คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter6 ลั่นระทม .. รับอรุณบนยอดตึก (100%)
Chapter6 ลั่นระทม .. รับอรุณบนยอดตึก
ลานหญ้ากว้างเขียวขจีสุดลูกหูลูกตามีป้ายหินตั้งห่างกันเป็นระยะ ต้นไม้ต้นใหญ่มากมายแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น หากแต่แสงแรงกล้าของยามเช้าก็ยังคงแผดเผาให้ความอบอุ่นแก่ทุกๆสิ่งมีชีวิต
และบนเนินหญ้าเล็กๆในบริเวณเดียวกันนั้นเอง ผู้คนในชุดดำกลุ่มย่อมกำลังยืนไว้อาลัย ต่อหน้าบาทหลวงและโลงศพสีครีมที่ถูกประดับอย่างเรียบๆด้วยดอกลีลาวดี ดอกไม้โปรดของผู้จากไป
'พี่พงศ์อย่ามามั่วน้า .. เค้าขื่อลั่นระทมต่างหาก.. ลั่นที่แปลว่าทำให้แตกในพังน่ะ .. ทำให้ความเศร้ามันหายไปต่างหาก '
เสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผู้เป็นพี่
"เธอมาจากธุลีดิน เราก็ต้องคืนเธอให้กับดิน
" เสียงใหญ่ๆของบาทหลวงวัยชรา ดังช้าๆ แต่ทว่ามั่นใจ
ฉันจะเป็นเรนโบว์ให้แกตลอดไป.. ใครบางคนรำพึงในใจ
ในกลุ่มคนเหล่านั้น มีทั้งญาติผู้ใหญ่ในวงสังคมที่รักใคร่เอ็นดูพัดซึ่งส่วนมากเป็นเพื่อนของพ่อแม่เธอ เพื่อนสนิทมิตรสหายพร้อมหน้า ไปจนถึงเด็กกำพร้าที่เธอรับอุปถัมภ์ไว้สองคน พี่ชายคนเดียวซึ่งเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ต้อนรับแขกเหรื่อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก หากก็ยังฝืนยิ้มเจื่อนๆให้ทุกคน ยกเว้นกับคนๆเดียว .. คนที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องจบชีวิตลง .. คนที่เขาจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด
รอยช้ำที่ดวงตาของเขายังไม่หายดีนัก แต่แว่นกันแดดสีดำก็ช่วยอำพรางมันได้ เขามองนายภัทรพงศ์ เมฆาวลัยเสถียรด้วยสีหน้าที่แปลเป็นคำพูดได้ว่า 'ผมเสียใจ' แต่เมื่อเขาเห็นดวงหน้านั้น ความรู้สึกอยากจะเสยคางด้วยกำปั้นหนักๆอีกสักทีเหมือนในวันที่อยู่ในโรงพยาบาลแต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่สมควรนัก
หญิงสาวในชุดขาวตัวโคร่งหลบแดดอยู่ใต้ร่มไม้เขียวครึ้ม สายตามองเหม่อไปยังกลุ่มคนที่ยืนล้อมรอบโลงศพสีนวลตานั้น นานๆครั้งจะเบนไปทางอื่น ลมร้อนพัดมาต้องเรือนผมสีน้ำตาลไหวน้อยๆ อารมณ์หดหู่อย่างบอกไม่ถูกเคลื่อนเข้าครอบคลุมจิตใจ เมื่อรู้ว่าร่างของตัวเองกำลังเหยียดยาวไร้ลมหายใจอยู่ในกล่องไม้แคบๆ และจะอยู่ในนั้นตลอดไป
