ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทะเลในโลกสีฟ้า [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : Fake Plastic Trees

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.14K
      46
      26 เม.ย. 56

    - 6 -

    Fake Plastic Trees



    บางครั้งความต้องการภายในจิตใจก็มากมายเกินกว่าจะต้านทานด้วยเหตุผล

    ผมและป็อป บ่อยครั้งที่ผมรู้ว่าเรารู้สึกตัวแต่ก็เลือกที่จะเพิกเฉยมัน ผมมีอารมณ์ที่อัดแน่นเปี่ยมล้นอยู่ในใจ ป็อปก็ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างที่นำพา

    เราต้องการเติมเต็มไม่ให้ความรู้สึกภายในมันว่างเปล่า แต่ไม่ว่าเราจะพยายามกันมากแค่ไหนก็เหมือนจะยิ่งห่างไกลกับคำๆนั้น

    และเราก็รู้ดี

    ...

    ช่วงนี้ทะเลบ้าซ้อมดนตรีอย่างหนักกับเพื่อนในวงที่โรงเรียนหลังเลิกเรียน ผมไม่ได้ไปรับไปส่งอย่างเคยแต่ก็มีก้านมาคอยทำหน้าที่นี้แทน

    หลังจากวันนั้นที่ผมเกือบจะห้ามตัวเองไม่อยู่ผมก็ต้องตีตัวออกห่างจากทะเลเพราะกลัวใจตัวเองขึ้นทุกที ทุกๆการกระทำของทะเล ทั้งรอยยิ้ม น้ำเสียง หรือแค่การจ้องมอง มันมีผลต่อจิตใจของผมโดยที่ทะเลไม่รู้ตัว

    ผมคอยแต่จะจ้องริมฝีปากนั่นทุกทีที่เผลอตัว แค่นึกถึงสัมผัสร่างกายมันก็ร่ำร้องอย่างน่าไม่อาย

    หากอยู่ใกล้ผมไม่สามารถจะห้ามใจไม่ให้คิดได้ ผมเลยเลือกที่จะถอยห่างออกมา
    บางทีผมก็ห่างเหิน
    บางทีผมก็หมางเมิน

    ทะเลไม่เข้าใจเหตุผลของผมเพราะผมไม่ต้องการให้เข้าใจ
    และอะไรๆก็ดูเหมือนจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ

    ผมจะแสร้งลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นทุกครั้งที่ทะเลเข้ามาซบไหล่ ไม่ได้ลูบผมปลอบเมื่อทะเลทำหน้าหงอยเหงาเศร้าสร้อย ไม่ได้ไปรับบ่อยๆเพื่อให้ทะเลเอาแขนเกี่ยวกอดเอวผมไว้ ผมทำทุกๆอย่างตรงข้ามกับความรู้สึก

    จากสายตาที่มีแต่ความสงสัยค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ

    ไม่ใช่แค่ผมที่เมินเฉยทะเลฝ่ายเดียว ทะเลก็เลือกที่จะเมินเฉยผมบ้างเหมือนกัน ผมรู้ว่าผมเป็นคนเริ่มแต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อทะเลทำแบบนั้น

    ระยะห่างที่ผมอยากได้มันมาพร้อมความร้อนรุมสุมไฟ ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยของผมนั้นอัดแน่นไปด้วยอารมณ์มากมายแค่ไหน

    แต่หากจะเป็นใครที่สามารถเข้าใจมันได้ดี...ก็คงจะเป็นป็อป ผมเห็นเววตาของการยอมรับบางอย่างในตัวผมจากสายตาของเพื่อนคนนี้ การกระทำที่ผ่านมาเหมือนจะเปิดเผยส่วนลึกในจิตใจผมโดยที่ป็อปไม่ได้ถอยห่างอย่างรังเกียจ  และทันทีที่ผมเห็นคนที่สามารถจะแสดงมันออกมาได้ผมก็ไม่ลังเลที่จะเปิดเผยมัน

