ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 คแมรแดนขลัง!
ตอนที่ 1 คแมรแดนขลัง!
“ทำไมหนุ่มหล่อๆอย่างนายกรจะต้องมาทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วยฟะเนี่ย -*- ” เสียงพึมพำงึมงำดังมาจากร่างหนุ่มน้อยหน้าใส แขนข้างหนึ่งถูกยกขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังไหลรินออกมาเหมือนทำนบแตก เสื้อยืดลายเบยลาวมีแต่เศษใบไม้ติดเต็ม กางเกงลายทหารคลุกโคลนยับเยินดูไม่ได้ รองเท้าบูทหนังก็ดูจะขบกัดทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ดูเหมือนคำบ่นกระปอดกระแปดจะเข้าหูคนข้างหน้า รูปร่างใหญ่โตนั้นชะงักกึก ก่อนจะหันกลับมา เอาไม้เขกหัวดังโป๊ก จนเจ้าตัวต้องเอามือลูบหัวป้อยๆ น้ำตาเล็ด
“เจ็บนะโว้ยซัน!” น้ำเสียงตะโกนตัดพ้อ ต่อว่า “ผมเป็นน้องพี่นะ! T^T ”
ชายหนุ่มร่างกำยำยืนทำหน้าถมึงทึงเป็นยักษ์ปักหลั่น “เออ ก็เพราะแกมันเป็นน้องฉันน่ะสิไอ้กร แกมันผอมแห้งแรงน้อยเกินไป” ดวงตาคมดุเพ่งมองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถอนใจเฮือก ส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายๆ
“ถ้าพ่อแม่บนสวรรค์รู้เข้าจะหาว่าฉันเลี้ยงแกมาเป็นแต๋ว เสียชื่อวงศ์ตระกูลหมด ฉันถึงต้องพาแกมาเข้าคอร์สพิเศษ พันเอกภานุเดชใช่จะมาสอนใครง่ายๆนะโว้ย เป็นบุญของแกเชียวนะ จำใจใส่กะโหลกแกเอาไว้” ไม่ว่าเปล่า กิ่งไม้ที่ใช้ต่างไม้เท้าก็เอามาจิ้มหัวคนเป็นน้องจึกๆ
“แต่ผมเหนื่อยแล้วนะพี่ พักซักแป๊บได้มั้ยอ่ะ *-* ” ดวงตาทำประกายปิ้งๆ โยนสำภาระที่หลังดังโครม ก่อนจะเข้ากระแซะ ออดอ้อนชวนขนลุกซู่ คนเป็นพี่เลยส่งมะเหงกเข้าให้
“ไปต่อ! ถ้าฉันเห็นแกแอบอู้เมื่อไหร่ คืนนี้แกต้องวิดพื้นสามร้อยครั้ง!”
“ไอ้โหดเอ๊ยยยยย!”
ใช่แล้วครับ หนุ่มหล่อ หน้าใส ผู้ถูกพี่ชายใจโฉดเลี้ยงมาอย่างทารุณผู้นั้นคือผมเอง รัชนิกร ยุทธพงศ์ หรือที่สาวๆส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม ‘กรสุดหล่อ’ - -+
เอ้า! อย่าคิดว่าผมหลงตัวเองนะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่เชื่อมองหน้าผมชัดๆ ผมสูงยาวเข่าดี ผิวขาว ผมเหยียดตรงนุ่มสลวยจนสาวๆอิจฉา กล้ามเนื้อตรงช่วงแขน และหน้าท้องก็มี ไม่จัดว่าดูเก้งก้าง แต่ไอ้พี่บ้านี่มันดันหาว่าผมเป็นไอ้หนุ่มติ๋มนี่สิครับ มันน่าเจ็บใจมั้ย ผมอยากจะตะโกนกรอกหูมันจริงๆว่าถ้าจะให้สมชายอย่างที่เจ้าพี่นี่มันว่า คงจะได้ไปเกิดเป็นแรมโบ้ หรือคนเหล็กได้แล้ว!
