ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER 1 : 「Proluge」Daydream [RE]
「อารัมภบท」
ฝันกลางวัน
ในยุคสมัยแรกเริ่มของดาวดวงนี้ไม่ได้สวยงามนัก ราวกับโลกทั้งใบถูกอาบย้อมด้วยสีดำสนิท สิ่งมีชีวิตมากมายถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมนและสับสน ก่อนที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะค่อยๆแต่งแต้มสีสันให้กับโลก
หลายเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดมาโชคดีมีเขี้ยวเล็บ ในขณะที่มีหลายเผ่าพันธุ์ที่โชคร้ายเกิดมามีร่างกายอ่อนแอและบอบบาง พวกเขาไม่มีอะไรที่จะใช้ปกป้องตัวเองได้ ไม่มีเลยสักอย่างเดียว
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญ เหล่ามวลมนุษย์ที่ถูกเผ่าพันธุ์อื่นจับกินเป็นว่าเล่นทำได้เพียงตัดพ้อต่อพระเจ้าของพวกเขา พระเจ้าที่ไม่เคยช่วยเหลือ พระเจ้าที่เป็นใครก็ไม่รู้
พระเจ้า... ที่ไม่รู้ว่าทรงประทับอยู่ที่แห่งหนใด
แต่กระนั้นเหล่ามนุษย์ก็ยังคงเชื่อมั่น และเฝ้าสวดภาวนาต่อไป
พวกเขาอธิษฐานให้ตนหลุดพ้นจากวัฏจักรอันแสนโหดร้ายนี้
โปรดเถิด ...โปรดมอบสายธารจากฟากฟ้าชะล้างความชั่วร้ายบนผืนแผ่นดินอันแห้งแล้งนี้ที
โปรดเถิด ...โปรดมอบฤดูกาลที่พืชพรรณจะผลิดอกออกผลแก่เราที
ได้โปรดมอบพลังที่จะทำให้เราสามารถปกป้องตนเองได้ที
ใครคนหนึ่งร่ำร้องเพลงสวด ก่อนที่จะมีเสียงอื่นเอ่ยตามมา จากเสียงร่ำไห้กระซิกจากมุมมืดเปลี่ยนเป็นเสียงสวดร่ำเพลงสวดที่ดังกึกก้อง และในที่สุดเสียงสวดภาวนาก็ส่งไปถึง
มันสัมฤทธิ์ผล...
บางสิ่งบางอย่างได้ตอบรับคำวิงวอนของมวลมนุษย์ บัลดาลพลังให้พวกเขาได้สมดังปรารถนา
มันคือการดึงมาโกยหรือพลังเวทย์จากธรรมชาติมาใช้ได้อย่างอิสระดั่งใจ
ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พลังในการดำรงอยู่เพื่อปกป้อง แต่กลับมีก้อนดำแห่งความน่ารังเกียจติดตัวไปด้วย
เสียงสวดเพื่อชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดมา กลับแปรเปลี่ยนคำอธิษฐานที่แสนสกปรก
มนุษย์แสนทรนงคิดว่าตนนั้นหนาเหนือกว่าทุกชีวิตบนโลกเหล้า ได้เริ่มที่จะเอาคืนโชคชะตา ด้วยการสร้างหอคอยที่จะใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่น เปลี่ยนให้เผ่าพันธุ์อื่นกลายเป็นสัตว์ป่าเถื่อนไร้อารยะ มองดูผู้ที่เสียสติจากการเบียดเบียนของตนเข่นฆ่าพวกพ้องพงพันธุ์เดียวกันราวกับหนอนแมลง
ท่ามกลางเสียงวิงวอนภาวนาแสนน่าชังกลับมีเด็กชายผู้หนึ่งหยัดยืนขึ้นต่อต้าน
ด้วยความเชื่อว่าจะสามารถสร้างโลกที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้
ด้วยเชื่อว่าจะสามารถสร้างสันติสุขได้ด้วยมือคู่นั้น