    ผมออกห่างจากทะเลทั้งที่คิดว่ามันสมควรแต่จิตใจกลับต้องการและโหยหามากกว่าเดิม และผมก็ระบายทุกอย่างลงกับป็อปทั้งหมดทั้งสิ้น

    ในห้องเช่าชั่วคราวที่ไม่มีอะไรไปมากกว่าเตียง ห้องน้ำและทีวีเครื่องหนึ่ง สถานที่ๆหาได้เกลื่อนกลาดตลอดเลียบทางชายหาดแห่งนี้ ผมปล่อยตัวเองและความรู้สึกออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น ด้านมืดมันเหมือนจะงอกเงยได้ดีในใจผม ผมบ่มเพาะมันมานานโดยที่ไม่รู้ตัว พอถึงจุดๆหนึ่งผมก็ไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่ของมันอีกต่อไป

    ผมครางชื่อทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า ดึงรั้งผมสีดำให้แหงนเงยมาด้านหลัง น้ำตาบนใบหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งให้อารมณ์กระชั้นจนต้องเคลื่อนตัวเร่งจังหวะ

    ทุกอย่างพร่างพรายชั่วขณะ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเคียงกันปรับลมหายใจ ผมคว้าบุหรี่มาจุด สูดเข้าและปล่อยควันออกมาล่องลอยเป็นเพื่อนกับความเงียบ

    ผมไม่เคยถามว่าทำไมป็อปถึงมีน้ำตาทุกครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะกลัวคำตอบจึงคิดเอาว่าเป็นเพราะความเจ็บ ผมหันไปหาป็อปและทำอย่างเดิมที่ทำทุกครั้ง ใช้นิ้วโป้งข้างที่คีบบุหรี่อยู่ปาดน้ำตาให้ ป็อปก็คีบบุหรี่ต่อจากผมไปสูบ

    เราสองคนกับบุหรี่หนึ่งมวน บนเตียง ความเงียบที่เคยคุ้นทำให้เราไม่อยากจะเอ่ยอะไรเพื่อทำลายมัน ป็อปเลื่อนหัวมาวางบนตักผม ผมลูบเส้นผมยาวคลอเคลียที่ยุ่งเหยิงจากการกิจกรรมเมื่อครู่ไปเรื่อยๆให้มันเข้าที่เข้าทาง

    “บลู ถามอะไรหน่อยสิ"
    “อืม"
    “มาอยู่กับเลได้ยังไง"
    “รู้จักกับพี่ชายน้าวิทย์"
    “ตั้งแต่เมื่อไหร่"
    “ตอนนั้น...อายุ 11”
    “แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ"

    ก่อนหน้านั้น...

    ผมเงียบ ใจล่องลอยไปในช่วงนั้น เห็นเด็กคนหนึ่งนั่งก่อกองทรายอยู่คนเดียว เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกอ้างว้าง เด็กคนนั้นตัวเล็กมาก เหมือนผมยืนมองดูจากที่ไกลๆ ไม่อยากจะก้าวขาเดินไปใกล้ ไม่อยากเห็นชัดมากไปกว่านี้ ผมยิ้มมุมปากเยาะเย้ยความขลาดของตัวเอง ก่อนจะตอบ

    “อย่ารู้เลย..."

    ผมไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ ป็อปลุกขึ้นมา จ้องมองผม  จ้องด้วยแววตาที่บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเล่าก็ได้ และยกมือขึ้นแตะหน้าผมแผ่วเบา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาช้าๆ...ผมหลับตา

    ...

