ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทะเลในโลกสีฟ้า [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #13 : แต่เพียงผู้เดียว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.79K
      34
      26 เม.ย. 56

    -13-

    แต่เพียงผู้เดียว



    ทะเลใส่เสื้อสีฟ้าตัวโปรดนั่งเล่นกีตาร์อยู่ในห้องของผม เป็นภาพชินตาที่ผมสามารถนอนมองได้ไม่มีเบื่อ ทะเลกำลังแต่งเพลงและทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับมัน ไม่มีวอกแวกไขว้เขว อยู่ในโลกส่วนตัวราวกับผมเป็นอากาศ แต่ผมกลับชอบให้เป็นแบบนี้ เหมือนอยู่ในโลกที่มีกันเพียงสองคน ไม่มีใคร ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ต้องคิดถึง

    ผมแค่ถือหนังสือเอาไว้ในมือ แต่สายตาไม่ได้จดจ้องอยู่ที่มัน ไม่เลย เวลาไหลไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงผมก็ไม่อาจรู้ จนในที่สุดทะเลเลิกสนใจกระดาษโน๊ตและกีตาร์เงยหน้าขึ้นมองผม

    และเราก็ยิ้มให้กัน

    พรุ่งนี้ทะเลก็เปิดเทอมแล้ว คงไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันแบบนี้อีกบ่อยๆ ทะเลมองผมเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร หรือบางทีทะเลก็คงคิดเหมือนๆกันจึงทำหน้าหงอยๆออกมา ทะเลเอาคางมาเกยกับเตียงที่ผมนอนอยู่ เมื่อผมยกมือขึ้นลูบหัวทะเลก็กลับตาพริ้ม

    “ไปขี่เจ็ทกัน" ผมชวนและทะเลก็พยักหน้าตกลงโดยที่ยังไม่ลืมตา

    เราลงมาข้างล่าง ช่วยกันลากเจ็ทสกีไปที่หาด ผมขี่พาทะเลซ้อนไปด้วยกัน ไปให้ห่างไกลจากผู้คนจนแทบไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา รอบด้านมีแค่ผืนน้ำ

    มีแค่ทะเล...กับผม

    นานแล้วที่ผมไม่ได้พาทะเลซ้อนมาด้วยกันเหมือนตอนทะเลเด็กๆ ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้จึงต่างกัน ช่วงที่ได้เจ็ทสกีใหม่ๆผมก็พาทะเลออกมาขี่เล่น ชอบแกล้งขี่เร็วๆส่ายไปมา มันทำให้ผมหัวเราะได้ทุกครั้งที่ทะเลตะโกนบอกว่า 'พี่บลูขี่ช้าๆ ขี่ช้าๆ' ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถึงทะเลจะกลัวแต่ก็ไม่วายขอให้พาขี่เล่นตลอด จนเมื่อผมเริ่มขี่มันจริงจัง และทะเลโตมากพอที่จะขี่เองแล้วผมก็ไม่ได้พาออกมาอีก

    ผมชะลอเครื่องก่อนจะหยุดจอดนิ่งๆ ทะเลปล่อยสองแขนที่โอบรอบเอวผมออก ผมลุกขึ้นแล้วนั่งหันหน้าเข้าหาทะเล รอบๆด้านที่ไม่มีใคร มีแค่เราสองคน ท้องฟ้าและทะเล ทำให้ผมคิดทำสิ่งที่อยากทำ  ผมดึงทะเลเข้ามาใกล้ๆจนขาเราเกยซ้อนกัน ใบหน้าของทะเลอยู่ใกล้จนผมเห็นละอองน้ำเล็กๆเป็นประกาย

    ตาใสๆจ้องมองผมเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ยังแกล้งอยู่เฉย ผมยิ้มมุมปากเมื่อทะเลยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แตะริมฝีปากเข้ากับผมเบาๆ แล้วถูจมูกไปมากับจมูกผมพร้อมรอยยิ้ม ผมรั้งเอวทะเลเข้ามาแล้วเป็นฝ่ายรุกเข้าหาเมื่อเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง

    บนเจ็ทสกีที่ไหวคลอนตามแรงคลื่น ริมฝีปากของเราทั้งสองบดเบียดกันครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่อยากหยุด ทะเลก็ไม่อยากหยุด มีเพียงสิ่งเดียวที่อยากหยุดคือเวลา...

