ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Passion อารมณ์รัก [ Yaoi > HaeEun ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 รู้สึกผิด?

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 53


    ตอนที่ 3 รู้สึกผิด?

     

    “ว่าไงนะ! นายจูบว่าที่แฟนฉันแล้วเหรอ” เยซองพูดเสียงดังและทำหน้าตาตื่นตกใจเกินพอดี ผมส่ายหน้าหน่ายๆ และรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เมื่อคิดถึงสีหน้าว่าที่แฟนของเยซองตอนที่ตะคอกเสียงถามผม...ว่าผมจูบเขาทำไม

    เยซองยังอึ้งไม่หาย ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเพื่อนผู้คิดอะไรไม่ดูตัวเอง... มันช่วยไม่ได้เมื่อผมเบื่อหน่ายและรำคาญอาการเพ้อ เหม่อ ของเยซองเขาไม่ชอบแบบนายหรอกผมบอกมันไปและมันก็เซ้าซี้ผม ว่าผมรู้ได้ยังไง จนต้องเผลอปากพูดออกไปว่าได้ลองจูบชายในฝันของเยซองแล้ว... เขาจะชอบเยซองได้ยังไง ตอนผมจูบเขา... ลีฮยอกแจโมโหและมีท่าทางรังเกียจถึงขนาดเกือบร้องไห้ต่อหน้าผม แถมชกผมอีกต่างหาก พอนึกถึง...ยังรู้สึกเจ็บๆ ชาๆ อยู่เลย

    “ไอ้เพื่อนเลว ไหนว่าไม่ชอบไง แกไปจูบสุดที่รักของฉันทำไมวะ” เยซองต่อว่าผมด้วยโทนเสียงโหยหวนจนผมเกิดความรำคาญขึ้นมาจริงๆ และต้องเดินหนีไปซะ

    “เล่ามาเลย แกไปจูบเขาได้ไงดงแฮ แล้วเขาว่ายังไงบ้าง” แต่แล้วมันก็ยังไม่ยอมจบเรื่อง เดินตามเซ้าซี้ผมอยู่อย่างนั้น

    “เขาจะว่ายังไง เขาก็โกรธมาก ดูก็รู้ว่าไม่ชอบผู้ชายหรอก...” พอพูดจบประโยค ความขัดแย้งมันก็เกิดขึ้นในความคิดผม...ไม่ชอบผู้ชายเหรอ... ลีฮยอกแจไม่ชอบผู้ชายคงไม่ใช่แล้วล่ะ ก็คนที่หมอนั่นกอดรัดไม่อายใครๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ผู้ชายรึไง ฮึ...คงมีอะไรๆ กัน จนเกินคำว่าชอบแล้วล่ะ

    “โกรธยังไง? เล่าละเอียดกว่านี้ไม่ได้เหรอวะ นายจูบแบบไหน เขาไม่เคลิ้มบ้างเหรอ รึว่านายไม่ได้เรื่อง....” เยซองยิงคำถามติดๆ กัน แถมยังมีท่าทีจะถามต่อไม่เลิก ผมว่าเพื่อนคนนี้มัน...ช่างเหลือเกินจริงๆ ถามว่าลีฮยอกแจโกรธยังไง...ผมไม่รู้จะตอบเยซองว่ายังไง รู้แต่ว่าท่าทางที่เขาแสดงออกคือโกรธมาก และเขาเคลิ้มกับจูบผมบ้างมั๊ย... เขาไม่ได้เคลิ้มเลย อาการชะงักนั้นคงมาจากความตกใจและตั้งตัวไม่ทันมากกว่า แต่คำถามที่ว่าผมจูบไม่ได้เรื่องรึเปล่า... ทำให้ผมรู้สึกเสียเซลฟ์ไปเหมือนกัน ถ้าเยซองมันรู้ว่าหมอนั่นชกผมซะหน้าชา มันคงตอกย้ำถากถาผมไม่เลิกแน่ๆ

