ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทะเลในโลกสีฟ้า [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : Mad World

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.79K
      107
      26 เม.ย. 56

    -1-
    Mad World



    ทรายที่นี่ไม่ได้เป็นสีขาว ทั้งให้สัมผัสหยาบๆแต่ผมก็ชอบมัน

              เมื่อผมเดินย่ำเท้าบนผืนทรายครั้งแรกมันคงเป็นแค่รอยเท้าเล็กๆเหมือนคำเปรียบที่ว่า'ตีนเท่าฝาหอย'
    ผม จำความรู้สึกแรกที่เท้าสัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มชินผมจะรู้สึกชอบทุกๆครั้งที่เดินบนทราย ชอบไอร้อนใต้ฝ่าเท้าผ่านง่ามนิ้ว ชอบที่มันสามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้เพียงชั่วครู่ แต่ที่สุดแล้วก็เลือนหายไป ที่สำคัญทรายเหล่านี้เป็นเพื่อนเล่นเพียงหนึ่งเดียวของผม...

              ผมจะเดินย่ำมันทุกครั้งที่ไม่มีที่ไป เดินเตร็ดเตร่ หรือก่อกองทรายเล็กๆเป็นรูปต่างๆที่อยากทำ บ้านของผมอยู่แถวๆชายหาด จะเรียกว่าบ้านเลยก็คงไม่ถูก เพราะแม่ขอเขาอาศัยห้องเล็กๆชั้นบนของบาร์ มีพี่หญิงกับฝรั่งจอห์นเป็นเจ้าของร้าน มันสะดวกแม่ดีเพราะแม่ทำงานที่บาร์นั่น ก่อนหน้าที่จะมีผมแม่ก็ทำงานที่นี่อยู่แล้วเพียงแต่มีห้องเช่าของตัวเอง แต่เนื่องจากเสียงร้องของเด็กทารกอย่างผม บรรดาคนในตึกจึงไม่ต้อนรับแม่อีกต่อไป ด้วยความที่แม่ยังเด็กและมีลูก พี่หญิงที่ถึงไม่ได้ใจดีแต่ก็มีน้ำใจให้แม่อยู่ที่ร้าน แม่จึงเคารพและไม่เคยขัดใจอะไรเมื่อพี่หญิงสั่ง

              แท้จริงแล้วในสมองเล็กๆของผมเกลียดที่ๆตัวเองซุกหัวนอนมาตลอด 9 ปีมานี้ ผมไม่ชอบที่จะอยู่ในร้าน มันไม่ใช่ที่ๆผู้ปกครองควรจะให้เด็กอยู่ แต่แม่ผมคงไม่คิดสน ผมรู้ดี เมื่อก่อนผมไม่เห็นว่าเด็กตัวเล็กๆอย่างผมจะเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีผู้ใหญ่ คอยอุ้มหรือจูงมือได้ แต่ผู้ใหญ่ในร้านและรอบๆตัวผมทำสิ่งตรงกันข้าม เขาให้ผมทำสิ่งต่างๆที่ผมสามารถทำได้ เหมือนกับว่ามันก็ถูกแล้วที่ให้ผมทำสิ่งเหล่านั้น ล้างจาน ทำความสะอาด ออกไปซื้อของ ส่งของ ถ้าพวกเขาคิดว่าผมทำได้ก็จะให้ผมทำ ทำไม่ดีก็ด่าบ้าง ตีบ้าง แรกๆก็เจ็บ ร้องไห้ตามประสา นอกจากเขาจะไม่สงสารแล้วยังจะโดนซ้ำ หลังๆผมจึงเรียนรู้ที่จะทำตัวเฉยๆ เจ็บจะไม่ร้อง ไม่พูด ไม่ถาม

              วันนี้หลังจากเดินเล่นที่หาดสักพักจนพอใจผมก็กลับเข้าร้าน มันเป็นตอนเย็นๆที่แขกยังไม่เยอะ ผมเห็นแม่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของฝรั่งคนหนึ่ง ดูท่าว่างานของแม่เริ่มแล้ว ผมจึงเดินเลี่ยงๆมาในครัวเพื่อหาอะไรกิน

