ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทะเลในโลกสีฟ้า [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #18 : Closer

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      33
      21 ก.ค. 56

    -18-

    Closer



    แม้ผมจะไม่ได้พูดว่าอยากให้เขาอยู่แต่ผมก็คิดว่าทะเลรู้ความรู้สึกของผมดียิ่งกว่าใคร จนแล้วจนรอดผมก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวรั้งทะเลไว้ ผมมักจะเป็นแบบนี้เมื่อเป็นเรื่องของทะเล ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองเกินจำเป็นจนสับสนระหว่างความรู้สึกและเหตุผล แต่ที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้ผมไม่อาจทำตามความต้องการของตัวเองก็เพราะผมรู้ว่าไม่ว่ายังไงมันจะทำร้ายทะเลให้เกิดรอยแผลในจิตใจจากการหันหลังให้กับครอบครัวของตัวเอง

    เวลาเช้ามืดผมขี่มอเตอร์ไซค์เลียบชายหาดพาทะเลกลับบ้าน อากาศเย็นชื้นจากลมที่ปะทะหน้าทำให้คลายความง่วงไปได้บ้าง เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วที่ต้องจากกัน เรายืนนิ่งยื้อเวลาอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก บรรยากาศของการลาจากทำให้ผมหยิบบุหรี่่ขึ้นมาเพื่อหวังปลดปล่อยความเครียดที่มีอยู่แต่ทะเลเอื้อมมือคว้าไฟของผมไว้ก่อนที่ผมจะยกขึ้นจุด ผมมองตามไฟแช็คที่อยู่ในมือทะเลก่อนจะละสายตาขึ้นมองคนที่ถือมันไว้

    รอยยิ้มขี้เล่นที่ผมไม่นึกว่าจะได้เห็นปรากฎอยู่บนใบหน้าทะเล มันไม่ใช่รอยยิ้มหมองเศร้าที่มักเห็นและคุ้นเคยในช่วงนี้ แม้จะแปลกใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ทะเลเห็นผมยิ้มก็ทำให้ลักยิ้มยิ่งกดลึก ผมนั่งลงบนเบาะรถแล้วคาบบุหรี่เอาไว้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลืมเรื่องรบกวนใจเพียงแค่รอยยิ้มเดียวที่ผมอยากเห็นมาตลอด ทะเลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆดึงบุหรี่ออกจากปากผมแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากของตัวเอง

    “กว่าจะยิ้ม" ทะเลพูดเบาๆ เมื่อผละออกทะเลก็ยื่นบุหรี่ให้ผมคาบเหมือนเดิมแล้วจุดไฟให้
    “พี่บลูรู้ไหมว่าเลกลัวอะไรที่สุด" ทะเลถาม หย่อนไฟแช็คลงกระเป๋ากางเกงผม
    “อนาคต" ผมตอบคำตอบที่เป็นของผมเข้าไปแทนเพราะมันดูกว้างมากพอจะรวมคำตอบของทะเลเข้าไปด้วย
    “ไม่ใช่ เลไม่ได้กลัวอนาคต แต่เลกลัวความคิดของพี่" ผมขมวดคิ้วกับคำตอบ ทะเลจับมือผมแล้วสอดประสานนิ้วของตัวเองเข้ามาโดยไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม
    “ทำไมต้องกลัว"
    “เลเดาใจพี่ไม่ออก เลเข้าไปไม่ถึงเพราะพี่ชอบเก็บทุกอย่างไว้..."
    "....."
    "ก่อนหน้านี้เลไม่รู้ว่าทำไมพี่บลูถึงเข้าถึงยาก เราอยู่ด้วยกันแต่เลก็คิดว่าไม่ได้รู้จักพี่ทั้งหมด พี่ชอบทำในสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เหมือนจมอยู่กับอะไรบางอย่างที่เลไม่สามารถจะเข้าใจ...ถึงตอนนี้เลจะรู้สาเหตุ...แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพี่คิดอะไร...ไม่รู้ว่าพี่เจ็บแค่ไหนเวลาที่พี่ปกปิดมันเอาไว้ เลกลัวว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่มันจะทำให้พี่เจ็บจนสุดท้ายก็เลือกที่จะจบเรื่องของเรา" ทะเลพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆแบบเดิม
    “เลสำคัญกับพี่มากกว่าที่เลคิด" ผมบอก ดึงทะเลลงมานั่งตักแล้วกอดเอาไว้ "ไม่จำเป็นต้องกลัวสักนิด ถ้าพี่ทนไม่ไหวสิ่งที่พี่จะทำคือพาเลมาอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ตัดใจทิ้งไป"
    “งั้นเมื่อไหร่จะทนไม่ไหว" ทะเลถามทีเล่นทีจริง ไม่ได้รู้เลยว่าอยู่ใกล้จุดนั้นมากแค่ไหน
    “ใกล้แล้ว...” ผมเอ่ยความจริงที่อยู่ในใจ จากนั้นก็นั่งนิ่งมองออกไปตรงที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นกอดทะเลไว้ไม่ยอมปล่อยออกทั้งที่รู้ว่าถึงเวลาแล้ว
    “เดี๋ยวนี้ห้องพี่บลูเป็นห้องเลแล้วนะ เลนอนห้องพี่ตลอดเลย"
    “ยกให้" ผมพูดอู้อี้อยู่ตรงบ่าของทะเล
    “แต่ยิ่งอยู่ห้องนั้นก็ยิ่งคิดถึงพี่บลู..."
    “คอยฟังเสียงรถเอาไว้ ตอนดึกๆวันไหนที่ไม่ได้เล่นที่ร้านพี่จะมาหา"

    ทะเลยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เราจากกันด้วยความคิดที่ว่าอีกไม่นานคงได้เจอกันจึงทำให้ยิ้มได้ด้วยความหวัง ผมมองส่งทะเลเข้าบ้านและเดินลงชายหาดเพราะอยากสัมผัสกับผืนทราย ผมคิดถึงเจ็ทสกีของผม คิดถึงความรู้สึกอิสระ คิดถึงหลายๆอย่างของมันจนรู้สึกใจหาย ตอนนี้รอบๆด้านสว่างแล้วแต่ก็มีเพียงผมคนเดียวที่ชายหาดแห่งนี้ ผมเดินทอดน่องเพียงลำพังและซึมซับความรู้สึกที่คุ้นเคย ทรายและน้ำทะเลยังคงเป็นเพื่อนที่ผมพึ่งพายามเหงา มันไม่ได้ช่วยคลายเหงาแต่มันทำให้ความอ้างว้างของผมมีความหมาย ผมนึกถึงคำพูดของทะเลที่คุยกันก่อนหน้านี้ ที่ทะเลบอกว่ากลัวความคิดผม คำที่บอกถึงความแคลงใจในตัวผมทำให้รู้ว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรให้ทะเลมั่นใจได้เลยนอกจากคำพูด อะไรที่ผมจมอยู่มักฉุดรั้งให้ผมเลือกนิ่งเฉยแทนที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกหรือการกระทำออกมาเพราะผมเคยชินที่เก็บกดความรู้สึกเอาไว้

    ผมถอนหายใจ คิดอยากทำให้ทะเลสบายใจเมื่ออยู่กับผมเหมือนที่ผมสบายใจเมื่อได้อยู่กับทะเล ไม่ใช่ทำให้ทะเลคอยหวั่นใจกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและกลัวใจผมที่ดูเหมือนจะไม่เข้มแข็งพอ...

    เกือบชั่งโมงที่ผมเดินเหม่อลอยอยู่กับความคิดตัวเอง เมื่อเดินกลับไปที่รถผมก็หันกลับไปมองบ้านอย่างเคยชิน

    ผมมอง...เห็นบ้าน...กับคนๆหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น

    น้าวิทย์ยืนกอดอกนิ่งเหมือนรูปปั้นอยู่หน้าอู่ สายตาจับจ้องที่ผมแต่ก็ไม่ได้ใกล้พอที่จะเห็นแววตาและสีหน้าว่ากำลังเป็นแบบไหนหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ใด ตัวผมก็หยุดอยู่กับที่ไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นน้าวิทย์ก็หันหลังเดินเข้าบ้านทิ้งให้ผมได้แต่ยืนมองเพียงฝ่ายเดียว ผมไม่รู้ว่าน้าวิทย์ยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนและเห็นอะไรบ้าง   

    ผมปิดกั้นความคิดที่หลั่งไหลเข้ามาพยายามไม่คิดมากเกินจำเป็น ระยะเวลาเป็นสิบปีที่อยู่ด้วยกันมันอัดแน่นไปด้วยความทรงจำ ยิ่งกว่านั้นคือสิ่งที่เรียกว่าความผูกพัน

    ชั่วขณะที่เรายืนจ้องกันอยู่ในที่ไกลๆ...
    ผมไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกเศร้าเสียใจที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นความรู้สึกของผมหรือความรู้สึกของน้าวิทย์ที่ส่งมากันแน่...