    “นี่ ฟังนะเยซอง นายเลิกมาตื้อถามและต่อว่าฉันซักที ฉันไม่ได้พิศวาสลีฮยอกแจของนายหรอก แล้วก็เลิกเพ้อได้แล้ว คนอย่างเขาไม่มองนายหรอก เขามีแฟนแล้วด้วย” ผมบอกเพื่อตัดความรำคาญ และก็เพื่อเตือนสติเยซองให้เลิกหวังว่าจะได้ลีฮยอกแจมาเป็นแฟนซักที ผมเคยคิดว่านั่นเป็นแค่ความคิดชั่ววูบของเยซอง ไม่คิดเลยมันจะจริงจังได้นานเป็นอาทิตย์อย่างนี้

    เยซองอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง แต่มันยังทำท่าจะอ้าปากเถียงผมต่อ ถ้าซองมินและชินดงไม่เดินเข้ามาหาก่อน ผมคงต้องปวดหัวกับเยซองอีกรอบแน่ๆ

    “หัวข้อโปรเจ็คไม่ผ่าน เซ็งจริงๆ” ชินดงส่ายหน้าอย่างเครียดๆ แล้วเดินนำพวกเราไปก่อน

    “ดีนะ ของฉันแค่ให้เพิ่มประเด็นสำคัญ ไม่งั้นเครียดตายเลย” ซองมินเองก็มีสีหน้าไม่ต่างจากชินดงนัก “ของนายล่ะเยซอง”

    “ผ่านแล้ว เดี๋ยวคงเริ่มทำ ของนายก็ผ่านแล้วหนิดงแฮ” เยซองตอบแล้วหันมาถามผม

    “อืม...” ผมตอบได้แค่นั้น เพราะรถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม และคนที่ลงมาจากรถเรียกความสนใจจากผมไปซะหมด

    “เฮ้ย...ชินดง อย่าเครียดไปเลยน่า เดี๋ยวฉันคิดที่เจ๋งๆ ให้เอามั๊ยวะ” เสียงเยซองดังอยู่ข้างๆ ผม ความเคลื่อนไหวจากเพื่อนสองคนทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังหยอกล้อกันอยู่ ผมยืนมองลีฮยอกแจยืนอยู่ข้างรถ...ที่เดิมที่ผมเห็นเขากับผู้ชายคนนั้น... และตอนนี้ลีฮยอกแจก็กำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายคนเดิม

    ความเงียบรอบตัวที่สัมผัสได้นั้น บอกว่าตอนนี้ทั้งเยซอง ชินดง และซองมิน ก็กำลังมองไปยังจุดเดียวกับผม เรามองกันอยู่เงียบๆ จนได้เห็นฮยอกแจกับผู้ชายคนนั้นกอดลากัน

    “ใครวะ” เป็นเยซองที่พูดขึ้นคนแรก ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำถามรึเปล่า...เพราะคงไม่มีใครตอบคำถามมันได้

    “อ๋อ...เชวชีวอน” คำตอบจากซองมิน สร้างความประหลาดใจให้กับผมแต่ก็ยังไม่เท่ากับความอยากรู้ว่าเชวชีวอนคือใคร เกี่ยวข้องยังไงกับลีฮยอกแจ ผมหันไปหาซองมินแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น เช่นเดียวกับเยซองและชินดงที่กำลังมองซองมินเพื่อรอคอยคำอธิบายของชื่อนั้น

    “ก็...นั่นน่ะเชวชีวอน ฉันเคยเรียน ม.ปลายโรงเรียนเดียวกับเขา ได้ข่าวว่าไปเรียนต่อเมืองนอก สงสัยเพิ่งกลับมามั้ง ฉันไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก พอดีตอนเรียนเขาเป็นคนดัง รูปหล่อ พ่อรวย สาวกรี๊ดอะไรทำนองนี้น่ะ” ซองมินพูดพลางลูบท้ายทอย คงเพราะการจับจ้องจากพวกผม เลยทำให้ซองมินกดดันไปบ้าง