    เป็นครั้งแรกที่ผมอยากหยุดทุกสิ่ง หยุดคิดถึงอดีตที่ขมขื่น หยุดคิดถึงอนาคตที่ไม่แน่นอน

    แต่ระหว่างที่คิดอยู่นั้น เวลาก็กำลังดำเนินไป...ดำเนินไป...ต่อให้ต้องการแค่ไหนก็ไม่มีใครหยุดมันไว้ได้

    ...

    ทันทีที่ทะเลเปิดเทอมจิตใจผมก็ไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุข

    ผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ชอบมองไปถึงสิ่งร้ายๆที่อาจเกิด หรือบางทีมันอาจเรียกอีกอย่างว่าความกลัว...
    ผมได้แต่มองทะเลก้าวเท้าเข้าโรงเรียนไปจนลับสายตา แล้วก็ได้แต่คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น  มันเป็นเขตแดนที่ผมไม่สามารถก้าวเข้าไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับทะเลและก้านผมก็ไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่นึกหวั่น แม้จะรู้ว่าทะเลมีใจให้กันแต่ก็ใช่ว่ามันจะลบความทรงจำนั้นออกไปได้ทันที ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ผมเจ็บและฝังใจมันก็ยิ่งฝังแน่นและแจ่มชัด

    หลังจากส่งทะเลที่โรงเรียนผมกลับมาบ้านแล้วทิ้งตัวลงนอน พยายามหักห้ามจิตใจที่ว้าวุ่นให้สงบลง กลิ่นของทะเลที่ยังอยู่รอบๆตัวทำให้ผมนึกถึงเจ้าตัวที่กอดไว้ทุกคืน ตั้งแต่ช่วงที่เกิดเรื่องจนเข้าใจกัน เปิดเผยความรู้สึกของกันและกัน  เราก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ด้วยกัน สำหรับผมมันเหมือนความฝัน ฝันที่มีทะเลอยู่ในอ้อมกอด ผมไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถเป็นจริง ไม่เคยคิดว่าทะเลจะรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึก ทุกครั้งที่ทะเลมองผมอย่างเปิดเผยความรู้สึกต่อทะเลมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที

    ผมหลับตาลงและจินตนาการ อีกครั้งที่คิดถึงทะเล ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามใจอยาก ไม่ว่าทะเลจะเคยหรือไม่เคยกับใครผมก็ยังไม่อยากทำร้ายเขาอยู่ดี ผมมันขี้ขลาดและไม่กล้าพอเพราะยังกลัวผลที่จะตามมา ทั้งที่ในด้านมืดส่วนที่ลึกที่สุดของผมนั้นอยากจะกดทะเลเอาไว้ อยากได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานและเรียกแต่ชื่อผม...ณ ขณะที่ผมนึกคิดถึงสัมผัสและปลดปล่อยตัวเองอยู่นี้ ผมก็คิดว่าความอดทนของผมมันคงจะสิ้นสุดลงเร็วๆนี้ เพราะยิ่งผมอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน...มันก็เหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง...