    ทะเลกลับไปนอนที่ห้องตัวเองได้อาทิตย์นึงแล้ว
    การกระทำของผมมันก็คล้ายกับการเอ่ยปากไล่โดยไม่ได้ให้ทางเลือกกับทะเลเลย แต่ผมเชื่อว่ามันจะดีสำหรับตัวทะเลเองจึงจงใจทำมันแม้ว่าตัวผมเองจะรู้สึกเหงาและเจ็บปวดก็ตาม

    แน่นอนว่าทั้งน้าวิทย์และน้าเพลงสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ทั้งคู่ก็ได้แต่มองห่างๆเพราะเราก็โตกันเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้ามาร่วมรับรู้ด้วย

    เสียงเคาะห้องผมดังขึ้นสองสามครั้ง ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงขานรับเป็นเชิงอนุญาต ทะเลแง้มประตูช้าๆแล้วบอกว่าขอยืมหนังสือเพลงเล่มไหนซักเล่มที่ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอยู่

    “เข้ามาหาดูสิ ไม่รู้อยู่ไหน" ผมบอกแค่นั้นแล้วก้มอ่านหนังสือต่อทำทีไม่สนใจ ทะเลหันหลังรื้อหาอยู่ตรงชั้นสักพัก ผมก็ละสายตาขึ้นลอบมอง ผมทะเลยาวกว่าปกติคงเพราะไม่ได้ตัดมาสักพัก ผมเส้นเล็กๆที่เมื่อยาวขึ้นมันก็ยิ่งน่าสัมผัส มันคงจะดีไม่น้อยถ้าได้กอบกุมผ่านง่ามนิ้วและดึงรั้ง..

    “หาไม่เจอ" ทะเลทิ้งตัวหน้ามุ่ยอยู่ตรงพื้น ผมตื่นจากภวังค์ความคิดตัวเองลุกขึ้นไปหาให้ หาจากชั้นบนไล่ลงมานั่งยองๆหาที่ชั้นล่างก็ไม่เจอเหมือนกัน ผมถอนใจหันไปหาทะเลก็เจอสายตาที่มองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาตัดพ้ออย่างเคย

    ทะเลลุกขึ้นหลบสายตาเมื่อผมจ้องตอบแล้วเดินไปหยิบกีตาร์ตรงมุมห้องขึ้นมาเล่น ทะเลบรรเลงทำนองเพลงช้าๆเพลงหนึ่ง มีผมนั่งฟังอยู่อีกมุมของห้อง ระยะห่างมันมากพอที่จะให้ผมได้เฝ้ามอง ทะเลเล่นไปเรื่อยๆและผมก็ยังไม่อยากให้หยุด

    “ทำไมพี่บลูชอบทำหน้าแบบนี้"
    “แบบไหน"
    “แบบที่ทำอยู่เนี่ย"
    “แล้วมันเป็นยังไง"
    “บอกไม่ถูก มันดูเหงาๆ"
    “ยังไงที่ดูเหงา"
    “ก็พี่บลูทำตาเศร้า"
    “ไม่ได้ทำสักหน่อย"
    “ทำ ไปส่องกระจกดู"
    “มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว"
    “มันดูเศร้า...จนบางทีเลก็อยากร้องไห้"
    “ขนาดนั้นเลย"
    “แล้วพี่บลูเหงาไหม"
    “ไม่...”
    “พี่บลูมีเลอยู่เป็นเพื่อน เลจะอยู่กับพี่ไปตลอดให้พี่ไม่เหงา จะได้เลิกทำตาแบบนี้สักที"


    ตาแบบนี้...

    ใช่ที่ทะเลกำลังทำอยู่หรือเปล่า ทำไมมันถึงได้ดูเศร้าจนผมอยากจะร้องไห้ ทะเลเหงาเหรอ เหงาใช่หรือเปล่า เพราะผมใช่ไหม ไม่อยากเห็นทะเลเป็นแบบนี้เลยจริงๆ