    “แล้วเขาเป็นอะไรกัน ทำไมต้องกอดกันด้วยวะ” เยซองถามแล้วหันกลับไปมองที่เดิมอีก

    “กอดกันมันเรื่องธรรมดา อะไรวะ ไปยุ่งอะไรกับเขานักหนา” ชินดงจบความสนใจ ด้วยการเดินนำหน้าไปอีกครั้ง และผมก็เห็นด้วย...เลยเดินตามไป แต่สายตาดันมองไปเจอฮยอกแจโบกมือลาเชวชีวอน... ความรู้สึก ณ ตอนนี้คือขัดใจ...โดยไม่รู้ว่าทำไม ทีผมจูบแค่นิดเดียวทำท่าโกรธจะเป็นจะตาย น้ำตาคลอนิดๆ ที่ผมเห็นเมื่อวานยังติดตาผมอยู่เลย แล้วตอนนี้ยืนกอดกับไอ้หมอนั่น ยิ้มแย้มเป็นคนละคน...มันเกินไปจริงๆ ลีฮยอกแจ

    ผมนั่งเรียนอย่างพยายามจะมีสมาธิ และแน่นอนว่าผมทำได้ ผมสลัดความคิดเกี่ยวกับลีฮยอกแจออกไปได้ ตั้งแต่การสอนในห้องเรียนเริ่มขึ้น เขาไม่ได้มีอิทธิพลกับผม... ผมคิดว่า บางเวลาที่นึกถึงสีหน้านิ่งเฉยของเขานั้น เพราะเหตุผลเดียวคือ ผมไม่ชอบ มันทำให้ผมหงุดหงิด แค่นั้นเอง... ที่ความคิดผมที่วนเวียนเกี่ยวกับเรื่องในห้องน้ำเมื่อวาน ก็เพียงเพราะว่า...เขาทำให้ผมขัดใจ

    แต่เยซองยังเอาเรื่องเดิมๆ เข้ามาใส่ลงไปในความคิดผมอีก มันถามผมว่า...ไหนว่าลีฮยอกแจไม่ชอบผู้ชาย...ถามผมว่ามันจะเริ่มรุกทำคะแนนบ้างดีรึเปล่า หรือว่าควรตัดใจ...แต่สักพักก็หันมาถามอีกว่า...เขาคงไม่สนใจหรอก เลิกคิดดีกว่า เสียเวลา

    ผมไม่ตอบเยซองซักคำถาม เพียงแต่มองหน้ามันให้รู้ว่า...ผมจะเรียน ให้เยซองมันรู้เองบ้างว่าผมเบื่อคำถามมันเต็มทีแล้ว ผมนึกฉุนเยซองที่มันเอาเรื่องลีฮยอกแจมาให้ผมคิดอีก...ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หันมาโบกมือลาเชวชีวอน ทำให้สมาธิผมเริ่มลอยกระเจิง... แต่... มีความผิดปกติที่ผมเพิ่งจะนึกรู้....

    เมื่อเช้าลีฮยอกแจไม่ได้มากับลุงร่างอ้วนที่คอยตามเขาทุกวัน... ผมยิ้มพอใจกับสิ่งที่นึกได้ ต้องขอบใจเชวชีวอนที่ทำให้พ่อของลีฮยอกแจไว้ใจถึงขนาดนี้

     

    หลังจากเรียนจบวิชาสุดท้าย ผมรีบออกจากห้องเรียน เดินตรงไปยังคณะที่ลีฮยอกแจเรียนอยู่ ผมไม่ได้ถามตัวเองว่าทำไมต้องทำแบบนี้...ตอนนี้ลีฮยอกแจยังไม่สำคัญถึงขั้นที่ผมต้องมานั่งถามความรู้สึกตัวเอง... ในสมองคิดเพียงแต่ว่าผมจะต้องเจอเขาให้ได้

