ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo]PARK CHANYEOL's Diary (ChanxDo)

    ลำดับตอนที่ #1 : Page1

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 55


     

     


     

    ไดอารี่ของปาร์คชานยอล

     

     

    ผมยังจำวันนั้นได้แม่นยำนับตั้งแต่วันที่ผมได้ย่างเท้าเข้ามาในบริษัทที่ใหญ่โต และทิ้งชีวิตวัยรุ่นที่สุดแสนจะน่าระทึกใจนั่นไว้ข้างหลังอย่างเสียดาย

    แต่ทว่าความฝันของปาร์คชานยอลยิ่งใหญ่กว่านั้น..

    ผมอยากเป็นนักดนตรีที่สุด ผมรักมันมาโดยตลอด ทุกคนเชื่อมั้ยว่าสิ่งเหล่านั้นคือรักแรกของผมล่ะ^^ เพราะฉะนั้นการทุ่มเทให้กับรักแรกอย่างสุดความสามารถจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกไปหรอกใช่ไหม^^ ถึงแม้ว่าพ่อของผมจะมีหุ้นส่วนและผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องเพราะการที่ท่านเปิดสอนโรงเรียนสอนดนตรีมากว่า20ปีมันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมถึงได้เข้ามายืนในจุดนี้ได้ง่ายกว่าใครๆ แต่การใช้ชีวิตด้วยการฝึกฝนจนแทบไม่ได้กินหรือนอนเลยมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเส้นทางของศิลปินที่ผมมีอย่างทุกวันนี้ไม่ได้มาจากการพึ่งใบบุญของพ่อตัวเองแม้แต่นิด

    อ่าวันนี้ผมเขียนได้อารี่ตัวเองยืดยาวเป็นพิเศษเพราะผมและเพื่อนๆกำลังจะได้รับรางวัลสำคัญของปีนี้นี่ล่ะ^^

    พวกเราอยู่กันมาได้เกือบหนึ่งปีเต็มๆแล้วหลังจากต้องผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมาย ผมจดจำใบหน้าทุกคนได้ดีในวันที่บริษัทเรียกตัวพวกเราทั้งห้าคนเข้ามาในห้องประชุมที่งานที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน ..ผมหมายถึง เด็กฝึกหัดทุกคนก็อยากจะมาเหยียบที่ห้องประชุมรวมนี้ทุกคนนั่นล่ะ เพราะมันหมายถึงว่า คนๆนั้นกำลังจะได้มีผลงานคลอดออกสู่ประชาชนแล้วน่ะสิ

    ราวกับฮีตเตอร์ทำความอุ่นกลับกลายเป็นแอร์ที่เย็นเฉียบเอาซะดื้อๆ=_= พี่ซองวูหนึ่งในทีมงานของบริษัทได้ชี้แจงถึงโปรเจ็คที่ผมกำลังจะได้ร่วมด้วยหลังจากทีมเมเนเจอร์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโปรเจ็คนี้มารวมตัวได้ไม่นาน พวกเหล่าสมาชิกในวงของผมก็เริ่มทยอยๆเข้ามาในห้องทีละคนๆ

    มีเพื่อนๆที่ผมพอคุ้นหน้าคุ้นตาในคลาสสอนเต้นและเรียนแอคติ้งบ่อยๆอยู่ก็คือจงอิน พี่ซูโฮ และเจ้าเซฮุน ซึ่งผมพูดได้ว่ากับเจ้าเด็กคอยาวนั่นพวกเราสนิทกันระดับนึงเลยล่ะ -_- แต่มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเท่าไหร่เมื่อฤดูร้อนก่อนที่บริษัทจัดพาเด็กฝึกไปร่วมบำเพ็ญประโยชน์ ผมโชคร้ายชะมัดที่ต้องไปทำงานร่วมกับเจ้าคุณหนูง้องแง้งนั่นสองวันเต็มๆที่บ้านพักคนชราเขาทำอะไรไม่เป็นแม้กระทั่งล้างจานตัวเองให้สะอาด

    แต่เอาเถอะ เขาอาจจะโตพอที่จะเลิกทำนิสัยแบบนั้นแล้วก็ได้

    ผมพยายามคิดแบบนั้น

    ราวสามสิบนาที สมาชิกสองคนสุดท้ายก็ได้มาถึง ผมคุ้นหน้าพวกเขาระดับนึงแต่ก็เพิ่งไม่นาน หลังจากการแนะนำตัวก็ได้รู้ว่าบยอนแบคฮยอนและโดคยองซูเด็กใหม่นั่นมาจากคยองกีและก็ผ่านออดิชั่นมาจากการร้องเพลงทั้งคู่

    ผมได้ยินเค้าร้องเพลงอยู่สองสามเพลงเพื่อทำความรู้จักและแนะนำตัวกับทุกคน มันน่าอิจฉาคนเสียงไม่ใหญ่แบบผมนะTT ร้องเพลงอะไรก็เพราะไปหมด

