คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2
“ตกลงที่สอนมา เข้าใจหมดใช่ไหมทุกคน?”
เอ่ยถามพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
เมื่อเห็นเหล่านักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ปีสามพยักหน้ากันหงึกหงักเป็นอันเข้าใจนั้นจึงได้เอ่ยต่อไป
“จันทร์หน้าสอบเรื่องความสัมพันธ์ของประเทศมหาอำนาจในสงครามเย็นตั้งแต่1945จนถึงปี1949”
สิ้นเสียงประกาศก็ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่านักศึกษาปีสามแต่กระนั้นมือก็ยังจดลงไปในสมุดโน้ตของตนตามที่ได้ยินเอาไว้
“1949นี่รวมเรื่องขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือด้วยใช่ไหมคะ?”ดวงหน้าหวานพยักหน้าให้แก่คำถามของหญิงสาวหน้าชั้นพลางเอ่ยเสริม “จบที่NATOหรือองค์การสนธิสัญญานั่นแหละ...พูดง่ายๆเลยก็คือตั้งแต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยันNATO”
ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆห้องอีกหนึ่งครั้งเพื่อดูความเรียบร้อยก่อนที่จะสะดุดกับร่างๆหนึ่งที่ยืนพิงประตูห้องเลคเชอร์
หัวใจที่เคยเต้นอยู่ตกวูบลงไปกองกับตาตุ่ม
ดวงตากลมโตกระพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงปรากฏภาพข้างหน้าไม่หายไป
กระนั้นฮีชอลก็ยังไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวอย่างน่าแปลกใจของคนตรงหน้าตน
“เลิกชั้นได้”ประกาศเสียงดังให้ได้ยินไปทั่วห้องก่อนจะก้มลงจัดข้าวของตัวเองบ้างเป็นปกติ ทำราวกับการที่ได้เห็นบุคคลเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องที่ฝันไป
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของนักศึกษาที่ค่อยๆจางหายไปดั่งที่เคยได้ยินทุกครั้งที่ประกาศเลิกชั้น
แต่คราวนี้มีบางอย่างที่แปลกไป...
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆเงียบหายไป
เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกลับดังขึ้นมา
และดังขึ้นมาเรื่อยๆราวกับกำลังเดินมาทางนี้
ก่อนจะหยุดเงียบไป
เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่ามีคนกำลังยืนอยู่ข้างๆเขา
คิมฮีชอลเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาจัดข้าวจัดของต่อ
ไม่ได้สนใจรับรับรู้ถึงอาคันตุกะที่กำลังยืนอยู่ข้างๆตน
มือเล็กรูดซิปกล่องดินสอของตนแล้วใส่กระเป๋าหนังของตนก่อนจะผละมาจัดเรียงรูปตำราที่กระจัดกระจายบนโต๊ะมาจัดให้เป็นระเบียบ
ดวงตากลมโตสนใจแต่สิ่งที่กระทำอยู่หาใช่อีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย
“ไม่คิดจะทักทายกันบ้างเลยหรือไง?”เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากข้างๆ
ชายหนุ่มยืนมองร่างเล็กทำท่าทำทางว่ากำลังจัดกระเป๋าด้วยท่าทีช้าๆเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการไม่ได้คุยกับเขา
แม้จะดูเป็นการกระทำที่หน้าเจ็บปวด แต่นั่นก็ยังทำให้เขายิ้มได้อย่างนึกเอ็นดู
ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคิมฮีชอล
“ก็เมื่อกี้ยังเห็นสบตาผมอยู่เลย
พอมายืนตรงนี้ทำทีว่าผมเป็นธาตุอากาศไปแล้วหรือไง หืมม์?”เอ่ยถามอีกหนึ่งรอบพลางก้าวเท้ามายืนข้างๆคนที่ทำทีว่าเขาเป็นเพียงอากาศในห้องเท่านั้น
“น่าน้อยใจจังเลยนะ ที่คุณทำแบบนี้กับผม”ประโยคที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดเพ้อบ่งบอกถึงความน้อยใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากร่างเล็กเรียกให้คนที่กำลังทำเป็นวุ่นจัดกระเป๋าอยู่ถึงกับหยุดชะงักในที่สุด
ดวงหน้าหวานทำใจเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนข้างหลังตนที่ยืนยิ้มอยู่อย่างนึกอารมณ์ดีผิดกับเขาที่อารมณ์ขุ่นมัวกับการปรากฏตัวของชายตรงหน้านี้
มาทำให้เจ็บอีกทำไมนะคนใจร้าย?