    ผมนั่งรอตรงม้านั่งบริเวณไม่ไกลจากทางขึ้นตึก ผมมองตามกลุ่มนักศึกษาที่เดินกรูกันลงมา ก็ยังไม่เห็นลีฮยอกแจ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมีนักศึกษาตั้งหลายชั้น หลายคลาส... ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าเห็นฮยอกแจใส่เสื้อแขนสั้นสีเทา มีฮูท.... ผมมองไปยังกลุ่มนักศึกษาที่เดินออกมาอีกครั้ง... เสื้อฮูทสีเทา...เสื้อฮูทสีเทา... ผมบ่นในใจ พลางลุ้นอยู่เพียงลำพังว่าจะเจอเขายืนอยู่ในกลุ่มนั้นและส่งสายตาเย็นชามาให้ผม

    และผมก็เจอเขาจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ได้มองมาที่ผม เขาเดินไปตามกลุ่มนักศึกษา เสียงพูดคุยกันของนักศึกษาหลายสิบคนอื้ออึงไปทั่วบริเวณนั้น...ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินเร็วๆ ตัดหน้าคนกลุ่มนั้นไป รออยู่ตรงทางแคบๆ ระหว่างตึก... ตรงที่ผมคิดว่ายังไงๆ เขาก็ต้องเดินผ่าน

    ผมยืนรออยู่แค่ไม่กี่อึดใจ นักศึกษาทั้งชายและหญิงกลุ่มนั้นก็เดินมาถึงและทยอยเดินผ่านจุดที่ผมยืนอยู่ไป และโชคเข้าข้างผมเมื่อเขาเดินอยู่ริมสุดพอดี ผู้หญิงคนหนึ่งหันมาถามบางอย่างกับเขาซึ่งผมไม่ได้ยิน เขาหันไปตอบและยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มบางๆ ผมมองพลางนึก...ว่าเขาก็ยิ้มได้นี่ แล้วทำไมถึงชอบตีหน้านิ่งนัก ผมสะบัดหัวเบาๆ เพื่อละทิ้งความคิดอื่นๆ ทิ้งไป เมื่อเขาเดินมาใกล้แล้ว และเมื่อเขาเดินมาใกล้พอที่ผมจะเอื้อมมือไปดึงแขนเขาได้ ผมก็ไม่รอช้า

    ท่ามกลางคนที่เดินผ่าน ไม่มีใครหันมาสนใจ หรือไม่ก็เพราะผมไม่ได้สังเกตมากนัก ผมมองแต่เขาที่หันมาหาผมทันที ที่มือผมสัมผัสเขา.... ลีฮยอกแจมีท่าทีตกใจ เห็นได้จากดวงตากลมนั่นที่เบิกกว้างขึ้น และโดยที่เขาคงไม่ทันได้คิดว่าจะทำยังไงต่อไป ผมออกแรงดึงแขนเขาเพื่อให้เขาหลุดออกมาจากเส้นทางเดินของคนอื่นๆ และดึงให้เขาเดินตามมายังมุมตึกด้านหลังซึ่งปลอดสายตาคน

    ผมรู้สึกได้ถึงแรงขืนตัวของเขา.... คงเพิ่งตั้งสติได้ และสติก็ของคงกลับมาเต็มที่เมื่อเขาพยายามสะบัดมือผมออก แต่มันสายไปแล้ว...ผมดึงเขามาถึงที่ และผลักเขาเข้าไปติดผนัง

    “คุ้นๆ มั๊ย?” ผมถามยิ้มๆ แล้วทาบตัวเข้าไปแนบกับเขา

    “ต้องการอะไร?” เสียงห้วนของเขาทำให้ผมยิ้มพอใจได้ยังไง...ผมไม่รู้ แต่ผมชอบที่เขาตื่นกลัวผม มันทำให้ผมอยากแกล้งให้เขากลัวมากขึ้นอีก แต่ผมไม่ชอบตอนที่เขาโกรธจนน้ำตาคลอ...ผมไม่ชอบจริงๆ

    “นั่นสิ...ฉันต้องการอะไร” ผมพูดยียวนเขาต่อไป

    “ปล่อย!” เสียงลีฮยอกแจเครือเล็กน้อย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเร็วขึ้น มันเป็นสัญญาณบอกว่าหัวใจของเขากำลังทำงานหนัก... ตื่นเต้น ตกใจ ระแวง กลัว... คงเพราะเหตุผลเหล่านี้ล่ะมั้ง