ชายหนุ่มหลีกสายตาจากจุดเดิมไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นแต่เขากลับอยากจะทอดสายตามองตรงนั้นนานๆ มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ผู้คนทั้งหมดที่มาร่วมแสดงความเสียใจในงานเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่ภพรู้จักหรือพอจะทักทายได้ เขารู้สิ่งนี้ดีก่อนตัดสินใจมา และยังลังเลอยู่หลายหนว่าจะพาน้องสาวคนเดียวมาเป็นเพื่อน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงเมื่อถูกถามว่ามางานของใคร .. เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้จะถูกซักถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
ฉัน..เกลียด..คุณ
ถ้อยคำที่บาดลึกในจิตใจของชายหนุ่มก้องไปมาอยู่ในสมอง
ส่วนอีกคำที่ดังสนั่นอยู่ข้างใน แต่ไม่มีโอกาสได้พูดดังๆให้คนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในโลงนั้นได้ยิน
ผม..ขอโทษ
>>--+:++:+--<<
ภพพยายามลืมเรื่องราวที่รบกวนจิตใจให้ไม่เป็นอันทำอะไร แล้วเปิดโน้ตบุ๊คเครื่องคู่ใจเพื่อเริ่มทำสื่อประกอบการบรรยายนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยชื่อดังในวันพรุ่งนี้ ทั้งที่เวลาก็ล่วงเลยไปจนเข็มสั้นชี้เข้าเลขสองยามราตรีกาล แล้วแต่งานก็ยังไม่คืบหน้า เขาตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ เอนกายลงนอนแทน เขายังไม่อยากได้ตาแพนด้ามาแทนที่รอยช้ำเพราะโดนพี่ชายพัดต่อยที่ใกล้จะหาย
บนยอดตึกระฟ้าที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในประเทศไทย หญิงสาวนั่งเท้าคางเหม่อลอยอยู่อย่างไม่กลัวว่าจะตกลงมา บรรยากาศของเมืองหลวงยามค่ำคืนทำให้เธอคิดถึงชีวิตบนโลกมนุษย์นัก.. อย่างน้อยก็ยังกอดคนที่เรารักได้ ถนนด้านล่างคลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะ คนกลางคืน และแสงสีมากมาย ดูน่าสนุกกว่าตอนกลางวันด้วยซ้ำ พัดไม่ค่อยได้ออกมาร่าเริงในช่วงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วสักเท่าไหร่ เพราะพี่ชายสุดหวงของเธอ แต่ ณ จุดที่เธอกำลังนั่งอยู่ขณะนี้ คือสถานที่หนึ่งที่เธอเคยใฝ่ฝันจะได้มาสัมผัส สถานที่ที่สูงที่สุด สถานที่ที่เธอจะได้อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุด
ฟิ้วว..
เสียงที่เธอค่อนข้างเคยชินตั้งแต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว .. เสียงนกบินผ่าน แต่ตอนมืดๆอย่างนี้ก็คงจะมีแต่นกหลงรังอย่างเธอเท่านั้น
"สวัสดีครับ" เสียงนุ่มๆของใครสักคนดังขึ้น แต่มันก็แค่ลอยผ่านหูเธอไปเหมือนเคย
ชายหนุ่มนัยน์ตาอ่อนโยนจับจองที่นั่งด้านข้างพัด นั่นล่ะที่ทำให้เธอรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ ใจที่หยุดเต้นไปแล้ว แทบจะตึกตักด้วยความตื่นเต้น เธออยู่บนอาคารสูงกว่าพื้นดินเป็นร้อยเมตร ใครที่ไหนจะมาอยู่แถวนี้..