นามของมนุษย์ผู้นั้นคือ ...โซโลมอน
เขาเดินทางไปปลดปล่อยเผ่าอื่นที่ตกอยู่ในการควบคุมของหอคอยของพวกนักเวทย์ดำ
และรวบรวมกำลังจากทั้งเจ็ดสิบสามเผ่าพันธุ์เพื่อโค่นล้มเดวิดผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างหอคอยหลายแห่ง ...และยังเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเขา
แต่หลายสิ่งหลายอย่างกลับไม่เป็นดังหวัง อัลม่าทรันรุ่งเรืองได้เพียงไม่นาน มหานครที่แสนสงบดั่งแดนสุขาวดีก็พลันลุกเป็นไฟ เพราะรอยร้าวที่ไม่อาจประสาน สุดท้ายก็แตกระแหงไม่เหลือชิ้นดี
ในวันที่จินแห่งความมืดย่างกรายลงมาจากฟากฟ้า ในวันนั้นดาวดวงนี้ก็ได้ตายลง
ภายในความมืดมิด กลับมีเสียงก้องกังวาลในหัว
「สัญญาสิ_ _• _ _ _ • _ •• •_ สัญญามาสิว่าจะปกป้องผู้คนของข้า 」
สิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นเป็นถ้อยคำสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ ...หรือคำสาปที่น่าชิงชังกันแน่?
.
.
.
" อือ... เมื้อกี้มัน--ฝันเหรอ " เสียงยานบ่นพึมพำด้วยท่าทีสะลึมสะลือ
ดูท่าว่าเธอคงยุ่งกับการเขียนรายงานสงครามศาสนามากไปเลยเก็บไปฝันกลางวัน
" รายงานสงครามศาสนาเป็นสิบๆหน้าให้เด็กม.ต้นทำเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า? ...เป็นคนอื่นคงนั่งประสาทเสียเพราะเนื้อหาชวนปวดหัวพวกนี้ชัวร์ "
แต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะมีแต่เธอนี่ล่ะที่ตั้งหน้าตั้งตาทำรายงานพวกนี้ด้วยความรู้สึกสนุกต่างจากชาวบ้านเขา ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะวิชานี้คือวิชาโปรดของเธอยังไงล่ะ
แปลกนะ... แม้ว่าเธอจะไม่ได้ห่วยวิชาคณิตมากมายอะไร แต่กลับคิดว่าวิชาคำนวนหรืออะไรทำเทือกนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่าสังคมหรือประวัติศาสตร์เลยสักนิด
ปรัชญาโบราณ แนวคิดการเมืองการปกครอง รวมไปถึงดราม่าในประวัติศาสตร์ต่างๆนี่ถ้าเอามาแปลงเป็นภาษาปัจจุบันทีนะ ...แซ่บไม่มีใครเกิน คนโบราณเขาเรื่องน้อยซะที่ไหน
เห็นซุกประเด็นอะไรๆเอาไว้เพียบ
" เหลือแค่ตรวจทานกับเรียบเรียงให้อ่านง่ายๆ งั้นวันนี้พอเท่านี้แล้วกัน " ว่าพลางบิดกายไล่ความเมื่อยล้าสักที
สายลมรุนแรงกระทบบานหน้าต่างห้องสมุดจนเกิดเสียงดังดูน่ากลัว ส่อเค้าลางพายุฤดูร้อนมาแต่ไกล
แบบนี้คงลำบากเธอแล้ว...
" พอเป็นแบบนี้แล้วไม่อยากเดินกลับบ้านเลยแฮะ " เด็กสาวบ่น แต่ถ้าไม่กลับเสียตอนนี้ก็เกรงว่าจะลำบากกว่าเก่า เพราะนอกจากฝนฟ้าจะไม่มีทีท่าซาลงแล้วยังโหมหนักกว่าเดิมอีก
ครั้นจะโทรศัพท์เรียกให้ใครสักคนมารับก็คงเจอแต่ใบหน้าบอกบุญไม่รับ...