    “ไม่ปล่อย” ผมกระชับมือจับแขนเขาไว้ ยื่นหน้าเข้าไปบอกเขาใกล้ๆ

    “จะเอายังไง?” เขายังถามผมเสียงแข็ง

    “เอา?” ผมแสร้งทำหน้างง แล้วยิ้มเหมือนเพิ่งเข้าใจ “เอา...ยังไงก็ได้ ตรงนี้เลยก็ได้ ถ้านายยอม”

    “ไปตายซะ” เขาด่าผม... ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูอย่างลีฮยอกแจจะใช้คำแรงๆ แบบนี้ด้วย

    “จุ๊ๆ พูดไม่เพราะเลยนะ ทีเมื่อเช้านี่พูดกันตาหวานเยิ้มกับหวานใจไม่อายใครเลยหนิ ก็แกล้งพูดดีๆ กับฉันหน่อยไม่ได้รึไง”

    “ไม่... ทำไมฉันต้องพูดดีกับนาย รู้จักก็ไม่ได้รู้จัก”

    “อ๋อ ต้องรู้จักก่อนสินะ ถึงจะคุยกันดีๆ ได้” ผมยังเล่นหน้าเล่นตา ยั่วโมโหเขาอยู่อย่างนั้น และน่าแปลกที่ผมอยากเบียดลำตัวกับเขาให้มากขึ้น...มากขึ้นไปอีก... และผมก็ไม่ปล่อยให้ร่างกายของผมอดทนอยู่นาน

    “งั้นก็รู้จักไว้ซะนะ...ฉันน่ะ...ชื่อลีดงแฮ” ผมขยับตัวให้แนบชิดเขามากขึ้น ความรู้สึกดีแปลกๆ เกิดขึ้น...แต่ผมก็ตระหนักได้ดี...ว่ามันคือความต้องการที่มาจากสัญชาตญาณลึกๆ เท่านั้น

    “เอาเบอร์โทรด้วยมั๊ย?” ผมพูดจบก็ใช้อีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายราคาแสนแพงของเขา ควานหาโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ตัวเองลงไป และกดโทรออกทันที

    “นายนี่มันเลวจริงๆ ลีดงแฮ”

    “น่าประทับใจมาก ที่นายจำชื่อฉันได้ แถมยังเรียกให้ได้ยินด้วย ปลื้มจริงๆ”

    “นายต้องการอะไร ถึงมายุ่งวุ่นวายกับฉัน เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน....” ลีฮยอกแจทำท่าคิดก่อนจะพูดต่อ “ถ้านายติดใจเรื่องที่ฉันเดินชนนายที่สระน้ำ ฉันชดใช้ให้ก็ได้...สำหรับของของนายที่ปลิวลงน้ำวันนั้น”

    ผมขมวดคิ้ว คิดไม่ถึง... เขาจำได้? แล้วเพิ่งจะมาชดใช้เอาตอนนี้นี่นะ มันจะไปมีประโยชน์อะไร... อยากบอกเขาว่าผมแค่กลับไปปริ้นใหม่แล้วเอามาเข้าเล่มก็ส่งทันเวลาแล้ว แต่ผมจำได้ว่าวันนั้นผมโกรธมากที่เขาเดินไปเฉยๆ ไม่ขอโทษซักคำ

    “ชดใช้ยังไง” ผมถามด้วยโทนเสียงปกติ แบบที่เป็นตัวผม

    “นายอยากได้อะไรล่ะ เท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจ่ายให้”

    “นายอย่ามาอวดรวยกับฉันนะลีฮยอกแจ ฉันก็มีเหมือนกันเงินน่ะ ถึงจะไม่มากเท่านาย แต่ก็ไม่ต้องขอจากนายหรอก” ผมตะคอกเขาบ้าง ขยับตัวออกมาจนไม่มีส่วนใดสัมผัสเขา ยกเว้นมือที่จับแขนเขาไว้เท่านั้น