"ไม่ต้องทำตัวแข็งทื่ออย่างนั้นก็ได้.." เขาหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ
"คุณน่ะแย่จริงๆเลยรู้ไหม.. จู่ๆก็มาแย่งที่ผม บนนี้น่ะเป็นของผมนะรู้หรือเปล่า" ในน้ำเสียงนั้นมีแววติเตียนอยู่มากพอที่จะทำให้เธอหันขวับไปต่อกรด้วย
"หันมาแล้ว.." เขายิ้มอย่างลิงโลดใจ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวด้วยความเสียฟอร์ม
"คุณหมายความว่ายังไงที่ฉันมาแย่งที่คุณ" พัดไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงของเธอจริงจังแค่ไหน
"ผมล้อเล่นน่า.. แค่อยากให้คุณหันมาเท่านั้นเอง ความจริงผมก็มาที่นี่บ่อยๆนะ "
เป็นครั้งแรกที่พัดสังเกตชายตรงหน้า เขามีโครงหน้าอย่างผู้ชายไทยแท้ ผมดำขลับ ผิวค่อนข้างคล้ำอย่างคนที่ไม่ได้นั่งทำงานในห้องแอร์ ดวงตาและรอยยิ้มบางๆนั่นสดใสนัก ชุดขาวตัวใหญ่โคร่งถูกสวมไว้บนตัวเห็นได้ชัด แม้ร่างนั้นจะโปร่งแสงก็ตาม
"ผมอานนท์ครับ.. เรียกนนท์ก็ได้" เขาคลี่ยิ้มบางที่ดูอบอุ่น
"ภัทรภรณ์ เรียก พัด..ดีกว่าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" หญิงสาวยังคงไว้ซึ่งมารยาทที่เป็นสิ่งที่ถูกบ่มเพาะมาแต่เด็ก
"เช่นกันครับ" ริ้วรอยลึกบนใบหน้าบ่งบอกอายุที่พัดคาดว่าน่าจะประมาณ 30 กว่าๆขึ้นไปเป็นแน่ หากแต่รอยยิ้มนั้นยังดูหนุ่มกว่าหลายเท่า
"ผมมาที่นี่บ่อยๆ แต่ไม่ยักเคยเห็นคุณ.."
"บอกให้เรียกพัดไงค้า.." หญิงสาวยิ้ม "ฉันเพิ่งมาค่ะ"
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมาย
ดวงดาวบนฟ้าต่างก็กะพริบให้กันราวกับกำลังสื่อสารกันอย่างสนุกสนาน พระจันทร์เสี้ยวยังคงส่องแสงสม่ำเสมอ ลมเย็นยามราตรีกาลพัดมาน้อยๆให้พอเย็นสบาย ช่างเป็นคืนที่งดงามเหมาะแก่การเกิดความรักขึ้นในใจของใครสักคน _ _ _
'หนูพัด' ได้รู้ว่า 'พี่นนท์' เคยเป็นสถาปนิกเมื่อครั้งยังมีชีวิตซึ่งมันก็ผ่านมาประมาณปีกว่าแล้ว เขาว่าโชคดีที่ยังไม่ได้แต่งงาน เขาต้องลาโลกมาเพราะความขาดสติของคนเมาแล้วขับ..
"คนเรา..ไม่ช้าก็เร็ว..ยังไงก็ตายอยู่ดี" ชายหนุ่มพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ถูกเจือด้วยสีทองของตะวันยามรุ่งอรุณ
"พัดว่า. อย่างน้อย เราสองคนก็โชคดี .. ที่ไม่ต้องอยู่เห็นใครลาจากโลกไปอีก" นนท์ไม่ตอบอะไรแต่กลับมายิ้ม
เป็นครั้งแรกที่พัดมองว่าหน้าตาอย่างผู้ชายไทยแท้บวกกับท่าทางจริงใจและอารมณ์ดีได้ผลลัพธ์ที่ดูดีเกินกว่าผู้ชายชาติไหนๆเสียอีก
>>--+:++:+--<<