    ...

    ถึงผมจะบอกทะเลว่าจะมาหาวันที่ไม่มีเล่นที่ร้านแต่ผมก็ไม่ได้ทำตามคำพูดซะทีเดียว ในวันถัดมาหลังจากเล่นเสร็จแล้วผมก็ตรงมาหาทะเลโดยหวังใจว่าทะเลจะได้ยินเสียงรถผมและชะโงกมองลงมา

    ตอนที่ผมไปถึงประมาณเกือบตีหนึ่ง ไฟในห้องของผมปิดเงียบ ผมจอดรถที่หน้าบ้านโดยที่ยังไม่ดับเครื่อง ปล่อยให้มันดังอยู่นานจนกว่าจะคิดถอดใจ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นความคาดหวังของผมเป็นจริงเมื่อได้ยินเสียงบานประตูและเห็นทะเลที่ก้าวออกมาอย่างระแวดระวัง ผมดับเครื่องแล้วนั่งลงตรงหน้าบ้านกับทะเลที่ตาปรือฟ้องชัดว่าผมเป็นคนปลุกให้ตื่น ถึงจะรู้สึกผิดอยู่หน่อยแต่ก็ดีใจที่ทะเลได้ยินเสียงรถผมแม้จะยังหลับอยู่

    วันนี้เราคงได้แต่นั่งกันอยู่ตรงนี้ เป็นแค่เพียงการพบหน้าให้คลายความคิดถึง ผมคิดว่าแค่ได้เห็นหน้าทะเลก็เพียงพอแล้วและไม่อยากที่จะเสี่ยงไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้น้าวิทย์จับได้ที่พาทะเลไปไหนต่อไหน ที่ได้เห็นท่าทีนิ่งเฉยของน้าวิทย์เมื่อวานผมก็ไม่อาจวางใจได้ว่าน้าวิทย์กำลังคิดอะไร

    ทะเลเอนหัวมาซบไหล่ผมนิ่งแต่ผมรู้ว่าทะเลไม่ได้หลับ เราแค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มีเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกันและความเงียบแค่นี้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ

    ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานี้มันช่างเรียบง่ายเหลือเกิน เรียบง่าย...เปราะบาง...เพียงแค่นั่งหายใจอยู่ข้างกันก็มีความหมาย

    เรานั่งอยู่แบบนั้นได้ไม่นานนักผมก็ต้องไล่ทะเลเข้าบ้านเพราะยุงข้างนอกนี่ทำให้ทะเลนั่งเกาจนแขนขาลายไปหมด แต่ทะเลกลับไม่สนใจยังคงนั่งกอดแขนผมทำทีไม่ได้ยินที่ผมพูด

    “เข้าบ้าน"
    “พี่บลูเพิ่งมา เลยังไม่อยากให้กลับเลย"
    “เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ ถ้าพี่มาหาได้จะมาทุกวัน" พอผมพูดแบบนั้นทะเลก็มองผมด้วยแววตาสดใส ไม่มีเค้าความง่วงอยู่อีกแล้ว
    “จริงนะ" ผมยิ้มให้ก่อนจะฉุดทะเลให้ลุกขึ้นแล้วไปส่งหน้าประตู


    ตั้งแต่นั้นการแอบนัดพบกันทุกวันเป็นสิ่งที่ผมตั้งตารอคอย แม้จะดึกดื่นแค่ไหนทะเลก็ไม่เคยให้ผมมาเก้อ พอได้ยินเสียงรถทะเลจะปลุกตัวเองเพื่อมาพบผมเสมอ จากครั้งที่ผมไล่ทะเลเข้าบ้านเพราะยุงเป็นเหตุหลังจากนั้นทะเลก็พกยากันยุงลงมาด้วย ให้เราอยู่ด้วยกันได้นานขึ้น ทะเลพูดแบบนั้นครั้งหนึ่งขณะที่ฉีดยากันยุงบนแขนผมแล้วทาให้ หลายครั้งของการพบเจอเราเพียงนั่งจับมือกันจนชื้นเหงื่อหรือแค่ซบอิงกันเท่านั้น แต่ถึงจะแค่นั้นผมก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เกี่ยวกันแน่นระหว่างเรา การแสดงออกยิ่งเรียบง่ายมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันลึกซึ้ง