    "มาแล้วเหรอไอ้บลู หายหัวไปไหนมา" พี่หญิงเดินลงบันไดมาเจอผมพอดี พลักหัวผม
    "หาด"
    "จะ ให้ไปส่งของก็หายหัว เที่ยวเดินเล่น" แกว่าแล้วเดินไปหยิบห่อของหลังบาร์ บอกให้ผมเอาไปส่งร้านเจ๊หนิง ผมรับของมาจากพี่หญิงแล้วรีบเดินออกนอกร้าน

              นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มาร้านเจ๊หนิง มันอยู่ไม่ห่างจากร้านพี่หญิงนัก ครั้งแรกพี่หญิงพาผมมาเพื่อที่คราวต่อไปจะได้มาส่งของให้และแนะนำให้ผม รู้จักกับเพศที่สามที่ชื่อเจ๊หนิง เมื่อมาถึงร้านผมเดินมาถามหาเจ๊หนิงกับพนักงาน เขาเดินไปเรียกให้ไม่นานเจ๊ก็ออกมาหาผม เจ๊หนิงไม่ได้แต่งตัวแบบผู้หญิงเหมือนคนอื่นๆในร้าน ทั้งไว้ผมสั้น หากดูเผินๆอาจคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่ท่าทางและการพูดนั้นกลับตรงกันข้ามกับการแต่งตัวอย่างสิ้นเชิง

    "ว่ายังไง น้องบลู" เมื่อเจ๊เห็นผมก็เดินยิ้มเข้ามาหาผมที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์
    "หน้าตาเห็นแววหล่อมาแต่ไกล โตขึ้นหน่อยแล้วนะเรา" เจ๊พูด ผมยื่นของที่พี่หญิงฝากมาให้เจ๊
    "เจ๊จะกินเด็กเหรอ" พี่กะเทยในร้านที่เดินผ่านแถวนั้นคนนึงพูดกับเจ๊
    "ย่ะ ฉันจะกิน หล่อนจะทำไม"
    "น้องบลูอายุเท่าไหร่แล้วคะ" พี่กะเทยคนเดิมถามต่อไม่สนใจสายตาเจ๊
    "9 ครับ" ผมก้มหน้าตอบ หลบมือเจ๊ที่ลูบแก้มผม
    “รออีกหน่อยเหอะเจ๊" พี่กะเทยคนนั้นพูดพลางหัวเราะ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วเจ๊เลยบอกให้ผมกลับร้าน ผมบอกลาเจ๊สั้นๆแล้วก็ออกมา

    ข้างนอกท้องฟ้าเป็นสีส้ม

              ผมไม่ค่อยชอบช่วงเวลานี้เลย ช่วงเวลาสั้นๆที่พระอาทิตย์กำลังตก มันให้ความรู้สึกว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึกว่าโลกที่ผมเกิดมันมีสีหม่นๆอยู่ตลอดเวลา ผมไม่มีเพื่อน ไม่ได้เรียนหนังสือ โลกสีสดใสของเด็กๆผมไม่เคยเห็น ผมเห็นแต่โลกของผู้ใหญ่ เห็นแสงสีท่ามกลางความมืด เห็นม่านหมอกของควันบุหรี่ เห็นความบันเทิงของพวกเขาที่มาในรูปแบบต่างๆ เห็นแม่กับผู้ชายหลายคน ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องและครวญคราง ทั้งหมดนั้นมันทำให้จิตใจผมรู้สึกเกลียดชังโลกที่อยู่ แม่ผมเป็นเด็กใจแตก หนีตามผู้ชายออกจากบ้านตอนอายุ 15 ไม่นานผู้ชายก็ทิ้งไปเพราะอยู่กันไม่รอด แม่ระหกระเหินมาเจอพี่หญิงและมาทำงานด้วย พอทำงานได้สักพักด้วยความที่ไม่รู้และเด็กเกินกว่าจะสนใจแม่ก็ปล่อยให้ผมมี ตัวตนขึ้นมาจนยากจะทำลาย

              ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้ตั้งใจให้ผมเกิดแม้สักนิด ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มและตาสีฟ้าของผมไม่มีใครรู้เชื้อชาติ ผมเกลียดชังเพราะมันย้ำชัด มันย้ำว่าผมเกิดจากเศษเสี้ยวของความโสมมของคนคู่หนึ่ง...เพียงแค่นั้น...