    อ่าโดยเฉพาะเจ้าคนตากลมๆนั่น

    --

    มีการแสดงความสามารถและพูดเปิดใจในแต่ละคนนิดหน่อยก่อนที่จะพูดถึงรายละเอียดของวงพวกผมเองที่กำลังจะเดบิวต์ขึ้นภายในเวลาอีกห้าเดือนข้างหน้า แผนงานทั้งหมดถูกวางเอาไว้อย่างละเอียด และสัญญาที่ต้องพิจารณาเพื่อเซ็นยืนยัน ผมว่ามันก็เหมือนใบสมัครงานนั้นล่ะ ผมเคยเซ็นสัญญาไปรอบนึงตอนที่บรรจุเป็นเด็กฝึกไปแล้ว แต่ครั้งนี้หมายถึงการจะได้เป็นศิลปินอย่างเต็มตัว

    บนกระดานไวท์บอร์ดสีขาวขีดเขียนรายละเอียดที่ยืดยาว ผมเพ่งอ่านมันที่ละบรรทัดอย่างสนใจ

    คิมจุนมยอนได้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าวง

    คิมจงอินเป็นเมนเต้นของวง (ผมชื่นชมในท่าเต้นเขาจริงๆนะ)

    โอเซฮุนก็เป็นเมนเต้นของวง(อันนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ บางทีอาจจะเป็นเป็นเพราะแม่ของเซฮุนที่เป็นเศรษฐีพันล้านนั่นขอเอาไว้แน่ๆ=_=)

    ปาร์คชานยอล แร็พเปอร์ของวง-_-อ่า ความจริงผมไม่ได้มีทักษะทางด้านนี้แม้แต่นิด ซึ่งมันทำให้หลังจากนั้นผมมีตารางการฝึกร้องเพลงมากกว่าคนอื่นไปด้วย พี่อิมยุนผู้ดูแลวงเราในอนาคบอกว่ามันเป็นเพราะลุคและเสียงของผมมันทำได้แค่นั้นT-T แย่จัง

    ผมเลือกมากไม่ได้อยู่ดีสิ

    ทำไมไม่ให้วงของเรามีดีดกีตาร์หรือตีกลองบ้างเล่า-3-

    ต่อมาก็คือสองคนสุดท้ายอย่างโดคยองซู และบยอนแบคฮยอน แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องเมนร้องแหงๆ

    ตำแหน่งหน้าที่นี้มันก็ยังไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับแผนเจาะกลุ่มตลาดของแฟนคลับที่ผมพอจะรู้มาแล้วบ้างจากรุ่นพี่

    ซึ่งมันเป็นหนึ่งในกลไกการหากินที่จะทำให้พวกเรามีชื่อเสียงได้ไวขึ้นกว่ามาร์เก็ตติ้งแบบเก่า

    เรื่องของการสร้างกระแสคู่

    ผมแค่ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนนะสิ แต่วันนั้นบรรทัดล่างของกระดาน ดันมีชื่อผมและเด็กใหม่บยอนแบคฮยอนติดอยู่

    เพราะผมที่เคยมีผลงานมาบ้างและมีแฟนคลับบางกลุ่มที่คอยติดตามแล้วส่วนนึง ผมเลยเป็นหนึ่งในตัวหลักที่จะดึงแบคฮยอนให้เป็นที่สนใจของแฟนคลับด้วย มันเลยเป็นแผนคร่าวๆที่ผมจะต้องเตรียมตัว

    และบรรทัดถัดมาก็คือคิมจงอินและโดคยองซู

    ผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมถึงจับคู่เจ้าตัวเล็กหน้ากลมนั่นมาอยู่กับจงอิน ผมว่า ใครที่อยู่กับจงอินก็น่าจะดังทั้งงั้นละ หมอนั่นเต้นเก่ง มีฐานะจากครอบครัวนักการเมือง แฟนคลับของเขาก็สูสีกับผมเลยถึงแม้ว่ายังไม่เดบิวต์และยังไม่มีผลงานอะไรสักชิ้น

    ถ้าให้เจ้าเปี้ยกนั่นได้มีโอกาสได้สร้างไลน์คู่กับจงอินแล้วล่ะก็ ผมว่า ในวงเราก็ไม่มีใครเป็นจุดบอดแล้วล่ะ

    ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มถูกกำหนดเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นการแสดงหนังสั้นๆเรื่องนึงเลยก็ว่าได้

    ผมถูกสั่งให้อยู่ในมาดที่สดใสตลอดเวลาเพราะรอยยิ้มที่เหมือนแม่ของผมซึ่งใครๆต่างก็บอกว่ามันทำให้ชวนอารมณ์ดีเรื่อย

    จงอินและเซฮุนกลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ในมาดที่เคร่งขรึมทั้งๆที่เขาอายุน้อยกว่าผมเสียด้วยซ้ำ

    โดคยองซูที่ต้องเปลี่ยนชื่อต่างจังหวัดเชยๆให้ทันสมัยขึ้นมาเป็นดีโอ เขาต้องเป็นสมาชิกที่เสมือนกับฑูตของทีม ซึ่งผมว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญสำหรับเขาเลย ผมว่าเขาก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ

    หมอนั่นยิ้มให้คนนู้นที คนนี่ที ราวกับว่ารู้จักคนอื่นดีไปซะหมด เขายิ้มให้ผมอยู่หลายครั้งแต่นั่นมันก็ไม่ใช่สละสำคัญอะไรเท่าไหร่

    แบคฮยอนที่พูดจาฉะฉานและเสียงดังก็ต้องเป็นเมนร้องที่ขี้เล่นและอารมณ์ดี ผมเองก็ว่าเขาดูเป็นคนอารมณ์ดีตามนั้นเลย

    อ๋า~ทำไมสองคนนี้โจทย์ง่ายจังล่ะT-T

    ผมได้แต่คิดน้อยใจแค่นั้น แต่ช่วงเวลานั้นมันก็ผ่านมาแล้วด้วยดี ผมเข้าทำความรู้จักกับแบคฮยอนก่อนที่การแนะนำตัวง่ายๆ อย่างน้อยๆ ในวงเจ้าหมอนี่ก็คือคนที่ผมต้องทำตัวให้ติดกันไปตลอดระยะการเป็นเอ็กโซ่ละน่ะ บยอนแบคฮยอนหัวเราะร่วนๆให้กับเสียงใหญ่ๆของผมก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองก่อนที่จะมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของเราอย่างสนุกสนาน

    ผมว่าเขาก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอก

    จนถึงวันนี้เขาก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะติดนิสัยขี้โวยวายจนน่ารำคาญไปในบางที




    “เขียนไดอารี่อีกแล้วหรอชานยอล^^

    แต่นั่นไม่ใช่เสียงของแบคฮยอนหรอก มันเป็นเสียงของเจ้าโดคยองซูน่ะ -_-เขาชอบมายุ่มยามในห้องของผมกับแบคฮยอนเสมอ เพราะความจริงแล้วหอพวกเราไม่ได้แบ่งเป็นห้องจนเป็นสัดส่วนที่เป็นส่วนตัวถึงขนาดที่เพื่อนแต่ละคนจะไปมาหาสู่กันไม่ได้

    “ฉันเขียนแล้วนายสมควรที่จะมาถือวิสาสะนั่งอ่านแบบนี้หรอคยองซู-_-“ ผมเอ็ดเขาที่นั่งลงข้างๆและพยายามใช้ตากลมๆนั่นมองหน้าจอแมคบุคของผมแบบแยบยล “จะไปซ้อมร้องเพลงกับแบคฮยอนไม่ใช่รึไง จะไปไหนก็ไปสิ”

    ผมไล่ แต่ดูเจ้าตัวเล็กนั่นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ก่อนที่เขาจะเริ่มลุกขึ้นแล้วเดินวนไปรอบๆห้องของผมอีกครั้ง ปากอิ่มนั่นไม่วายที่จะบ่น บ่นคนละเรื่องกับที่ผมพูดอยู่

    “ห้องนายสองคนสกปรกอีกแล้ว =_= คราวที่แล้วฉันเพิ่งจัดไป พวกนายก็ไม่รักษาน้ำใจฉันเลยจริงๆนะชานยอล อย่างน้อยก็ให้มันคงสภาพแบบที่ฉันทำให้สักอาทิตย์หน่อยก็ไม่ได้ นี่ขนาดเราไม่ได้อยู่ติดหอกันเลยนะ น่าโมโหชะมัดเลย”

    เขาก้มลงเก็บกระดาษที่แบคฮยอนเขียนเนื้อเพลงแล้วปั้นมันทิ้งจนเป็นก้อนรอบๆห้องขึ้น

    “ก็ไม่ต้องเข้ามาไง นายอยู่รอบๆตัวฉันฉันทำอะไรไม่สะดวกเลยนะคยองซู”

    ….” คยองซูหยุดเก็บก้อนกระดาษที่เกลื่อนกลาด มีเพียงก้อนสุดท้ายในมือที่เขากำเอาไว้


    ผลั่วะ~!!


    =_=#

    นั่นคือเสียงกระดาษเน่าๆจากมือของเขาที่ลอยมากระทบหัวของผมอย่างจัง คยองซูทำท่าไม่พอใจเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่ผมชอบว่าเขาแบบนี้นั่นล่ะ

    “ ฉันแค่จะแวะมาบอกว่า นายเองก็รีบเก็บกระเป๋าซะนะ วันนี้ตอนเย็นเราจะต้องไปฮ่องกง วันพรุ่งนี้เราต้องไปรับรางวัล!!”  