    เป็นอีกด้านของความรักที่ดูบริสุทธิ์ นิ่งสงบแต่ก็อิ่มใจ

    หากผมหยุดอยู่นิ่งๆและมองดูดีๆก็จะพบว่าคนข้างๆผมก็ไม่เคยไปไหนไกลจากผมเลย ทะเลที่มักวนเวียนอยู่รอบตัวไม่เคยละความพยายามที่จะไล่ตามผม ทั้งเมื่อก่อนหรือแม้แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าความดำมืดที่ห่างไกลเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ทะเลเข้าหาผม เหมือนๆกับที่ผมถูกความอ่อนโยนของทะเลดึงดูด

    เวลาที่เราอยู่ด้วยกันแบบนี้มันทำให้ความรู้สึกนึกคิดของผมมีความเปลี่ยนแปลง ผมยังคิดอยากให้ทะเลมาอยู่ด้วยกันแต่ขณะเดียวกันผมก็รักช่วงเวลานี้ของเรา...รักที่มันบอกได้ว่าทะเลรักผมมากเช่นเดียวกับที่ผมรักเขา ภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอนสั่นคลอนจิตใจมีบางอย่างค่อยๆหยั่งรากลงในใจ

    ซึ่งผมและทะเลต่างก็รู้สึกได้เหมือนๆกัน

    ...

    เวลาล่วงเลยมาเกือบสามเดือนหลังจากที่ผมออกมาจากบ้านผมถึงได้รับการติดต่อจากเจ๊หนิง ดูเหมือนว่าน้าวิทย์จะไม่ได้บอกเรื่องที่ผมไม่อยู่ที่นั่นแล้วให้เจ๊รู้ถึงเพิ่งจะโทรมาหา เจ๊หนิงบอกว่าไปที่บ้านแล้วไม่เจอผมจึงถามกับน้าวิทย์แล้วค่อยทราบเรื่องราวทั้งหมด ผมรับรู้ความเป็นห่วงเป็นใยของเจ๊หนิงได้จากน้ำเสียง มันไม่ได้แตกต่างไปจากตอนที่ถามผมเรื่องพี่หญิงเลยสักนิดแม้จะรู้เรื่องของผมกับทะเลแล้ว เจ๊หนิงถามเรื่องราวคร่าวๆและนัดผมให้มาเจอกันในวันรุ่งขึ้น ถึงจะรู้ว่าเจ๊หนิงเป็นห่วงแต่ผมก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ว่าเจ๊หนิงจะบอกให้ผมเลิกยุ่งกับทะเลด้วยอีกคน แต่ผมก็แค่คิดไปอย่างนั้น ผมไม่ได้ปฎิเสธนัดแม้จะกังขาในเจตนาเพราะความรู้สึกอยากเจอเจ๊หนิงนั้นมีมากกว่า

    จุดนัดพบของเราเป็นร้านอาหารในห้างๆหนึ่งที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของคนที่นี่ ผมรอเจ๊หนิงในร้านอาหารมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาและเห็นเงาสะท้อนอันเลือนลางของตัวเองบนกระจก ผมสงสัยไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยว่าทำไมชีวิตของพวกเขาถึงดูมีความสุขกันนัก มันเป็นข้อสงสัยตั้งแต่เด็กๆเวลาผมมองเหล่านักท่องเที่ยวบนชายหาด ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่ ผมนั่งเงียบๆมองดูผ่านกระจกที่กั้นโลกของผมกับโลกของพวกเขาเอาไว้...

    เจ๊หนิงมาหลังจากเลยเวลานัดไปได้ไม่นาน หลังจากทักทายเจ๊หนิงก็บ่นถึงความวุ่นวายที่ร้านกว่าจะออกมาได้ให้ผมฟังยาวเหยียด ผมฟังด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย การฟังเรื่องของคนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ทำได้เพียงแต่นั่งฟังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากมาย เราสั่งอาหารและคุยกันเรื่องทั่วไปก่อนที่หัวข้อสนทนาจะมาถึงเรื่องหลักซึ่งก็คือเรื่องของผม

