คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter7 เพื่อนสนิท (100%)
Chapter7 เพื่อนสนิท
หญิงสาวตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดขาวของแพทย์กระแทกประตูรถมัสแตงก์คันเก่าที่เปรียบเหมือนเป็นลูกรักอย่างหัวเสีย เมื่อพบว่ามันสตาร์ทไม่ติดเป็นครั้งที่3ในรอบเดือน ถ้าเป็นปกติเธอก็คงจะขอยืมรถพี่ชายคนใดคนหนึ่งใน3คนออกไปใช้ หากแต่วันนี้ในโรงรถมีเพียงรถของเธอและเบ๊นซ์คันโปรดของพ่อเท่านั้นที่จอดอยู่ ครั้นจะยืมของพ่อก็คงถูกท่านเขกกบาลกลับมา โทษฐานที่ว่าให้ซื้อรถใหม่ตั้งนานแล้วไม่เชื่อ ส่วนจะให้ขึ้นรถเมล์ไปทำงานทั้งที่อยู่ในชุดหมอนี่ก็กระไรอยู่ หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในกระเป๋าสีเดียวกันกับเสื้อผ้า
"ฮัลโหลเต้ย.. แกอยู่ไหน.. จริงเหรอ ..ดีจังมารับฉันหน่อยสิ.. แหะๆ ที่บ้านน่ะ ลูกมันอู้งานอีกแล้ว..จ้า.. แล้วฉันจะรอ" พรีมค่อยยิ้มออกเมื่อรู้ว่าเพื่อนซี้กำลังจะมารับ
ไม่ถึงสอบห้านาที แลนด์โรเวอร์สีเขียวเข้มเกือบเป็นน้ำตาลก็แล่นมาจอดอยู่หน้าบ้านพัฒนวิทยกุล พรีมที่ตั้งตาคอยอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ
"วันนี้ลูกสาวกบฏเหรอครับ คุณหนูพรีม" ชายหนุ่มในชุดขาว ดวงตาฉายแววจริงใจนั้นถูกป้องกันด้วยแว่นตาใสๆ รอยยิ้มขี้เล่นของเขาทำให้พรีมติดใจในความเป็นมิตรของหนุ่มผู้นี้ ผิวคล้ำอย่างผู้ชายไทย และโครงหน้าแบบนั้นดูเหมาะเจาะกับบุคลิกคุณหมอเป็นที่สุด
"ก็ใช่น่ะสิ เป็นรอบที่3ของเดือนแล้วเนี่ย เห็นทีต้องซื้อใหม่จริงๆซะแล้ว นี่ยังโชคดีน้า.. ที่ราชรถอยู่ใกล้ๆ" น้ำเสียงสดใสน่าฟังของหญิงสาวทำให้สารถีคนขับหุบยิ้มไม่ลง
"เอ..ว่าแต่แกมาส่งฉัน แกจะไแทำงานทันเหรอเต้ย? ถ้าแกมีธุระ ส่งฉันตรงท่ารถก็ได้นะ" ถึงจะเป็นเพื่อนกันมานาน หญิงสาวห็ยังคงเกรงใจอยู่ดี เพราะที่ทำงานของเธอกับเต้ยอยู่กันคนละโยชน์เลยทีเดียว
"ไม่เป็นไรหรอก.. พอดีวันนี้ค่อนข้างว่างน่ะ" ชายหนุ่มพูดไปทั้งที่ความจริงตอนนี้เขาควรจะอยู่ในห้องของสัตวแพทย์แล้ว
"แล้วนี่ไม่มีเคสแปลกๆมาเล่าให้ฟังแล้วเหรอ.." หญิงสาวถามคำถามนี้แทบจะทุกครั้งที่เจอหน้าสัตวแพทย์หนุ่มคนนี้
"โหย..จะหาที่ไหนมาเล่าอีกล่ะแม่คุณ.. เจอทีไรก็เล่าให้ฟังไปจนหมดกรุแล้ว" เขายิ้มเยาะเล่นๆเลยถูกหมอหญิงคนสวยตีเข้าที่แขนเบาๆ