“ฉันทำอะไร?”เอ่ยถามห้วนๆพลางหลีกเลี่ยงการสบตากับดวงตาคมเข้มของคนตรงหน้าที่สามารถทำให้เขาแทบหลอมละลายไปได้โดยการมองตำราเล่มใหญ่บนโต๊ะแทน
“ก็คุณไม่ยอมทักทายผม”โดยไม่ปล่อยให้ฮีชอลได้อ้าปากเถียง ร่างสูงก็พูดต่อทันที “แบบนี้มันทำให้ผมเสียความรู้สึกนะ”
“แล้วจะมาที่นี่ทำไมหละ?”ย้อนเข้าไปทั้งๆที่ตัวเองออกจะดีใจแท้ๆที่ได้เจอกับชายหนุ่มอีกรอบ
แต่ก็ยังปากแข็งทำเย็นชาต่อไป คงเพราะว่าเลิกรากันไปแล้วกระมั้ง
เขาเลยไม่สามารถรู้ถึงเหตุผลการมาครั้งนี้ได้เลยว่าจะมาทำให้หัวใจเจ็บปวดอีกหรือเปล่า
“ผมอยากเจอคุณ”
สั้นๆ ง่ายๆ
ได้ใจความแต่สามารถบั่นทอนลมหายใจของผู้รับฟังให้ขาดลงได้
ทั้งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหาสะกดหัวใจให้เต้นระรัว
ฮีชอลนิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยเถียงกลับไปเรียบๆ
“งานเข้าหละสิ”นึกอยากตบปากตัวเองเหลือเกินที่เกิดมาเป็นคนปากแข็งและชอบเล่นตัว
กระนั้นที่เขาเอ่ยไปนั้นมันก็คือความจริง ถ้าไม่เกิดเรื่องใหญ่ที่เกาหลีใต้
คนตรงหน้าเขาก็คงไม่ปรากฏตัวมาหรอก
“FBIส่งนายมาดูแลคดีเรื่องเอกอัครราชทูตอเมริกาที่ถูกฆ่าตายใช่ไหม?”ดวงหน้าคมคายจำเป็นต้องพยักหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “แต่ผมอยากเจอคุณจริงๆนะ”
“จะอยากเจอทำไม? ในเมื่อเรื่องระหว่างเราสองคนมันจบกันไปตั้งนานแล้ว”ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้ดวงหน้าหวานที่เย็นชานั่น
หัวใจกำลังเจ็บปวดและร่ำร้องไห้เรียกชื่อชายหนุ่มคนนี้มากเท่าไหร่
แม้จะบอกหัวใจตัวเองให้ลืมเขาเสีย
แต่มันก็ยังทรยศและกลับรักมาจนถึงทุกวันนี้
สะดุ้งตัวเฮือกเมื่อมือแกร่งจับเข้าที่ข้อมือของตน
มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองโดยดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดชายหนุ่มเสียแล้ว
ความอบอุ่นที่ขาดหายไปนานครึ่งปีกลับมาเติมเต็มหัวใจให้ชุ่มช่ำอีกหนึ่งครั้งพร้อมกับประโยคจากริมฝีปากหยัก
“ทำไมผมยังลืมคุณไปไม่ได้เลยนะ?”
ชเวซีวอนยังรักคิมฮีชอลอยู่นะ...
น่าตลกดี...
ที่ทั้งเขาและฮีชอลต่างก็คบกันมาสามปีกว่าๆ...โดยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคำพูดโกหกของซึ่งกันและกันเป็นเวลานาน
และที่สำคัญคือต่างคนต่างก็เชื่อใจเหล่าคำหลอกลวงจอมปลอมอันแสนหอมหวานของอีกฝ่าย
ชเวซีวอน...รองประธานห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่และดีที่สุดในเอเชีย
คิมฮีชอล...อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์มหาลัยโซล
โกหกมีทั้งโกหกที่ดี และโกหกที่ไม่ดี
และเขาโกหกฮีชอลเรื่องอาชีพของเขาเพื่อที่คนที่เขารักจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง...และเขาไม่อยากให้ฮีชอลตกอยู่ในอันตราย
และนี่ก็คือเหตุผลเดียวกับที่คิมฮีชอลโกหกชเวซีวอนถึงเรื่องอาชีพของเขา
เป็นเวลานานหลายปีตั้งแต่เจอกันจนกระทั่งคบกันและเลิกรากันไปนั้นที่เขาเฝ้าปิดบังอาชีพที่แท้จริงของตัวเองมา...จนกระทั่งวันนี้
ชเวซีวอน...เจ้าหน้าที่FBIที่ฝีมือการต่อสู้นั้นเป็นเลิศชนิดหาตัวจับยาก
คิมฮีชอล...เจ้าหน้าที่ตำรวจแผนกไขปริศนาลึกลับซ่อนเงื่อน
ที่โกหกไป...ก็เพราะรัก
คิดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างนึกขำกับการที่เขาเองก็ไปเชื่อคำโกหกของอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่ฮีชอลเชื่อเขามาตลอด
เพียงแต่คำโกหกของฮีชอลนั้นหลอกเขาได้นานกว่าเท่านั้นเอง
ฮีชอลดันมารู้ว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่FBIเมื่อครึ่งปีที่แล้ว และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาจึงต้องบอกเลิกคนที่รักหมดหัวใจไปเพื่อเดินทางกลับอเมริกาเพียงเพื่อไม่อยากให้ร่างบางต้องตกอยู่ในอันตรายกับอาชีพของเขาที่สร้างศัตรูเอาไว้มาก
ดวงตาคมเข้มไม่อาจละสายตาไปจากร่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าตนได้เลยแม้แต่น้อย ดวงหน้าหวาน ดวงตากลมโต ผมสีดำขลับ รูปร่างอรชรกระอ้อนกระแอ้นราวกับหญิงสาวในชุดสูทสีดำ...ไม่มีส่วนไหนบอกเขาได้เลยว่าทำงานเป็นตำรวจมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ตั้งแต่อายุสิบแปดแหนะ!
แค่ตอนที่เจอกันครั้งแรกแล้วรู้ว่าเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ตั้งแต่อายุยี่สิบสามเขาก็อึ้งไปหนึ่งร้อยสองวันเสียแล้วหละ!