    “ทำไมบลูไม่บอกเจ๊ตั้งแต่ที่ออกจากบ้าน" เจ๊หนิงเปิดประเด็นถามด้วยอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ
    “ผมคิดว่าน้าวิทย์คงจะบอก แล้วผมก็ไม่อยากให้เจ๊ลำบากใจ"
    “เรื่องนี้เจ๊มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่แรก เป็นคนฝากบลูไว้กับวิทย์แต่ก็ไม่มีใครคิดจะบอกเจ๊สักคำ...แล้วยังไงตอนนี้...เล่าให้ฟังมาตั้งแต่แรกซิ"
    “ก็อย่างที่เจ๊รู้...ผมกับเลแอบคบกัน...แล้วน้าวิทย์ก็จับได้เพราะเทป...”
    “เลยอมบลูใช่ไหม...บลูไม่ได้บังคับน้องใช่ไหม" ผมรู้ว่าเจ๊หนิงกำลังคิดอะไรจึงได้แต่ยิ้มขื่นๆ
    “ผมรักเล...แล้วเลก็บอกว่ารักผม...เจ๊พอจะเข้าใจความเป็นไปได้ของมันไหม" เจ๊หนิงจ้องผมราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง ผมเบือนหน้ามองออกนอกหน้าต่างอีกครั้ง ความรู้สึกเศร้าจู่จับหัวใจ
    “ก็แค่ถามเพื่อความแน่ใจ ทำไมเจ๊จะไม่เข้าใจ...”
    “เจ๊หนิงว่ามันผิดไหม"
    “ถ้าถามเจ๊ เจ๊ก็ว่ามันไม่ผิด แต่คำตอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เจ๊ก็เข้าใจวิทย์ที่รับไม่ได้ สำหรับคนที่รับไม่ได้เขาก็เห็นเป็นอีกแบบ"
    “ผมไม่อยากให้การกระทำของเราที่น้าวิทย์เห็นเป็นตัวตัดสินแต่ผมก็อธิบายอะไรไม่ได้ ยิ่งผมพูดว่ารักเลน้าวิทย์ก็ยิ่งไม่อยากฟัง ผมไม่รู้ว่ามันผิดที่ตรงไหนสำหรับน้าวิทย์ ผิดที่ผมทำ...ผิดที่ผมรักเล...ผิดที่อดีตของผม...หรือผิดที่เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย"

    ความเงียบเข้าครอบงำเราหลังจากนั้น เจ๊หนิงเหมือนค่อยๆจมลึกอยู่ในความคิดของตัวเอง

    “วิทย์อาจจะมีเลือดของพ่อเข้มข้น...” เรากินข้าวกันเงียบๆสักพัก เจ๊หนิงก็พูดลอยๆขึ้นมา

    "บลูรู้ไหมว่าที่เจ๊เป็นอยู่นี้พ่อเจ๊ก็ไม่เคยยอมรับ การถูกคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ปฎิเสธตัวตนของเรามันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร จุดนี้เจ๊ก็ผ่านมันมาเหมือนกัน"
    “แล้วเจ๊ทำยังไง"
    “ก็มันเป็นสิ่งที่เราเป็นจริงๆถึงเขาจะยอมรับหรือไม่ยอมรับมันก็เท่านั้นในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้"
    “ใช่...มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้...ผมเคยพยายาม สุดท้ายก็เหมือนเดิม” เจ๊หนิงยิ้มเมื่อได้ยินผมพูด ยิ้มแบบมีเลศนัยให้ผมเกิดความรู้สึกเก้อเขิน
    “รักกันมานานแค่ไหนแล้ว"
    “ผมบอกไม่ได้หรอก...กว่าจะเป็นรักแบบนี้มันก็เป็นรักอีกแบบ"
    “บลูดูมีความสุขกว่าที่เจ๊เคยเห็น ถ้ามันเป็นเพราะเลจริงๆเจ๊ก็ว่าเรื่องของเรามันไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลย..." ผมรู้สึกอุ่นใจที่เจ๊หนิงพูดแบบนั้น เหมือนกับว่าเจ๊หนิงกับผมอยู่ในโลกด้านเดียวกันที่จะสามารถเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไร
    “ที่ผ่านมาผมนึกขอบคุณเจ๊ในทุกๆอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยากขอบคุณเจ๊หนิงที่สุดคือทำให้ผมได้เจอกับเล" แม้จะเคยรู้สึกกระดากอายจนไม่กล้าพูด แต่ครั้งนี้ความรู้สึกทั้งหมดมันทำให้ผมต้องพูดมันออกมา และผมก็แปลกใจว่าเมื่อได้พูดมันออกมาแล้วไม่ใช่ความอายที่ผมรู้สึก มันกลับเป็นความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเจ๊หนิงยิ้มรับคำขอบคุณของผมอย่างเต็มใจ