    จนใกล้จะถึงศูนย์



    ช่วงบ่ายที่แดดร้อนแผดเผา ผมมาหาป็อปกับร็อคเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ผมเห็นรถของร็อคจอดอยู่หน้าตึกก็คิดว่ามันคงอยู่ตามคาด ที่นี่นอกจากจะเป็นห้องซ้อมดนตรีแล้วตอนนี้ยังเป็นโรงเรียนสอนดนตรีควบคู่กันไปด้วย มันจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่ ตามหาตัวไม่ยากนัก

    ผมขึ้นมาหาที่ห้องซ้อมประจำของเราก่อน เปิดเข้าไปก็เจอร็อคกับตูน ผมไม่แปลกใจที่เห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ เพราะผมรับรู้ความเปลี่ยนแปลงเงียบๆระหว่างทั้งสองและดูท่าคงจะพัฒนาไปไกลจากที่เห็นอยู่ในตอนนี้

    ริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันเป็นไปอย่างเนิบช้า มีเพียงเบสที่ร็อคถืออยู่เป็นตัวกั้น ไม่มีใครรู้สึกตัวสักนิดว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้และผมก็ไม่อยากให้พวกมันรู้จึงถอยออกมาเงียบๆ

    ผมนั่งอยู่ที่เดิมๆหน้าตึกและปล่อยควันล่องลอยฆ่าเวลา ไม่รู้ว่าตอนนี้ป็อปอยู่ที่ไหน เดินหาทั่วตึกแล้วก็ไม่เห็นเจอ จะขึ้นไปถามร็อคก็ไม่รู้จะขัดจังหวะอะไรมันอีกหรือเปล่า

    “พี่บลูทำไมมานั่งอยู่นี่ ไม่ขึ้นไปข้างบน" แจ๊สที่เพิ่งมาถามแล้วก็นั่งลงข้างๆกัน
    “ป็อปไปไหนรู้ไหม"
    “ที่บ้านไม่เห็นนะ นึกว่าอยู่นี่ซะอีก"
    “ไม่อยู่ พี่หาแล้ว"

    สิ้นคำพูดแจ๊สก็นั่งเงียบๆ เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมาได้แต่นั่งถอนหายใจ ผมคิดว่าก็คงไม่พ้นเรื่องของผมกับป็อป เพียงแต่แจ๊สไม่กล้าถามตรงๆออกมาเหมือนร็อคก็เท่านั้น ผมเลยเลือกเป็นฝ่ายที่จะถามแจ๊สออกมาเอง

    “ช่วงนี้ป็อปเป็นไงบ้าง"
    “พี่บลูอยากได้คำตอบแบบไหน"
    “ตรงๆ"
    “เป็นห่วงเหรอ" คำถามที่เหมือนประชดทำให้ผมหันไปมองแจ๊สและเห็นความไม่พอใจอยู่ในนั้น “แจ๊สไม่รู้เรื่องอะไรมาก พี่ไปถามพี่ร็อคเถอะ" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าตึกไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นร็อคก็ลงมาแล้วเรียกผมให้ขึ้นไปห้องซ้อมด้วยกัน

    “หายไปนานเลยนะมึง แขนหายรึยัง"
    “ไม่เป็นไรแล้ว"
    “มึงจะไม่บอกกูจริงๆเหรอว่าโดนอะไร"
    “หายแล้วก็ช่างมันเถอะ"

    ร็อคมองผมเหมือนเข้าใจว่าผมไม่อยากเล่า ผมมองตูนกับร็อคสลับกันแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมา ดูตูนมันจะร้อนตัวขึ้นมาก็รีบแก้ตัวกับผมไปน้ำขุ่นๆ

    “กูนึกว่าวันนี้มีซ้อม...”

    ผมอยากจะบอกมันว่าไม่เห็นต้องแก้ตัวแต่ก็พยักหน้าตามที่มันบอก เราคุยกันพักนึงตูนก็บอกกว่าจะกลับหอร็อคมันก็เลยลงไปส่งข้างล่างแล้วกลับขึ้นมาคุยกับผมต่อ