เธอเริ่มกังวล พลางคว้าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากระโปรงออกมาดูเวลา ทว่าเมื่อเห็นคนในภาพพื้นหลังมันทำให้เธอหลุดยิ้มออกมา หน้าจอบอกเวลาสี่โมงเย็นแต่นั่นไม่สำคัญ ประเด็นหลักที่ทำให้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มันอยู่ด้านหลังต่างหาก
เจ้าของเรือนผมสีม่วงแกมอเมทิสยกยิ้มกว้าง ยิ้มเดียว--แค่ยิ้มเดียวนั่นมันก็เหมือนทำให้โลกของเธอสดใสไปหมด
" ไว้เจอกันที่บ้านนะ ...ซิน " เธอกระซิบบอกคนในจอมือถือ ใครมาเห็นคงไม่พ้นด่าทอว่าเธอเป็นพวกบ้าบอเพ้อเจ้อ
แต่แน่นอนว่าคำพูดเหมือนมะนาวไม่มีน้ำนั่นไม่เคยทำให้เธอชอบเขาน้อยลงเลยสักนิด
ดวงตาสีครามหลุบลง มุมปากเผยอยกยิ้มน้อยๆ
เธอรีบฉวยรายงานรวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋านักเรียน คว้ารองเท้ามาใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะวิ่งถลาออกไป
เส้นผมสีดำสนิทโบกสบัดไปมาอย่างรุนแรงตามจังหวะการออกตัววิ่ง ร่างโปร่งพุ่งทะยานไปตามถนนหนทางรวดเร็วและวิธีการหักเลี้ยวซิกแซกไปตามทางอย่างคล่องแคล่ว ฝ่าพายุอย่างไม่กลัวล้ม
น้ำฝนเม็ดโตพุ่งกระหน่ำใส่ร่างเร็วแรงราวกระสุน แต่นั้นไม่ได้ทำให้ขาทั้งสองข้างวิ่งช้าลง
แต่มันก็ยังช้าเกินไป--เธอคงต้องใช้ทางลัด เด็กสาวขบคิด พลางหมุนข้อเท้ามุ่งไปยังอีกทางที่เธอเลือกใช้ไม่บ่อยนัก
นั่นเพราะว่า...
" ... " ร่างโปร่งชะงักในทันที ดวงตากลอกไปมาอย่างนึกรำคาญ
มีบางอย่างอยู่ด้านหลัง...
ท่ามกลายสายฝนที่โหมกระหน่ำ ฉันหยุดยืน เงี่ยหูฟัง พยายามจับสัมผัสผู้ไม่หวังดีด้านหลัง
ความรู้สึกน่าขนลุกคืบคลาน ไฟถนนในแถบนั้นทั้งหมดเริ่มติดๆดับๆอย่างไม่มีสาเหตุ
ฉันหลุบตามองจานเครื่องเซ่นที่ถูกพายุพัดของในจานกระจัดกระจายจนดูไม่จืด
ดูท่าว่าที่อยู่ด้านหลังเธอ ...คงไม่ใช่คน
น่ากินเหลือเกิน ดวงวิญญาณนั่น ...หอมน่ากินเหลือเกิน
ดวงตาสีครามมองสำรวจซ้าย-ขวาก็เห็นมีแต่บ้านร้างกับศาลพระภูมิพังๆ ไม่มีอะไรที่สามารถพิ่งพาได้แม้แต่อย่างเดียว
เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ค่อยอยากจะใช้ทางลัดนี่ เด็กสาวลอบบ่นพึมพำในใจ
พายุยังคงซัดโหมกระหน่ำลงบนร่างจนเธอเปียกปอน เธอควรจะรีบชิ่งซะ ก่อนจะกลับบ้านไปช้ากว่านี้
