ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
บทนำ
ร่างเด็กหญิงวัยแค่ห้าขวบเดินซวนเซตามผู้คนที่หอบเสื้อผ้าหนีภัยสงครามจากชายแดนมุ่ง
สู่เมืองหลวง ที่ที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ตามเนื้อตัวของเด็กหญิงตัวเล็กเต็มไปด้วยฝุ่น
และเศษดินเศษหญ้ามากมาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งเก่า ขาดหวิ่นราวกับเป็นผ้าขี้ริ้วเสียมากกว่า
ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนมีร่องรอยของคราบน้ำตาที่เหือดแห้ง หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่ของนาง
ถูกสังหารต่อหน้าต่อตา หัวใจดวงน้อยก็พลันสลายยิ่งน้องสาวตัวน้อยอายุห่างจากนางเพียงสองปี
หายไปท่ามกลางฝูงชนที่วิ่งอลมานเพื่อหนีตาย เอาชีวิตตัวเองรอด ไม่สนใจว่ารอบข้างว่าจะมี
ใครสูญเสียหรือพลัดพลากจากกันแม้แต่น้อย
‘เจียงจื่อหลิน’ ยังคงเดินเท้าไปตามทางพร้อมกับฝูงชนอีกมากมายเพียงลำพัง ดวงตาหวาน
กวาดมองทุกที่ที่ผ่านมา มองหาน้องสาวตัวน้อยเผื่อว่านางจะหลงทางมาแถวนี้ แต่ไร้ซึ่งเงา
ของนาง ดวงหน้าเล็กก้มมองสองเท้าที่ก้าวเดินเชื่องช้าลงเรื่อยๆอย่างหมดหวังท่านพ่อท่านแม่
ก็ถูกสังหารต่อหน้าโดยที่จื่อหลินทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากผู้
คนรอบข้างเท่านั้น ช่วงเวลาที่ฆ่าศึกบุกมาไม่มีใครที่จะช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย ท่านพ่อท่านแม่
จึงสิ้นใจลงช้าๆ แล้วน้องสาวก็มาหายตัวไประหว่างนั้นอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง จะมีใครหาอะไรให้นางกินหรือไม่ แล้วนางจะกลัวหรือไม่นะ แค่คิดน้ำตาเม็ดใหญ่ก็เอ่อล้น
ออกมาอีกครั้ง มือเล็กกุมเสื้อที่ขาดหวิ่นตรงตำแหน่งหัวใจดวงน้อยที่เต้นอย่างเจ็บปวดพลางก้ม
หน้าลง
จื่อหลินเดินหมดหวังกับการจะได้เจอน้องสาวอีกครั้ง ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้าสู่เมืองฝูหนาน
ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับเมืองหน้าด่านของพวกเขา จื่อหลินเงยหน้ามองรอบตัว ภาพของคนที่อพยพ
มาพร้อมกับจูงมือเด็กน้อยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางเดินผ่านหน้าไป ทำให้ภาพใน
ความทรงจำย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ…. ท่านแม่…. ข้าขอโทษ ข้าดูแลน้องไม่ดี ข้าสมควรตาย”
จื่อหลินพึมพำกับตนเองแผ่วเบาก่อนจะถึงผ้าเช็ดหน้าผืนบางออกมาจากแขนเสื้อ ของชิ้นเดียว
ที่ท่านแม่ปักให้นางและน้องสาวและเป็นชิ้นสุดท้ายที่นางได้มา
ร่างเล็กเดินไปตามทาง ดวงตาหวานเอาแต่มองพื้นด้วยความโศกเศร้า ถ้ารู้ว่ากลับมาเกิด
ใหม่แล้วเป็นแบบนี้ จื่อหลินจะไม่มีทางติดตามร่างหญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์คนนั้นมาแน่
‘ร่างกายของเจ้าสิ้นอายุขัยแล้ว’
หญิงสาวร่างบางเอ่ยกับ ‘เนตรดารา’ หญิงสาวอายุเพียงยี่สิบปีที่ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนทั้งที่
เธอไม่ได้ขับรถหรือเดินอยู่กลางถนนแต่อย่างใด แค่นั่งอยู่ร้านข้างทางแต่ดันโดนลูกหลงจนต้อง
สิ้นใจเสียนี่
‘คุณพูดอะไร ฉันน่ะหรอตายแล้ว ไม่มีทาง!’