              บางครั้งบางคราวที่ผมเห็นพ่อแม่ที่พาลูกๆมาเที่ยว ผมนึกอิจฉาสายตาที่เขามองลูกๆ มันเป็นสายตาของความรัก ความสุข ความห่วงใย ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้ ไม่ช้าไม่นานเมื่อผมรู้สึกเศร้าแทนที่จะมีความสุขเมื่อเห็น ผมก็เลิกที่จะมองพวกเขา ใจของผมจะสงบกว่ากันมากหากไม่สนใจ ผมไม่หวังหรอกว่าแม่จะมีความรู้สึกเหล่านั้นให้ผม เพราะผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ดี ผู้หญิงที่ให้ผมมีร่างกายและหัวใจที่เต้นอยู่ในอกนี่ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจผมเช่นเดียวกัน


    "พี่ก็เอาไปสิ หนูไม่ได้ว่าอะไร"ผมได้ยินแม่พูดกับพี่หญิงเมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน
    "แก พูดจริงเหรอป่าน พี่ไม่ได้บังคับนะ"พี่หญิงพูดอย่างมีน้ำใจแต่ท่าทางก็รู้อยู่แล้วว่าแม่จะ ไม่ขัดใจ พอหันมาเห็นผมพอดีก็กวักมือเรียก
    "บังคับอะไรกันพี่ ลำพังเลี้ยงมันมาก็ลำบากจะตายแล้ว พี่อยากให้มันทำอะไรก็ให้มันทำเถอะ" แม่พูดหันมามองผมอีกคน ผมเข้าใจแล้วว่าพูดถึงผมอยู่ แต่ไม่แน่ใจนักว่าให้ทำอะไร ในใจก็นึกกลัวสายตาของทั้งสองคน ผมไม่เคยชอบอะไรทั้งนั้นที่พี่หญิงให้ทำแต่ไม่ว่ายังไงก็ปฏิเสธมันไม่ได้ อยู่ดี

              เมื่อผมเดินไปใกล้ๆทั้งสองคนพี่หญิงจับผมหันซ้ายหันขวาเหมือนกับสำรวจอะไรบางอย่างแล้วร้องอืมในลำคออย่างพอใจ

    "แกพามันไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวซะ เสร็จแล้วพามาหาพี่"แม่พยักหน้าแล้วพาผมขึ้นมาบนห้อง ถึงผมอยากรู้ผมก็ถามไม่ได้เพราะรู้ว่าถ้าแม่จะบอกอะไรเดี๋ยวก็คงบอกเอง

              แม่พาผมมาอาบน้ำขัดตัวในห้อง ปกติแล้วแม่แทบไม่เคยจะอาบน้ำให้ ผมไม่คิดว่าจะต้องสะอาดอะไรมากมายขนาดนี้ แม่ขัดราวกับว่าตัวผมสกปรก ล้างและขัดทุกๆส่วนอย่างที่ผมไม่เคยจะใส่ใจทำ

    "เจ็บ"ผมบอกเบาแบบกล้าๆกลัวๆเพราะแม่ขัดแรงจนทำให้ผมแสบ
    "เดี๋ยวแกจะเจ็บกว่านี้"แม่ว่าแต่ก็เบาแรงลงแล้วถอนหายใจ
    "ไม่ ว่าพี่หญิงจะให้แกทำอะไร แกต้องทำตาม เข้าใจมั้ยไอ้บลู" ผมพยักหน้าช้าๆ เพราะที่ผ่านมาแม่ก็สั่งอย่างนี้เสมอๆ แต่คราวนี้สายตาแม่จริงจังกว่าคราวก่อนๆมาก
    "ตั้งใจทำงานดีๆ แล้วฉันจะพาไปขี่เจ็ทสกี" แม่ว่าอย่างนั้น ผมตาลุกวาว ผมเคยบอกแม่ว่าอยากให้แม่พาไปขี่เจ็ทสกี หลังจากเห็นคนอื่นๆเล่นที่หาด ผมอยากเล่นขนาดว่าเป็นสิ่งแรกที่กล้าขอแม่ แต่ก็โดนด่าไม่เจียมตัว เพราะเล่นแต่ละทีไม่ใช่ถูกๆ ผมเลยได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาเล่นก็เท่านั้น