ผมกับพี่ เราสองคนเกิดในตระกูลทหารครับ นี่แหล่ะคือสาเหตุที่เจ้าพี่คนนี้ของผมมันชอบจับผมมาทารุณกรรม พ่อแม่ของเราเป็นทหารด้วยกันทั้งคู่ ทางบ้านพ่อก็เป็นทหารกันมาแทบจะพูดได้ว่ารุ่นต่อรุ่นเลยทีเดียว ตระกูลยุทธพงศ์ของเราเลยจัดได้ว่าเป็นตระกูลที่มีสายเลือดทหารเต็มเปี่ยม และมันก็ตกทอดมาจนถึงพี่ชายของผม ส่วนผมน่ะเหรอ? มันก็คงมีแต่ไม่มากเท่าเจ้าพี่บ้านั่นหรอกครับ
คุณคงจะสงสัย ว่าทำไมเจ้าพี่ชายของผมมันถึงพูดว่า ‘พ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์’ เข้าใจถูกแล้วครับ ความหมายเดียว ตรงๆเลย คือพ่อแม่ของเราเสียไปตั้งแต่ผมยังอยู่ประถมแล้วครับ ส่วนพี่ชายผมนั้นก็อยู่โรงเรียนเตรียมทหารปีสุดท้ายแล้ว โชคดีที่พ่อแม่ของเราทิ้งมรดกไว้ให้มาก ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร แล้วตั้งแต่นั้นมาเจ้าพี่ชายคนนี้ก็คือผู้ที่เลี้ยงดูผมมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหล่ะครับ
ไม่รู้จะบอกว่าเลี้ยงดีหรือเลี้ยงไม่ดี พอหกโมงปุ๊บทุกเสาร์อาทิตย์เจ้าพี่นี่จะปลุกตั้งแต่หกโมง เปิดเพลงบริหารร่างกาย วันทุกวันจะต้องวิ่งจ๊อกกิ้งทีละหลายๆชั่วโมง และถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ผมจะต้องถูกจับเข้าห้องออกกำลังกาย โดยมีพี่ชายเป็นเทรนเนอร์ คุณอย่าคิดนะว่าช่วงปิดเทอมมันคือสวรรค์ของผม ไม่หรอกครับ ปิดเทอมมันเรียกได้ว่านรกเลยเชียวแหล่ะ!
ปิดเทอมคราวนี้ เจ้าพี่บ้าของผมมันจัดของใส่เป้ไว้เรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์เดินป่าพร้อมรบ แล้วจัดการมัดมือมัดเท้าผมโยนขึ้นรถจี๊บ เหอ...เหอ... ไม่ครับ นี้ไม่ใช่การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ แต่มันคืออาชญากรรมข้ามชาติ! ไอ้พี่บ้านี่มันพาผมข้ามชายแดนสู่เมืองของขลังนามว่าเขมรรรรร!!!
ขับไปโดยไม่ต้องใช้แผนที่! ความเสี่ยงที่จะโดนกับระเบิดอันน่าตื่นเต้น!! ใช้คนจริง ไม่มีแสตนอิน!!!
คุณคิดว่าผมจะรอดไหม?
ไม่ครับ ผมไม่ได้บอกให้คุณเตรียมยกโทรศัพท์ กดเบอร์ทายปัญหาลุ้นโชคเงินล้าน ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกคู้ณณณ
เอาล่ะ คุณยังเห็นผมยืนหัวโด่เด่แบบนี้แสดงว่าพระเจ้ายังคงโปรดสัตว์โลกตาดำๆเช่นผมอยู่... กลับไปผมจะทำบุญ ทำทานไม่ลืมพระคุณเลย สาธุๆ >/\\<
หลังจากการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ขับรถวนไปวนมา(เสียจนผมนึกกลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านแล้วชาตินี้)อีกเป็นร้อยรอบ ในที่สุดเจ้าพี่ชายมันก็เจอทำเลดีแล้วครับ = = มันจอดรถ โยนของให้ผมถือ เปลี่ยนน้องชายให้เป็นกุลี แล้วเดินดิ่งเข้าพงไพรอย่างพรานป่าผู้ปราดเปรียว (ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่อยู่ร่วมกับมันมาผมจำได้ว่าเจ้าพี่บ้านี่ยังไม่เคยมาดินแดนแคมโบเดียแห่งนี้เลย - - )
แล้วเราก็เปลี่ยนตัวเองมาเป็นชาวสวน คอยถางหญ้า ถางต้นไม้ที่ขึ้นรกรุงรังเหล่านี้ให้หมู่ประชาชาวป่า... ก็ไอ้สัตว์น้อยใหญ่ที่มันเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้แหล่ะครับ ไม่ใช่มนุษย์พันธุ์ใหม่อะไรหรอก
สัมภาระที่แบกอยู่บนหลังเปรียบเสมือนเทือกเขาฮาราคีรีอันยิ่งใหญ่ ร่างดุจชายชาตรีของผมต้องกระทำตัวเหมือนแอตลาส ไททันสุดหล่อในเทพปกรนัมกรีกที่ยืนแบกโลกโชว์พาวให้หมู่มนุษย์ได้ชม หยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้าดุจรูปปั้นหินอ่อนหยดลงพื้นก่อเกิดเป็นแม่น้ำสายใหม่...