เนตรดาราส่ายหน้าไปมาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด เพียงดวงตาหวานก้มมองร่างกายโปร่งแสงของ
ตัวเองเธอก็ถึงกับตกใจขึ้นมา ไม่จริงใช่มั๊ย!? นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงสิ!
‘แม้ยากที่จะยอมรับแต่นี่คือเรื่องจริง’
หญิงสาวตรงหน้ายังคงพูดราบเรรียบไม่มีความตื่นเต้นหรือตื่นตระหนกใดๆ เนตรดารามอง
คนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
‘คุณเป็นใคร’
‘ดวงชะตาของเจ้าคือเด็กที่น่าสงสารแต่ในขณะเดียวกัน เจ้าก็จะได้รับโชคสู่ความเป็นใหญ่ เพียงแค่ยึดมั่นในความถูกต้องและอดทนเท่านั้น’
หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเนตรดาราแต่กลับพูดจาแปลกๆ คิ้วเรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันจน
แทบจะผูกเป็นปมได้อยู่แล้ว
‘ฉันไม่เข้าใจ คุณกำลังจะสื่ออะไร’
‘ข้าไม่อาจทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ แต่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นได้ เพียงแค่เจ้ายินยอมที่จะ
ติดตามข้าไป’
‘คุณจะพาฉันไปไหน’
‘ที่ที่เจ้าจะมีชีวิตไปสู่ความยิ่งใหญ่’
‘หมายความว่าคุณจะพาฉันไปเกิดใหม่หรอ!?’
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆแต่ทำให้เนตรดารากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกเท่าตัว เธอจึงยอมติดตาม
หญิงสาวชุดขาวคนนั้นมา และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วที่ที่เรียกว่ายุคโบราณ
ของจีน แต่อยู่ในช่วงไหนนั้นนางไม่อาจบอกได้ รู้เพียงแต่ว่าที่นี่คือแคว้นเฉินที่มีฮ่องเต้ฮองเฮา
ปกครองอยู่เท่านั้น
“หลบไป นี่เป็นขบวนของฮองเฮา พวกเจ้าหลบไปให้หมด!”
เสียงทุ้มดังแทรกเข้ามาในโสตประสาททำให้เจียงจื่อหลินเงยหน้าจากพื้นมองต้นเสียงขบวน
รถม้าหลังงามที่มีเหล่าทหารและข้ารับใช้ล้อมรอบทั่วคันเดินตามมากมายบ่งบอกถึงฐานะของผู้
ที่นั่งอยู่ในรถม้าได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านและผู้คนอพยพต่างรีบหลบและคุกเข่าหมอบกราบให้กับ
ผู้ที่หัวหน้าทหารเอ่ยถึงตำแหน่งพระแม่แห่งแผ่นดิน
“ถอยไปๆ ฮองเฮาเสด็จ รีบหลีกทางไปซะ!”
จื่อหลินกำลังจะก้าวเท้าหลบกลับหน้ามืดล้มลงกลางถนนทำให้ขบวนของพระแม่แผ่นดินต้อง
หยุดกระทันหัน หัวหน้าทหารโวยวายขึ้นมาทันทีพลางกระชากแขนเรียวเล็กให้ลุกขึ้นอย่างแรง
ไร้ความปราณีต่อเด็กอย่างนาง
“บังอาจนัก เจ้ากล้าขวางขบวนฮองเฮาเชียวหรือ!”
“ขะ…. ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อย….. ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อครู่ข้าน้อยหน้ามืดเพียงเพราะไม่ได้กิน
อะไรมาหลายวันแล้ว ขอท่านเห็นใจข้าด้วย”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า! เจ้ามาขวางขบวนเสด็จของฮองเฮามีโทษถึงตายเห็นแก่ที่เจ้ายังเด็ก
ข้าจะลงโทษโบยเจ้าห้าสิบไม้ ทหารโบยนางห้าสิบไม้!”
“ท่านทหาร อย่าทำข้าเลยเจ้าค่ะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ! ได้โปรด!!”