    “พี่กูมันเกือบไปไม่รอดนะที่มึงทิ้งมัน" ร็อคเปิดประเด็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
    “แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง"
    “รอยสักเต็มตัวมันแล้ว"
    “.......”
    “กูก็คิดแล้วว่าสักวันจะต้องเป็นแบบนี้ กูบอกให้ป็อปตัดใจจากมึงมาตั้งนานแล้ว แต่มันฟังที่ไหน"
    “...กูเคยคิดว่าอยู่กับป็อปอาจจะดีก็ได้ "
    “แต่กูกลับคิดว่ามันจะดีได้ยังไงในเมื่อมึงไม่ได้รักมัน"
    “มึงจะโกรธ...กูก็ไม่ว่า...”
    “ถ้าจะโกรธมึง ก็ต้องโกรธป็อปด้วย...โทษแต่มึงได้ยังไง”

    ถึงร็อคจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังรู้สึกผิด ตลอดเวลาผมก็รู้สึกผิด เมื่อผมตัดสินใจปล่อยป็อปไปก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและควรจะทำมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ป็อปเจ็บก็จริงแต่อีกไม่นานเมื่อป็อปตัดใจได้ผมก็หวังให้เขามีความสุข...ผมหวังให้เขามีความสุขจริงๆ

    “แล้วตอนนี้มึงกับเล...เกินพี่น้องธรรมดารึยัง"

    ผมนิ่งเงียบก่อนจะตัดสินใจบอกไปว่าความสัมพันธ์เราเป็นแบบไหนและดูร็อคก็ไม่ได้แปลกใจ เหมือนรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ การได้คุยกับร็อคมันดูง่ายและสบายใจจนผมบอกความรู้สึกกังวลที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างทะเลกับก้านออกไป ผมเล่าแค่ว่าก้านเคยบอกว่าจะแย่งทะเลไปจากผม ไม่ได้เล่าถึงคืนนั้นของทั้งสองที่ทำให้ผมเจ็บเจียนตาย

    ร็อครับฟัง ครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม

    “บลู...มึงกับเลไม่เหมือนพี่น้องธรรมดามาตั้งนานแล้ว รู้ตัวรึเปล่า"ผมไม่ตอบแค่ส่ายหน้า

    “ความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่มีใครมาแทรกได้ง่ายๆหรอก...คนที่เจ็บต่อจากพี่กูก็ไอ้ก้านนั่นแหละ"

    ...

    จากคำพูดของร็อคทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด

    ทุกๆวันที่ผมไปรับไปส่งทะเลผมจะเห็นก้านมาคอยหรือเดินมาด้วยกันทุกครั้ง ทะเลที่เห็นสีหน้าผมก็พยายามบอกให้ผมมั่นใจบ่อยครั้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆระหว่างที่อยู่ที่โรงเรียน เมื่อผมเห็นตาใสๆที่จ้องมองเหมือนอยากให้เชื่อว่าไม่ได้โกหกผมก็คิดเชื่อ

    ผมเชื่อว่าทะเลไม่ได้คิดอะไร แต่ก้านคงคิดไปอีกอย่าง

    ก้านมองผมอย่างท้ายทายเหมือนๆกับที่ผมมอง เราต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
    ผมมีความคิดของผมที่ว่า...ทะเลรักผม...ยังไงทะเลก็เป็นของผม
    ก้านก็เหมือนจะมีความคิดของก้านที่ว่า...ทะเลเคยเป็นของก้าน...นั่นทำให้ทะเลเป็นของก้าน


    ไม่นานหลังจากที่ทะเลเปิดเทอมตัวผมเองก็ได้เวลาไปเรียนบ้างเหมือนกัน มันเป็นช่วงที่ยุ่งวุ่นวาย ผมยังจำได้ดีว่าปีที่แล้วเกลียดกิจกรรมแค่ไหนปีนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น มันทำให้ผมไม่มีเวลาไปไหนหรือทำอะไรได้ตามใจคิด ผมจำต้องปล่อยให้ทะเลกลับบ้านเองบ่อยๆ เมื่อผิดนัดเข้าหลายๆครั้งก็ดูเหมือนทะเลจะชินเสียแล้วที่ต้องกลับเอง ผมพูดเป็นเชิงร้องขอกับทะเลว่าอย่าให้ก้านเป็นคนไปรับไปส่งแทนผม และทะเลก็ทำตามนั้นเพื่อให้ผมสบายใจ ผมจึงค่อยวางใจ

    ผมวางใจ...เชื่อใจจนเกินไป...จนบางทีเมื่อเห็นภาพที่ไม่ควรจะเป็นก็รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง...