คุณหาว่าผมบ้าไปแล้วหรือครับ จะเรียกพี่ศรี(ธัญญา)ให้ผมเสียด้วย? ยังหรอกครับผมยังไม่ได้บ้า เพียงแต่บรรยากาศแถวนี้มันพาไปก็เท่านั้นเอง...
บริเวณที่ผมเดินลากสังขารอยู่นี่อยู่ส่วนใดของแผนที่อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่รู้ว่ามันคงจะเป็นสถานที่ๆไม่มีคนสมองปกติดีๆที่ไหนมาเดินกันหรอกครับ กับระเบิดยังพอมีให้เห็นบ้างเป็นระยะ (นั่นคือสาเหตุที่เจ้าพี่ชายมันเดินนำไงครับ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระเบิดจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ทหาร)
บางอันสลักมันหลุดไปแล้ว แต่บางอันมันก็ยังอยู่... พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อหากมีคนเท้าดีๆไปเหยียดเข้า แหม... เป็นการตายที่โก้หรูนะครับ พอคุณขึ้นไปบนสวรรค์คุณคงจะไปอวดนางฟ้าสวยๆได้ว่าคุณเหยียบกับระเบิดสมัยสงครามโลกตาย ผมว่ามันคงจะเป็นการตายที่ไม่เจ็บปวดนัก เพราะบึ้มเดียวก็จอดแล้ว แต่ผมคงไม่คิดทดลองทฤษฏีนี้กับตัวผมเองหรอกนะครับ สาวๆหลายคนคงจะเสียใจกับการจากไปของผม ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ มันบาปนะคุณ
ป่า ยังไงมันก็เป็นป่าอยู่วันยังค่ำ รอบด้านนี้จัดได้ว่าเป็นป่าทึบเขตร้อนได้อย่างดีเลยทีเดียว พูดแค่นี้คุณคงจะนึกภาพออก หรือถ้านึกไม่ออกก็ลองเปิดดูในหนังสือสังคมสิครับ ผมรับรองว่ามีภาพให้คุณดูแน่ๆ ต้นไม้แต่ละต้นนั้นสูงใหญ่เอาการ เหมือนกับมันยืดผงาดแบบนี้มาเป็นร้อยๆปีแล้ว บางต้นมีตะไคร้น้ำเกาะ สีเขียวสวยทีเดียว บรรยากาศก็สดชื่น ไม่เหมือนที่บ้านเราที่มีแต่รถราแล่นไปมา สูดหายใจเข้าไปก็มีแต่กลิ่นท่อไอเสีย
ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแหล่ะครับ ถ้าไม่ติดที่ต้องถูกพี่ชายทรมานทรกรรม เดินๆไปบางครั้งก็โชคดี ได้เจอซากอิฐ ซากสิ่งก่อสร้างเก่าๆบ้าง มันไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นพวกรูปสลักหินที่ผุพังธรรมดา โดนฝนโดนกาลเวลาทำลายจนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่าเป็นอะไร บางอันก็หักครึ่งบ้างอะไรบ้าง
“เฮ้ยไอ้กร มาดูอะไรนี่เร็ว” เสียงพี่ชายผมเรียกมาแต่ไกล จะอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าให้ไปแบกฟืนหาอาหาร ผมผิดที่เกิดมาหล่อใช่มั้ย T^T
ผมเดินไปตามเสียงเรียก เห็นร่างสูงของพี่ชายอยู่ลิบๆ แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมเบิกตาโต O_O
“เราโชคดีแล้วว่ะไอ้กร” ซันฉีกยิ้มร่า เอามือขยี้หัวผมใหญ่ ส่วนผมนั้นไม่ว่าอะไรได้แต่ตกตะลึง