ม่านสีครีมพื้นๆเข้ากับลายของวอลล์เปเปอร์และเครื่องเรือนทั้งหลายทิ้งขายไว้หน้ากระจกบานใหญ่ ถึงแม้ท้องฟ้าด้านนอกจะยังสว่างไม่เต็มที่นัก แต่ยวดยานบนท้องถนนก็เริ่มเรียงแถวติดกันยาวมาแต่สี่แยก ที่นี่..วันใหม่ของชีวิตคนเมืองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ชายหนุ่มงัวเงียลุกจากเตียงไซส์คิงอย่างอาลัยอาวรณ์เพื่อไปจัดการปิดเสียงปลุกที่ดังราวกับเสียงหวอเตือนภัยช่วงสงครามโลก ที่น้องสาวตัวแสบหวังดีแอบตั้งไว้ให้ ถึงเขาจะบ่นรำคาญที่มันแผดเสียงเซอร์ราวนด์ลากเขาลงจากสวรรค์วิมานแห่งการนอนหลับทุกเช้าแต่มันก็ช่วยเขาให้รอดพ้นจากการสายและผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง
เขาหลิ่วตามองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่เมื่อวาน หวังเพียงจะให้มีสัญญาณบอกว่ากลับไปนอนต่อได้.. แต่ก็ไม่มีแม้เงาเจ้าสัญญาณที่ว่า .. หากแต่ต้องเร่งทำภารกิจส่วนตัวให้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อจิตใต้สำนึกเตือนว่าเขายังทำสื่อการสอนไม่สำเร็จ
โทรศัพท์เครื่องแพงถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี เสื้อคลุมอาบน้ำสีน้ำเงินเข้มถูกสวมลวกๆก่อนจะเดินไปชักม่านเปิด เวลาเกือบ10วินาทีถูกอุทิศให้กับการทอดสายตาไปยังถนนสายใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยบุคคลที่กำลังเร่งรีบเบื้องหน้า ในรถครอบครัวคันใหญ่ คุณแม่บนเบาะข้างคนขับกำลังพยายามถักผมเปียให้กับลูกสาวคนเล็ก ขณะที่พี่สาวคนโตกำลังป้อนอาหารให้น้องชายที่เบาะหลัง ในรถญี่ปุ่นคันเล็ก สาวออฟฟิศบนเบาะคนขับกำลังใช้เวลาว่างยามรถติดไปกับการปัดขนตา ในรถสปอร์ตคันหรู ผู้ชายท่าทางสมาร์ทกำลังโทรศัพท์ไปปลุกแฟนด้วยคิ้วที่ผูกเป็ฯโบว์ ตาก็มองแต่นาฬิกาข้อมือด้วยกลัวเป็นที่สุดว่าจะไปประชุมไม่ทัน
ภพส่ายหัวให้กับภาพเดิมๆ ทุกคนที่นี่เร่งรีบกันทั้งนั้น เพราะถ้าไม่รีบ ก็จะไม่ทันคนอื่น ทั้งที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงที่วุ่นวาย แต่ก็ต้องอยู่.. เขาจะใช้เวลาเล็กน้อยหลังตื่นนอนไปกับการมองดูผู้คน ดูว่าพวกเขารีบกันแค่ไหน เพื่อเตือนตัวเองว่า เขาจะเอื่อยเฉื่อยไม่ได้ ทั้งที่ในใจลึกๆ ก็โหยหาชีวิตที่เรียบง่ายและเงียบสงบ .. กับใครสักคน
ภพใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไปกับการทำภารกิจส่วนตัว โน้ตบุ๊คเครื่องเดิมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่หน้าจอสีฟ้าบ่งบอกว่าเครื่องกำลังรัน ภาพความฝันเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาให้ขบคิดไปพลางๆ
ภาพต้นไม้ต้นเดิมที่เขารู้สึกคุ้นตานักหนา เพียงแต่ใต้ร่มไม้นั้นมีผู้หญิงร่างบางในชุดขาว ใบหน้าซูบซีดและหม่นหมอง ยืนทอดสายตาไปโดยไร้จุดหมาย เรือนผมหนาเป็นแพสยายเต็มแผ่นหลัง
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไกลเกินกว่าชายหนุ่มจะจำหน้าได้..
หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงพื้นหลังเดสก์ท็อปและไอคอนเรียบร้อยแล้ว ภพลืมภาพฝันนั้นไปหมดสิ้นราวกับว่ามันไม่เยรบกวนจิตใจมาก่อนเลย ฝ่ามือใหญ่วางลงบนเมาส์ตัวเล็กและเลื่อนไปมาอย่างชำนาญ ไม่นานนักสื่อการสอนเท่าที่จำเป็นก็เสร็จ
ออดหน้าห้องส่งเสียงดังไปรอบๆห้องที่ถูกตกแต่งเรียบๆทว่าหรูหรา ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ไร้มารยาท .. มาปลุกคนตอนเช้าๆ _ _ เขาแอบว่าคนที่ยังไม่รู้หน้าในใจ
นิ้วมือยาวเรียวกดออดรัวเมื่อเห็นว่าไม่มีใครออกมาเปิดสักที รองเท้าส้นเข็มสูงน่ากลัวถูกกระแทกลงกับพื้นอย่างไม่พอใจ เธอรู้ว่าชายหนุ่มยังอยู่ด้านในห้องเป็นแน่ เพราะเธอถามยามตรงประตูคอนโดเรียบร้อยแล้ว
ภพทำทีชักช้าแต่ก็ทนเสียงกดออดรัวๆอย่างนั้นไม่ไหวจึงต้องผละจากคอมพิวเตอร์ไปอย่างเสียไม่ได้ เขาส่องดูหน้าผู้มาเยือนผ่านช่องตาแมวเล็กๆ
ซวยบรรลัย.. ยัยอานตี้ แอนน์ นี่อีกแล้ว..
เขาเปิดประตูพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างเสแสร้ง
"สวัสดีคร้าบบ..เลดี้แอนน์"
ผู้หญิงตรงหน้านั้นเซ็กซี่เสียจนผู้ชายหลายคนต้องเหลียวหลัง เธอเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทผลิตเหล็กกล้าที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง 'แอนน์' ดวงหน้าฝรั่งจ๋านั้นเปรี้ยวเซี้ยวนัก ดวงตาสีเขียวซุกซนเป็นประกายเจิดจ้า ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบ ชุดกระโปรงสั้น เกาะอก และรองเท้าส้นสูง
สำหรับผู้ชายทั่วไป แอนน์นั้นเป็นราวกับนางบนสวรรค์ ครั้งหนึ่งเธอก็เคยเป็นสำหรับภพ .. หากแต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าสนุกอีกต่อไป
หญิงสาวกระโดดเข้าคล้องคอภพ ประกบปากทันที .. ชายหนุ่มผลักเธอออกเหมือนขยะแขยงเต็มทน เธอหน้าบูดทันที ภพรีบเดินไปปิดประตู เขาทนไม่ไหวกับพฤติกรรมไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงแอนน์จะเป็นฝรั่ง แต่เธอก็เติบโตในเมืองไทย อย่างน้อยก็น่าจะมีมารยาทเสียบ้าง
"เกิดอะไรขึ้นคะภพ What's wrong? ที่ฉันทำมันผิดตรงไหน" หญิงสาวทิ้งตัวลงบนเตียงที่มีโน้ตบุ๊คและเอกสารวางอยู่เกะกะ ภพต้องรีบไปจัดการกับของเหล่านั้น
เขาพูดอะไรไม่ออก ความเป็นสุภาพบุรุษและความเกรงใจที่มีต่อพ่อของเธอมันมีมากเกินกว่าจะทำให้เขากล้าจัดการเธอออกไปให้พ้นทาง
แอนน์ลุกขึ้นอย่างมีเลศนัย เธอเข้าไปกอดถพจากข้างหลัง