    “ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันจำตารางงานได้อยู่แล่วหน่า ที่นายเขียนแป่ะเอาไว้หน้าห้องน้ำ หน้ากระจก หน้าห้องแต่งตัว บนโต้ะกินข้าวนั่นก็พอแล้ว ฉันเนี่ยะจำมันเข้าไปในซีรีบลัมแล้วเจ้าเตี้ย” ผมตะโกนก่อนที่เสียงกระทืบเท้าปึงปังและคนตัวเล็กจะค่อยๆทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ

    ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องของผมกับคยองซูมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมแค่รำคาญที่เขาชอบตัวเหมือนแม่ของทุกคน ผมหมายถึงว่าบางครั้งที่เขาแนะนำตัวเองเกี่ยวกับหน้าที่ในวง ถึงเขาจะทำอาหารอร่อย บอกแฟนคลับและใครต่อใครว่าตัวเองเหมือนแม่ของทุกคน แต่เขาก็ไม่น่าจะทำนิสัย หรือคาแรกเตอร์ในงานมาทำกับชีวิตจริงของพวกผมแบบนี้นี่ ทำไมคยองต้องจุกจิกเหมือนคนแก่แบบนี้ตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้

    ทั่งที่ความจริงแล้วเราสนิทกันมาก่อนด้วยซ้ำ

    ความจริงที่ผมสนิทกับคยองซูมากกว่าแบคฮยอนเสียอีก เพียงแต่ทุกครั้งที่ออกไปโลกภายนอกที่ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวในหอแบบนี้ ที่เหลือเวลาส่วนนั้นก็เหมือเวลางานตลอดเวลา ทีมงานทุกคนสอนให้รู้ว่า ทุกๆที่ที่เราไป เราไม่รู้ว่ามีใครจับจ้องเราอยู่บ้าง  เพราะถึงแม้พวกเขาจะปิดตาหรือแสร้งทำเป็นไม่มอง แต่ก็ไม่ได้ความว่าหูหรือปากของเขาปิดไปด้วย

    เขาเคยสอนผมร้องเพลงอยู่พักนึงน่ะ

    เพราะแบคฮยอนใจร้อนเกินไปในบางที มันทำให้ผมออกจะทะเลาะกับเขามากกว่าที่จะได้ฝึกอะไรที่คืบหน้ามากไปกว่าเดิม

    อ่า…-_-

    ผมแค่คิดถึงเขาขึ้นมาเพลินๆ เสียงพึมพัมร้องเพลงของแบคฮยอนก็ราวกับว่าจะไกล้เข้ามาเรื่อยๆจากข้างนอก

    “พับแมคบุคของพี่สาวนายแล้วเก็บของเถอะ เดี๋ยวเสื้อผ้าสปอนเซอร์จะมาส่งละไอ้ยักษ์  แกไปว่าอะไรเจ้าคยองซูมันอีกล่ะ เมื่อกี้ฉันเห็นเดินออกมาหน้าหงิกแถมยังไม่ยอมทำอะไรให้เจ้าเซฮุนกินร้องท้องก่อนไปเลยเนี่ยะ คุณหนูเซฮุนเค้าเป็นโรคกระเพาะนะสงสัยไม่ได้กินอะไรมันต้องร้องชักดิ้นชักงออีกแน่ ๆ ถึงตอนนั้นละเรื่องใหญ่”

    ในที่สุดแบคฮยอนก็กลับถึงห้องพร้อมกับแปรงสีฟันที่อมไว้ในปาก เขาอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยเพื่อรอเสื้อผ้าจากสปอนเซอร์ที่จะซักแห้งแล้วส่งมาในช่วงสายๆของวันนี้ มันดีที่เราไม่ต้องคิดการแต่งตัวอะไรมากเพราะแต่ละครั้งที่จะไปข้างนอก หรือมีงานเข้ามา พี่อิมคยุนก็จะคอยติดต่อเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆเพื่อขอมาให้สมาชิกสวมใส่และทำการโฆษณาให้เป็นการตลาดให้คนกลุ่มนั้นอีกทางนึงพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

    ถึงแม้ว่าบางชุด ผมว่ามันออกจะตลกๆไปหน่อยก็เถอะ-_-

    “ปล่อยไปงั้นละ  เดี๋ยวก็หายเป็นปกติ” ผมตอบสั้นๆเพื่อจบบทสนทนา แบคฮยอนถอนหายใจพรืดพราดราวกับเอือระอากับนิสัยขวานผ่าซากของผมอีกครั้งเป็นรอบที่ล้าน

    ทำไงได้ ความจริงผมก็เป็นคนแบบนี้ละ ไม่ใช่แฮปปี้ไวรัสชานยอลอย่างที่ใครๆเข้าใจหรอก

    ผมว่าผมต้องไปแล้วล่ะ ไม่งั้นเจ้าหมอนี่คงต้องบ่นผมเหมือนที่โดคยองซูทำแน่ๆ ถ้าผมยังคงนั่งพิมพ์อยู่แบบนี้

    เอาเป็นว่า ผมจะกลับมาเล่าละกันนะ ที่ฮ่องกงสวยขนาดไหน

    ^^ จะว่าไปก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ยะ ฮ่ายยยย>< ไว้เจอกันนะครับ

     

     

     

     

     

     

    ++

     

     

     

     

    12.03

     