    ผมลุกขึ้นไปแล้วนั่งลงข้างๆทะเลที่ยังคงเล่นกีตาร์อยู่

    “เลทำอะไรผิดเหรอ" ทะเลถามขึ้นโดยไม่ได้มองหน้าผม
    “เลไม่ได้ทำอะไรผิด"
    “แล้วทำไม"
    “ทำไม อะไร"
    “ทำไม...” ทะเลน้ำตาไหลลงมาเงียบๆ และหยุดเล่นกีตาร์ ผมดึงเอากีตาร์ออกจากตัวทะเลวางตรงที่เดิมของมันแล้วเขยิบเข้าไปใกล้ๆทะเลมากขึ้น ผมไม่ชอบที่จะเห็นน้ำตาที่มันไหลลงมาเพราะผมเป็นคนทำ หากผมจะพ่ายแพ้กับสิ่งใดแล้วก็คงจะเป็นน้ำตาของทะเลเป็นสิ่งแรก

    “ทำไม...” คำถามย้ำอยู่อย่างนั้น ผมเข้าใจที่ทะเลถามหากแต่ไม่อาจตอบ
    “อย่า...รู้เลย...”ผมกำมือแน่นอย่างห้ามใจ

    ใจที่ตอนนี้มันอยากจะกอดปลอบ...ในขณะเดียวกันถึงผมจะไม่ชอบที่จะเห็นทะเลเสียใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตื่นเต้นเมื่อเห็นน้ำตา

    “ไม่เข้าใจเลย เลต้องเป็นแบบนี้ทุกที...ฮึก...พอพี่บลูไม่สนใจ...มันทรมาน...”
    “......”
    "เลไม่รู้ก็ได้...แต่อย่าทำแบบนี้เลยนะ"

    ทะเลมองผมอย่างอ้อนวอน ผมพ่ายแพ้หมดรูปกับสายตานั่น ทำไมผมจะไม่รู้ว่าทะเลรู้สึกยังไงในเมื่อผมก็ทรมานไม่ต่างกัน ผมดึงทะเลมากอด ทะเลก็กอดตอบผมแน่นเหมือนระบายความอึดอัดทั้งหมด กอดแน่น...เหมือนกลัวผมจะผลักไส

    มือผมลูบผ่านผมนิ่มๆของทะเล คิดว่าสิ่งที่เลือกทำไป เลือกที่จะถอยห่างออกไปมันดีหรือร้ายกันแน่ สำหรับตัวผมเองก็ยังบอกไม่ได้ ผมควบคุมตัวเองลำบากจึงคิดไปว่ามันคงจะดี ส่วนสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นผมก็เพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้ส่งผมดีต่อใครทั้งนั้น ทั้งผมหรือทะเล

    ผมทรมาน ทะเลก็ทรมานเพราะความไม่รู้ ทะเลไม่ได้ผิดอะไร มีแต่ตัวผมเองทั้งนั้น คิดแล้วก็ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลา หากมันเป็นเพราะความรู้สึกของผม ผมก็ต้องเป็นคนห้ามมันไว้ถึงจะถูก แม้มันจะยากขึ้นทุกทีตาม

    การเก็บกด ไม่แสดงความรู้สึกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวผม เป็นหน้าที่ๆผมต้องกระทำมันอยู่เสมอ หากจะต้องทำต่อไปก็คงจะไม่เป็นไร

    คงจะ...ไม่เป็นไร...ถ้าผมจะแค่คิด

    ผมโอบแขนกระชับอ้อมกอดทะเล สูดกลิ่นไอคนตรงหน้า...แล้วจดจำ
    เมื่อเราผละออกจากกัน ผมก็ยิ้มเพื่อให้ทะเลคลายกังวล
    แม้จะมีน้ำตาอยู่แต่ทะเลก็ยิ้มตอบ ผมเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะลูบข้างแก้มตรงลักยิ้มอยู่อย่างนั้น

    ใช่ มันยากขึ้นทุกที

    หากทะเลรู้ความคิดของผมตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจหนีหายไปจากผมตลอดชีวิต