              หลังจากอาบน้ำกินข้าวเสร็จผมก็มาหาพี่หญิง ผมเห็นฝรั่งหัวโล้นตัวใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เขามองผมทันทีที่ผมเดินเข้าไปหาพี่หญิง ใจผมกระตุก เข้าใจทุกอย่างในทันที พี่หญิงกำลังพูดบางอย่างเกี่ยวกับผมในขณะที่เขาเริ่มเอื้อมมือมาลูบหน้าของ ผม สายตาแบบนี้แม้ผมยังเด็กแต่กาารที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดมันทำให้สองเท้าของ ผมอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่สำหรับเด็กอย่างผมต่อให้อยากหนีไปไหนก็คงทำไม่่ได้ ไม่มีที่ให้ไป ไม่มีใครให้ช่วย ผมตระหนักเอาตอนนี้ว่าผมโดดเดี่ยวแค่ไหนบนโลกสกปรกใบนี้

    "แก ไปอยู่กับบ็อบสักสองสามวันนะ เขาให้แกทำอะไรก็ทำซะ อย่าให้ฉันรู้ว่าแกทำให้บ็อบไม่พอใจ จะโดนดี" พี่หญิงว่าเสร็จบ็อบก็จูงแขนผมมาขึ้นรถ เขาถามผมว่าชื่ออะไรผมก็ตอบไป ผมพูดพอได้บ้างเพราะจอห์นเป็นหนึ่งคนที่เลี้ยงผมมาพร้อมกับพี่หญิงและแม่ เขาไม่พูดภาษาไทยทั้งยังสบถด่าผมเป็นประจำ

              นั่งมาไม่นานก็ถึงโรงแรมที่หนึ่ง เขาพาผมเดินขึ้นห้อง ผมเริ่มสั่นด้วยความกลัว บ็อบหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักก็ออกมาด้วยชุดคลุมสีขาว ผมที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้ไม้หน้ากระจกสะดุ้งขึ้นเมื่อเขาเอามือมาลูบ หัวผมพร้อมแสยะยิ้ม เขาบอกให้ผมลุกขึ้นและถอดเสื้อผ้า ผมไม่ขยับอะไรตัวสั่นจนเกร็ง มือกำชายเสื้อแน่น เขาไม่พูดอะไรอีกแต่เอื้อมมือมาดึงเสื้อผมขึ้น ผมยื้อเสื้อตัวเองไว้แน่นไม่ปล่อยให้เขาดึงออกจากตัว แต่แรงของเด็กกับผู้ใหญ่มันต่างกัน เขาถอดเสื้อผมได้แต่ก็มีท่าทีไม่พอใจและย้ำกับผมว่าจะฟ้องพี่หญิงถ้าผม ขัดขืน

    ไม่ช้าไม่นานตัวผมก็ว่างเปล่า

    บ็อบหยิบเชือกเส้นยาวมามัดมือผมไขว้หลัง และยังมีเชือกอีกหลายเส้นที่โยงรั้งไปทั้งตัว สุดท้ายก็เอาผ้ามามัดปาก

    ตัวผมสั่น ทั้งอึดอัดทั้งกลัว

    และมันก็เจ็บ

              ร่างกายที่ยังโตไม่เต็มที่ไม่สามารถโดนกระทำป่าเถื่อนโหดร้ายได้โดยไม่เจ็บ ปวด แม้ว่าเขาพยายามทำมันอย่างเบามือที่สุดก็ตาม เสียงสะอื้นของผมดังออกมาเป็นพักๆ ผมกลัวจับใจ พันธนาการที่มัดผมไว้ทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้ อยากร้องให้ใครสักคนช่วย มันเจ็บจนทนไม่ไหว เจ็บจนอยากตายเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ความตายมันคงง่ายเกินไป ในเวลานั้นผมนึกถึงแม่ ความเกลียดชังมันค่อยๆหยั่งรากลงไปช้าๆตั้งแต่ตอนนั้น และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้เลย เมื่อไหร่ที่ผมเจ็บและเท่าไหร่ที่ผมเจ็บ ทีละเล็ก ทีละน้อย ความเกลียดชังค่อยๆหล่อหลอมหัวใจให้เฉยชา และไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไป

              คืนนั้นมันยาวนานกว่าคืนไหนตั้งแต่ผมเกิดมา มันจบลงพร้อมๆกับโลกสีหม่นๆของผม และแทนที่ด้วยสีดำอันมืดมิดไร้ก้นบึ้ง

              ผมอยู่กับบ็อบสองวัน ไม่มีวันไหนที่ได้ออกจากห้อง หลังจากบ็อบพามาส่งที่ร้านผมต้องนอนเฉยๆไปทั้งอาทิตย์โดยมีแม่ดูแล สายตาของแม่ที่มองดูผมนั้นผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ผมก็ไม่คิดตีความมันอีกต่อไป


             จากครั้งที่บ็อบพาผมไปครั้งแรกก็มีครั้งต่อๆมาอีก ทุกๆครั้งบ็อบจะมัดผมไว้เสมอ มันคือหนึ่งในรูปแบบความบันเทิงอันวิปริตของมนุษย์ นอกจากบ็อบแล้วก็ยังมีแขกคนอื่นๆของพี่หญิงอีกนับไม่ถ้วน เจ็ทสกีที่แม่สัญญาไว้ผมไม่สนใจมันอีกแล้ว และดูเหมือนแม่ก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน ในสถานที่อโคจรแห่งนี้ สิ่งที่ทุกคนสนใจคงจะมีแต่ความสุขของตัวเองเท่านั้น จากเดือนเป็นปี ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเมื่อผมอายุ 11 ปีจึงสิ้นสุดลงด้วยความช่วยเหลือจากเจ๊หนิง

             เย็นวันหนึ่งหลังจากที่แขกคนล่าสุดมาส่ง ผมยังไม่อยากเข้าร้าน เลยเลือกที่จะนั่งลงตรงริมฟุตบาท กอดเข่าฟุบหน้าลงอย่างหมดแรง แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอเจ๊หนิง เจ๊ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมส่ายหน้า จะว่าเป็นก็เป็น จะว่าไม่เป็นก็ไม่เป็น ไม่รู้จะตอบยังไงดี สีหน้าของเจ๊หนิงฉายแววแปลกใจ เจ๊พิจารณาผมอยู่ครู่หนึ่งสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยช้ำบนข้อมือที่ขึ้นสีเขียว ชัดเจน แววตาเจ๊เปลี่ยนไปเมื่อสบตาผมอีกครั้ง เจ๊บอกให้ผมลุกขึ้นแล้วให้ตามเจ๊ไปที่ร้าน

    "บลูบอกเจ๊สิ มันนานเท่าไหร่แล้ว"เจ๊ถามเมื่อมาถึง จับตัวผมพลิกดูไปมารวมถึงเปิดเสื้อผมดูเห็นรอยบนตัวที่ยังใหม่ๆเพราะเพิ่งจะ เกิดขึ้นเมื่อคืน
    "นานแล้ว" ผมไม่รู้จะตอบอะไรได้ เจ๊มองผมด้วยแววตาเหมือนสงสารเจือแววขุ่นเคืองและหายามาทาแผลที่ตัวให้
    "แม่บลูไม่ห้ามอีหญิงมันเหรอ ทำไมถึงปล่อยไปได้" ผมส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
    "เดี๋ยวเจ๊จะไปคุยกับอีหญิงมัน เลี้ยงมากับมือ ทำแบบนี้มันเกินไป" ว่าแล้วเจ๊ก็เดินออกไปจากร้านโดยบอกให้ผมรออยู่นี่

             ในร้านของเจ๊มีทั้งผู้หญิงและสาวประเภทสองแต่งตัวกันฉูดฉาด ผมเข้ามารอในห้องแต่งตัวเห็นพวกเขาแต่งหน้าพูดคุยกันเฮฮา ร้านเจ๊จะเป็นร้านที่มีโชว์เยอะแยะ ถึงจะไม่ใหญ่แต่ก็ดังมากในย่านนั้น