    ในช่วงก่อนรับน้องและช่วงที่ต้องไปรับน้องสามวันผมแทบจะไม่ได้เห็นหน้าทะเลหรือคุยกันมากนัก มันเป็นช่วงยุ่งๆที่ผมไม่ได้คิดอะไรมากมาย ถึงจะคิดถึงทะเลแต่มันก็แค่สามวัน สิ้นสุดจากกิจกรรมนี้ผมก็จะได้ช่วงเวลาที่สงบสุขคืนมาดังเดิมทำให้ผมนึกดีใจและกลับบ้านมาด้วยความปลอดโปร่ง

    ในตอนที่ผมกลับถึงบ้านทะเลยังไม่กลับมาจากโรงเรียน ผมจึงเก็บของแล้วมานั่งคอยอยู่ในสำนักงานเพราะรู้ว่าอีกเดี๋ยวทะเลก็คงจะมา ไปรับตอนนี้ก็คงไม่ทัน ไม่นานหลังจากนั้นทะเลก็กลับมาตามที่คาดกับคนที่ผมไม่คาดว่าจะเห็น

    เพราะผมได้บอกทะเลแล้ว...ขอร้องกับทะเลแล้วว่าอย่าให้เพื่อนคนนี้มาส่งอีก

    ทำไมทะเลถึงยังทำ

    ผมนั่งมองการกระทำของทั้งสองคนนั้น มองพวกเขายิ้มให้กัน มองพวกเขาคุยกันด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในอก จะเป็นใครผมก็ไม่ว่าทั้งนั้น...ทำไมต้องเป็นก้าน

    การที่เห็นก้านยกมือขึ้นลูบหัวทะเลเบาๆเป็นการบอกลาทำให้ความอดทนของผมสิ้นสุด

    ผมลุกขึ้นแล้วออกมาจากสำนักงานขึ้นมาบนห้องตัวเอง ทะเลร้องทักผมแต่ผมไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะหันไปมอง อารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นมามันเดือดเกินกว่าจะห้ามได้ ผมคิดไปต่างๆนานาว่าในสามวันที่รู้ว่าผมไม่อยู่ทะเลจะให้ก้านมาส่งทุกวันรึเปล่า หรืออาจจะมาก่อนหน้านั้นในวันที่ผมกลับดึกๆก็ได้

    ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนจะคลุ้มคลั่ง

    แผลในใจก็ยังคงเป็นแผลในใจ ผมไม่สามารถห้ามใจไม่ให้คิดได้เลยจริงๆ

    “พี่บลู...”ทะเลเรียกผมจากข้างนอกห้อง ผมไม่ได้ตอบอะไร พยายามนอนสงบจิตใจอยู่บนเตียง แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่คิดเมื่อทะเลเปิดประตูเข้ามา

    “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่" ทะเลถามและนั่งลงบนเตียงในขณะที่ผมนอนจ้องเพดาน ผมรู้ว่าทะเลมองผมอยู่และคงจะกำลังคิดแก้ตัว

    “โกรธเหรอ...”
    “มันไม่มีอะไรจริงๆนะ ก้านแค่มาส่งเฉยๆแค่นั้นเอง"

    กี่ครั้งกี่ครั้งก็พูดแบบนี้! ทะเลไม่คิดแต่มันคิด ทำไมถึงไม่เข้าใจ
    “หึ ต้องให้นอนกันอีกรอบหรือไงถึงจะบอกว่ามีอะไร"
    “.........”
    “ว่าไง หรือทำกันไปแล้วแต่พี่ไม่รู้"
    “เลไม่เหมือนพี่...กับพี่ป็อปหรอกนะ"
    “ใช่...ไม่เหมือน เพราะของพี่มันจบไปแล้ว...แต่เลไม่"
    “พี่บลู! ทำไมถึงไม่เชื่อเลว่ามันไม่มีอะไร!”
    “ก็เห็นๆกันอยู่"
    “ทำไมพี่เป็นแบบนี้...”

    ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ผมถามตัวเอง...
    คำตอบที่ชัดแจ้งในใจก็คือกลัวจะโดนแย่งไป...กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก

    ถ้าจะให้เป็นแบบนั้น...ผมคงทำใจไม่ได้อีกแล้ว

    ผมลุกขึ้นนั่ง จ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความไม่พอใจของทะเล ยิ่งเห็นแบบนั้นอารมณ์ผมยิ่งเดือด ผมกดทะเลลงนอนก่อนจะคร่อมทับไว้ ทะเลมองผมด้วยแววตาตื่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็น ผมไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ ตอนนี้ผมทั้งโกรธและกลัว...กลัวตัวเอง...กำลังกลัวความคิดของตัวเอง

    ไม่อยากจะทนต่อไปแล้ว จะเป็นยังไงก็ช่าง!

    ผมบดจูบรุนแรงเข้ากับริมฝีปากของทะเล จูบด้วยอารมณ์ทุกอย่างที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้จนรู้สึกได้ถึงรสคาวของเลือด ทะเลที่อยู่ข้างใต้แม้จะพยายามต่อต้านด้วยความกลัวแต่ก็ไม่เป็นผล

    ผมปลดเข็มขัดของทะเลออก เอามามัดมือทั้งสองไว้บนหัวเตียงแล้วก้มลงจูบอีกครั้งพลางปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของทะเลไปด้วย เมื่อเห็นแผ่นออกที่อยู่ตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะโลมเลียและขบกัดอย่างกระหาย ทะเลร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่เสียงของความเจ็บนั้นเหมือนกระตุ้นอารมณ์ผมให้โหมแรงยิ่งขึ้น

    กับคนที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่อยากเฝ้าฝัน...ไม่อยากจินตนาการอีกแล้ว

    ผมลุกขึ้นไปล็อคห้อง เดินกลับมาที่เตียง ถอดเสื้อตัวเองออกแล้วโถมทับทะเลเอาไว้ ก้มลงซุกหน้ากัดที่ซอกคอและตามตัว ทั้งสัมผัส ทั้งรสชาติของทะเลให้ความรู้สึกหวามไหวจนต้องฝากร่องรอยเอาไว้ในทุกๆที่

    “พี่บลู...เลเจ็บ"
    “เลขอโทษ...”

    ผมไม่สนใจคำที่ทะเลบอก ได้แต่จ้องร่างตรงหน้าและปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนล่างของทะเลออกจนหมด ทะเลพยายามห่อตัวเพื่อปกปิดสิ่งนั้นเอาไว้ ผมจึงดึงข้อเท้าของทะเลให้แยกออกแล้วแทรกตัวเองเข้าไปตรงกลาง

    สองมือของทะเลที่ถูกมัด ร่องรอยขบกัด และร่างเปลือยเปล่าทำให้ผมเกิดความต้องการอย่างรุนแรง อยากจะฝังกายลงไปซะเดี๋ยวนี้

    ผมใช้นิ้วกดลงไปในนั้นเพียงไม่นานก่อนจะพยายามแทรกกายเข้าไป ทะเลหอบหายใจหนัก ความเจ็บปวดจากสีหน้าของทะเลนั่นยิ่งเร้าอารมณ์

    ผมจ้องมอง ไม่อยากแม้แต่จะกระพริบตาขณะที่กดเข้าไปอย่างช้าๆ

    ใช่ ทรมานเข้า

    ทะเลกัดปากเอาไว้เหมือนไม่อยากจะร้องออกมา ผมจึงบีบสองข้างแก้มไม่ให้ทะเลกัดมันอีกและปล่อยเสียงร้องให้ผมได้ยิน เสียงแผ่วเบาในลำคอที่เล็ดลอดออกมาทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงบดขยี้ริมฝีปากนั้นพร้อมๆกับกดกายเข้าไปจนสุด

    “ทะเล...”