    เที่ยงคืนสามนาที กับบรรยากาศที่อยู่บนเครื่องและการต้อนรับอับอุ่นเหมือนเคย

    เราเดินทางมาสู่โรงแรมบนตึกสูงที่แสนสวยงามในที่สุด

    จั้นนน~~

    ปาร์คชานยอลและผองเพื่อนมาถึงฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว^^ ไวดีใช่มั้ยล่ะ เหมือนเราเพิ่งห่างกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง ถึงจะเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว พวกผมเองก็ยังได้แค่นั่งเครื่องแบบอีโค่เพื่อเดินทางไปต่างประเทศเหมือนเคยเพราะศิลปินที่มาด้วยเป็นรุ่นพี่และมีจำนวนเยอะพอสมควร ผมว่านะอากาศที่นี่ยังหนาวไม่มากเท่ากับที่บ้าน แถมฝนที่ตกออกมาไม่ยอมหยุดข้างนอกประตูกระจกใสบ้านใหญ่ มันทำให้รู้สึกหว้าเว่อย่างน่าตลก ผมเปิดเพลงของjessy fact ฟังไปด้วยเพื่อกำจัดความรู้สึกอันน่าเบื่ออันนั้นออกไป

    ว่างผมจะอัพลงให้ว่าเพลงนี้มันเพราะและสนุกขนาดไหน แต่วันนี้ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก ตาของผมมันเริ่มหนักอึ้งซะแล้วล่ะ

    เมื่อเย็นนี้คยองซูยังคงไม่คุยกับผมเหมือนเดิมเขาใช้ตาโตๆเพื่อมองนั่นมองนี่แบบไร้อารมณ์และชวนให้หงุดหงิดในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายรู้อะไรมั้ย ผมก็เห็นเขาแอบเอานมกล้วยยัดใส่กระเป๋ามาเพื่อจะเอาให้เจ้าเซฮุนกินรองท้องระหว่างอยู่บนรถเพื่อกันโรคกระเพาะของหมอนั่นจะกำเริบจนได้ มันทำให้เจ้าคุณหนูตัวแสบนั่นอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้งและพยายามทำตัวติดแจกับคยองซูราวกับว่าเค้าเป็นลูกแหง่

    เจ้าเตี้ยนั่นก็ไม่วายส้รางความรำคาญใจให้ผมอยู่ตลอด ผมต้องเดินติดกับแบคฮยอนทุกครั้งที่ลงจากรถทุกคนก็รู้ดี

    แต่เพราะแฟนคลับที่มากมายมันทำให้แถวแตกไปหมด จงอินที่ต้องอยู่กับคยองซูก็โดนเบี่ยงออกไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองเพื่อนข้างหลังเป็นระยะๆ พวกเขาที่ตัวเล็กกว่ากำลังจะจมลงไปในฝูงคน

    “พี่พาแบคฮยอนเดินไปก่อนนะ “ ผมตัดสินใจบอกซูโฮและเมเนเจอร์อีกสองสามคนที่กันเราอยู่รอบๆ ให้เดินนำไปพร้อมกับแบคฮยอนก่อน พูดตามตรงนะ ถึงเจ้าพ่อมหาเซ็กซี่เจ้าของรางวัลอันดับหนึ่งการประกวดเต้นสามล้านเก้าสิบแปดเวที บางครั้งคิมจงอินก็ชักจะเริ่มทำให้ผมรำคาญใจขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นี่หมอนี่จะทำท่าทีง่วงนอนไปถึงไหนกัน เขายังคงเป็นคนที่ประสาทตื่นตัวช้าที่สุด พี่ซูโฮเคยบอกว่า ทางทีที่ดีอย่าให้เขาได้มีโอกาสหลับ เพราะกว่าเครื่องจะติดอีกรอบ คิมจิงอินมักจะใช่เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงขึ้นไปที่จะกลับมาสดใสและกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง

    ผมแสร้งเดินช้าลงและปล่อยให้แถวไหลไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่งเจ้าเด็กเตี้ยนั้นเดินอย่างทุกลักทุเลจวนเจียนมาถึง ผมแทรกใช้ร่างกายที่ได้เปรียบด้านความสูงเพื่อแทรกตัวเข้าไปบังข้างหลังของเขาอีกชั้นนึงเพื่อกันคนที่ดันขึ้นมาข้างหน้า

    คยองซูทำท่าทีราวกับว่าไม่เห็นเจ้ายักษ์อย่างผมที่กำลังเป็นผู้เสียสละ เขากำลังขยี้ตาแล้วบ่นพึมพัม

    ตาของคยองซูแดงไปหมดราวกับว่าเพิ่งร้องไห้มาแบบนั้นเลยล่ะ

    “รีบเดินให้มันไวกว่านี้ได้มั้ยเจ้าเด็กเตี้ย!” ผมกระซิบ แต่ใบหน้าที่แจกรอยยิ้มยังคงอยู่ โดคยองซูหัวค่อยๆหันซ้าย ขวาเพื่อหาต้นเสียงแล้วเค้าก็เห็นผมพอดี ซึ่งมันทำให้ผมได้สบตากับคยองซูตรงๆสะที

    =_=ตาหมอนี่แดงจังเลยมันเกิดอะไรขึ้นกัน

    เพราะดวงตาที่บวมตุ่ยนั่นทำให้ผมลืมโกรธเขาไปชั่วขณะนึงก่อนที่จะตะโกนออกไปอย่างลืมตัว=_=