    เราคุยต่ออีกพักใหญ่ๆกว่าจะแยกย้ายกัน เจ๊หนิงพูดถึงแม่ให้ฟังบ้างแต่ผมก็คร้านที่จะสนใจ ผมว่าการที่ไม่มีแม่ในชีวิตของผมนั้นจะดีกว่า แม้ว่าผมจะไม่เหลือใครแล้วก็ตาม เจ๊หนิงเสนอความช่วยเหลือหลายๆอย่างแต่ผมก็ปฎิเสธ ผมเล่าให้ฟังว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนทำอะไรบ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเด็กผู้ชายที่เจ๊หนิงจำภาพนั้นไว้

    “เจ๊ดีใจที่เห็นบลูไม่เป็นไร...เรื่องของบลูกับเลเจ๊จะลองคุยกับวิทย์ให้ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรหลังจากนี้เจ๊ก็อยากให้บลูบอกเจ๊...จำไว้ว่าบลูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว"

    เจ๊หนิงพูดทิ้งท้ายก่อนที่เราจะจากลา ผมมองเห็นความหวังจากคำพูดของเจ๊หนิง...อนาคตที่มองไม่เห็นเมื่อมีแสงเล็กๆส่องเข้ามามันยิ่งใหญ่เสมอ...แม้ว่าแสงนั้นจะริบหรี่แค่ไหนก็ตาม

    ...

    ช่วงสอบเป็นช่วงที่ผมและทะเลตกลงกันว่าอาจจะไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เราต่างคนต่างใช้ชีวิตที่ไม่มีส่วนใดทับซ้อนกัน ส่วนใหญ่แล้วผมจะไปหาทะเลวันเสาร์อาทิตย์แต่ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ไม่นานอยู่ดี ผมมีงานที่แทบจะเรียกได้ว่าล้นมือ เวลาว่างที่ผมใช้สอนทำให้มีเวลาทำงานของมหาลัยน้อยลง การแบ่งสัดส่วนตรงนี้ยังไม่ลงตัวเลยยุ่งวุ่นวายอยู่พอสมควร

    มีบางครั้งบางทีเหมือนกันที่ผมอยากเจอทะเลจนทนไม่ไหวแล้วไปรับมาแม้จะเป็นวันธรรมดา ผมให้ทะเลมานอนที่ห้องแล้วตัวเองก็นั่งทำงานไปเหมือนกับว่าขอแค่ให้ได้อยู่ด้วยกันบ้างก็ยังดี ทะเลชอบลากหมอนมานอนข้างๆมองดูผมจนหลับไปทุกครั้ง ขอบเขตที่เราจะอยู่ด้วยกันยังคงเป็นตอนกลางคืนเสมอๆ ไม่ว่าน้าวิทย์จะรู้หรือไม่รู้ผมก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งไปมากกว่านั้น ผมไม่เคยเห็นน้าวิทย์อีกเลยตั้งแต่คราวที่น้าวิทย์ยืนอยู่หน้าบ้าน ทะเลเล่าให้ผมฟังว่าจนถึงตอนนี้น้าวิทย์ก็ยังไม่ยอมคุยกับทะเลเรื่องของผม ใจผมก็ไม่คิดเร่งรีบให้น้าวิทย์เข้าใจมันแต่ก็ยังคงหวังอยู่ว่าสักวันน้าวิทย์จะเข้าใจ

    ความสัมพันธ์ที่คล้ายจะสุขสมหวังแต่ก็ไม่ ทำให้ผมกับทะเลยิ่งจับมือกันให้แน่นขึ้น อารมณ์ต่างๆพัฒนาไปในทิศทางที่ทำให้ผมประหลาดใจ โดยไม่รู้ตัวผมก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานใจเมื่อไม่ได้มีทะเลอยู่ใกล้ๆอีกแล้ว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ช่วงเวลาที่วุ่นวายทำให้ผมอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้เหลียวมองอดีตและไม่ได้กังวลกับอนาคต

    ที่ๆผมอยู่เริ่มมีความทรงจำของทะเลเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา ทะเลจะจากไปโดยทิ้งกลิ่นเฉพาะตัวไว้บนหมอนและกลับมาใหม่เมื่อกลิ่นนั้นเจือจาง เมื่อเห็นผมมีเครื่องเสียงเก่าๆอยู่ทะเลก็ขนแผ่นเพลงที่เป็นของผมกับเพลงที่ทะเลชอบเอามาไว้ให้ หนึ่งในนั้นมีแผ่นที่เป็นเพลงที่ทะเลแต่งให้ผมด้วย ครั้งแรกที่ผมได้ฟังเพลงนั้นผมคิดว่ามันเป็นเพลงเศร้ามากกว่าที่จะเป็นเพลงรัก ทะเลบอกกับผมว่าผมให้ความรู้สึกที่เหมือนกับเพลงนี้...