    “คืนนี้นอนกับพี่บลูนะ" ผมพยักหน้า ฉุดทะเลขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันแล้วเดินไปปิดไฟ

    เตียงเล็กๆสำหรับคนตัวใหญ่อย่างผมนอนคนเดียวก็เกือบเต็มแต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไรเมื่อต้องนอนเบียดกัน ทะเลความหามือผมในความมืดแล้วสอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้ามาจากนั้นก็นิ่งไปคล้ายได้ที่ๆพอใจ

    ผมต้องข่มใจให้สงบในความเงียบ ต้องอดทนให้คุ้นชิน มันคงจะไม่ยากเท่าไหร่เพราะจนถึงตอนนี้ผมยังสามารถนอนนิ่งอยู่ได้ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

    น่าแปลกที่แม้ว่าจะมีความต้องการมากมายแค่ไหนผมก็สามารถหลับลงได้ในคืนนี้

    ผมอบอุ่นใจจนเคลิ้มหลับ

    ในความฝัน...ผมรับรู้สัมผัสที่ริมฝีปากแผ่วเบา

    ........

    ช่วงใกล้สอบผมคงไม่ได้ขี่เจ็ทสกีบ่อยๆ วันนี้มีเวลาว่างผมเลยปักหลักอยู่ที่หาดเล่นมันทั้งวัน มีทะเล ป็อป ร็อค และเพื่อนที่มหาลัยผมอีกสองคนคือเคนกับตูนมาด้วย ผมจะมีเพื่อนมาหาที่นี่เป็นประจำโดยที่พวกมันไม่ได้นัดคล้ายรู้ว่าผมคงจะอยู่ แต่หากผมไม่อยู่มันก็คงคิดซะว่ามานั่งเล่นริมหาดไปแทน

    เราอยู่กันเยอะก็ย่อมเฮฮาเป็นธรรมดา ทั้งร้องเพลง เล่นกีตาร์เสียงดังจนเหมือนจะรบกวนคนรอบข้างให้หันมามองค้อนพวกเราบ่อยๆ เคนเป็นเพื่อนที่มหาลัยที่สนิทกับผมมากที่สุดเพราะความบ้าๆบอๆของมันคล้ายกับร็อคก็เลยเข้ากันได้ดี กับตูนผมก็ค่อนข้างสนิทในระดับนึงเพราะเรามีคำครหาจากคนอื่นว่า 'หยิ่ง' เหมือนๆกัน

    เพราะคณะของเราคือวิศวะไม่ใช่ดนตรี แม้ว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกันกับตูนแต่ผมก็ไม่เคยได้ยินมันร้องเพลงมาก่อน มันน่าแปลกที่ว่าพอเด็กวิศวะคนนี้ร้องเพลงขึ้นมา ทั้ง ผม ป็อปและร็อคถึงกับมองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เป็นการสื่อว่านี่คือคนที่พวกเรากำลังตามหา เสียงแหบๆแต่ก็มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ทำให้ป็อปเอ่ยปากชวนเข้าวงอย่างไม่รีรอ ตูนมองพวกผมงงๆเหมือนไม่แน่ใจและไม่ทันได้ตั้งตัว เราเลยบอกว่าตูนว่าอย่าเพิ่งคิดมากไว้วันว่างๆค่อยมาลองเทสดูก่อนก็ได้

    เรานั่งคุยกันเรื่องวงสักพักทะเลที่เพิ่งเล่นเจ็ทสกีเสร็จก็เดินตัวเปียกมานั่งข้างๆผม ผมหยิบผ้าขนหนูของทะเลมาคลุมให้อย่างเคยชิน ทะเลยิ้มและพูดคุยกับเพื่อนๆผมได้อย่างสนิทสนมด้วยนิสัยเข้ากับคนง่าย ผมนั่งมองรอยยิ้มที่มีลักยิ้มเล็กๆไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วถอนสายตาออกมา ก่อนจะสบสายตากับป็อปจากฝั่งตรงข้ามที่มองการกระทำของผมอยู่ ในสายตานิ่งๆนั่นผมไม่รู้ว่าป็อปคิดอะไร