พรีมกับเต้ยรู้จักกันครั้งแรกที่งานรับน้องเฟรชชี่มหาวิทยาลัย ทั้งคู่เป็นน้องปีหนึ่ง ถูกรุ่นพี่แกล้งสารพัดและถูกจับให้เป็นคู่กันในการเล่นเกมส์ ด้วยอารมณ์ขันและความเป็นกันเองของเต้ย ทำให้พรีมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสมาคมด้วย และด้วยเหตุผลที่ว่าพรีมเป็นผู้หญิงที่น่ารักและไม่เหมือนใคร เธอจะนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ที่สำคัญ เธอไม่ใช่ผู้หญิงพวกที่รับไม่ได้แล้วกรี๊ดลูกเดียวแบบนางอิจฉาในละคร จึงทำให้ความสัมพันธ์ในรูปแบบของเพื่อนสนิทแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก เต้ยรู้ดี ว่าเป็นเขาคนเดียวที่คิดไป แต่เขาก็พอใจที่จะได้อยู่ในฐานะอย่างนี้มากกว่าจะเสียมิตรภาพไป
"เอ..ว่าแต่นางพยาบาลคนนั้นชื่ออะไรแล้วน้า.. ชื่อเหมียวหรือแหม่ม..หรือ.." หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดอยู่นานชายหนุ่มจึงต้องยอมปริปากพูด
"หมวย .. คนนั้นน่ะชื่อหมวย"
"เอ้อ..ใช่! พยาบาลหมวยเป็นไงบ้างล่ะ เค้าจีบแกติดหรือยัง" พรีมทำตาโตพร้อมจ้องหน้าเต้ย เขามองภาพนั้นอย่างขำๆ
"จะบ้าเรอะ..ยัยคุณหนูนี่" เขาเอื้อมมือจะไปผลักหัวพรีมอย่างเคยชิน หากแต่เธอใช้มืออีกข้างยั้ยมือเขาไว้ได้ทัน
"เดี๋ยวนี้รู้แล้วน้า .. ไม่ยอมให้ผลักหัวอีกแล้วล่ะ" พรีมยิ้มแก้มป่องอย่างน่าตีนัก สงครามผลักหัวย่อมๆจึงเริ่มต้นขึ้น
"ฮ่าๆ..แกผลักหัวฉันแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว..หุหุ สะใจ" เขาเอื้อมมือมาอีกครั้งอย่างหมั่นเขี้ยว แต่ก็โดนเธอดุก่อน "ขับรถไปดีๆเลยนะ.. เดี๋ยวจะพากันตายทั้งคู่"
"โอ้โห..นี่ปากเหรอครับคุณหนู .. อย่างงี้เขาเรียกปากพาซวยแล้วครับ ..เคาะเลยๆ"
พรีมทำหน้าบูดเมื่อเห็นเขาเอาจริงขึ้นมา ยกกำปั้นเคาะหน้ารถเบาๆ3ที
"ดีมากครับคุณหนู"
"เลิกเรียกคุณหนูซักทีเหอะเต้ย ..ฟังแล้วขยะแขยง ป้าๆที่บ้านฉันยังไม่เรียกคุณหนูเลย แกเป็นสารถีให้ฉันวันเดียว ไม่ต้องเรียบร้อยนัก" เธอพูดแหย่ตรงประโยคสุดท้าย แต่เธอก็ไม่รู้หรอกว่าที่เต้ยเรียกเธอว่าคุณหนูแถมลงท้ายด้วยครับทุกคำนั้น ไม่ได้เป็นแค่เพราะแกล้งพูด แต่เหตุผลของเขาคือเพื่อต้องการย้ำเตือนตัวเองถึงฐานะระหว่างเธอและเขา พรีมเป็นถึงลูกสาวนักการเมืองระดับชาติ ส่วนเขาเป็นแค่ลูกชายแม่ค้าขายข้าวแกงที่อาศัยเพียงความขยันเรียนจนจบสัตวแพทย์
'ดอกฟ้ากับหมาวัด' คงจะเป็นคำเปรียบเทียบความรักของเขาที่เหมาะสมที่สุด
แค่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอ.. แค่นั้นก็บุญโขแล้วไอ้เต้ย
"ครับ..คุณหนู" เต้ยพูดหน้าตาเฉย จนพรีมอดไม่ได้ที่จะหันไปค้อนความกวนของเพื่อน