    “ให้ความรู้สึกเศร้า...แต่ก็ละสายตาไม่ได้...เลรักความรู้สึกนั้นในตัวพี่บลู"

    คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มของทะเลทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกโอบกอด ผมไม่มีความรู้สึกว่าต้องการเป็นเจ้าของหรือครอบครองใดๆเหมือนแต่ก่อน ไม่จำเป็นเลย แววตาของทะเลบอกได้ว่าเขายังเป็นของผมตราบใดที่แววตานั้นมันยังไม่เปลี่ยนไป ผมพยายามแสดงออกมากกว่าที่เคยเพื่อให้ทะเลรับรู้ความรู้สึกของผมเช่นเดียวกัน ระหว่างเรามีทั้งความสุข แต่บางอารมณ์ก็ยังเจือปนด้วยความเศร้าและความเหงา อารมณ์ต่างๆพวกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว ความเหงาทำให้การพบเจอกับทะเลเต็มไปด้วยความสุขใจ และอดเศร้าใจไม่ได้ทุกครั้งเมื่อมีการจากลา

    หลังจากที่ทะเลผ่านพ้นช่วงสอบและปิดเทอมกลางภาคไปแล้วจึงค่อยถึงช่วงสอบของผม ทะเลเข้าใจที่ผมไม่ค่อยได้ไปหาและเป็นฝ่ายมาหาผมเองอยู่หลายครั้ง ทะเลใช้มอเตอร์ไซค์ที่เคยเป็นของผมออกมาหาโดยบอกน้าวิทย์ว่าออกมาซ้อมดนตรีกับเพื่อน แต่บอกน้าเพลงว่ามาหาผม ทะเลบอกว่าไม่อยากโกหกน้าเพลงและก็รู้ว่าน้าเพลงจะไม่ห้าม ยิ่งกว่านั้นน้าเพลงยังช่วยพูดกับน้าวิทย์ให้ปล่อยทะเลออกมาข้างนอกอีกด้วย บางทีผมก็อยากจะคิดว่าน้าวิทย์รู้เรื่องที่ทะเลออกมาแต่ก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ผมคิดไปแบบนั้น หนึ่งในนั้นก็คือเรีื่องที่เจ๊หนิงเล่าให้ฟังว่าคุยกับน้าวิทย์ให้ผมแล้ว...ที่เหลือก็ให้ผมรอดูผลของมันเอาเอง...


    วันนี้ทะเลมาหาผมเช้ากว่าทุกวันด้วยเหตุผลเดิมที่เคยบอกว่า ให้เราอยู่ด้วยกันนานขึ้น

    มันเป็นวันหยุดที่ผมว่างทั้งวันเพราะพรุ่งนี้ผมมีสอบ ผมงดสอนจนกว่าจะสอบเสร็จและไม่มีเล่นที่ร้าน ผมได้ใช้เวลาอยู่นิ่งๆอ่านหนังสือ อยู่กับทะเล เป็นโมงยามอันแสขสุข เสียงเพลงที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทขณะที่ผมอ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียดไม่ได้ทำให้ผมรำคาญหรือเสียสมาธิ ตรงกันข้ามผมกลับชอบเพราะมันทำให้ห้องไม่เงียบเหงาจนเกินไป ทะเลนั่งพิงกับเตียงเล่นกีตาร์เบาๆอยู่เป็นเพื่อน บรรยากาศตอนกลางวันทำให้นึกถึงตอนอยู่ที่บ้านด้วยกันแบบนี้ทุกๆช่วงปิดเทอม

    เสียงเพลงเงียบลงพร้อมๆกับที่ผมพักสายตา ผมคลานไปหาทะเลแล้วพาดหัวลงนอนตักหลับตา สัมผัสของนิ้วทะเลไล้บนหน้าผมเบาๆให้ความรู้สึกสบายจนไม่อยากทำอะไร แค่ทะเลอยู่กับผม ที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้าน และไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ขอแค่มีทะเลอยู่มันก็จะเป็นบ้านสำหรับผม