ตรงกันข้ามกับคิมฮีชอลที่ดูจะไม่สนใจชายหนุ่มที่นั่งจ้องตนเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องไปยังภาพถ่ายและเอกสารคดีในมือของตน
ภาพถ่ายศพของเอกอัครราชทูตตรงหน้าตนเป็นเพียงแค่ภาพศพที่โดนยิงที่หัวจนถึงแก่ความตาย ผลการชันสูตรออกมาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แค่โดนกระสุนเจาะหัวตายเพียงเท่านั้น
สถานที่เกิดเหตุก็ไม่มีอะไรปกติ ไม่มีอะไรถูกเคลื่อนย้ายออกไปเลยแม้แต่น้อย จะมีแค่อะไรบางอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพียงเท่านั้น
ขนนกสีดำ
ฆาตกรต้องการจะสื่อถึงอะไรนะ?
“มีพยานรู้เห็นหนึ่งคน”ประโยคเกริ่นนั้นเรียกความสนใจของร่างเล็กให้หันไปมองยังFBIร่างท้วมอีกหนึ่งคนที่เดินมาพร้อมกับยื่นแฟ้มให้ “บังเอิญเหลือเกินว่าเอกอัครราชทูตคนนั้นเป็นคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ และในวันที่เกิดเหตุเขาก็ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ ก็เลยเห็นเหตุการณ์และได้ยินบทสนทนาทั้งหมด”
“เพิ่งสิบเจ็ด? ยังเด็กอยู่เลย”เอ่ยเปรยกับตัวเองเบาๆอย่างนึกเวทนาก่อนจะหันหน้ามามองชินดงฮี FBIร่างท้วมคนนั้น “แล้วเขาอยู่ไหนหละ?”
ชินดงเลือกที่จะมองหน้าสบตากับชเวซีวอนเพื่อนรักตนที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนที่จะหันมาตอบเสียงอ่อย “เขาปฏิเสธที่จะให้คำให้การใดๆทั้งสิ้น
คงเพราะช้อกและไม่อยากจะรื้อฟื้นถึงเหตุการณ์นั้นหละมั้ง”
ดูเหมือนว่าเพียงแค่ประโยคแรกก็ทำเอาฮีชอลจิ้ปากอย่างไม่พอใจได้แล้ว
เขาไม่ต้องการประโยคอธิบายหรอก...และแบบนี้จะดำเนินคดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่ยอมมาให้การ
“แล้วคุณคิดจะทำอย่างไรต่อไปหละคุณฮีชอ...”
“ศาสนาคริสต์?”ดูเหมือนว่าคำถามของชินดงที่ส่งไปให้นั้นจะไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของชื่อมาเลยแม้แต่น้อย
เสียงหวานเอ่ยเปรยขึ้นมาเบาๆพลางมองหน้าร่างท้วม
ชินดงพยักหน้าแทนคำตอบก่อนเอ่ยเสริม “เคร่งเสียด้วย ชนิดที่ต้องไปโบสถ์ทุกวันเลย”
คำตอบที่เป็นคำอธิบายนั้นเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากร่างเล็กได้เป็นอย่างดี...เป็นพวกเคร่งศาสนาอย่างงั้นเหรอ?
ไอเดียความคิดหลากหลายอย่างแล่นเข้ามาในหัว
ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มหวานอย่างพอใจเมื่อแผนการหนึ่งอย่างแล่นเข้ามาในหัว
ถ้าในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมมาเอง เห็นทีคงต้องใช้กำลังบังคับเสียแล้วหละ
“อะไรเข้าหัวอีกหละ?”เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่นั่งมองตนเสียเนิ่นนานถามขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ลุกขึ้นมายืนข้างๆ “คิดจะลักพาตัวเขาอย่างงั้นเหรอ?”
คนโดนถามหันหน้ามามองซีวอนผู้ดูจะเป็นคนเดียวที่อ่านใจออก
หลังจากการที่ได้ด้วยกันมาสามปีกว่าได้ทำให้ชายหนุ่มรู้ถึงนิสัยร่างเล็กได้เป็นอย่างดี...และฮีชอลเองก็รู้นิสัยของร่างสูงเป็นอย่างดีเช่นกัน
“ถ้าฉันบอกว่าใช่หละ?”และไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดต่อเสียงหวานก็รีบเอ่ยต่อไป
“แต่ว่ามันอาจจะทำร้ายจิตใจนายหน่อยนะ”
ชเวซีวอนเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะเคร่งศาสนาคริสต์เหมือนกัน
และดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะเรียกดวงหน้าคมคายให้ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด...หรือว่าฮีชอลจะ...
ดวงหน้าหวานหันขวับไปมองยังชินดงฮีผู้ที่ยังคงดูงุนงงกับท่าทีเจ้าเล่ห์ของร่างเล็กและท่าทีวิตกกังวลหน้าซีดๆของร่างสูง
“พิธีมิซซาครั้งต่อไปเมื่อไหร่?”