ตรงหน้าผมนี่ สิ่งก่อสร้างขนาดเล็กตั้งเด่นเป็นสง่า มันถูกปกคลุมไปด้วยรากไม้ ดูขลังอย่างน่าประหลาด อิฐนั้นสลักเสลาลวดลายนางฟ้าเรือนร่างอวบอิ่มคลี่ยิ้มบาง หากแฝงความลึกลับ หน้าต่างหลอกๆถูกแกะสลักเหมือนเชิญชวนให้เรามองเข้าไป รูปสลักนูนเห็นเป็นรูปชายคนหนึ่งยืนเด่น รายรอบไปด้วยเหล่าผู้คนที่ก้มกราบกราน
ผมเดินวนไปรอบโบราณสถานนั้นอย่างทึ่งจัด ถึงแม้บางช่วงจะผุพังเพราะรากไทรที่ขึ้นรก แต่มันก็ดูสมบูรณ์กว่าซากหินที่ผ่านๆมา
“เหมือนจะเป็นเทวสถานอะไรซักอย่างเลยแฮะ” ซันพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบเสาเล็กๆประหลาดๆที่ใจกลางโบราณสถานแห่งนั้น
“ดูแค่ข้างนอกก็น่าจะรู้แล้ว - - ” ผมบ่นงึมงำ เฮ้อ... พี่ชายของผมมักสมองช้าแบบนี้แหล่ะครับ อย่าไปว่ามันเลย
ผมเดินตามเข้าไป สังเกตว่าเจ้าเสาเตี้ยๆนี่สูงแค่เอวผมเท่านั้น มันคงจะมีไว้ประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง เพราะด้านในผมไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพงที่สลักลวดลายนูนต่ำ และเจ้าเสาร้าวๆที่ทำท่าจะหักได้ทุกเมื่อนี่ตั้งอยู่ตรงกลาง
“อย่าไปแตะอะไรเข้านะโว้ย เดี๋ยวจะเจอดี” เสียงเตือนดังมาแว่วๆ ทำอย่างกับผมมันโง่อย่างนั้นแหล่ะ - - ถึงจะโง่ยังไงผมก็ไม่คิดจะลองของกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้หรอกนะครับ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีอดีตเท่ากับโคตรของโคตรของโคตรของโคตรของทวดของผม บางทีอาจจะต้องเติมโคตรไปอีกซักสิบรอบก็คงได้
ผมหันหลังกลับ จะเดินออก รู้สึกเหมือนไอ้อุปกรณ์เดินป่า และสารพัดสัมภาระที่หลังมันจะไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง ขนลุกซู่เลยครับ ผมหน้าซีด ขาวยิ่งกว่าก้นเด็กทาแป้งใหม่ๆ ค่อยๆหันไปแล้วแทบร้องกรี๊ด!
ชัดเลยครับ ชัดเลย! ไอ้เสานั่นมันหักครึ่งเสียแล้ว!!!
เสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบด้านนี้อึมครึมขึ้นมาทันตา เหมือนกับว่าถ้าผมไม่รีบออกไปจากที่นี่เสียในตอนนี้ผมคงจะไม่มีสิทธิเดินออกไปอีกแล้ว...
จะให้ทำอะไร... ก็เผ่นสิครับ!
“เฮ้ย! นั่นแกจะไปไหนวะไอ้กร” ซันที่เพิ่งปลดสัมภาระลงกองกับพื้น มองผมที่วิ่งใส่เกียร์เสือซีต้าโผนทะยานไปไกลลิบ
“เออดี ไอ้เราก็นึกสงสารกะจะให้พักซักหน่อย แสดงว่าเลือดทหารมันเริ่มพลุ่งพล่านแล้วสิวุ้ย แบบนี้กลับไปต้องเลี้ยงเบยลาวเสียหน่อย” ซันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะสะพายเป้แล้วเดินตามผมไป
โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมมีสิ่งติดตามกลับเป็นของฝากถึงบ้าน ก็คือตัวเขานี่แหล่ะ ที่ดันพาผมมายังแดนขลังแห่งนี้!