    “เห~ตานายไปโดนอะไรมา !!เห้ ขอโทษนะครับ สวัสดีฮะ ๆ” ผมพูดขึ้นสลับกับการทักทายแฟนๆผมมองเจ้าเตี้ยที่เริ่มก้มลงอีกครั้งเพื่อหลบแสงแฟลช ผมเองทำอะไรไม่ได้มากนอกเหนือจากการตะโกนขอทางเพื่อช่วยให้ลดแรงเบียดลงไป

    ไม่นานนักเราก็มาถึงจุดรอตรวงพาสปอร์ต ซึ่งมันทำให้พวกเราพ้นเขตอันน่าอึดอัดนั่นมาสักที จงอินเกาะบ่าคยองซูที่เพิ่งพูดคุยถึงอาการเจ็บตาของเขากับพี่อิมคยุน เจ้าเตี้ยเดินมาอย่างเชื่องช้า เขายังคงกระพริบตาไปมาไม่ยอมหยุด

    “พี่เป็นอะไรเนี่ยะ พี่คยองซู T-T ทำไมตาลูกกบของพี่มันถึงได้บวมจนน่าเกลียดแบบนั้นล่ะ” เสียงของโอเซฮุนที่ถลาเข้ามาดูอาการของแม่ตัวเองอย่างรีบร้อน ผมฝากพาสปอร์ตของตัวเองไปกับแบคฮยอนที่กำลังตรวจสอบเอกสารเพื่อลุกขึ้นมาดูสถาการณ์ของเจ้าเตี้ยนั่นบ้าง
     

    “ใครทำอะไรเข้าให้ ไปแอบดูสาวที่ไหนอาบน้ำมาละ ร้ายไม่เบาละสิท่าเจ้าเตี้ย” ผมก้มตัวเองลงให้มองคยองซูดถนัดขึ้นแต่ก็ไม่วายพูดจากวนประสาทขึ้นมาอีก ผมชินที่จะพูดคุยแบบนี้กับเขาน่ะสิ

    “พี่ชานยอลอย่ามาพูดแบบนี้กับพี่คยองซูนะ” เจ้าลูกแหง่มันกำลังขู่ผมสินะ “...อ๊า~~พี่ซูโฮ ผมว่าถ้าเราถึงที่นั้นแล้วอย่าลืมพาผมไปกินชานมฮ่องกงนะ คิคิ”

    แต่ความสามารถหมอนั่นคือภายในไม่กี่วินาที เขาสามารถหาแม่ใหม่ได้โดยเวลาอันสั้น เหยื่อรายต่อไปที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าโอเซฮุนคือพี่ซูโฮผู้น่าสงสารละล่ะ ผมเห็นเจ้าเด็กหัวเหลืองนั่นกำลังพยายามล้วงมือล้วงไม้เข้ากระเป๋ากางเกงพี่ซูโฮอีกครั้งพร้อมกับพูดคำว่า ค่าชานมเสียงดังไปหมด

    คิมจงอินแกล้งทำเป็นจะจิ้มนิ้วยาวเข้าไปที่ดวงตาที่ปูดบวมของโดคยองซูแต่ก็ต้องหยุดลงเพราะเจ้าเตี้ยบ่นอีกครั้งว่า “มันเจ็บนะ” ขึ้นมา

    ฮึ่ยย ผมละไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเขาเป็นอะไรทำไมเขาไม่บอกผมมั่งนะ

    -_-

    ผมก็แค่อยากรู้เหมือนที่คนอื่นเค้ารู้กันก็เท่านั้นล่ะ

    คงเพราะเขากำลังโกรธผมอยู่ ถูกมั้ยล่ะ L

    ตอนนี้ก็ได้เวลามื้อค่ำของคืนวันแรกที่ฮ่องกงกับห้องอาหารสุดหรูด้านล่าง ทุกคนลงไปกันหมดยกเว้นเสียแต่ผมเองก็ไม่สามารถลงไปได้ เพราะกำหนดตารางงดอาหารที่ผมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อรอถ่ายเอ็มวีตัวแรกของอัลบั้มที่สองอย่างเข้มงวด

    ผมเป็นคนมีแก้มอยู่นิดหน่อยน่ะ =_= พี่อิมคยุนเมเนเจอร์ประจำวงของพวกเราเคยบอกว่า ถ้าหากผมสามารถกดน้ำหนักจากเดิมที่มีอยู่ให้ลดลงไปอีกสักสองกิโล คาดว่าชุดที่ใส่ถ่ายทำเอ็มวีในอัลบั้มใหม่ก็จะเข้ารูปแล้วก็ดูเท่ห์ไปด้วย

    ถึงแม้ว่าจะมีเมมเบอร์คนอื่นที่โดนบังคับให้ลดน้ำหนักและมีตารางอาหารกำหนดมาให้เหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะลงไปด้านล่าง อย่างน้อยก็เพื่อจะกินสลัดเมืองนอกสักครั้งหนึ่งอยู่ดี แต่ผมไม่ขอก้าวเข้าไปดีกว่า

    ผมแพ้กิเลสตัวเองเสมอนั่นล่ะ

    เพราะฉะนั้นการนั่งดองอยู่บนห้องพักในเวลาฝนตกปรอยๆแบบนี้ พร้อมกับวิวทิวทัศของแสงสียามค่ำคืนในฮ่องกงแบบนี้จึงวิเศษที่สุด