มิซซา...พิธีศีลมหาสนิทหรือที่รู้จักกันในนามภาษาอังกฤษว่า Holy Communion นั้นคือพิธีของชาวคริสต์
พวกเขาจะรับประทานขนมปังอันเป็นตัวแทนแห่งกายของพระเยซูและดื่มน้ำองุ่นอันเป็นตัวแทนของโลหิตของพระเยซู
เพื่อที่จะได้ประกาศตนว่าเราเป็นผู้เชื่อ
รำลึกถึงพระเมตตาที่พระเยซูยอมถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้พวกเขา
และยอมรับว่าพระเจ้าได้สถิตอยู่ในกายของเขา
และนี่คือความหมายของคำว่า...ศีลมหาสนิท
“โอพระเจ้า...”เสียงทุ้มยิ่งเปรยกับตัวเองมากขึ้นไปใหญ่ระหว่างที่ดวงตาคมเข้มจ้องมองคนตรงหน้าลำเลียงขนมปังสีขาวไร้เชื้อที่เจ้าตัวได้แอบใส่ยานอนหลับเอาไว้วางลงบนถาดสีเงินขนาดกว้าง
“เอาไว้หลังคดีจบเมื่อไหร่ฉันจะไปสารภาพบาปกับนาย”เอ่ยเสียงเรียบพลางหันหน้ามามองชายหนุ่มข้างๆตนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า พูดจริงและทำจริงกระนั้นริมฝีปากเล็กก็ยังอดบ่นไปไม่ได้กับท่าทีคัดค้านอย่างไม่เต็มใจนักกับการกระทำที่ดูจะเกินไป...แต่ทุกคนที่กินขนมปังนี่จะหลับหมดเลยนะ
“ฉันจะรู้ได้ไงว่าเขาจะกินขนมปังชิ้นไหน? ถ้ารู้ป่านนี้ฉันก็คงใส่ลงไปอันเดียวเท่านั้นแล้วหละซีวอน อีกอย่างมันก็แค่ยานอนหลับเท่านั้น
ตื่นมาก็ทำพิธีกันต่อก็ได้
แค่คนเดียวเองที่หายไปเท่านั้นเองแถมเขายังไม่ใช่บาทหลวงนะ
เขาเป็นเพียงแค่ผู้มาร่วมพิธีคนหนึ่งเท่านั้น มันไม่เป็นไรหรอก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”พูดได้เพียงเท่านั้นก็เป็นอันต้องกลืนน้ำลายก่อนจะคว้าเสื้อโค้ทแล้วเดินออกไป...เขาคงต้องไปสารภาพบาปด่วนที่สุดเสียแล้วหละ!
ยานอนหลับในขนมปังสำหรับพิธีมิซซาเพียงเพื่อจะลักพาตัวคนๆเดียวมาเนี่ยนะ?!
ดวงตากลมโตเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่หายไปหลังบานประตูก่อนจะถอนหายใจแล้วเหลือบมองชินดงที่ทำท่าว่าจะไปตามเพื่อนรักตนกลับมา
“ไม่ต้องหรอก งานนี้ให้นายกับดงแฮจัดการเองก็แล้วกัน ซีวอนคงไม่ยอมทำหรอก”
เป็นเพียงแค่ประโยคคำสั่งจากปากของคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าเขา
แต่น่าแปลกที่ชินดงกลับหยุดนิ่งแล้วยอมทำตามแต่โดยดี
ฮีชอลเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก่อนจะฉีกยิ้มนิดๆที่มุมปาก...ใกล้เวลาพิธีมิซซาเริ่มแล้ว
“จะสิบโมงแล้ว ไปกันได้แล้วหละชินดง”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากประตูห้องโดยมีร่างท้วมได้แต่เดินตามไปอย่างไม่สามารถเอ่ยปากอะไรได้...ท่าทีเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความรู้ที่เขายังต้องประหลาดใจกับความรอบรู้ไปเสียหมดทุกเรื่อง
คนๆนี้หนะเหรอที่มัดหัวใจของFBIหนุ่มเพื่อนรักเขา?
คนๆนี้หนะเหรอที่ทำให้ซีวอนต้องถึงกับไปอ้อนวอนหัวหน้าหน่วยขอมาทำงานคดีนี้เป็นเวลาหลายวันเพียงเพื่อจะได้มาทำงานด้วยกัน
คนๆนี้หนะเหรอที่ทำให้ซีวอนเป็นอันต้องร้องไห้เมื่อทุกครั้งที่ชายหนุ่มกลับไปนั่งหวนถึงอดีตแสนหวาน
คนๆนี้หนะเหรอที่ทำให้ชเวซีวอน หนุ่มหล่อมากความสามารถอันเป็นที่หมายปองของทั้งชายและหญิงถึงกับยอมสิโรราบสยบลงเป็นเพียงแค่ลูกแมวเชื่องๆหนึ่งตัวเท่านั้นจากที่เคยถูกขนามนามว่าเจ้าป่า
คนๆนี้หนะเหรอที่ชเวซีวอนรัก?