จื่อหลินพยายามร้องตะโกนหัวหน้าทหารขอความเห็นใจ นอกจาเขาจะทำนิ่งไม่ได้ยินแล้วยังสั่ง
ให้ทหารโบยนางให้หนักด้วย เสียงเอ๊ะอะข้างนอกเรียกความสนใจจากหญิงวัยกลางคนที่นั่ง
อยู่ภายในรถม้าจนอดไม่ได้ที่นางจะเดินลงมาดูสถานการณ์ข้างนอก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงแหลมเล็กทว่าทรงอำนาจดังก้องไปทั่วบริเวณทำให้ทหารสองนายที่กำลังจับจื่อหลินชะงัก หัวหน้าทหารหน้าถอดสีพลางโค้งให้กับหญิงวัยกลางคนที่เดินลงมาจากรถมาซึ่งมีนางกำนัล
คนสนิทคอยประคองอยู่ แม้จะอยู่ในชุดเรียบง่ายแต่ทว่ารัศมีของนางพญากลับเปล่งประกาย
มากมาย ทำเอาจื่อหลินมองหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงดงามเช่นหญิงวัยยี่สิบไม่วางตา
“เด็กตัวแค่นี้ทำสิ่งใดผิดนัก ถึงต้องโบยนางเช่นนี้”
“ทูลฮองเฮา นางไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร บังอาจมาขวางขบวนเสด็จของฮองเฮาพะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่ข้าหน้ามืดเพราะอดข้าวมาหลายวัน ไม่ได้ตั้งใจจะ
ขวางขบวนท่านเลยนะเจ้าคะ!”
“เงียบนะ!”
หัวหน้าทหารตะคอกจื่อหลินอย่างโมโห เพราะนางกำลังจะทำให้เขาต้องหัวขาดในไม่ช้าเนี่ยสิ ฮองเฮามองใบหน้าเล็กที่เปื้อนฝุ่นอย่างพิจารณาสลับกับมองหัวหน้าทหารที่ก้มหน้านิ่งด้วยความ
เกรงอาญาที่ตนอาจจะได้รับ นางเลือกเดินเข้าไปหาเจียงจื่อหลินในขณะที่ทหารสองคนปล่อยมือ
ออกจากแขนเล็กของนางอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปยืนอยู่ข้างหลังหัวหน้าทหารอย่างเงียบๆ
“เด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงอดข้าวหลายวันนักเล่า เป็นเด็กควรจะกินมากไม่รู้หรือ”
พระนางนั่งลงให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาเดียวกันของจื่อหลิน น้ำเสียงของพระนางอบอุ่นเสีย
จนชาวบ้านที่อยู่รอบข้างสัมผัสได้
“ข้ารู้ แตข้าเดินทางอพยพหนีสงครามจากชายแดนมาที่นี่หนทางนั้นลำบากนักข้าไม่มีเงิน
พอที่จะซื้อของกินหรอก”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครกำลังพูดกำลังพูดกับเจ้าอยู่ พูดจาไร้มารยามยิ่งนัก!”
อี้ฮวงนางกำนัลคนสนิทเอ่ยปรามจื่อหลินที่พูดไม่มีหางเสียง ฮองเฮายกมือเป็นเชิงไม่ให้นางพูด
ต่อพลางส่งยิ้มหวานให้จื่อหลินอีกครั้ง
“นางยังเด็กนัก ไม่รู้เรื่องขนบธรรมเนียมในวังหรอก เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย”
“แต่ฮองเฮาเพคะ!...”
“ข้าไม่ถือสาเจ้ายังจะถือสานางอีกหรอ แล้วพ่อแม่เจ้าอยู่ไหนเล่า ทำไมถึงปล่อยให้เจ้าเดินทาง
เพียงลำพังเช่นนี้”
“ท่านพ่อท่านแม่ข้า...... ถูกฆ่าศึกสังหารแล้วเจ้าค่ะ”
แม้จะพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่นแต่น้ำตากลับค่อยๆเริ่มก่อตัวเป็นม่านบางๆบดบังดวงตา
สีหวาน ฮองเฮาถึงกับชะงักยกมือขึ้นลูบผมที่ยุ่งเหยิงของจื่อหลินอย่างไม่นึกรังเกียจ ความอบอุ่น
ทำให้จื่อหลินนึกถึงท่านแม่ขึ้นมาจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้
“เจ้าคงจะเจ็บปวดไม่น้อยเลยสินะ”
“…..”
