คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1
ปังงงง!
สิ้นเสียงเหนี่ยวไกปืนร่างหนาที่เคยยืนตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ก็ล้มลงไปข้างหน้า
บนใบหน้าที่ซีดเผือดด้วยความกลัวนั้น
โลหิตสีแดงรินไหลออกมาจากรูกระสุนที่ประดับอยู่บนหน้าผาก
นัดเดียว...จอด
เพชรฆาตผู้ดับชีวิตคนตรงหน้านั้นลดปืนลง
ก้มลงมองร่างไร้วิญญาณที่เขาเป็นคนปลิดชีพไปก่อนกระตุกยิ้มที่มุมปาก...เอกอัครราชทูตแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาถูกฆ่าตายในประเทศเกาหลีใต้
ภารกิจเสร็จสิ้น
เจ้านักฆ่าเงยหน้ากวาดสายตามองดูรอบๆห้องก่อนจะหมุนตัวแล้วหันหลังเดินจากไป
ทิ้งไว้แค่เพียงร่างไร้วิญญาณของคนที่ได้รับมอบหมายจากนายใหญ่ให้มาจัดการเท่านั้น
นอนจมกองเลือด...และตาย
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น...ใช่
มันเป็นเพียงแค่การเรียกความสนใจจากทั่วทุกมุมโลกต่างหาก
ระหว่างที่ทั่วทั้งโลกพยายามตามหาฆาตกรตัวร้ายตามคำใบ้
พวกเขาก็จัดการฆ่าเหยื่อรายต่อไปเสียแล้วหละ
เพื่อการประกาศศักดินาความเป็นใหญ่ของพวกเขา
และเพื่อเรียกตัวเจ้าหมอนั่นมาเพื่อกำจัดทิ้งเสีย
ถ้าโลกไร้ซึ่งเจ้าหมอนั่น
พวกเขาคงทำอะไรต่อมิอะไรและครอบครองโลกเพื่อเป็นที่หนึ่งได้สะดวกขึ้น
เหยียดยิ้มอย่างนึกสนุกระหว่างที่อีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
แล้วหยิบเอาขนนกสีดำขึ้นมา หันหลังโยนลงไปในกองเลือดก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆทั้งสิ้น
เจ้านักฆ่าก็หายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
ทิ้งเอาไว้เพียงหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ เป้าหมายหมดลมหายใจ
โยนเจ้าสิ่งนั้นลงไปเพื่อเป็นคำใบ้ ลงมือฆ่าในตอนกลางคืนเมื่อเป้าหมายอยู่ในห้องทำงาน...
...แต่ไม่ได้อยู่คนเดียว
และเขาก็รู้ดีเสียด้วย
เขาหันหน้ากลับมามองยังโต๊ะตัวนั้น
กระตุกยิ้มที่มุมปาก...เด็กคนนี้แหละคือคนที่เขาจะฝากข้อความเอาไว้ให้ไปบอกทางตำรวจเพื่อที่จะเปิดคดีสืบสวนตามหาพวกเขาได้โดยเดินไปตามทางที่พวกเขาปูเอาไว้
“ฟังให้ดีนะไอ้หนู รีบไปบอกคำใบ้ให้พวกนั้นแล้วเราจะรออยู่ที่สถานที่นั่น
ยิ่งเร็วยิ่งดีเพราะถ้าช้าเกินไปโลกอาจจะปั่นป่วนมากกว่านี้...”
“...จงมอบกระดาษแผ่นนี้ให้พวกนั้น”
และเขาก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้เด็กที่เขาเลือกจะไม่ฆ่าหมายจะฝากข้อความไปบอกให้อยู่คนเดียวในความมืด...และแผ่นกระดาษหนึ่งใบบนโต๊ะ
“ฮึกก~”เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุมหลังการจากไปของฆาตกรใจโหดนั่นแล้ว
ร่างที่นั่งตัวลีบหน้าซีดอยู่ใต้โต๊ะก็คล่อยๆคลานออกมาอย่างช้าๆ
เขาเห็นทุกอย่าง เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ...เขาเห็นภาพคุณท่านที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กจนโตถูกยิงตรงหัวและล้มลงไปนอนจมกองเลือดตายต่อหน้าต่อตา
เขาได้ยินสรรพเสียงบทสนทนาทั้งหมดก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระสุนปืนที่ดังขึ้น เขาเห็น
เขาได้ยิน...เขาเป็นพยานคนเดียวเท่านั้น
มือเล็กค่อยๆหยิบกระดาษที่ถูกพับเอาไว้เก็บสอดใส่กระเป๋าเสื้อแนบอกก่อนจะหันกลับไปมองยังร่างที่นอนอยู่ข้างหลัง
“ค คุณท่าน...”เอ่ยเรียกชื่อร่างไร้วิญญาณข้างหน้า ไร้ซึ่งคำตอบใดๆจากคุณท่านข้างหน้าตน
บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นในห้องนี้
แค่เขาและร่างไร้วิญญาณของคุณท่านเท่านั้นจริงๆ
“PLO...”