คิมฮีชอลเลิกคิ้วอย่างงุนงงเมื่อคนที่คิดว่าจะไปสารภาพที่โบสถ์แถวๆนี้ยืนรอเขาอยู่หน้ารถตู้สีดำอันใช้ปฏิบัติการครั้งนี้ ในมือสองข้างถือถ้วยกาแฟสีขาว
“คุณบอกผมเมื่อกี้ว่าหลังจบคดีนี้เสร็จเราจะไปสารภาพบาปกัน”เอ่ยตอบราวกับอ่านใจร่างเล็กออก ฮีชอลกระตุกยิ้มที่มุมปากพลางยื่นมือมารับเครื่องดื่มของเขาที่ชายหนุ่มสั่งมาให้ “ของนายคงยาวเป็นสองคืนเลยหละมั้ง...แอบใส่ยานอนหลับลงไปในขนมปังสำหรับพิธีมิซซา และยังมีอีกหลายชีวิตที่ฉันคิดว่านายต้องฆ่าไปแน่ๆ...บาปหนักนะนั่น”
“ผมยอมฆ่าคนจำนวนหนึ่งแลกกับทั้งชีวิตและความสงบสุขของคนทั้งโลกใบนี้”
“และนั่นก็คือสาเหตุที่ฉันใส่ยานอนหลับลงไปในขนมปังสำหรับพิธีมิซซาเพียงเพื่อจะลักพาตัวคนๆหนึ่งมาแลกกับชีวิตและความสงบสุขของคนทั้งโลก”เอ่ยสวนกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวพลางยกเครื่องดื่มร้อนๆนั่นขึ้นจิบ
ช้อกโกแลตร้อน...เครื่องดื่มโปรดของเขา ซีวอนยังคงจำได้ดีเสมอไม่มีเปลี่ยนว่าเขาชอบช้อกโกแลตร้อนใส่วิปครีมจากร้านกาแฟ
“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ ผมจำได้ดีเสมอแหละ”ประโยคนั้นทำเอาคนที่กำลังกระดกช้อกโกแลตร้อนเข้าปากเป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวใจหยุดเต้น ราวกับโลกและทุกสิ่งทุกอย่างหยุดหมุน มีเพียงประโยคเมื่อครู่ดังขึ้นมาก้องกังวานในหัวของฮีชอลเท่านั้น
ยังจำได้อยู่อีกเหรอ?
มีเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้นที่แล่นเข้ามาในสมอง อยากจะถามออกไปเหลือเกินแต่ ณ ตอนนี้เขาไร้ซึ่งความกล้าและเรี่ยวแรงใดๆที่จะเอ่ยปากถาม เพียงแค่หายใจออกมาเขายังมองว่าเป็นเรื่องที่หนักเอาการเลยตอนนี
เพราะเพียงแค่เผลอไปสบตาเข้ากับดวงตาคมเข้มนั่น มันก็ราวกับมีเวทมนต์ดูดเอาพลังความอาจหาญของเขาไปเสียหมดดั่งที่เคยเป็นเวลาอยู่กับคนๆนี้เมื่อครึ่งปีก่อน
ที่ทำได้ ณ ตอนนี้มีเพียงแค่ครางเบาๆในลำคอเป็นเชิงตอบรับประโยคนั้นก่อนจะทำท่าว่าเป็นยกช้อกโกแลตขึ้นจิบต่อโดยไม่สนใจสายตาของชายหนุ่มที่มองมายังตนเลยแม้แต่น้อย...ใครเล่าจะรู้ว่าภายในแทบหลอมละลายไปกับดวงตาทั้งสองข้างที่จ้องมองมาราวกับไฟเผาพลาญ
ชเวซีวอนฉีกยิ้มกว้างกับการกระทำตรงหน้า แม้ใครคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นปฏิกิริยาที่น่าผิดหวัง แต่สำหรับเขานั้นเขากลับรู้สึกดีใจเสียมากกว่าเพราะนั่นเป็นวิธีกลบเกลื่อนความอายของฮีชอลต่างหาก
ดวงตากลมโตที่เสมองไปทางอื่นทำเป็นชมวิวทิวทัศน์นั้นจงใจที่จะพยายามไม่สบตากับเขา ยิ่งมีอะไรมาอยู่ในปากเช่นของกินหรือเครื่องดื่มยิ่งดี เจ้าตัวจะได้แสร้งทำเป็นส่งเสียงครางเบาๆตอบกลับมาเท่านั้น
และเจ้าแก้วสีขาวนั่น เพียงแค่ยกขึ้นซดนั้นก็แทบจะบดบังดวงหน้าหวานไปครึ่งแล้ว...นั่นปกปิดสีหน้าแดงระเรื่อเอาไว้ต่างหากนอกเหนือจากการยกขึ้นจิบนิดๆตามสไตล์การดื่มของตน
แต่มันก็น่าน้อยใจนิดๆเหมือนกันที่ฮีชอลไม่คิดจะทำอะไรดั่งที่เคยทำให้เขา ทั้งๆที่ชายหนุ่มมั่นใจอยู่เต็มร้อยว่าร่างเล็กยังรักเขาอยู่และที่มาเกาหลีอีกหนึ่งสาเหตุก็คือเมื่อสะสางคดีนี้จบเขาจะขอคนๆนี้กลับมาเป็นแฟนอีกหนึ่งรอบ
แต่แบบนี้มันทำให้เขาท้อถอยไปบ้างบางที เพราะแบบนี้เขาเลยไม่รู้เลยว่าฮีชอลยังรักเขาอยู่หรือเปล่า...หรือลืมเขาไปหมดแล้ว?
เจ็บเหมือนกันนะ...แบบนี้
ได้แต่ลอบมองแผ่นหลังเล็กของคนตรงหน้าเดินกลับเข้าไปในร้านกาแฟที่เขาเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่โดยมีช้อกโกแลตร้อนติดมือไปด้วย...หรือว่าฮีชอลจะเลิกชอบช้อกโกแลตร้อนแล้วหันไปสั่งอย่างอื่นแทนแล้ว?