    ผมเรียกแล้วกระแทกตัวเข้าซ้ำๆ จ้องมองสีหน้าเจ็บปวดและน้ำตา ยิ่งเจ็บปวดผมก็ยิ่งกระทำรุนแรง อารมณ์ตอนนี้บ้าคลั่งยิ่งกว่าพายุ มันเต็มไปด้วยตัณหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น

    ผมสงสัยว่าความหวงแหนและอยากครอบครองนี้...ความสุขระคนเจ็บปวดนี้...ใช่ส่วนหนึ่งของความรักด้วยหรือเปล่า

    ทำไมทรมานเหลือเกิน...

    ข้อมือเริ่มแดงช้ำ สองขาที่พาดอยู่บนบ่าโยกไหวตามแรงกระแทก

    ยิ่งผมทำก็เหมือนบางสิ่งบางอย่างในตัวผมแตกร้าว ผมรู้สึกได้...รู้สึกได้ว่ากำลังทำลายสิ่งที่เฝ้าถนอมมา

    กำลังทำลาย...ทำร้ายคนที่รัก...แต่ก็หยุดไม่ได้...ผมหยุดไม่ได้

    “พี่บลู...เลรักพี่บลู...” ทะเลบอกผมพร้อมกับเสียงสะอื้น ผมเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดออก คว้ามือทะเลมาจับเอาไว้แล้วบีบแน่น ทะเลเอื้อมมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดหน้าให้ผม นั่นทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้

    “เชื่อเลนะ เลรักแต่พี่บลูจริงๆ" น้ำตาผมที่ไหลลงมาอีก ทะเลก็ไล้นิ้วเช็ดให้เบาๆ เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนที่สุดและกระทบกระเทือนจิตใจที่สุด ผมจับมือข้างนั้นมาจูบอย่างทะนุถนอม

    “ขอโทษ...” ผมบอกแล้วผ่อนจังหวะลงเนิบช้า ทะเลโอบสองแขนไว้กับคอผมแล้วดึงเข้าไปจูบ เป็นจูบที่ทั้งเร่าร้อนทั้งอ่อนหวาน

    “รัก...เล...รักทะเล”
    “พี่...บลู...อะ..”

    เราต่างเรียกชื่อกันและกันอย่างไม่รู้จักพอ ผมรู้ได้ว่ามันไม่ใช่แค่เซ็กส์กับคนๆนี้ ผมรู้สึกอิ่มเอมทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อผม แค่เขากระซิบชื่อผมข้างหูผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว อยากได้ยินอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    จังหวะกายไม่ได้รุนแรงเท่าที่ควรจะเป็น แต่มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็น

    เขาเป็นของผมแล้ว...ทะเลเป็นของผมแล้ว...

    แม้ผมจะทำร้ายทะเลกี่ครั้ง ทะเลก็ยังมอบความอ่อนโยนให้ผมเสมอ เขาเป็นคนเปลี่ยนผม เป็นคนเดียวที่สามารถทำได้

    ผมมองทะเลที่โอนอ่อนผ่อนตามไปตามจังหวะ ช่างดูไร้เดียงสา...
    ดูน่ารักจนอยากถนอมเอาไว้

    ช่วงเวลานี้...ผมมีความสุขจนสามารถหลั่งน้ำตา

    ลึกๆข้างใน








    ผมหวังอยากให้จิตใจที่บิดเบี้ยวของผม...กลับคืนรูปดังเดิม



    Song Titles : TO BECOME ONE OF US (OST. แต่เพียงผู้เดียว)
    Artist : GREASY CAFE
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×