“เอาอย่างนี้ เจ้ามาอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าไม่มีลูกหากได้เจ้ามาคอยอยู่เป็นเพื่อนคงคลายเหงา
ได้มากเชียว”
จื่อหลินแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่นางฟังผิดไปหรือไม่ ฮองเฮาชวนนางไปอยู่ด้วยอย่างนั้น
หรือนี่!? มือเรียวนุ่มของฮองเฮาเอื้อมมากุมมือเล็กทั้งสองของของจื่อหลินเอาไว้ ใบหน้างดงาม
มองมาที่นางอย่างเอ็นดู จะหาหญิงสาวคนใดที่มีน้ำใจกว้างเช่นพระนางได้อีกเล่า
“แต่ฮองเฮาเพคะ!....”
“ข้าจะรับเลี้ยงนาง เจ้าอย่าได้มาขัดความตั้งใจของข้าเลย ชีวิตนี้ข้าคงไม่มีโอกาสมีลูกอีกแล้ว หากได้นางมาอยู่ด้วยข้าคงจะมีความสุขไม่น้อย แล้วเจ้าเล่าว่าอย่างไร อยากจะมาเป็นลูกสาว
ของข้าหรือไม่”
จื่อหลินพพยักหน้ารัว ไม่ใช่เพราะต้องการมีแม่ที่เป็นถึงฮองเฮาแต่จื่อหลินอยากได้แม่ที่รักนาง ให้ความอบอุ่นกับนางคนเดิมกลับมาต่างหากเล่า คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ดี แล้วเจ้าชื่ออะไรหรือ”
“จื่อหลินเจ้าค่ะ เจียงจื่อหลิน”
“จากนี้ไปเจ้าคือลูกาวบุณธรรมของข้า เป็นคนสกุลหวัง เป็นท่านหญิงเจียงจื่หลิน เป็นหลินเอ๋อร์
ของข้า!”
สู่เมืองหลวง ที่ที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ตามเนื้อตัวของเด็กหญิงตัวเล็กเต็มไปด้วยฝุ่น
และเศษดินเศษหญ้ามากมาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งเก่า ขาดหวิ่นราวกับเป็นผ้าขี้ริ้วเสียมากกว่า
ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนมีร่องรอยของคราบน้ำตาที่เหือดแห้ง หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่ของนาง
ถูกสังหารต่อหน้าต่อตา หัวใจดวงน้อยก็พลันสลายยิ่งน้องสาวตัวน้อยอายุห่างจากนางเพียงสองปี
หายไปท่ามกลางฝูงชนที่วิ่งอลมานเพื่อหนีตาย เอาชีวิตตัวเองรอด ไม่สนใจว่ารอบข้างว่าจะมี
ใครสูญเสียหรือพลัดพลากจากกันแม้แต่น้อย
‘เจียงจื่อหลิน’ ยังคงเดินเท้าไปตามทางพร้อมกับฝูงชนอีกมากมายเพียงลำพัง ดวงตาหวาน
กวาดมองทุกที่ที่ผ่านมา มองหาน้องสาวตัวน้อยเผื่อว่านางจะหลงทางมาแถวนี้ แต่ไร้ซึ่งเงา
ของนาง ดวงหน้าเล็กก้มมองสองเท้าที่ก้าวเดินเชื่องช้าลงเรื่อยๆอย่างหมดหวังท่านพ่อท่านแม่
ก็ถูกสังหารต่อหน้าโดยที่จื่อหลินทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากผู้
คนรอบข้างเท่านั้น ช่วงเวลาที่ฆ่าศึกบุกมาไม่มีใครที่จะช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย ท่านพ่อท่านแม่
จึงสิ้นใจลงช้าๆ แล้วน้องสาวก็มาหายตัวไประหว่างนั้นอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง จะมีใครหาอะไรให้นางกินหรือไม่ แล้วนางจะกลัวหรือไม่นะ แค่คิดน้ำตาเม็ดใหญ่ก็เอ่อล้น
ออกมาอีกครั้ง มือเล็กกุมเสื้อที่ขาดหวิ่นตรงตำแหน่งหัวใจดวงน้อยที่เต้นอย่างเจ็บปวดพลางก้ม
หน้าลง
จื่อหลินเดินหมดหวังกับการจะได้เจอน้องสาวอีกครั้ง ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้าสู่เมืองฝูหนาน
ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับเมืองหน้าด่านของพวกเขา จื่อหลินเงยหน้ามองรอบตัว ภาพของคนที่อพยพ
มาพร้อมกับจูงมือเด็กน้อยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางเดินผ่านหน้าไป ทำให้ภาพใน
ความทรงจำย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ…. ท่านแม่…. ข้าขอโทษ ข้าดูแลน้องไม่ดี ข้าสมควรตาย”
จื่อหลินพึมพำกับตนเองแผ่วเบาก่อนจะถึงผ้าเช็ดหน้าผืนบางออกมาจากแขนเสื้อ ของชิ้นเดียว
ที่ท่านแม่ปักให้นางและน้องสาวและเป็นชิ้นสุดท้ายที่นางได้มา
ร่างเล็กเดินไปตามทาง ดวงตาหวานเอาแต่มองพื้นด้วยความโศกเศร้า ถ้ารู้ว่ากลับมาเกิด
ใหม่แล้วเป็นแบบนี้ จื่อหลินจะไม่มีทางติดตามร่างหญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์คนนั้นมาแน่
‘ร่างกายของเจ้าสิ้นอายุขัยแล้ว’
หญิงสาวร่างบางเอ่ยกับ ‘เนตรดารา’ หญิงสาวอายุเพียงยี่สิบปีที่ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนทั้งที่
เธอไม่ได้ขับรถหรือเดินอยู่กลางถนนแต่อย่างใด แค่นั่งอยู่ร้านข้างทางแต่ดันโดนลูกหลงจนต้อง
สิ้นใจเสียนี่
‘คุณพูดอะไร ฉันน่ะหรอตายแล้ว ไม่มีทาง!’
เนตรดาราส่ายหน้าไปมาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด เพียงดวงตาหวานก้มมองร่างกายโปร่งแสงของ
ตัวเองเธอก็ถึงกับตกใจขึ้นมา ไม่จริงใช่มั๊ย!? นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงสิ!
‘แม้ยากที่จะยอมรับแต่นี่คือเรื่องจริง’
หญิงสาวตรงหน้ายังคงพูดราบเรรียบไม่มีความตื่นเต้นหรือตื่นตระหนกใดๆ เนตรดารามอง
คนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
‘คุณเป็นใคร’
‘ดวงชะตาของเจ้าคือเด็กที่น่าสงสารแต่ในขณะเดียวกัน เจ้าก็จะได้รับโชคสู่ความเป็นใหญ่ เพียงแค่ยึดมั่นในความถูกต้องและอดทนเท่านั้น’
หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเนตรดาราแต่กลับพูดจาแปลกๆ คิ้วเรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันจน
แทบจะผูกเป็นปมได้อยู่แล้ว
‘ฉันไม่เข้าใจ คุณกำลังจะสื่ออะไร’
‘ข้าไม่อาจทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ แต่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นได้ เพียงแค่เจ้ายินยอมที่จะ
ติดตามข้าไป’
‘คุณจะพาฉันไปไหน’
‘ที่ที่เจ้าจะมีชีวิตไปสู่ความยิ่งใหญ่’
‘หมายความว่าคุณจะพาฉันไปเกิดใหม่หรอ!?’
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆแต่ทำให้เนตรดารากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกเท่าตัว เธอจึงยอมติดตาม
หญิงสาวชุดขาวคนนั้นมา และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วที่ที่เรียกว่ายุคโบราณ
ของจีน แต่อยู่ในช่วงไหนนั้นนางไม่อาจบอกได้ รู้เพียงแต่ว่าที่นี่คือแคว้นเฉินที่มีฮ่องเต้ฮองเฮา
ปกครองอยู่เท่านั้น
“หลบไป นี่เป็นขบวนของฮองเฮา พวกเจ้าหลบไปให้หมด!”