รถแล่นไปเรื่อยๆ ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ใจชายหนุ่มอยากจะขับวนไปมาหลายๆรอบ อยากให้เธอนั่งอยู่ตรงนี้ข้างๆเขาอย่างนี้
นานๆ พรีมสังเกตเห็นข้างทางมีป้ายบอกทางไปบ้านงานแต่งงานเป็นระยะๆ
"นี่..ถ้าวันไหนแกจะแต่งงานขึ้นมา.. แกจะยอมให้ฉันไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวไหม?" เต้ยชะงักกับคำถามที่จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ไปเป็นเจ้าสาวแทนได้ไหม? แน่นอนว่าประโยคนี้ได้แต่ดังก้องไปมาอยู่ในสมอง ไม่มีวันได้ผ่านริมฝีปากของเขาออกมาเป็นแน่
"ว่าไง..ให้ไปไหม?" เธอถามซ้ำ แต่ตามองออกไปนอกกระจกรถ
"ไปสิ.. แต่เพื่อนเจ้าบ่าวต้องใส่สูทนะ.. จับเลดี้พรีมไปแต่งหล่อ ท่าทางจะตลกพิลึก"
"ฉันล่ะสงสัย .. ทำไมเพื่อนเจ้าบ่าวต้องเป็นผู้ชาย..มีเพื่อนเป็นผู้หญิงไม่ได้รึไง" นี่แหละคือความเถรตรง คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น จริงใจ ไม่เสแสร้ง นิสัยที่ทำให้เธอได้ใจเขาไปจนหมด
"เขากลัวเจ้าบ่าวจะรักเพื่อนตัวเองล่ะสิ" ประโยคที่ทำให้คนพูดไม่กล้าหันไปสบดวงตาคู่สวยที่จ้องอยู่ ด้วยกลัวเป็นอย่างยิ่งว่า ดวงตาจะทำหน้าที่เป็นหน้าต่างของหัวใจขึ้นมาจริงๆ
>>--+:++:+--<<
หลังจากส่งพรีมและรับปากว่าจะไปรับหลังเธอเลิกงานแล้วด้วย เต้ยก็รีบโทรศัพท์ไปลางานโดยอ้างว่าไม่สบาย เขาคงไม่มีอารมณ์มาฉีดยาแก้ภูมิแพ้ให้สุนัขชัวร์ๆ
โชคยังดีที่เขาขับรถมาอย่างใจลอยและถึงที่หมายโดยไม่ได้ตั้งใจจะมาได้อย่างปลอดภัย
สถานที่เล็กๆแถบชานเมืองที่เป็นจุดหมายของเขา ครั้งหนึ่งมันเป็นที่ที่เขาใฝ่ฝันจะได้ครอบครอง .. สถานที่แห่งหนึ่งที่เขารักที่สุด
แลนด์โรเวอร์ถูกดับเครื่องลงบนถนนลูกรังสายเล็กๆ ตรงหน้าทางเดินเข้าที่ดูเหมือนจะถูกถางโดยรอยเท้าคนที่เดินผ่านไปมา มองภายนอกคล้ายกับเป็นทางเข้าสู่ป่าทึบ แต่หากเงยหน้าขึ้นมองป้ายเล็กๆที่แขวนไว้เอียงๆก็จะรู้ได้ว่า นี่คือทางเข้าไร่ศักรินทร์
สิบปีก่อนชายหนุ่มถูกแม่ส่งมาอยู่กับลุงและป้าผู้เป็นเจ้าของไร่ส้มเล็กๆแห่งนี้ โดยามารดาอ้างว่า อยู่กับป้าจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากกว่าวิธีทำข้าวแกงขายแบบแม่ เขาจากบ้านเกิดมาอย่างไม่เต็มใจนัก ถนนลูกรังแดงที่ตัดผ่านหน้าไร่แห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะห่างจากเขตกรุงเทพแค่ไม่เท่าไหร่ เพราะดูเหมือนเป็นชนบทแถวชายแดนเสียมากกว่า ครั้งแรกที่ได้มา ครั้งแรกที่ได้เห็นที่นี่ ในมุมมองของเด็กหนุ่ม เขาไม่ชอบเลย มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ อยากจะเห็นตึกใหญ่ๆสูงๆแบบในเมืองกรุง แต่ไม่นานนัก สถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไปอย่างสิ้นเชิง มันมีเสน่ห์แบบที่ใครก็ไม่มีวันหาเจอในกรุงเทพ
