มัมมี่พันปีที่ถูกสตั้นเอาไว้เพื่อให้ผู้คนเอาผ้าก็อตพันรอบๆตัวอย่างหยุดนิ่ง

    อาการคันไปทั่วตัวของผมอยู่ๆก็หายขึ้นมาเสียดื้อๆ

    เหมือนหูทั้งสองข้างกลับไม่ได้ยินอะไรอีก แม้กระทั่งเสียงข้อความในมือถือตัวเองที่ดังขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ชานยอล” คยองซูที่จัดแจงอะไรๆเข้าที่แล้วเรียก แต่ครั้งแรกนั้นผมก็ยังไม่ได้ยินเขาอยู่ดี

    อะไรนะ ...คำพูดอู้อี้ที่ไกลออกไปนั่น ..ผมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกงั้นหรือ

    =_=

    เสียงที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นเสียงระฆังในตัวของผมเองที่มันดังกระหึ่มจนน่าหนวกหู

    ตึก ตึก ตึก  ตึก..

     

     “ชานยอล โทรศัพท์นายดังน่ะ ชานยอล”

     

    ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเจ้าหมอนั่นเริ่มเบี่ยงตัวขยับร่างกายเข้ามาไกล้ผมอีกครั้ง  ผมจ้องมองริมฝีปากของเขาขยับไปมาเพื่อเรียกเจ้ามั่มมี่แข็งทื่อ ที่มีนามว่าปาร์คชานยอลซ้ำๆ

    OoO;; อะ.......ห้ะ?~

    ราวกับว่าผมได้ยินเสียงุมงำของตัวเองดังขึ้นอีกครั้งหลังจากสามารถหลุดจากภวังค์อันน่ากระอีกกระอ่วนได้ในที่สุด หมู่นี้ผมว่าเจ้าคยองซูสร้างความผิดปกติให้ผมมากเกินไป ทั้งๆที่ผมพยายามจะอยู่ให้ห่างเขาแล้วแท้ๆ  ผมไม่คุย ไม่เล่น ไม่เดิน ไม่สุงสิงอะไรกับคยองซูแม้แต่นิดเดียว จนพักหลังมานี้มันจึงไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีรูปคู่พวกเราเพิ่มขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ตตั้งแต่กลับมาจากฮ่องกง 

    ...ใช่... ผมกำลังต้องสร้างไลน์คู่กับแบคฮยอนเพื่อเรียกเรตติ้งอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะออกต่างหาก

    ……


    ผมไม่ได้กำลังหนีเขาหรอก

    “เอามือถือฉันมาได้ละ.” ทันทีที่สติผมที่ท่องเที่ยวไปทั่วได้ถูกเรียกกลับมาจนครบ ผมก็ไม่รีรอที่จะดึงเจ้าอุปกรณ์สื่อสารสี่เหลี่ยมราคาแพงของตัวเองที่คยองซูถือมันไว้กลับมา เจ้าเตี้ยยังคงนั่งจ้องหน้าผมเหมือนเดิม รอยยิ้มบนแก้มยุ้ยๆนั่นปรากฏขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะพูดบางอย่าง

    “เยจินส่งข้อความมาหา ชานยอลดูสิ ฉันเห็นมันขึ้นโชว์อยู่^^

    ผมคิดว่านั่นคงจะเป็นบทสนทนาประโยคสุดท้ายสำหรับคืนนี้ระหว่างเขากับผมแล้วล่ะ เพราะข้อความในมือถือทำให้ผมไม่สามารนั่งอยู่กับคยองซูต่อไปได้นานกว่านี้

    หัวใจของผมเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้จ้องมองชื่อของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

    ถึงมันจะไม่เหมือนระฆังที่ดังสนั่นหวั่นไหว แต่มันทำให้ผมรู้สึกหายอ่อนเพลียไปจนหมด ผมเริ่มผลุดลุกผลุดนั่งด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด

    ร่างกายที่เหนื่อยล้าลุกออกห่างเพื่อเปิดอ่านข้อความจากคนที่ผมรอมาตลอด

    ทันทีที่ผมลุกออกจากโซฟา..

    ประตูห้องคยองซูที่เปิดออกเอาไว้มันทำให้ผมเห็นรูมเมทของเขา คิมจงอินยืนมองผมอยู่สักพักนึงด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มตื่นดีนัก ก่อนที่มือหนาจะผลักปิดประตูให้ปิดลงอย่างเชื่องช้า

    แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไหร่เท่ากับตัวอักษรที่ขึ้นปรากฏบนหน้าจอมือถือ

    ถึงผู้หญิงคนสำคัญของผม เราเคยคบกันเมื่อครั้งที่ผมยังไม่เป็นexoด้วยซ้ำ แต่ด้วยอะไรหลายๆรวมถึงสัญญาที่ถูกเซ็นบีบบังคับเอาไว้ก่อนที่จะออกอัลบั้มแรก

    ผมต้องไร้การผูกมัดโดยสิ้นเชิง รวมไปถึงการมีความรัก

    แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมใครสักคนนึงได้ง่ายๆเพียงแค่ปลายปากกาที่จรดบนกระดาษเอสี่สองสามใบ

    ผมยังจำครั้งล่าสุดที่แอบติดต่อกับเธอไปเมื่อสองเดือนก่อน แต่แลดูคิมเยจินจะไม่มีเวลาพอจะติดต่อผมกลับมาเพราะตัวเธอเองก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานต่อไปที่จะเกิดขึ้น พวกเราเป็นเทรนนีมากด้วยกัน

    ไม่มีแม้กระทั่งอีเมวล์หรือข้อความสั้นๆด้วยซ้ำ

    แต่วันนี้จะเป็นครั้งแรก

    ของขวัญสำหรับวันหยุดยาวก่อนปีใหม่ที่จะมาถึง..




    “ ชานยอล

    เราไปเดทกันนะ”


    +++


    เหมือนฟังคนเล่าอะไรไม่รู้ยืดยาวมาสองตอนแล้วจริงๆ 55555
    ยังไม่ได้มีโอกาสแต้งขอบคุณรีดเดอร์เลยอะT-T 
    มั่วติ่ง มัวอ่านหนังสือ มัวนู้นนั่นนี่ ฟิคอีกสองอันก็ดอง  ฮือออ
    คำผิดเมื่อกี้ลองอ่านดูก็เยอะแยะไปหมด แต่มันยาวมากเลย(ไม่รู้พิมพ์ไปได้ยังไง) จะไล่แก้อีกรอบคงต้องมีเวลาหน่อย
    *เป็นไรเตอร์ที่ขี้เกียจมาก* ขอโทษค่ะ

    ยังไงก็ฝากติดตามปาร์คชานยอลบ่นหน่อยนะ 5555

    ฝากไดอารี่ของปาร์คชานในครั้งต่อไปด้วยนะค่ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×