เสียงทุ้มดังแทรกเข้ามาในโสตประสาททำให้เจียงจื่อหลินเงยหน้าจากพื้นมองต้นเสียงขบวน
รถม้าหลังงามที่มีเหล่าทหารและข้ารับใช้ล้อมรอบทั่วคันเดินตามมากมายบ่งบอกถึงฐานะของผู้
ที่นั่งอยู่ในรถม้าได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านและผู้คนอพยพต่างรีบหลบและคุกเข่าหมอบกราบให้กับ
ผู้ที่หัวหน้าทหารเอ่ยถึงตำแหน่งพระแม่แห่งแผ่นดิน
“ถอยไปๆ ฮองเฮาเสด็จ รีบหลีกทางไปซะ!”
จื่อหลินกำลังจะก้าวเท้าหลบกลับหน้ามืดล้มลงกลางถนนทำให้ขบวนของพระแม่แผ่นดินต้อง
หยุดกระทันหัน หัวหน้าทหารโวยวายขึ้นมาทันทีพลางกระชากแขนเรียวเล็กให้ลุกขึ้นอย่างแรง
ไร้ความปราณีต่อเด็กอย่างนาง
“บังอาจนัก เจ้ากล้าขวางขบวนฮองเฮาเชียวหรือ!”
“ขะ…. ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อย….. ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อครู่ข้าน้อยหน้ามืดเพียงเพราะไม่ได้กิน
อะไรมาหลายวันแล้ว ขอท่านเห็นใจข้าด้วย”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า! เจ้ามาขวางขบวนเสด็จของฮองเฮามีโทษถึงตายเห็นแก่ที่เจ้ายังเด็ก
ข้าจะลงโทษโบยเจ้าห้าสิบไม้ ทหารโบยนางห้าสิบไม้!”
“ท่านทหาร อย่าทำข้าเลยเจ้าค่ะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ! ได้โปรด!!”
จื่อหลินพยายามร้องตะโกนหัวหน้าทหารขอความเห็นใจ นอกจาเขาจะทำนิ่งไม่ได้ยินแล้วยังสั่ง
ให้ทหารโบยนางให้หนักด้วย เสียงเอ๊ะอะข้างนอกเรียกความสนใจจากหญิงวัยกลางคนที่นั่ง
อยู่ภายในรถม้าจนอดไม่ได้ที่นางจะเดินลงมาดูสถานการณ์ข้างนอก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงแหลมเล็กทว่าทรงอำนาจดังก้องไปทั่วบริเวณทำให้ทหารสองนายที่กำลังจับจื่อหลินชะงัก หัวหน้าทหารหน้าถอดสีพลางโค้งให้กับหญิงวัยกลางคนที่เดินลงมาจากรถมาซึ่งมีนางกำนัล
คนสนิทคอยประคองอยู่ แม้จะอยู่ในชุดเรียบง่ายแต่ทว่ารัศมีของนางพญากลับเปล่งประกาย
มากมาย ทำเอาจื่อหลินมองหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงดงามเช่นหญิงวัยยี่สิบไม่วางตา
“เด็กตัวแค่นี้ทำสิ่งใดผิดนัก ถึงต้องโบยนางเช่นนี้”
“ทูลฮองเฮา นางไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร บังอาจมาขวางขบวนเสด็จของฮองเฮาพะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่ข้าหน้ามืดเพราะอดข้าวมาหลายวัน ไม่ได้ตั้งใจจะ
ขวางขบวนท่านเลยนะเจ้าคะ!”
“เงียบนะ!”