    “ถ้าสอบเสร็จแล้วเราไปเที่ยวกันไหม" ทะเลถามพร้อมกับแนบฝ่ามือเข้าที่แก้มผม ผมยิ้มเพราะรู้สึกชอบน้ำเสียงติดจะอ้อนของทะเลที่ใช้ถาม
    “เลอยากไปไหน" ผมลืมตามองหน้าทะเลที่กำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
    “ไปไหนก็ได้ ไกลๆ...”
    “พี่อยากไปทะเล"
    “ไม่เบื่อเหรอเห็นทุกวัน" ผมจ้องหน้าทะเลสักพักก่อนจะส่ายหน้า
    “ไม่เบื่อ"
    “ทำไมพี่บลูถึงชอบทะเล..." คำถามแปลได้สองความหมาย แต่ผมก็รู้ว่าทะเลถามออกมาในความหมายเดียว
    “อธิบายยากมันเป็นความรู้สึกตั้งแต่เด็กๆ แต่ที่อยากไปเพราะอยากเห็นทะเลที่อื่นบ้าง ที่ๆมันใสกว่านี้"
    “ไปสิ เลไปที่ไหนก็ได้"
    “แล้วจะบอกน้าวิทย์ว่ายังไง"
    “ก็บอกว่าไปเที่ยวกับเพื่อน ปิดเทอมครั้งที่แล้วเลก็ไปเที่ยวกับพวกก้าน พ่อกับแม่ก็ให้ไปไม่เห็นเคยว่าอะไร"

    จริงๆแล้วผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนมากมายนัก ที่ๆเราอยู่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวผมจึงไม่เห็นความจำเป็นหรือคิดอยากไปไหนเท่าไหร่ มีบางทีที่น้าวิทย์กับน้าเพลงพาไปเที่ยวตอนที่เรายังเด็กๆเหมือนกัน แต่มันก็นานมาแล้ว ด้วยความที่เราเป็นผู้ชายพอโตมากพอที่จะไปไหนเองได้ทั้งสองก็เลิกพาเราไปเที่ยวไปโดยปริยาย กับเพื่อนก็มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่วางแผนไปเที่ยวกันจริงจังซึ่งผมก็ไปบ้างไม่ไปบ้างตามอารมณ์

    มาคราวนี้ไม่มีเหตุผมอะไรที่จะตอบปฏิเสธ...ผมตอบตกลงกับทะเลว่าจะพาไปเที่ยวหลังสอบเสร็จเพราะเกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ผมแค่อยากไปที่ไหนก็ได้ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับทะเล...

    อีกครั้งที่ทะเลเผยรอยยิ้มดีใจเมื่อผมรับปาก ดูน่ารักไร้เดียงสาเหมือนตอนหกขวบไม่มีผิด หากเป็นไปได้ผมอยากจะทำให้ทะเลยิ้มได้แบบนี้ตลอดไป เพราะยิ้มของเขาที่ทำให้โลกของผมสดใสได้แม้จะรู้สึกเจ็บปวด ผมลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปจับใบหน้าทะเลไว้ รอยยิ้มของทะเลค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเมื่อผมกดนิ้วไล้หัวแม่มือไปบนริมฝีปาก พอมันขึ้นสีแดงเข้มขึ้นผมจึงแตะริมฝีปากตัวเองลงไปเบาๆ ซ้ำๆ

    และเหมือนกับทุกครั้งที่มันไม่เคยพอ ผมกระเถิบเข้าใกล้...กดจูบดูดดื่ม

    เมื่อให้ความรู้สึกซาบซ่านจนพอใจแล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอนตักทะเลเหมือนเดิมและหลับตา ผมงีบหลับไป ตกเย็นถึงค่อยตื่นขึ้นมาและพบว่าในห้องไม่มีใคร

    มีเพียงกระดาษโน๊ตที่ทะเลเขียนทิ้งไว้

    ขอโทษที่กลับก่อนแล้วไม่ได้ปลุกบอกแม่ไว้ว่าจะกลับเร็ว
    เลซื้อข้าวมาไว้ให้ ตื่นแล้วกินด้วยนะ
    แล้วเจอกันวันสอบเสร็จ
    เลจะมารอที่นี่...




    Song Titles : Closer
    Artist :  Travis

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×