เสียงหวานเอ่ยเกริ่นขึ้นมาระหว่างที่เดินลงบันไดมายืนอยู่หน้าห้องเลคเชอร์
ร่างทั้งร่างหันมาประจัญหน้ากับเหล่านักศึกษาก่อนเอ่ยอธิบายต่อเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินกันทั่วทั้งห้อง
“Palestinian Liberation Organisationหรือองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์
ก่อตั้งขึ้นในปี1964...ทำไม?”
คำสุดท้ายเอ่ยถามห้องทั้งห้อง
ดวงตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อนับดูจำนวนมือที่ยกขึ้นมาตอบคำถามอย่างนึกพอใจ...มากกว่าครึ่งห้อง
“แจจุง”
“เพื่อเอาดินแดนที่พวกปาเลสไตน์เคยเสียไปตอนสงครามในปี1948-49จากอิสราเอลครับ”ดวงหน้าหวานพยักหน้ากับคำตอบที่ได้รับพลางเอ่ยเสริม “นั่นเป็นจุดมุ่งหมายในช่วงแรกๆ แต่ ณ ตอนหลังกลับต้องการมากกว่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของนักศึกษาทั้งชั้นจึงต้องอธิบายต่อไปอย่างเสียไม่ได้
“นั่นก็คือการก่อตั้งประเทศปาเลสไตน์อย่างเป็นถาวร
เพื่อที่ชาวปาเลสไตน์ที่ทั้งถูกขับไล่และลี้ภัยกระจัดกระจายไปยังประเทศอาหรับทั้งหลายได้คืนสู่ภูมิลำเนาเดิม...”
“...และนั่นก็หมายถึงการกำจัดประเทศอิสราเอลออกไปจากแผนที่โลกเสีย”
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องเมื่อสิ้นสุดประโยคนั้น
ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าแม้แต่ที่จะหายใจออกมา
ราวกับประโยคเมื่อครู่ได้บั่นทอนลมหายใจของตนไปเสียแล้วเรียบร้อย
ความรู้สึกเสียวสันหลังชนิดขนลุกชันแล่นริ้วเข้าสู่ทุกๆคนเมื่อได้ยินประโยคนั้น...กำจัดประเทศหนึ่งประเทศออกจากแผนที่โลกมันหมายถึงสงครามขนาดใหญ่เชียวนะ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งชั้นที่เงียบไปอย่างหวาดกลัว
ร่างเล็กที่ยืนอยู่หน้าห้องเงยหน้าขึ้นจากสมุดเช้กชื่อก่อนจะฉีกยิ้มหวานอย่างนึกเอ็นดูเหล่านักเรียนของตนแล้วรีบเอ่ยแก้
“แต่ตอนนี้พวกเขาได้เปลี่ยนไอเดียเสียแล้ว
ถึงจะมีบางคนก็ตามแต่ที่ต้องการกำจัดอิสราเอลออกไปจริงๆจากแผนที่โลกก็ตาม...แจจุง?”
เอ่ยเรียกชื่อนักศึกษาหน้าสวยคนเดิมที่ยกมือขึ้นเป็นครั้งที่สอง
ครั้งนี้เพื่อถามคำถามในใจของตนออกไป “แล้วมันจะมีวิธีที่จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงโดยไม่ต้องฆ่าฟันไหมครับ?”