    ไปไม่นานเจ๊หนิงก็กลับมาโดยที่แม่ผมตามมาด้วย แม่เดินตรงเข้ามาฉุดแขนผมให้กลับร้าน

    "ถ้า คิดว่าจะให้มันทำอย่างเดิม เจ๊ไม่ให้บลูมันกลับไปด้วยหรอกนะ"เจ๊หนิงยืนขวางระหว่างแม่กับผมไว้ โดยปกติแล้วเจ๊หนิงจะอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเห็นเจ๊จริงจังอย่างนี้มาก่อนคิดว่าแม่ก็คงเหมือนกันเลยปล่อยแขนผม ช้าๆ
    "ไม่ให้กลับแล้วจะให้มันไปอยู่ที่ไหน เจ๊จะดูมันให้หนูเหรอ พี่หญิงจะว่ายังไงถ้าไม่พามันกลับไป"แม่ดูเหมือนเริ่มสับสน เพราะกลัวทั้งพี่หญิงและเจ๊หนิง
    "ก็บอกว่ามันหนีไป โกหกเพื่อลูกตัวเองน่ะทำได้ไหม"
    "แต่..."
    "ให้ อยู่กับเจ๊ก่อนนี่แหละ เสียดายที่ไปแล้วไม่เจออีหญิง มันทำได้ยังไงอยากจะถามมัน แต่เอาเถอะ เจ๊ว่าถ้าให้มันรู้ว่าพี่จะเอาบลูมามันคงไม่ยอมง่ายๆ"
    "แล้วพี่หญิงจะไม่รู้เอาเหรอเจ๊"
    "แค่ป่านที่เป็นแม่บลูยอม เรื่องอื่นเดี๋ยวเจ๊จัดการเอง"
    แม่นิ่งไปสักพักแล้วพยักหน้าในที่สุด
    "หนู ไม่มีปัญญาเลี้ยงมัน ที่ให้มันทำเพราะไม่อยากขัดพี่หญิง หนูไม่รู้จะทำยังไง"แม่พูด ใจผมค้านว่าแม่จะทำยังไงก็ได้แค่แม่เป็นคนตัดสินใจ เพราะพี่หญิงถามแม่แล้ว ถ้าแม่เห็นผมเป็นลูกสักนิด แม่ก็คงจะปกป้องผมบ้าง
    "ป่านไม่ต้องห่วง ยังไงเจ๊คงดูแลบลูได้ดีกว่าหญิงมันอยู่แล้ว"

    ...................

    แม่กลับไปแล้ว...ในใจผมมันวาบโหวงอย่างบอกไม่ถูก

             แม้ว่ามันจะสิ้นสุดลง แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเลือน ชีวิตช่วงหนึ่งในวัยเด็กนี้มันทิ้งร่องรอยเอาไว้ลึกมากกว่าที่ใครจะรู้ ทุกอย่างที่ผมแสดงออกว่าปกติดีเมื่อเจอเรื่องเลวร้ายต่างๆก็แค่ปกปิดรอยแผล เอาไว้ ผมไม่อยากให้ใครเห็น แต่หากได้มองดีๆก็คงเห็นได้ไม่ยากเพราะใครคนนึงบอกผมว่าผมส่งความเจ็บปวด ทั้งหมดออกมาทางแววตา

             ผมไม่รู้ว่าเจ๊หนิงจะเลี้ยงผมอย่างไรได้โดยที่พี่หญิงไม่รู้เพราะถึงอย่างไร ร้านของพี่หญิงก็อยู่ใกล้กัน แต่โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเจ๊หนิงกลับโทรหาน้อยชายและขอให้เขามารับผมไปช่วย ดูแลก่อนในตอนนี้ เจ๊บอกกับผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น น้องชายเจ๊เป็นคนดีและจะช่วยดูผมให้ เจ๊อาจคิดว่าผมจะกลัวเมื่อถูกส่งไปอยู่กับคนแปลกหน้า แต่สำหรับผมมันเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