     


     

    ^_________^

    แชะ

     

    ฮ่องกองที่งดงาม <3


    ผมโพสรูปที่ถ่ายคู่กับวิวของฮ่องกงที่อยู่เบื้องหลังประตูกระจกบานเลื่อนของห้องก่อนที่จะโพสลงไปในไซเวิลล์ของตัวเอง แสงสีเหล่านั้นทำให้ราวกับว่าผมเป็นดวงดาวเล็กๆ ที่มีดาวสวยงามนับพันล้อมรอบ><

     

    ถึงแม้การต้องเป็นนักร้องมันจะไม่ได้ง่ายดายและสนุกสนานอย่างที่ใครๆคิด แต่ผมว่ามันก็ดีที่ได้ออกไปพบเจออะไรๆที่นอกเหนือจากที่ได้เห็นและเป็นอยู่ล่ะ ว่าไหม

    ..

    กึกกึก กึกกึก

    O_O

    หือ??

    ผมว่าผมได้ยินเสียงเคาะห้องจากด้านนอกนั่นล่ะ เสียงกึกกักพวกนั้นดังเป็นช่วงๆ มันทำให้ผมต้องวางมือจากแมคบุคลงไปชั่วขณะ อาจจะเป็นแบคฮยอนที่กลับห้องมาแล้วก็ได้ละมั้ง

    ผมคิดก่อนที่จะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อดิ่งไปที่ประตู ภาพที่ถูกถ่ายทอดจากกล้องหน้าประตูมันทำให้ผมงุนงงนิดหน่อย

    ลูกกะตาของใครบางคนที่แลดูจะบูดๆเบี้ยว และบวมเต่งจ่ออยู่กล้องหน้าห้อง เขาพยายามส่องมันย้อนเลนส์กลับเข้ามาด้านในรึไงกันเนี่ยะ

    ผมพอจะมองออกแล้วล่ะว่าบุคคลปริศนานั่นคือใคร

    ผมรูดการ์ดเพื่อปลดล็อคห้องอย่างช้าๆ  ทันที่ประตู้เปิดกว้างออกผมก็เอ่ยคำถามออกไปอย่างไม่รีรอ

    “มีเรื่องอะไรถึงมาเคาะประตูห้องฉันอยู่ได้” ผมจ้องโดคยองซูที่ในมือสองข้างของเขาหอบหิ้วบางอย่างพะรุงพะรังเต็มไปหมดมาด้วย ตากลมๆด้านซ้ายนั่นยังคงปูดบวมนิดหน่อย

    “ชานยอลพูดจาดีๆแบบคนอื่นไม่เป็นรึไงกัน เปิดประตูกว้างๆหน่อยฉันจะเข้าไปข้างใน” เจ้าเตี้ยใช้หัวยุ่งๆนั่นมุดใต้หว่างแขนของผมที่กั้นช่องว่างระหว่างประตูที่เปิดเอาไว้เข้าไปด้วยความว่องไวอย่างถือวิสาสะ คยองซูหายโกรธผมไวแบบนี้เสมอ ซึ่งเจ้าบ้านี่ไม่รู้หรอกว่าการกระทำพวกนี้มันชวนน่าปวดหัวสำหรับผมขนาดไหน-*-

    "นายเข้าห้องฉันโดยที่ไม่ขออนุญาต นิสัยไม่ดีเลยนะ-*-...”

    “ฉันมัวรอชานยอลอนุญาต ของพวกนี้ก็หายร้อนหมดพอดีนะสิ ^^ “ คยองซูยิ้มอย่างสดใส เขาวางถุงกระดาษสองใบลงก่อนที่จะค่อยเทของในนั้นออกมาช้าๆ “ฉันเห็นชานยอลไม่ลงไปกินอะไรเลยเพราะว่าต้องคุมน้ำหนัก นี่นี่ ฉันเอานมถั่วเหลืองร้อนๆมาให้สองกระป๋อง พอดีฉันคุยกับจงอินนานไปเลยเอามาให้นายช้า มันเริ่มเย็นหมดแล้วด้วยรีบมากินเถอะนะ ^o^ของพวกนี้มันไม่ทำให้อ้วนหรอก^^

    “นมถั่วเหลืองมันเหม็น ฉันไม่ชอบ”

    “ชานยอลนิสัยเหมือนเซฮุนเข้าไปทุกทีแล้วนะ-*-“

    “ฉันไม่มีทางเหมือนเจ้าเด็กนั่นหรอกน่า!