หัวหน้าทหารตะคอกจื่อหลินอย่างโมโห เพราะนางกำลังจะทำให้เขาต้องหัวขาดในไม่ช้าเนี่ยสิ ฮองเฮามองใบหน้าเล็กที่เปื้อนฝุ่นอย่างพิจารณาสลับกับมองหัวหน้าทหารที่ก้มหน้านิ่งด้วยความ
เกรงอาญาที่ตนอาจจะได้รับ นางเลือกเดินเข้าไปหาเจียงจื่อหลินในขณะที่ทหารสองคนปล่อยมือ
ออกจากแขนเล็กของนางอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปยืนอยู่ข้างหลังหัวหน้าทหารอย่างเงียบๆ
“เด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงอดข้าวหลายวันนักเล่า เป็นเด็กควรจะกินมากไม่รู้หรือ”
พระนางนั่งลงให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาเดียวกันของจื่อหลิน น้ำเสียงของพระนางอบอุ่นเสีย
จนชาวบ้านที่อยู่รอบข้างสัมผัสได้
“ข้ารู้ แตข้าเดินทางอพยพหนีสงครามจากชายแดนมาที่นี่หนทางนั้นลำบากนักข้าไม่มีเงิน
พอที่จะซื้อของกินหรอก”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครกำลังพูดกำลังพูดกับเจ้าอยู่ พูดจาไร้มารยามยิ่งนัก!”
อี้ฮวงนางกำนัลคนสนิทเอ่ยปรามจื่อหลินที่พูดไม่มีหางเสียง ฮองเฮายกมือเป็นเชิงไม่ให้นางพูด
ต่อพลางส่งยิ้มหวานให้จื่อหลินอีกครั้ง
“นางยังเด็กนัก ไม่รู้เรื่องขนบธรรมเนียมในวังหรอก เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย”
“แต่ฮองเฮาเพคะ!...”
“ข้าไม่ถือสาเจ้ายังจะถือสานางอีกหรอ แล้วพ่อแม่เจ้าอยู่ไหนเล่า ทำไมถึงปล่อยให้เจ้าเดินทาง
เพียงลำพังเช่นนี้”
“ท่านพ่อท่านแม่ข้า...... ถูกฆ่าศึกสังหารแล้วเจ้าค่ะ”
แม้จะพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่นแต่น้ำตากลับค่อยๆเริ่มก่อตัวเป็นม่านบางๆบดบังดวงตา
สีหวาน ฮองเฮาถึงกับชะงักยกมือขึ้นลูบผมที่ยุ่งเหยิงของจื่อหลินอย่างไม่นึกรังเกียจ ความอบอุ่น
ทำให้จื่อหลินนึกถึงท่านแม่ขึ้นมาจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้
“เจ้าคงจะเจ็บปวดไม่น้อยเลยสินะ”
“…..”
“เอาอย่างนี้ เจ้ามาอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าไม่มีลูกหากได้เจ้ามาคอยอยู่เป็นเพื่อนคงคลายเหงา
ได้มากเชียว”
จื่อหลินแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่นางฟังผิดไปหรือไม่ ฮองเฮาชวนนางไปอยู่ด้วยอย่างนั้น
หรือนี่!? มือเรียวนุ่มของฮองเฮาเอื้อมมากุมมือเล็กทั้งสองของของจื่อหลินเอาไว้ ใบหน้างดงาม
มองมาที่นางอย่างเอ็นดู จะหาหญิงสาวคนใดที่มีน้ำใจกว้างเช่นพระนางได้อีกเล่า
“แต่ฮองเฮาเพคะ!....”
“ข้าจะรับเลี้ยงนาง เจ้าอย่าได้มาขัดความตั้งใจของข้าเลย ชีวิตนี้ข้าคงไม่มีโอกาสมีลูกอีกแล้ว หากได้นางมาอยู่ด้วยข้าคงจะมีความสุขไม่น้อย แล้วเจ้าเล่าว่าอย่างไร อยากจะมาเป็นลูกสาว
ของข้าหรือไม่”
จื่อหลินพพยักหน้ารัว ไม่ใช่เพราะต้องการมีแม่ที่เป็นถึงฮองเฮาแต่จื่อหลินอยากได้แม่ที่รักนาง ให้ความอบอุ่นกับนางคนเดิมกลับมาต่างหากเล่า คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ดี แล้วเจ้าชื่ออะไรหรือ”
“จื่อหลินเจ้าค่ะ เจียงจื่อหลิน”
“จากนี้ไปเจ้าคือลูกาวบุณธรรมของข้า เป็นคนสกุลหวัง เป็นท่านหญิงเจียงจื่หลิน เป็นหลินเอ๋อร์
ของข้า!”
ไม่รู้ว่ามีคำไหนขาดตกบกพร่องรึเปล่า ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น