ถอนหายใจเศร้าๆแล้วฝืนฉีกยิ้มกว้างให้คนที่เดินออกมาจากร้านกาแฟแล้วตรงตรี่มาทางเขาที่ยืนมองอยู่เงียบๆไม่เอ่ยปากทัก มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่ทักและถาม...ยังรักผมอยู่ไหมครับฮีชอล?
และความท้อแท้น้อยใจของชเวซีวอนก็เป็นอันต้องอันตรธานหายไปหมดกับประโยคจากริมฝีปากเล็ก
“ชอบกินไม่ใช่เหรอ? บราวนี่กับลาเต้นมของนายหนะ?”ไม่ว่าเปล่าถุงกระดาษขนมก็ถูกยื่นมาให้ ชายหนุ่มได้แต่กระพริบตาปริบๆอย่างตั้งตัวไม่ทันกับท่าทีของร่างเล็ก
“จะกินไม่กิน?”เอ่ยถามเสียงห้วนอีกครั้งตามนิสัยสไตล์ของตน คราวนี้ปลุกซีวอนให้ตื่นจากภวังค์ได้ ริมฝีปากหยักฉีกกว้างระหว่างที่เอื้อมมือไปหยิบถุงตรงหน้าตน...ฮีชอลยังไม่ลืมว่าเขาชอบกินบราวนี่กับลาเต้นมคู่กัน
แม้คิมฮีชอลจะเดินขึ้นไปนั่งในรถตู้แล้วเรียบร้อย แต่รอยยิ้มกว้างก็ยังไม่หายไปจากดวงหน้าคมคาย ร่างสูงยังคงยืนอยู่ที่เดิมในมือถือถุงกระดาษที่บรรจุบราวนี่เอาไว้ในมือ ค้างเอาไว้ท่าเดิมไม่เปลี่ยน...และยิ้มอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า
แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว เพราะเพียงแค่นี้เขาก็ได้รับกำลังใจกลับมาเป็นล้นพ้นเติมเต็มหัวใจให้พองโตเสียแล้วกับกากระทำที่ตอกย้ำความคิดของเขาว่ามันเป็นความจริงไม่ได้ฝันไป
คิมฮีชอลยังรักและห่วงใยชเวซีวอนอยู่เหมือนเดิม
ลีดงแฮ ตำรวจหนุ่มสุดหล่อเพื่อนซี้ข้ามแผนกของคิมฮีชอลได้แต่ยืนมองภาพสวีทหวานนิดๆขมปะแล่มหน่อยๆของเพื่อนรักตนกับอีกหนึ่งหนุ่มส่งตรงจากอเมริกาที่บินลัดฟ้ามาถึงเมื่อเช้า...FBI อันดับหนึ่งของอเมริกา ชเวซีวอน
มันดูจะหวานนิดๆและแฝงไปด้วยความขมที่ตัดกันกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่
ความหวานเลี่ยนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะหาได้ดูเวลาซีวอนและฮีชอลอยู่ด้วยกัน
เพราะชเวซีวอนเป็นคนที่โรแมนติก
อบอุ่นและหวานแหววเสียตลอดเวลา...คนๆนี้คือที่มาของความหวาน
ส่วนคิมฮีชอลเพื่อนรักเขาเป็นคนเย็นชาปากแข็งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แถมปากว่าอย่างมือไม้ก็ไปอีกอย่างแถมใจก็ไปกันคนละทิศละทางเสียด้วย...คนๆนี้คือที่มาของความขม
เขายอมรับเลยว่าเขาช้อกชนิทที่ว่าพูดอะไรไม่ออกไปสี่ร้อยสิบเอ็ดวินาทีเมื่อตอนที่เพื่อนรักหน้าหวานของตนพาซีวอนมาแนะนำให้ในฐานะคนรู้จัก...ณ
ตอนนั้นที่ต่างฝ่ายต่างก็พากันโกหก ซีวอนโกหกว่าเป็นรองประธานห้างที่ใหญ่และดีที่สุดในเอเชีย
และน่าตลกดีที่ทั้งเขาและฮีชอลต่างก็ปักใจเชื่อเสียสนิท
เช่นเดียวกับที่ซีวอนเชื่อเรื่องอาชีพบังหน้าของฮีชอล...อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ที่มหาลัยกรุงโซล
น่าแปลกที่ชเวซีวอนกลายมาเป็นคนที่ฮีชอลต้องโกหกใส่เป็นเวลานานหลายปีที่สุดตั้งแต่รู้จักกันเพราะปรากฏว่าชายหนุ่มไม่ใช่แค่คนรู้จัก
จากเพื่อนกลายมาเป็นคบหากันชนิดอยู่กินด้วยกัน...และมีอะไรกันด้วยความรัก
พอนึกถึงตรงนี้ก็นึกขำ
เพราะก่อนที่เขาจะรู้จักกับซีวอน เขาและฮีชอลรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้เป็นเพื่อนสนิทกันและดงแฮเองก็เป็นคนที่รู้เรื่องที่ร่างเล็กมีอาชีพบังหน้าเสียด้วย
มีอะไรกันงั้นเหรอ?
เซ็กสซ์หวานๆขมๆของไอ้สองคนนั้นมันจะเป็นยังไงนะ?