รองเท้าสีดำคู่เก่าย่ำไปตามทางเล็กๆ เข้าไปสู่ลานกว้างขนาดใหญ่ มีกระท่อมหลายหลังปลูกอยู่รายรอบราวกับจะคุ้มกันเรือนไม้หลังใหญ่ที่อยู่ตรงกลางซึ่งสร้างแบบบ้านไสตล์ตะวันตกสมัยใหม่ แต่ใช้ไม้เ ป็นส่วนประกอบเสียมาก หากมองกว้างไปกว่านั้นจะเห็นต้นส้มเขียวขจีปลูกเรียงเป็นแถวๆอย่างมีระเบียบ พนักงานซึ่งส่วนมากคือชาวบ้านในละแวกนั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน
ชายหนุ่มยืนชมภาพที่ตัวเองไม่ได้มาเห็นหลายเดือนอย่างอารมณ์ดี
"อ้าว..คุณเต้ย" เขาหันไปทางต้นเสียงพลันเจอะคุณลุงวัยชราในเสื้อม่อฮ่อมคนเก่าแก่ของที่นี่
"สวัสดีครับลุงหวน" สองมือประกบกันไหว้ตามมารยาทไทย
"เป็นยังไง สบายดีนะคุณหมอ" ผู้ชรามองเด็กหนุ่มที่รักกันเหมือนหลานเพราะเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ
"ครับ ลุงล่ะครับ สบายดีไหม"
"ก็ดีเท่าที่คนแก่ๆจะดีได้นั่นแหละ.." ริ้วรอยลึกเหล่านั้นบ่งบอกถึงประสบการณ์ รอยยิ้มจริงใจนี้ ถึงนานๆจะได้เห็นสักครั้ง แต่ก็ทำให้สบายใจได้ไม่น้อยทีเดียว
"ลุงกับป้าไม่อยู่เหรอครับ..ไม่เห็นรถเลย" สวนนี้มีทางเข้าได้สองทาง คือหน้าสวนที่เต้ยเข้ามา ซึ่งเป็นทางคนเดิน รถคันใหญ่จะเข้าไม่ได้ ต้องไปเข้าด้านหลังสวน
"สองคนนั้นไม่อยู่ร้อก.. เห็นว่าไปประชุมเรื่องการเกษตรในจังหวัดน่ะ ..เอ้อ ทำตัวตามสบายนะหมอ ..อย่างน้อยที่นี่ก็เคยเป็นบ้าน" ชายชราตบบ่าเขาสองทีก่อนจะจากไปทำธุระของตนต่อ
เต้ยมองตามร่างค่อมนั้นอย่างไร้เหตุผล _ _ หากบั้นปลายของชีวิตได้จบลง ณ สถานที่ดีๆแห่งนี้ เขาเองก็ยินดี
รองเท้าคู่เดิมย่ำต่อไปตามทาง ผ่านกระท่อมเก็บเครื่องมือแต่ละหลังก็อดคิดถึงเพื่อนเก่าที่เคยเล่นวิ่งไล่จับรอบกระท่อมบ่อยๆไม่ได้ ต้นไม้ต้นเล็กในสมัยก่อนเติบโตขึ้นตามกาลเวลา เหมือนๆกันกับตัวเขา จากที่เคยใช้แต่แรงงานคนรดน้ำต้นไม้ ก็มีเครื่องทุ่นแรงมาช่วย ผลส้มที่เคยเก็บใส่เข่งสานใหญ่ๆแล้วช่วยกันหิ้วไปกองรวมกัน วันนี้ก็มีรถคอยขนผลส้มเหล่านั้น นาฬิกาหมุนไป อะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป หากแต่มีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือความเป็นมิตรของคนที่นี่..