    ป็อปรู้ว่าผมคิดยังไงกับทะเล รู้...แต่คงไม่เข้าใจ

    ในสายตานิ่งๆที่จับจ้องผสมปนเประหว่างความสงสัยกับความไม่พอใจ หรืออาจไม่ใช่ ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ ผมเสมองไปทางอื่นอย่างบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะคิดอะไรมากจากแววตาคู่นั้น

    ...

    คืนนี้เราก็นัดกันในห้องเดิมๆ หลังจากแยกย้ายกันที่หาดเราก็มาเจอกันที่นี่

    อะไรๆก็ดูเหมือนเดิมๆแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ผมโหมกระหน่ำบ้าคลั่ง เพราะสัมผัสของทะเลที่ผมจดจำมันแจ่มชัดในความรู้สึก การที่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม นอนเตียงเดียวกันทุกคืนทำให้การกระทำครั้งนี้มันรุนแรงไม่แพ้ครั้งไหนๆ ทุกสิ่งที่เก็บกลั้นถาโถมเข้าไปที่ป็อปอย่างไร้ความปรานี แรงจิกที่แผ่นหลังสร้างความเสียวซ่านจนไม่อาจผ่อนแรง

    ผมปล่อยเสียงครางออกมา และก่อนที่จะหลุดชื่อทะเลออกมาอีกครั้งป็อปก็คว้าคอผมไปจูบและขบกัดที่ริมฝีปากจนได้เลือด ผมผละออกจับสะโพกและกระแทกตัวเข้าลึก

    “บลู...มองกู" เสียงป็อปเรียกผมจากจินตนาการ ผมยังคงไม่สนใจและหลับตาอยู่อย่างนั้น

    จนรู้สึกได้ถึงแรงตบที่ใบหน้า
    “ลืมตา มองกูสิ!”

    ผมลืมตามองป็อปที่น้ำตากบตา

    “อึก กูเจ็บ"
    “.......”
    “อย่าคิดถึงคนอื่นได้ไหม"
    “.......”
    “มองกูบ้าง"

    ขณะที่ป็อปพร่ำพูดผมยังคงไม่หยุดการกระทำ แต่สายตาจ้องมองคนตรงหน้า

    “เรียกชื่อกูสิ"

    ผมก้มหน้าลงซบซอกคอ ป็อปโอบกอดตัวผม เราแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ช่วงเวลานี้ผมเลือกที่จะหลบตา

    “ป็อป...” ผมเอ่ยเรียกตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

    ทะเล ทะเล

    ได้แต่เรียกชื่อนี้อยู่ในใจ

    “บลู...รัก...”

    ทะเล

    “อึก...บลู...กูรักมึง..."
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ตลอดมา...ผมรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน
    เป็นสัตว์สังคมที่ไม่อาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
    หากอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะมีความรู้สึกที่เรียกว่า 'ความเหงา'

    เมื่อก่อนผมคิดแค่ว่าขอใครสักคน ใครก็ได้ที่เห็นผมมีตัวตน เพื่อที่จะให้เขากำจัดความเหงาที่ผมมี
    มาวันนี้...เมื่อมีคนๆนึงที่พร้อมจะรับทุกอย่างที่เป็นผม แต่ไม่ใช่คนที่ผมต้องการ
    ผมถึงเข้าใจ...

    บางทีความรู้สึกเหงาก็ไม่ได้เกิดจากการไม่มีใคร
    เพียงแค่คนๆนั้นไม่ใช่...จิตใจผมก็ยังคงว่างเปล่าและโดดเดี่ยวอย่างที่เคย



    Song Titles :  Fake Plastic Trees
    Artist : Radiohead


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×