เพียงแค่คิดเท่านี้ก็เป็นอันต้องยืนขำออกมาเสียแล้ว
แถมสมัยนั้นเจ้าชเวซีวอนก็ยังเป็นเสือผู้หญิงคาสโนว่าชื่อดังเสียด้วย
ส่วนฮีชอลนั้นก็...มาดขรึมน้ำแข็งแช่เย็นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เจอกันครั้งแรกเมื่อครั้งซีวอนมีแฟนเป็นนักศึกษาปีสี่แล้วขับสปอร์ตมารับ
แต่กลับเจอฮีชอลกำลังเดินออกมาจากมหาลัยพอดี
และกลายเป็นว่าชายหนุ่มก็ตามจีบอาจารย์สอนประวัติศาสตร์หน้าหวานมาตั้งแต่นั้นทันที
แม้ช่วงแรกที่ฮีชอลจะไม่รู้และไม่ได้คิดอะไรมากนักนั้น
เจ้าตัวติดจะแสดงท่าทีรำคาญเล็กน้อยแต่เพราะเป็นเพื่อนกันจึงไม่ได้พูดอะไรมากออกไป
ทว่าพอนานวันเข้าความรำคาญก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกดีๆ และยิ่งเมื่อตอนที่ซีวอนสารภาพรักนั้นเจ้าคนเย็นชาก็ถึงกับพูดไม่ออกได้แต่หน้าก้มพื้นแล้วพยักหน้าอายๆ...นี่คือฟังจากที่ฮีชอลมันเล่าในโทรศัพท์มานะ
จนแล้วจนรอดดงแฮก็ยังไม่รู้จริงๆว่าสองคนนั้นโกหกกันมาได้อย่างไรเป็นเวลานาน
เท่าที่เขารู้คือฮีชอลดันไปรู้ว่าซีวอนเป็นFBIเข้าโดยบังเอิญ และวันต่อมาชายหนุ่มก็บอกเลิกและกลับอเมริกาไปทันที
ทิ้งเอาไว้เพียงเพื่อนรักของเขาที่นั่งนิ่ง...และจะร้องไห้ออกมาเงียบๆเท่านั้นตราบใดที่อยู่คนเดียว
เขาเองก็นึกอยากจะบินไปฆ่าเจ้านั่นเหมือนกัน
ถึงจะเป็นFBIมือหนึ่งก็ตามทีเถอะ แล้วไงวะ? ทำเพื่อนเขาเจ็บนี่! เขายิ่งถือคติชอลเจ็บเยเจ็บอยู่ด้วยนะ~!
แต่พอมีคดียิ่งใหญ่ที่เอกอัครราชทูตอเมริกาถูกฆ่าตายที่เกาหลีแล้วนั้น
ทางFBIก็ได้ส่งซีวอนและชินดงมาประสานงานกับทางกรมตำรวจที่นี่
มันทำให้เขาเชื่อว่าความจริงแล้วชเวซีวอนอาจจะไม่ได้งานนี้เลยด้วยซ้ำ
อะไรบางอย่างทำให้เขาเชื่อว่าซีวอนอ้อนวอนขอร้องหัวหน้าแผนกที่นู้นขอร้องให้มาทำคดีกับทางตำรวจเกาหลี
เพราะหวังจะได้เจอกับคิมฮีชอลอย่างไงหละ
แม้ ณ
ตอนนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าร่างเล็กมีอาชีพเป็นตำรวจในแผนกไขปริศนา
พอมารู้ความจริงเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปรับฮีชอลที่มหาลัยกรุงโซลแล้วกลับมาฟังเรื่องคดีด้วยกัน
เมื่อตอนตำแหน่งเปิดเผย
เขาที่กำลังนั่งดื่มน้ำแอปเปิ้ลไปฟังที่หัวหน้าพูดไปแทบหัวเราะก้ากออกมาตอนเห็นใบหน้าตื่นตกใจของชเวซีวอน...ที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนฮีชอลหลอกเข้าให้ไปหลายปีเต็มๆ
ความคิดของเจ้าหมอนั่นตอนนั้นคงเป็น...มิน่า~ กูก็สงสัยเหลือเกิ๊นเหลือเกินว่าทำไมทางตำรวจที่นี่ถึงให้กูไปรับฮีชอลอาจารย์สอนประวัติศาสตร์มา!
ทวนความจำตัวเองกันถึงตรงนี้ก็หยุดแล้วนึกย้อนไปยังภาพเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วอมยิ้มนิดๆ...แบบนี้เขาว่าหลังคดีจบสองคนนั้นก็คงกลับมาคืนดีกันอยู่แล้วหละ
ก็ยังรักกันอยู่นี่
แต่ถึงเจ้าฮีชอลจะปากแข็งชนิดที่ว่ารักนะแต่ไม่แสดงออกไปหน่อยก็เถอะ
แต่ที่ดูๆมาแล้ว
ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็บ่งบอกได้เลยว่าฮีชอลเองก็รักซีวอนเหมือนกัน
เพียงแค่เจ้าคนปากแข็งนั่นไม่รู้วิธีแสดงความรักออกมาหวานๆแบบคนอื่นเขาต่างหากหละ
ชเวซีวอนและคิมฮีชอล...ซีวอนฮีชอล...วอนชอล...หวานขมหวานขม
ท่องเอาไว้เว้ยดงแฮ หวานขมหวานขม! ให้ตายเถอะ เขาชอบคู่นี้หวะ~
หวานขมหวานขม~
“เป็นอะไรของนายดงแฮ?”