    “งั้นก็อย่าเรื่องมากเวลากินซี่”

    สุดท้ายมือเล็กที่แสนงุ่นง่านนั่นก็แกะฝากระป๋องนมถั่วเหลืองออกจนได้ คยองซูลุกขึ้นไปเดินหาแก้วน้ำบนโต้ะอยู่พักนึงก่อนที่จะเทนมอุ่นๆออกมาแล้วตั้งให้ผมเอาไว้ข้างแมคบุคคู่ใจ เขาเดินกลับมานั่งบนพื้นห้องอีกครั้งพลางส่งยิ้มพยักเพยิดเป็นเชิงว่าให้ผมเริ่มต้นกินมันได้เสียที

    ฮึ่ยย นี่ละสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือนิสัยเหมือนแม่ของทุกคนแบบนี้เลยล่ะ!! ทำไมเขาชอบบังคับให้ผมทำอะไรที่ไม่ชอบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้า กองขยะในห้อง งาน การกิน เขาทำกับจงอินคนเดียวก็พอแล้วนี่ หมอนั่นเป็นคู่หูของเขานี่นา ผมเองก็ยังไม่เคยต้องมาบังคับแบคฮยอนแบบนี้สักครั้ง

    และทุกครั้งมันก็ต้องจบด้วยการที่ผมต้องแพ้เขาตลอด

    ผมเริ่มยกแก้วอุ่นขึ้นมาดื่ม

    อึก อึก อึก ><

    รู้มั้ยแต่ละคำที่ผมกล้ำกลืนลงไปน่ะ มันยิ่งกว่าตอนกินมะเขือเทศสดๆเสียอีก

    เสียงรอบข้างเริ่มเงียบสงบมีเพียงเสียงฟ้าร้องเบาๆจากฝนที่ตกอยู่ด้านนอก คยองซูเองก็เงียบลงไปแล้วเช่นกัน

    ดวงตาที่สร้างความน่ารำคาญให้ผผมเรื่อยมานั่นถูกปิดลงไปแล้วอย่างเงียบๆ

    เจ้าเตี้ยกำลังนั่งหลับภายในเวลาสั้นๆที่ผมกระเดือกเจ้านมเน่านั่นลงท้องไป ความจริงเขาไม่ได้นอนเลยเพราะต้องซ้อมเต้นกับทุกคนในคืนก่อนที่จะมาถึงฮ่องกง

    รอยแดงบนเปลืกตาของคยองซูเหมือนจะยังบวมอยู่ราวกับโดนอะไรบางอย่างกัดมา ผมคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้โชคดีที่มันก็เริ่มยุบลงไปบ้างแล้ว

    บางครั้งผมก็คิดสงสัยว่าทำไมคยองซูถึงเป็นเหมือนผู้ดูแลทุกคนอย่างไม่รู้จักเหนื่อยด้วย เค้าอาจจะนิสัยดี หรือไม่ก็ทนทานเจ้าเด็กเอาแต่ใจอย่างเซฮุน หรือเพื่อนร่วมงานที่น่ารำคาญอย่างผมได้

    ถ้างั้นผมก็คือคนนิสัยไม่ดีนะสิ

    “นายมันเจ้าเตี้ยสมองทึบแน่ๆ โอคยองซู” ผมต่อว่าคนตัวเล็กที่เริ่มห่อตัวเพราะแลดูเหมือนเขาจะหลับลึกลงไปทุกทีๆ

     

    ผมจ้องมองใบหน้าที่คุ้นตานั่นอย่างไม่รู้ตัว ตา จมูก และปาของเขายังคงเหมือนวันแรกที่ผมเจอคยองซูที่ห้องประชุมสีขาวนั่น

    ผิวใสๆที่เหมือนเด็กของเขาทำให้ผมคิดว่าคยองซูต้องอายุน้อยกว่าผมหลายปีเมื่อครั้งที่เจอกันในช่วงฝึกซ้อม

    ปาร์คชานยอลจะไม่สังเกตสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ต่อเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง

    แน่นอนผมไม่เคยได้นั่งสังเกตโดคยองซูแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

    บางครั้งพวกเราก็ต้องทำทีราวกับคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำเมื่อต้องทำงาน

     

    ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

     

    เสียงอะไรบางอย่างในตัวของผมมันดังกึกก้องขึ้นมาซะดื้อๆ 

    =_=;;

    เจ้าเตี้ยเริ่มโคลงเคลงเพราะการหลับทำให้เขาเริ่มเสียการทรงตัว คยองซูเอนไปข้างหน้าที ข้างหลังที และข้างหน้าอีกครั้ง

    ราวกับหัวเจ้าหมอนั่นจะดิ่งลงกระแทกกับโต้ะจนเป็นหนึ่งเดียวกันแน่ๆถ้าไม่มีของผมมารองรับอย่างรวดเร็วเอาไว้

    มืออุ่นของผมที่ใหญ่ๆพอกับหน้าคยองซูรับรู้ถึงสัมผัสที่ได้รับหมดทุกอย่าง แก้มของเขาทั้งเย็นเฉียบเพราะความเย็น และริมฝีปากอิ่มนั่นที่ประทับอยู่บนมือของผมที่รองรับใบหน้าของเขาเอาไว้ด้วย

    ผมว่าผมต้องอยู่ห่างเจ้าหมอนี่ให้มากขึ้นกว่านี้แล้วล่ะ

    ถ้าหากปาร์คชานยอลจะไม่สังเกตสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ต่อเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง

    ผมว่ามันคงจะดีถ้าคยองซูจะไม่มาหยุดนิ่งต่อหน้าผมแบบนี้อีก

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×