ใจจริงก็จะอยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอก ติดอยู่แค่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนอ้ายอีสัมภเวสีพวกนี้คงได้ตามกลับบ้านไปด้วยแน่
ร่างสูงโปร่งหมุนตัวกับไปประจันหน้ากับอะไรก็ตามที่ระรานเธออยู่ ทว่าเมื่อเห็นกับตาก็ยิ่งตกใจ
" เชี่ย... " นึกว่าจะมีแค่ตนเดียว นี่มายังกับขนมาทั้งโคตรเหง้าวงศ์ตระกูล
ผิวของพวกมันดูแข็งเหมือนไม้แห้งๆ ผิวกายดำมะเมื่อม และมีกลิ่นเนื้อไหม้โชยเต็มตัว
เมื่อรู้ว่าเด็กสาวรู้ตัว เงาดำเหล่านั้นก็พร้อมใจพุ่งเข้าหาหวังจะรุมฉุดทึ้งกายเธอ
หอม... น่ากิน น่ากินเหลือเกิน
อีกแล้วเหรอ... ฉันจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
ดวงตาสีน้ำเงินวาวโรจน์ท่ามกลางพายุคล้ายสัตว์ป่า ฟันขบกันจนเกิดเสียงขู่คำรามในลำคออย่างดุร้ายตามนิสัย
" เฮ้... ไม่เห็นเหรอว่าคนเขามีธุระ " เธอกล่าวเสียงเรียบ พลางชี้นิ้วไปตามพวกมันรายตัว
พวกมันนิ่งไปครู่เดียว ก่อนจะมีสัมภเวสีตนหนึ่งจะกล้าพยายามเยื้องย่างเข้าหาแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกสาวเจ้าตวาดใส่
" เออ... พวกแกหิว ฉันก็หิวเหมือนกัน คนเขารีบๆอยู่จะมาขวางทางเขาหาอะไร รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องรีบกลับบ้าน เพราะว่าฉันจะต้องกลับไปหวีดซินต่อที่ห้องไง แกรู้ไหมว่าเราทุ่มเทขนาดไหน? "เธอเว้นช่วง
" ฉันลำบากตรากตรำทำงานให้ยัยแก่นั่นแทบตาย เพื่อสั่งคอมมิชชั่นรูปเขามาใส่กรอบทองติดอยู่บนฝาบ้าน คอยดูแลปัดฝุ่นอยู่ทุกวัน แล้วแกเป็นใครมาขัดฉัน?! การขัดขวางไม่ให้กลับบ้านไปหวีดคนที่ชอบมันเป็นทุกข์นะ ทำให้ผู้อื่นเกิดทุกข์มันบาป! เข้าใจไหมไอ้-พวก-บาป-หนา!! " ว่าพลางนึกถึงของสะสมหลายสิบชิ้นที่มีใบหน้าของซินแบดแปะเด่นหราอยู่ นี่ยังไม่นับของที่เธอสั่งทำอีกหลายแหล่ บอกเลยว่า
มูลค่ามากมายมหาศาล...
เสียงของนารีโฉดดังกึกก้องแข่งกับเสียงฟ้าร้องกัมปนาทใบหน้าเรียบนิ่งบูดเบี้ยวด้วยอารมณ์โทสะ
" ยัง--ยังไม่ไปอีก จะให้ฉันแช่งพวกแกรายตัวก่อนใช่ไหม?! ไสหัวไป๊!!! "
สิ้นคำเงาดำเหล่านั้นก็รีบกุลีกุจอหายไปอย่างรวดเร็วไม่เหลือไว้กระทั่งกลิ่นให้เธอต้องระคายจมูก
นี่เป็นอีกครั้งที่เธอได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า [ความโกรธ]
ทว่าในขณะที่ผ่อนลมหายใจโล่งอกอกนั้นเอง
.
.
.