บุคคลที่ทำให้ความรักขมปะแล่มๆนั้นเอ่ยทักหลังจากที่เขาเดินมาดูท่าทีเพื่อนรักที่สมควรจะปลอมตัวเป็นพนักงานต้อนรับหน้าโบสถ์ที่ดูแปลกไป...นั่นก็คือมันยิ้มอยู่คนเดียวและหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า
เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ “อะโลฮ่าฮีชอล~ ฉันนี่อิจฉานายจริงๆหวะ”
“ยังไง?”เอ่ยถามเรียบๆพลางยกถ้วยช้อกโกแลตร้อนขึ้นมาจิบอีกรอบ
ดงแฮกลอกตามองฟ้าก่อนเอ่ยตอบอย่างสบายอารมณ์
“อยู่ในรถตู้อุ่นๆ มีคนซื้อช้อกโกแลตร้อนๆมาให้
แถมยังไม่ต้องออกมายืนรับอากาศที่เสือกมามีลมหนาวพัดผ่านไปผ่านมาในวันนี้อีก
ฉันว่าเราสองคนมาสลับตำแหน่งกัน...”
“ซีวอนไม่ให้”เอ่ยขัดขึ้นมาเรียบๆแล้วรีบทำเป็นยกช้อกโกแลตร้อนขึ้นจิบกลบเกลื่อนความอาย
แต่นั่นก็ไม่สามารถหลอกตาดงแฮเพื่อนรักตั้งแต่เด็กของตนได้หรอก...ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะหึๆ
ไม่คิดล้อเลียนเพราะเดี๋ยวถ้าฮีชอลโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่
ช้อกโกแลตร้อนที่เคยอยู่ในถ้วยคงมาประดับหน้าเขาให้หายหนาวแน่ๆ
ที่ทำได้ก็เพียงแต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยตาม “ซีวอนไม่ให้ ก็เพราะเขากลัวคิมฮีชอล
อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ที่ความจริงเป็นตำรวจมายืนตากลมหนาวหนะสิ”มาถึงตรงนี้ก็อดจะล้อไม่ได้อย่างสนุกปาก
“เพียงแค่เห็นร่างของฮีชอลคนที่รักหมดหัวใจยืนสั่นปากพับๆจะตายห่าเพราะลมหนาวที่พัดมาอยู่แล้ว
หัวใจของชเวซีวอนก็แทบแตกสลาย และยิ่งภาพคนรักล้มเป็นลมพับไปต่อหน้าต่อตา ชเวซีวอนก็แทบคลั่งตายเสียแล้ว”
“เพ้อเจ้อ-__-;”เอ่ยด่าทอเงียบๆกลบเกลื่อนความอาย
ดวงหน้าหวานหันหน้าหนีไอ้เจ้าเพื่อนรักที่กำลังล้อเลียนตนอย่างสนุกปากเพื่อปิดบังดวงหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงแปร้ด
“ฉันพูดความจริงอยู่หวะฮีชอล แล้วนายลองมาดูฉันสิ
คงเป็นเพราะว่าฉันไม่มีคู่แน่ๆ ซีวอนถึงเฉดหัวฉันให้มายืนเป็นพนักงานต้อนรับ”
“ไม่ใช่แค่เพราะนายไม่มีคู่หรอกดงแฮ”เสียงหวานที่กล่าวขึ้นเมื่อชายหนุ่มพูดจบ
ดวงหน้าหวานหันหน้ามาสบตาเพื่อนรักด้วยสายตาเวทนาก่อนเอ่ยประโยคปลอบใจออกไป
“แต่เพราะนายถึกกว่าฉันไงหละ นายถึงได้มาเป็นพนักงานต้อนรับตากลมหนาวๆ”ช่างเป็นประโยคเจ็บแสบที่หลอกด่าตามสไตล์คิมฮีชอลเจ้าคนเย็นชาจริงๆ...หนอยแน่! เสือกเห็นด้วยว่าเขาไร้คู่ทำให้ต้องมายืนตากลม
และยังเสริมอีกว่าเขาถึกเกิน! แบบนี้เขาเรียกว่าเซเมะเฟ้ยยย~! ไอ้เจ้าอุเคะน้ำแข็งเอ้ยย~!!
และแล้วเจ้าของประโยคเมื่อพูดจบก็หมุนตัวแล้วเดินลงบันไดกลับเข้าไปในรถตู้
ดงแฮนึกอยากจะตามไปตีก้นสักป้าบดั่งที่เคยทำเวลาหมั่นไส้แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเขากำลังประจำหน้าที่อยู่และชเวซีวอนก็อยู่ในนั้น
เดี๋ยวไอ้หมอนั่นหึงโหดคว้าปืนมายิงเขาจนร่างพรุนไปทั้งตัวหละจะว่าไง?
หุหุ เขาสนับสนุนให้ซีวอนและฮีชอลรักกันนะ
ครุๆคริๆครุๆคริๆ~ คอนเซปเดิมขอรับท่านผู้อ่านหวานคือซีวอนส่วนขมคือฮีชอล
ความแตกต่างที่ลงตัว
หวานขมหวานขม~
เนตใช้ไม่ได้ ก็เลยอัพช้าไปสองวันนะคะ ขอโทษด้วย
ตอนนี้วันเดอหัวไม่แล่นอย่างรุนแรง อ่าน Hallelujah ไปก่อนก็แล้วกันนะคะแฟนฟิกทุกคน TT .
ขอโทษด้วย :(
ความคิดเห็น