คำถามนั้นเรียกความสนใจจากร่างเล็กได้เป็นอย่างดี
สอนเรื่องสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์กับปีหนึ่งมาหลายปี
ไม่เคยมีเลยสักคนที่จะถามคำถามนี้
ส่วนคำตอบ...มันไม่มีคำตอบที่แน่ชัดอยู่แล้วสำหรับเรื่องนี้
มันขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนว่าอยากจะให้ออกไปเป็นอย่างไร
อันตัววิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าใครผิดและใครถูก
เพียงแค่มันขึ้นอยู่กับมุมมองของคน
ถ้าหากถูกกำหนดมาว่าใครผิดและใครถูกนั้นเขาเชื่อว่าโลกนี้คงไม่มีความยุติธรรมหรอก
และนั่นก็คือสาเหตุที่ทุกคนต่างพากันยกเหตุผลอ้างอิงถึงสาเหตุที่ตนทำสงคราม
อิสราเอลทำสงครามเพื่อปกป้องประเทศของตนจากเหล่าประเทศอาหรับเพื่อนบ้านของเขา...ถึงแม้
ณ ตอนนี้จะยอมรับแล้วก็ตามที
ปาเลสไตน์ทำสงครามเพื่อต้องการดินแดนจากประเทศอิสราเอลคืนมาเป็นของตนโดยสมบูรณ์
เหล่าประเทศอาหรับที่เป็นเพื่อนบ้านกับอิสราเอลทำสงครามเพื่อที่จะกำจัดอิสราเอล
ปฏิเสธที่จะยอมรับถึงการก่อตั้งอิสราเอลสู่ประชาโลก
ต่างฝ่ายต่างความคิดนำมาซึ่งปัญหาและนำไปสู่สงครามหรือการปฏิวัติ
ผลกระทบและผลลัพธ์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งการเมือง การตลาด หรือทั่วทั้งโลกใบนี้
และนี่ก็คือเสน่ห์ของประวัติศาสตร์
วิชาที่สอนให้ตั้งคำถามไม่ใช่เพียงแค่ขวนขวายหาคำตอบ
หากแต่ตั้งคำถามไปด้วยระหว่างที่ค้นหามันตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบ...เกิดขึ้นเพราะ?
เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างนั้น? ผลกระทบและผลลัพธ์ต่อจากนั้นคือ?
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอดีตที่ผ่านมาคือการเรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่ได้กระทำไปเมื่อในอดีตและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกหนึ่งครั้ง
“ถ้าหากพวกเขายอมคุยกันดีๆอย่างกรณีการตกลงกันที่ออสโล
ประเทศนอร์เวย์ปี1993แบบนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสันติก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล”
“แล้วถ้าพวกเขาเลือกสงครามหละครับ?”
“สงครามคือทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการ
แม้ว่าบางทีสงครามจะนำความสงบสุขและสันติมา
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสันติสุขที่ได้รับมานั้นจะสามารถทำให้คนที่เรารักที่สุดคืนชีพกลับมาได้หรอก...เอาหละ
เลิกชั้นได้!!”
เฝ้ามองนักศึกษาห้าสิบกว่าชีวิตลุกขึ้น
จัดกระเป๋าแล้วพากันเดินออกไปจากห้องเลคเชอร์
ฮีชอลเอนตัวพิงโต๊ะไม้เก่าๆก่อนจะถอนหายใจเบาๆระหว่างที่สายตามองดูลูกศิษย์คนสุดท้ายเดินออกไปจากห้อง
ประโยคที่เขาพูดออกมาในหัวยังคงดังก้องอยู่
สงครามแสดงให้เห็นถึงคนที่บ้าคลั่งสงครามและคนที่ต่อต้านสงคราม
สงครามแสดงให้เห็นถึงด้านดีและด้านชั่วของคนและสงครามแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้คนของคนที่รักชาติ
“Dulce et decorum est pro patria mori”
ประโยคภาษาโรมันดังเข้ามาในหัว ฮีชอลฉีกยิ้มแห้งๆให้กับตัวเอง
ใครคนหนึ่งเคยพูดประโยคนี้และแปลความหมายของมันให้ฟังเมื่อครั้งเขาถามถึงเรื่องทำไมคนบางคนที่สนับสนุนให้เกิดสงคราม
ดัลเช เอท เดคอรัม โปร ปาเตรีย มอริ
คิมฮีชอลมองไปข้างนอกระหว่างนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนเข้ามาในให้เจ็บหัวใจเล่นๆ
ทั้งๆที่มันผ่านไปครึ่งปีกว่าๆแล้วทำไมเขาถึงยังจดจำรายละเอียดทุกๆเหตุการณ์ทุกๆคำพูดของผู้ชายคนนี้ได้ดีตลอดเลยนะ?
“Dulce et decorum est pro patria mori?”
“การตายเพื่อชาติอันเป็นที่รักถือว่าเป็นศักดิ์ศรี
ความถูกต้องและเกียรติสูงสุด”
ชเวซีวอน...
“จะฆ่าจะแกงกันทีทำไมต้องเป็นช่วงที่พวกเรากำลังจะได้หยุดงานด้วยเนี่ย?
ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลย”
เสียงเพื่อนร่วมงามบ่นขึ้นเป็นครั้งที่ร้อยกว่าทันทีที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่สถานีตำรวจกรุงโซล
การที่จู่ๆได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าตอนกลางดึกแล้วต้องรีบกุลีกุจรจัดกระเป๋า
เดินทางมายังสนามบินและขึ้นเครื่องบินข้ามน่านฟ้าบินมายังเกาหลีใต้นั้นมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว
และจึงไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมFBIฝีมือพระกาฬร่างท้วมคนนี้ถึงได้บ่นออกมาอย่างหงุดหงิดระหว่างที่ทิ้งตัวลงบนโซฟาที่จัดเอาไว้ต้อนรับแขก
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องฆ่าเอกอัครราชทูตของอเมริกาด้วย? ไอ้คนฆ่านี่มันต้องการจะประกาศสงครามกับอเมริกาหรือไงวะเนี่ย?”โดยไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานที่บินมาด้วยกันผู้ที่กำลังนั่งอ่านแฟ้มคดีได้เอ่ยปากพูด
ร่างท้วมก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงติดจะเหนื่อยๆ
“ฉันเข้าใจนะว่าพวกนั้นเป็นพวกรักชาติและต้องการเรียกร้องความสนใจอะไรสักอย่างจากอเมริกา
แต่พวกนั้นพร้อมจะตายเพื่อชาติอย่างงั้นเหรอ? พวกนั้นกำลังสู้อยู่กับมหาอำนาจอเมริกาเลยนะ”
คำว่า ‘ตายเพื่อชาติ’ นั้นแล่นเข้ามาสะกิดให้ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่รับฟังปิดแฟ้มในมือก่อนจะเหลือบออกไปมองนอกหน้าต่างที่ยังคงบ่งบอกถึงเวลาเที่ยงวัน
เขานิ่งไปสักพัก
ภาพความทรงจำในวันวานแล่นเข้ามาเพิ่มความชุ่มชื้นให้หัวใจก่อนจะทิ่มแทงให้พบกับความเจ็บปวด
ตายเพื่อชาติ...มันย้อนให้เขาหวนกลับไปนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับคนๆนั้นจริงๆ
.
.
.
“น่าแปลกนะ
ที่คนบางคนก็พร้อมที่จะสามารถตายเพื่อชาติได้เสมอทุกครั้งที่เกิดสงคราม”
เสียงหวานที่โพล่งออกมาเรียกความสนใจจากคนที่กำลังนอนหนุนตักดูทีวีด้วยกันละสายตาจากภาพทีวีที่กำลังฉายภาพสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอิรักให้หันมามองยังคนพูด
“Dulce et decorum est pro patria mori”ดวงหน้าหวานก้มหน้าลงมาสบตากับชายหนุ่มคนรักบนตักตนพลางเอ่ยทวนคำอีกหนึ่งครั้ง
“Dulce et decorum est pro patria
mori?”
การตายเพื่อชาติอันเป็นที่รักถือว่าเป็นศักดิ์ศรี
ความถูกต้องและเกียรติสูงสุด”
ประโยคโรมันแสนเก่าแก่ที่เหล่าผู้รักสงครามและพร้อมจะตายเพื่อประเทศอันเป็นที่รักบอกเอาไว้แก่ตัวเองเสมอเมื่อครั้งเวลากำลังจะก้าวสู่สมรภูมิรบเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
ร่างเล็กนิ่งไปก่อนจะเอ่ยทวนคำแปลเบาๆ ซีวอนนึกดีใจเมื่อค้นพบว่าคนรักตนดูจะไม่เคยได้ยินประโยคนี้จริงๆ
ในที่สุดก็มีเรื่องทีคนๆนี้ไม่รู้เสียจนได้!