" ไอ้พวกผีเวรเอ๊ย อย่าให้ได้เจอนะ--แม่จะแช่งให้ไม่ได้ไปผุดไปเกิดให้หมดเลย! แม่งเอ๊ย!--ฉันจะฉาปแก๊!!!!!! "
“ ถุย— อิผีเวร อิผีจัญไร กุขอให้พระทำโทษมึงอย่างหนัก!!!! ” ทั้งใบไม้ ทั้งน้ำฝนก็คือท่วมปากไปหมด…
ฉันสบถแข่งกับพายุ ตอนแรกเหมือนจะสงบลงไปได้แล้วแท้ๆ
แต่จู่ๆก็กลับมีกระแสลมลูกรุนแรงโหมกระหน่ำมาพร้อมๆกับฝนห่าใหญ่
ลมแรงปะทะกับเธอเข้าอย่างจังจนต้องโน้มตัวไปด้านหน้าพลางกอดกระเป๋านักเรียนแน่น ได้แต่ภาวนาว่ารายงานด้านในจะยังอยู่ดี
ขอร้องล่ะรายงานนี่ฉันอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำมาหลายวันกว่าจะได้ขนาดนี้ อย่าให้ของในกระเป๋าเป็นอะไรเลย ฉันวาดหวังในใจพลาดกอดกระเป๋านักเรียนแน่นประหนึ่งลูกน้อย ไม่อยากจะมานั่งปวดหลังจากอาการออฟฟิศซินโดรมกำเริบเพราะทำรายงานใหม่อีกรอบ
ครืน...
เสียงผืนฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง ความมืดแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าจนดูน่ากลัว จู่ๆก็มีสายลมปริศนาโหมกระพือรุนแรงซัดเด็กสาวจนปลิวคล้ายกับรอจังหวะนี้มานาน หอบเอาร่างของเธอให้ปลิวไปกับพายุที่หมุนตัวก่อเกิดเป็นทรงกรวยคล้ายพายุงวงช้าง
แต่พายุงวงช้างบ้านไหนมาเกิดที่ซอยเปลี่ยวประเทศไทยกัน!
" อ้ากก!!!!!!!! " ฉันกรีดร้องดังลั่นเมื่อร่างถูกพัดขึ้นไปอยู่บนอากาศ ในหัวหมุนติ้วพาให้รู้สึกวิงเวียนจนอยากอาเจียนมื้อเที่ยงออกมาให้หมดไส้หมดพุง
ทว่าในกระแสลมเชี่ยวกรากฉันกลับมองเห็นแสงสว่างน้อยๆ จุดเรืองแสงพวกนั้นกระพือปีกบินเข้าหา โอบล้อมร่างของฉันเอาไว้อย่างอบอุ่นแม้จะอยู่ท่ามกลางพายุ
「อย่ากลัวไปเลย ...เธอจะไม่เป็นอะไร」
「สูดหายใจลึกๆนะสาวน้อย」
「ปล่อยตัวตามสบายเถอะ ...พวกเราแค่จะพาเธอไปส่ง」
เสียงเล็กๆหลายเสียงของใครหลายคนประดังประเดขึ้นในหัว พร้อมๆกับผีเสื้อเรืองแสงตัวเล็กนับร้อยที่พยายามจะประคองร่าง ฉันพยายามจะตั้งสติว่าความวิปริตของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ทันทีที่ก้มมองไปยังด้านล่างสติที่รวบรวมได้ก็พลันกระเจิงหายไปจนหมด
สูงฉิบหาย... ไม่กลัวก็แปลกละ ถ้าตกลงไปนี่ไม่คอหักตายรึไง?! ริมฝีปากบางสั่นระริก อยากจะร้องไห้ใจจะขาด ตลอดทั้งชีวิตของเธอเจอเรื่องแปลกพิลึกพิลั่นมาก็ไม่น้อย ผีสางนางไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เจ้าทางก็เห็นมาเกือบหมด
ฉันไม่อาจทำใจเชื่อเสียงนั้นที่บอกให้ใจเย็นได้ เลยทำได้แค่หลับตาด้วยความกลัวพลางอธิษฐานให้ตัวเองตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที
รอบตัวของฉันคือความมืด เสียงฟ้าหวีดร้องคำรามดังขึ้นในขณะที่ร่างยังลอยเคว้ง สายลมรอบกายถูกบิดมวนอากาศหายใจขาดหายนั่นเริ่มทำฉันผวา
นั่นเลยทำให้ฉันทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป
" ปล่อยฉันไปเถอะ! " ฉันกรีดร้องด้วยความกลัวสุดฤทธิ์ หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่จนไม่ได้ศัพท์ก่อนที่เหล่าผีเสื้อตัวน้อยจะปล่อยฉันลง ...กลางอากาศ
ณ วินาทีนั้นฉันสบถทุกคำหยาบ จากคนสุภาพนานๆหยาบทีมาวันนี้นี่คือแทบจะขนกันมาทั้งสวนสัตว์
ไม่พอยังสบถหาทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้างบุญกุศลที่เคยทำไว้เป็นชาติอย่างถวายสังฆทานด้วยใบหน้าบูดบึ้งเพราะถูกโรงเรียนบังคับให้ทำบุญทั้งที่ก็ไม่ได้อยากทำ
ใส่ซองผ้าป่าด้วยเหรียญสิบสองเหรียญก็ดี
หรือจะหยอดตู้บริจาคตอนเจ็ดขวบก็มี
" อ้ากกก!!!!!!!! "
ร่างกายลอยเคว้งอยู่ในอากาศ สิ่งเดียวที่ฉันรับรู้ได้คือความรู้สึกเจ็บของสายลมที่กรีดผิวกาย ทว่ายังไม่จบเพียงแค่นั้นสัมผัสชาวาบแล่นไปทั่วแผ่นหลังคล้ายกับว่าตนนั้นร่วงลงกระแทกกับผืนน้ำขนาดใหญ่เข้าอย่างจัง
.
.
.
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ความมืดอันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงปกคลุมไปทั่วทุกแห่งหน
ผืนฟ้ากู่ร้องคำรามดังกึกก้องกัมปนาทประดุจอัสนีบาตเตรียมจะฟาดผืนดินให้ลุกเป็นไฟ
สายน้ำแห่งความตายไหลลงมาจากฟากฟ้าท่วมธาราให้มัวหมอง...
เหล่าลูฟต่างตีปีกบินวนไปมาอย่างแตกตื่น พลางส่งเสียงเล็กๆคล้ายกับกำลังกระซิบกระซาบข่าวของผู้มาเยือนที่สุดแสนวิเศษ
" ใครกันนะที่ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้ " เมไจพเนจรหลุบตาลง ดูท่าว่าแขกผู้มาเยือนคนนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
________________
ร่างของเด็กสาวจมดิ่งหายไปกับเกลียวคลื่น มวลน้ำมหาศาลโอบอุ้มรองรับเธอไว้ แต่ในขณะเดียวกันความรุนแรงจากการปะทะกำลังพยายามจะแยกเธอออกเป็นเสี่ยงๆ
สาวเจ้าตะเกียกตะกายสุดชีวิตเพื่อนำพาตัวเองขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ ทว่าแน่นอนพายุและฝนฟ้าไม่เคยปราณีใคร มันสาดซัดร่างของเธอให้เหวี่ยงไปมาจนแทบหมดแรง
" ช่วย--- " ถ้อยคำถูกกลืนหายไปพร้อมกับน้ำเค็มที่ไหลเข้ามาภายในลำคอจนสำลัก
ความหนาวเหน็บของท้องทะเลอันมืดมิดทำเอาตัวชา ต่อให้แขนหรือขาขาดหายไปก็คงจะไม่รับรู้อะไรเลย
ความสับสน หวาดกลัว และสิ้นหวัง ความรู้สึกเหล่านั้นถูกกลั่นกรองออกมาในรูปแบบของน้ำตาที่แสนไร้ค่า แม้ว่าจะแผดเสียงร้องขอชีวิตจนแหบแห้ง
「 ฉันยัง ...ไม่อยากตาย 」
กระนั้นท้องทะเลก็ไม่อาจได้ยิน...