"ภพเป็นอะไรไปคะ.. เครียดกับงานเหรอ.." แอนน์ขยับขึ้นมาข้างหน้า เธอปลดกระดุมเสื้อของเขาทีละเม็ด
"ให้ตายเถอะแอนน์.. พอซักที" น้ำเสียงเด็ดขาดและจริงจังทำให้หญิงสาวหน้าเสีย
ในเมื่อจัดการกับภพไม่ได้ เธอจึงหันมาจัดการกับตัวเอง ซิปด้านหลังของชุดแส็กสั้นนั้นถูกรูดลง รองเท้าส้นเข็มสีดำถูกโยนไปไกล
"แด๊ดดี้ของฉันจะว่ายังไงน้า.. ถ้าเขารู้ว่าคุณ.. ทำร้าย จิตใจ ฉัน"
ภพยืนตัวแข็งทื่อ เขารู้ดีว่ามิสเตอร์เฮ็นรี่ที่เขานับถือหวงลูกสาวตัวเองขนาดไหน .. นึกต่อว่าตัวเองในใจที่เปิดประตูให้ยัยนี่เข้ามา
แอนน์เริ่มใช้มือตัวเองให้เป็นประโยชน์ เธอหันหลังให้ชายหนุ่มปลดตะขอเสื้อชั้นใน
"ผมมีสอน.. ต้องไปแล้ว" ชายหนุ่มหลีกจากหญิงสาวไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋า ทิ้งแอนน์ให้ยืนหัวเสียเพราะถูกตัดอารมณ์
"กรี๊ดด..ฉันไม่ยอมนะภพ..!"
เขาปล่อยเธอให้ชักดิ้นชักงออยู่หน้าเตียงคนเดียว
"Why?..ทำไมคุณไม่เป็นแบบเมื่อก่อนคะภพ! Tell me now!"
"แต่งตัวซะ"
"ไม่ค่ะ! ฉันยอมให้คุณขนาดนี้แล้วนะภพ When you will love me?" แอนน์เริ่มหยิบมารยาหญิงมาใช้ น้ำตาถูกบีบออกมา
ภพมองร่างนั้นอย่างสมเพช ถ้าเขาออกจากที่นี่ช้ากว่านี้เพียง10นาที เขาจะสาย และการที่ผู้บรรยายสายกว่าคนฟังคงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ๆ
"แอนน์.." เธอทำงอน ไม่ยอมหันหน้ามาตามคำเรียก
"เลดี้แอนน์ครับ แต่งตัวซะเถอะครับ วันนี้ผมไม่ว่าง แต่พรุ่งนี้เย็นจะพาไปดินเนอร์ ดีไหม?" เขาพยามยิ้ม
"ก็ได้ค่ะ ภพ..รูดซิปให้หน่อยสิคะ"
ภพต้องตั้งใจทำตาม ทั้งที่ใจจริงอยากจะไล่ยัยนี่ออกไปไวๆ
'ฉันไม่ยอมแพ้คุณหรอก .. สักวันคุณจะต้องยอมรับว่าคุณรักฉัน'
หญิงสาวคิดอย่างเย่อหยิ่งก่อนจะเดินตามภพออกจากห้องไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จบตอนอีกแล้วนะคะ .. อ่านแล้วงงตัวเองเนาะตอนนี้ แรกๆก็เศร้าอยู่ล่ะ ไหงหลังๆมันติดเรทซะงั้น 55+ ^0^ เปิดตัวแล้วค่ะ สำหรับเลดี้แอนน์ คนอาร้ายย ไร้ยางอายเสียจริงๆ =o=;; สร้างสีสันให้กับเรื่องค่ะ ชอบไม่ชอบยังไงก็ลองเม้นๆไว้นะคะ เดี๋ยวสงกรานต์นี้คงต้องพักไว้ก่อน รอหลังสงกรานต์แล้วกันเนาะ ว่าแต่ไปเที่ยวไหนก็ระวังๆกันด้วย คนเยอะๆน่ากลัวถูกฉกกระเป๋า - -* (ส่อแววขี้งก) ยังไงก็ติดตามกันต่อๆไปด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นและโพสคะแนนค่ะ =)
ความคิดเห็น