ฮูเรในใจเงียบๆได้ไม่นานเสียเท่าไหร่ก็เป็นอันว่าต้องผิดหวังชนิดหน้าแตกเพล้งทันทีเมื่อเสียงหวานสวนกลับมาเป็นภาษาละตินยาวกว่าเก่า
“Dulce et decorum est pro patria mori, sed dulcius pro patria vivere, et
dulcissimum pro patria bibere. Ergo, bibamus pro salute patriae”
ดัลเช เอท เดคอรัม โปร ปาเตรีย มอริ เซด เดาเซียส โปร ปาเตรีย
วิเวียร์ เอท เดาซิสซิมัม โปร ปาเตรีย ไบเบียร์ อาโก ไบบามัส โปร ซาลุท ปาเตรียเอ
“การตายเพื่อชาติอันเป็นที่รักถือว่าเป็นศักดิ์ศรี
ความถูกต้องและเกียรติสูงสุดก็จริง
แต่การมีชีวิตอยู่และดื่มเพื่อชาติอันเป็นที่รักก็เป็นถือว่าเป็นศักดิ์ศรี
ความถูกต้องและเกียรติสูงสุดเช่นกัน
เพราะฉะนั้นจงชีวิตอยู่และดื่มเพื่อชาติของเราเสียดีกว่า”
เป็นประโยคที่โต้แย้งในทีกับความคิดของเขา ซีวอนฉีกยิ้มกว้าง...ไม่เคยมีครั้งไหนๆเลยที่สามารถเถียงคนที่รู้รอบด้านไปเสียหมดคนนี้ได้
ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสามารถยกเหตุผลและความรู้ของตัวเองมาเอาชนะได้
เพราะความรอบรู้ที่มีอยู่มากกว่าหลายเท่าของคนๆนี้ทำให้เขาไม่เคยเถียงชนะเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มนึกอยากจะเอ่ยเป็นประโยคภาษาละตินตอบกลับไปบ้าง
แต่เขาเองก็รู้ภาษาละตินเพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว
เขาจึงได้แต่เถียงกลับเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเองในใจเงียบๆระหว่างจ้องมองดูคนรักที่หันกลับมาสนใจทีวีแทนเขาผู้กำลังนอนหนุนตักนิ่มอยู่
และมันก็คงเป็นศักดิ์ศรี
ความถูกต้องและเกียรติสูงสุดที่ได้คิมฮีชอลคนผู้มากไปด้วยความรู้ที่มาเป็นคนรักใช่ไหม?
.
.
.
คิมฮีชอล...
นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้กลับมาเหยียบเกาหลีใต้
สถานทีที่เต็มไปด้วยความทรงจำล้นหลามเต็มหัวใจระหว่างเขาและฮีชอล
แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปครึ่งปี แต่ทุกอย่าง รายละเอียด สัมผัม
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจเขาไม่หาย
แม้จะเลิกรากันไปแล้วก็ตามแต่
แต่หัวใจนั้นก็ยังคงอยู่กับคนๆเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ไม่สามารถรักใครได้อีกเลยนอกจากคนๆนี้เท่านั้น
ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เขาได้โคจรกลับมาเจอคิมฮีชอลอีกหนึ่งครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกันก่อนอ่านตอนต่อไป :)
เพราะว่าฟิกเรื่องนี้จะลงเป็นแบบนี้เลยอย่างที่เห็นกันในตอนที่หนึ่ง
ซ๊องเลยแนะนำให้แฟนฟิกกดเพิ่มตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นแล้วลากคลุมดำได้ตามใจชอบเลยคะ
(ทั้งนี้เพราะแฟนฟิกบางคนไม่สามารถอ่านบนเนตได้จึงต้องปริ้นท์ไปอ่าน)
นาซิสซ๊อง ไส้แห้ง ณ เด็กดีดอทคอม .
Dulce et decorum est pro patria mori ชอบประโยคนี้มาก ^UUU^
อยากจะบอกว่ารู้สึกว่าตอนที่หนึ่งเนี่ย ไฮโซมาก ภาษาดูไม่ไช่ซ๊องเลย
ซ๊องมาอ่านแล้วแบบ นั่งขำ มันไฮโซเกิ๊น! มีละตินด้วย ๕๕๕ '
ไอ้ประโยคละตินที่มันยาวๆนี่ต้องนั่งออกเสียงออกแบบ
ตอนตีหนึ่งนั่งคนเดียวแล้วพูด เออๆ เดาเซียสๆ โปรเตียๆอยู่คนเดียว :p เพราะฉะนั้นบางทีการอ่านออกเสียงอาจจะไม่ถูกนะคะ ขอโทษเอาไว้
ฟิกมึนๆของคนมึนๆ
เพราะอิคนแต่งปั่นฟิกนี้ตั้งแต่ราวๆทุ่มจนถึงตีสองกว่าตลอด-_-!
คนอ่านมึนไหม? คนอ่าน :มึนมากก -0-; เมิงแต่งอะไรของเมิงงง
ทำไจซะ ! และจงอ่านต่อ ๕๕๕ '
มันART! (สำเนียงนมอุโด้ตโน้ตอุดมเลยนะ ๕๕๕)
ตอนนึงจะสั้นหน่อยนะคะ
แต่จะพยายามมาอัพทุกวันเลย :)
ความคิดเห็น