สุดท้ายร่างของสตรีเคราะห์ร้ายผู้ไม่รู้เรื่องอะไรแม้สักอย่างก็ถูกมหาคลื่นยักษ์กลืนหายไป
__________________
กายโปร่งนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนชายหาด หน้าคว่ำนาบอยู่กับพื้นทราย เส้นผมสีขนปีกอีกาแผ่สยายคลุกคลีอยู่กับพื้นดิน
ใครกัน...
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้คนที่นอนแน่นิ่อย่างช้าๆ ใช้หลังมือแตะผิวที่เริ่มซีดเผือดและเย็นชืดราวกับผ่านการแช่น้ำทะเลมาเป็นเวลานาน
ดูท่าว่าเธอจะพึ่งเผชิญหน้ากับพายุมาหมาดๆ
มือหยาบผลิกหาบาดแผลทั่วร่างโปร่ง ทว่ากลับไม่พบร่องรอยผกช้ำหรือร่องรอยบาดแผลใดๆเลย เป็นคนดวงแข็งชนิดหาจับตัวได้ยากจนน่าประหลาดใจ
ครืน...
เสียงฟ้ากู่ร้องคำรามคล้ายก่อกำเนิดพายุลูกใหม่ขึ้นอีกครั้ง
เด็กหนุ่มกระชับร่างเย็นเฉียบขึ้นสู่อ้อมอก มีบ้างที่จะทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะหล่อนตัวสูงกว่าเขา
ตามจริงเขาควรจะปล่อยให้คนแปลกหน้านอนจับไข้ตายมันเสียที่นี่ แต่บางสิ่งบางอย่างในส่วนลึกมันกลับบอกให้เขาให้ความช่วยเหลือเธอ
โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่เขาเลือกทำแบบนี้
TBC.
มองเห็นลูฟ=มองเห็นผี ...สินะ
สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกท่าน ก่อนอื่นเราคงต้องแนะนำตัวเองอีกครั้งนะคะ เราช็อกโก้ค่ะ จะเรียกว่าไรท์โก้ก็ได้นะคะ
หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน เราก็ได้พิจารณานิยายตัวเองทั้งหมดว่าควรจะปรับจุดไหนบ้าง ทั้งเรื่องภาษาและหลายๆอย่าง
ยังไงไรท์โก้ขอแจ้งก่อนว่าเราจะเพิ่มเนื้อหาส่วนเสริมของocลงไป(แน่นอนว่าเป็นเนื้อหาที่แต่งเติมโดยโก้ จะไม่มีเนื้อหาส่วนนั้นในมังงะหรืออนิเมะ)
สองคือจะมีการปรับเรื่องมุมมอง คำพูดคำจา รวมถึงประวัติของจินนี่ใหม่ด้วยค่ะ
*และอย่างต่อมาคือเนื้อหาจากภาคอัลม่าทรันจะค่อนข้างมีบทบาทผสมปนอยู่ในหลายๆจังหวะของนิยายเรื่องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการตีความของไรท์โก้เอง โปรดอย่าโยงเนื้อหาจากการตีความกับเนื้อหาหลัก เพราะมันอาจไม่ตรงกัน
ไรท์โก้หวังเป็นอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะสามารถทำให้รีดเดอร์ทุกคนเอนจอยด์ในช่วงเวลาแบบนี้ได้นะคะ
ขอขอบคุณ.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น