    พอท้องฟ้ามืดน้องชายเจ๊หนิงก็มาถึง

    เขาชื่อวิทย์ เจ๊หนิงบอกให้เรียกเขาว่าน้าวิทย์
             น้าวิทย์เป็นคนที่มีใบหน้าคมเข้ม แววตาไม่น่ากลัวเหมือนคนอื่นๆที่เคยเจอ เขายิ้มให้ผมเมื่อเจ๊หนิงแนะนำ น้าวิทย์และเจ๊หนิงนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ ผมได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาของพวกเขา เจ๊หนิงคงจะเล่าเรื่องของผมให้ฟัง ผมก็ได้แต่นั่งกอดเข่ารอเงียบๆอยู่มุมหนึ่งของร้าน

    "บลูไปอยู่กับน้า นะ"น้าวิทย์นั่งลงคุกเข่าพูดกับผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ และยื่นมือมาลูบหัว ผมไม่พูดอะไรและไม่ได้สบตาได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้นเขาจึงฉุดแขนผมให้ ลุกขึ้น
    "ฝากด้วยนะวิทย์ ถ้าเพลงเลี้ยงไม่ไหวหรือมีปัญหาอะไรให้บอกพี่นะ พี่ไม่อยากรบกวนแต่ก็ปล่อยไปไม่ได้เหมือนกัน"
    "ผมกับเพลงดูแลได้ พี่วางใจเถอะ" น้าวิทย์บอก
    "เจ๊ จะไปหาบ่อยๆนะบลู เข้มแข็งไว้นะครับ" ผมพยักหน้า ใจจริงแล้วผมอยากขอบคุณเจ๊แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ส่วนหนึ่งเพราะผมยังไม่ไว้ใจใครและสถานที่ที่เจ๊ส่งผมไปกับผู้ชายแปลกหน้าคน นี้เป็นอย่างไรผมยังไม่รู้เลย

             หลังจากเจ๊หนิงและน้าวิทย์กล่าวลากัน น้าวิทย์ก็พาผมขึ้นรถกระบะสีดำของเขาจากหาดหนึ่งมาถึงอีกหาดหนึ่ง ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร บ้านน้าวิทย์เป็นอู่อยู่ตรงข้ามหาดแห่งหนึ่ง เพียงแค่ข้ามถนนไปเท้าของผมก็สัมผัสทรายได้เหมือนเดิม ข้างล่างของอู่มีขนาดใหญ่แยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งมีรถ อีกฝั่งหนึ่งมีเจ็ทสกี น้าวิทย์พาผมเดินขึ้นมาชั้นบนที่เป็นส่วนของบ้าน ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งดูทีวีโดยมีเด็กผู้ชายนอนตักอยู่

    "เพลง" น้าวิทย์ส่งเสียงเรียก ผู้หญิงคนนั้นหันมามองและส่งยิ้มให้ทั้งผมและน้าวิทย์

    "พ่อ!"เด็กผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นเรียก วิ่งกางแขนมาหา น้าวิทย์ยกขึ้นอุ้มทันทีเมื่อโถมตัวมาถึง
    "ไงครับ ทำไมยังไม่นอน พรุ่งนี้ไปโรงเรียนนะ"
    "กำลังจะพาไปนอนแล้ว วิทย์มาพอดี"ผู้หญิงคนนั้นบอกน้าวิทย์แล้วหันมามองผม
    "ดีแล้วจะได้เจอกันเลย นี่บลูนะ เด็กที่พี่หนิงฝากมาให้วิทย์ช่วยดูให้"
    "สวัสดีค่ะ น้าชื่อเพลงนะ"ผมไม่ได้ตอบรับหรืออะไรแค่พยักหน้าให้
    "ทะเล ครับ สวัสดีพี่บลูเร็ว พี่เขาจะมาอยู่ด้วย ถ้าทะเลไม่ดื้อพี่เขาจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับทะเลไงครับ"น้าวิทย์วางตัวเด็ก ที่ชื่อทะเลลงบนพื้นตรงหน้าผม ทะเลยิ้มแล้วยกมือเล็กๆขึ้นไหว้
    "สวัสดีครับ!"ทะเลเด็กตัวขาวยิ้มให้ผมตาหยีจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง
    "น้อง เพิ่งจะ 6 ขวบ บลูมาอยู่ที่นี่ก็มีน้องเป็นเพื่อนนะ อยู่กับพวกน้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น อึดอัดอะไรก็บอกน้าได้ทุกอย่างนะครับ"เป็นอีกครั้งที่ผมพยักหน้า น้าวิทย์กับน้าเพลงมองหน้ากันอย่างกังวลกับความเงียบของผม จากนั้นน้าเพลงก็อุ้มทะเลไปนอน ส่วนน้าวิทย์พาผมไปที่ห้องๆหนึ่งบนชั้นสาม ในห้องมีเตียงเดี่ยวและห้องน้ำในตัวแต่ไม่มีของใช้อะไรมากนัก น้าวิทย์บอกว่านี่จะเป็นห้องของผม วันนี้ให้อาบน้ำพักผ่อนซะ เสื้อผ้าเดี๋ยวน้าเพลงจะเอาขึ้นมาให้