    “แล้วต้องการอะไรล่ะ” เขาตะคอกกลับ... นั่นสิผมต้องการอะไร

    “แค่จะบอกว่า อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดน่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่นายก็ทำตัวน่ารังเกียจไม่ต่างกัน.. กับหวานใจของนาย”

    “หมายความว่าไง”

    “รู้มั๊ย เมื่อวานที่ฉันจูบนายแล้วฉันกลับไปคิดว่าทำกับนายเกินไป คิดว่านายอาจจะรับไม่ได้ที่โดนผู้ชายด้วยกันจูบ ก็แน่นอน...ฉันรู้สึกผิดนิดๆ แต่เมื่อเช้าฉันเห็นนายกอดไอ้หมอนั่น โบกมืออำลาอาลัยกันเหมือนไม่เจอกันแล้วใจจะขาด ฉันเลยทิ้งความรู้สึกผิดไปหมด...”

    “ชีวอนไม่..” ผมไม่รอให้เขาพูดจบ และไม่อยากรู้สิ่งที่เขาจะพูดด้วย

    “ชีวอนเหรอ?... เรียกกันซะสนิทสนมเลยนะ มันยังไม่เก่าสำหรับนายเหรอ? งั้นฉันเรียกนายว่าฮยอกแจบ้าง... จะได้เป็นผู้ชายของนายอีกคน” ไม่รู้เพราะความโมโหหรือว่าความรู้สึกอะไร แบบไหน...ผมเริ่มกังวลกับคำพูดตัวเอง

    “พูดเรื่องอะไร” เขาถาม ในขณะที่ผมเก็บโทรศัพท์ของเขาไว้ในกระเป๋าดังเดิม

    “อย่าโง่หน่อยเลยฮยอกแจ เตรียมใจไว้แล้วกัน นายจะได้เจอฉันบ่อยขึ้นแน่ๆ” และอีกครั้ง ที่ความคิดและคำพูดผมตีกัน... มันขัดแย้งกันจนผมเกือบจะตัดสินใจเดินจากมา แต่เมื่อผมปล่อยมือเขา...ผมกลับอยากยื่นไปจับไว้อีกครั้ง... ความรู้สึกเมื่อร่างกายเราหลุดเป็นอิสระต่อกัน มันเหมือนความว่างเปล่าแล่นไปทั่วตัวผม เขายืนพิงผนังอยู่อย่างเดิม มองผมด้วยแววตาที่อ่านความคิดไม่ได้...อยากรู้นักว่าเขากำลังรู้สึกยังไง

    ผมตรงเข้าไปหาเขา และมอบจูบให้เขา...มันง่ายกว่าเมื่อวาน เพราะเขายืนนิ่งๆ ไม่ต่อต้าน ผมจึงสามารถจูบเขาแบบโอนโยนกว่าเมื่อวานได้...นี่สิถึงเรียกว่าจูบ

    สัมผัสหวานที่ได้จากริมฝีปากนุ่มจนผมไม่อยากถอนปากออกมา และเมื่อเขามีท่าทางเหมือนจะจูบตอบ แต่ยังชะงักแบบกล้าๆ กลัวๆ หัวใจผมก็เต้นแรงขึ้น... มันหมายความว่ายังไง แค่อารมณ์พาไปหรือยังไงกัน...ลีฮยอกแจ

    ผมถอนปากออกมา มองเขา... เขายืนหอบมองผมได้ครู่เดียว ก็รีบหลบตา...จริงสินะ เมื่อกี๊ผมหลับตาอยู่ เลยเพิ่งจะเห็นหน้าเขามีสีแดงเรื่อขึ้น

    “นายจะได้จำฉันแม่นๆ” ผมพูด แล้วตัดใจเดินจากมา... ผมจะทำอย่างที่พูดจริงเหรอ

    ---------------------------------------------------------------------------------------

     

     

     

     

    ถ้าช้าไปก็ขอโทษด้วยนะคะ (ไปโทษคนอีดิทโน้นนะ)

    ให้เครดิทผู้ใจบุญที่แก้ไขให้จนได้ตอนเต็มออกมา ขอบคุณมากนะคะ
    hyukjin13 เม้นว่าไงนะ อยากรู้จัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×