พื้นที่เกือบร้อยไร่ของที่นี่ ไม่ค่อยใหญ่นักเมื่อเทียบกับสวนส้มที่อื่น มันเป็นผืนดินเดียวที่เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงคุณลุงศักรินทร์ เจ้าของสวนคนปัจจุบัน ส่วนภรรยาของเขาก็คือป้าเนียน พี่สาวแท้ๆของแม่เต้ย ป้าเนียนเคยชวนน้องสาวมาอยู่ด้วยกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เธออ้างว่าเธอรักหัวหินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านที่เธอร่วมกันสร้างกับสามีก่อนี่เขาจะจากเธอไปพร้อมกับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ลูกชายคนที่สองซึ่งก็คือเต้ยยังไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำ
เต้ยรู้ดี..ว่าแม่คงอยู่ไม่ได้หากต้องจากบ้านที่มีกลิ่นอายของคนที่เป็นที่รักอยู่ พ่อหายไปอยู่ที่ไหน และป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีใครรู้ เขาไม่เคยได้เห็นแม้แต่รูปพ่อ ไม่เคยรู้ชื่อพ่อด้วยซ้ำ เมื่อแม่ต้องปวดใจที่จะบอก เขาก็ไม่อยากจะถาม อาชีพขายข้าวแกงของแม่เลี้ยงเขาและพี่ชายให้เรียนจบปริญญาตรี ได้งานทำดีๆทั้งคู่ โดยพี่ชายได้เป็นพัฒนากรในพื้นที่แถวๆบ้านที่ทำให้เขาพอจะมีเวลาและเป็นคนเลี้ยงดูแม่
เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เจอชาวบ้านก็ทักทายเป็นระยะ สุดท้ายก็มาโผล่เอาท้ายสวน ลำธารเล็กๆไหลผ่านทำให้เขาต้องข้ามสะพานไม้ไปสู่ลานหญ้าร่มรื่น เรือนไม้ชั้นเดียวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแปลงไม้ดอก ทางเดินโรยหินกรวดทอดนำสู่ตัวบ้าน รอบๆบ้านนั้นเป็นระเบียงทางเดินที่ยังคงอยู่ใต้ชายคา ทุกห้องมีประตูเชื่อมต่อกันกับระเบียง ช่องลมด้านบนประตูคล้ายบ้านทรงไทยโบราณทำให้ลมถ่ายเทได้สะดวก ชายหนุ่มมองภาพนั้นอย่างภาคภูมิ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงมือสร้างบ้านหลังนี้ด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง
เดิมทีบ้านหลังเล็กท้ายสวนหรือที่เขาเรียกอย่างถ่อมตนว่า "กระท่อมปลายนา" นี้เป็นบ้านของลุงศักรินทร์ เขาขอพื้นที่ว่างๆตรงนี้จากพ่อเพื่อปลูกสถานที่ที่น่ารัก เหมาะจะเป็นที่บอกรัก และบ้านที่อบอุ่นสำหรับคนสองคน .. มันเป็นที่ที่ทำให้เขาทั้งสองให้ชีวิตร่วมกันมาจนถึงบัดนี้
เต้ยประทับใจในความมีเสน่ห์ของบ้านและความเป็นมาของมัน .. เขาฝันไว้ตั้งแต่ได้เห็นมันครั้งแรก ว่าคงจะได้บอกรักคนที่จะมาอยู่ร่วมกับเขาตลอดไป ณ สถานที่แห่งนี้
หลังจากเรียนจบและทำงาน เขาก็นำเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้มาขอซื้อบ้านหลังนี้ ลุงและป้าเห็นความตั้งใจจริงจึงยอมขายให้ นับว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตเขาเลยทีเดียว
เต้ยนั่งลงพักเหนื่อยบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน พลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆระหว่างเขากับพรีม หลายต่อหลายครั้งที่เขาอยากจะตัดสินใจบอกความนัยออกไป แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าเขาอาจจะสูญเสียรอยยิ้มสดใสนั่นไปตลอดกาล ความคิดนั้นก็ถูกสลัดทิ้งทันที
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่จิตใจล่องลอยไปในสายธารแห่งความคิด ภาพวันเวลาเก่าๆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ ครั้งที่สนิทกัน ครั้งที่โกรธกัน ครั้งที่เขาทำให้เธอร้องไห้ ชายหนุ่มทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย สักวันหนึ่งเท่านั้นเอง แค่สักวันที่เขากล้าพอจะยอมรับความสูญเสีย คำๆนั้นคงได้หลุดออกจากปาก และบ้านหลังนี้คงได้ใช้ตามจุดประสงค์ของเจ้าของมันสักที
>>--+:++:+--<<
เย้ๆ ต้องขอโทษนะคะ ที่มาอัพช้าไปนิดสสส
แต่ในที่สุดก็มาแล้ว ยังไงเข้ามาอ่านแล้วก็กรุณาโพสทั้งคอมเม้นและคะแนนไว้ให้ชื่นใจด้วยนะคะ
ขอบคุณจริงๆค่ะ
Zlexy_mj
ความคิดเห็น