             ผมไม่เคยมีห้องของตัวเองมาก่อน มันใหญ่กว่าห้องที่ผมอยู่กับแม่เสียอีก ผมเดินไปนั่งบนเตียงไม่รู้นานเท่าไหร่น้าเพลงก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเอา เสื้อผ้าและของใช้มาให้ ผมรับมาเงียบๆน้าเพลงยืนมองผมอยู่ครู่หนึ่งสายตาก็เห็นรอยช้ำตรงข้อมือ น้าเพลงคุกเข่าลงตรงหน้าและลูบหัวผมเบาๆโดยไม่เอ่ยอะไร สายตาที่มองมามันอ่อนโยนเต็มไปด้วยความสงสารทำให้ขอบตาร้อนขึ้นมาโดยไม่ได้ ตั้งใจ

    หากว่าแม่จะรู้สึกสงสารผมแม้สักนิดให้เหมือนกับผู้หญิงคนนี้

    มองผม...เหมือนกับผู้หญิงคนนี้

             ทั้งๆที่ผมคิดว่าผมเกลียดแม่ พยายามไม่แคร์ว่าแม่จะรู้สึกยังไง แต่ลึกๆแล้ว ในส่วนที่ผมไม่อาจควบคุม ผมปฎิเสธไม่ได้ว่าผมอยากเห็นแม่มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน อยากให้เป็นห่วงว่าผมจะเจ็บตรงไหนบ้างไหม อยากให้ยิ้มให้ผมบ้าง กอดผมบ้าง...

    ทั้งหมดทั้งมวลในตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันคือสิ่งที่มนุษย์นิยามว่า...ความรัก...

             น้ำตาผมไหลลงมาโดยไม่มีเสียงสะอื้น มันหยดลงบนมือของน้าเพลงที่กุมมือผมไว้ เมื่ออารมณ์ทะลักทลายออกมามายมายขึ้นเรื่อยๆผมก็ได้ยินเสียงร้องของตัวเอง มันแหบแห้งครางยาวเหมือนบาดเจ็บ

             ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้มันนานเท่าไหร่มาแล้ว อาจเป็นคืนนั้น หรืออาจไม่ใช่ แต่ครั้งนี้มันกลั่นออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมดในชีวิต 11 ปีของผม

    ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าผมชินชาต่อความเจ็บปวดทุกอย่างแล้ว ต่อเมื่อเสียน้ำตา...ผมถึงรู้ว่าผมยังมีหัวใจ

    คำถามเดิมวนซ้ำๆ ผมเกิดมาเพื่ออะไร
    เพื่อเป็นภาระ เพื่อใช้เป็นเครื่องสนองความต้องการ เพื่อเจ็บ เพื่อเหงา เพื่อเสียใจ เพื่ออะไร

    ผมหวังว่าอนาคตคงจะได้คำตอบที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

    แต่ ณ วันนี้
    สายสัมพันธ์เพียงหนึ่งเดียวกับผู้หญิงที่ให้กำเนิดชีวิตไร้ค่าของผม

    ขาดลงแล้ว

    มีเพียงความรู้สึกหนึ่งเดียวที่แจ่มชัด






    โดดเดี่ยวเหลือเกิน




    Song Titles :  Mad World
    Artist : Gary Jules


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×