.................................................
“ทำไมหนุ่มหล่อๆอย่างนายกรจะต้องมาทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วยฟะเนี่ย -*- ” เสียงพึมพำงึมงำดังมาจากร่างหนุ่มน้อยหน้าใส แขนข้างหนึ่งถูกยกขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังไหลรินออกมาเหมือนทำนบแตก เสื้อยืดลายเบยลาวมีแต่เศษใบไม้ติดเต็ม กางเกงลายทหารคลุกโคลนยับเยินดูไม่ได้ รองเท้าบูทหนังก็ดูจะขบกัดทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ดูเหมือนคำบ่นกระปอดกระแปดจะเข้าหูคนข้างหน้า รูปร่างใหญ่โตนั้นชะงักกึก ก่อนจะหันกลับมา เอาไม้เขกหัวดังโป๊ก จนเจ้าตัวต้องเอามือลูบหัวป้อยๆ น้ำตาเล็ด
“เจ็บนะโว้ยซัน!” น้ำเสียงตะโกนตัดพ้อ ต่อว่า “ผมเป็นน้องพี่นะ! T^T ”
ชายหนุ่มร่างกำยำยืนทำหน้าถมึงทึงเป็นยักษ์ปักหลั่น “เออ ก็เพราะแกมันเป็นน้องฉันน่ะสิไอ้กร แกมันผอมแห้งแรงน้อยเกินไป” ดวงตาคมดุเพ่งมองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถอนใจเฮือก ส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายๆ
“ถ้าพ่อแม่บนสวรรค์รู้เข้าจะหาว่าฉันเลี้ยงแกมาเป็นแต๋ว เสียชื่อวงศ์ตระกูลหมด ฉันถึงต้องพาแกมาเข้าคอร์สพิเศษ พันเอกภานุเดชใช่จะมาสอนใครง่ายๆนะโว้ย เป็นบุญของแกเชียวนะ จำใจใส่กะโหลกแกเอาไว้” ไม่ว่าเปล่า กิ่งไม้ที่ใช้ต่างไม้เท้าก็เอามาจิ้มหัวคนเป็นน้องจึกๆ
“แต่ผมเหนื่อยแล้วนะพี่ พักซักแป๊บได้มั้ยอ่ะ *-* ” ดวงตาทำประกายปิ้งๆ โยนสำภาระที่หลังดังโครม ก่อนจะเข้ากระแซะ ออดอ้อนชวนขนลุกซู่ คนเป็นพี่เลยส่งมะเหงกเข้าให้
“ไปต่อ! ถ้าฉันเห็นแกแอบอู้เมื่อไหร่ คืนนี้แกต้องวิดพื้นสามร้อยครั้ง!”
“ไอ้โหดเอ๊ยยยยย!”
ใช่แล้วครับ หนุ่มหล่อ หน้าใส ผู้ถูกพี่ชายใจโฉดเลี้ยงมาอย่างทารุณผู้นั้นคือผมเอง รัชนิกร ยุทธพงศ์ หรือที่สาวๆส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม ‘กรสุดหล่อ’ - -+
เอ้า! อย่าคิดว่าผมหลงตัวเองนะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่เชื่อมองหน้าผมชัดๆ ผมสูงยาวเข่าดี ผิวขาว ผมเหยียดตรงนุ่มสลวยจนสาวๆอิจฉา กล้ามเนื้อตรงช่วงแขน และหน้าท้องก็มี ไม่จัดว่าดูเก้งก้าง แต่ไอ้พี่บ้านี่มันดันหาว่าผมเป็นไอ้หนุ่มติ๋มนี่สิครับ มันน่าเจ็บใจมั้ย ผมอยากจะตะโกนกรอกหูมันจริงๆว่าถ้าจะให้สมชายอย่างที่เจ้าพี่นี่มันว่า คงจะได้ไปเกิดเป็นแรมโบ้ หรือคนเหล็กได้แล้ว!
ผมกับพี่ เราสองคนเกิดในตระกูลทหารครับ นี่แหล่ะคือสาเหตุที่เจ้าพี่คนนี้ของผมมันชอบจับผมมาทารุณกรรม พ่อแม่ของเราเป็นทหารด้วยกันทั้งคู่ ทางบ้านพ่อก็เป็นทหารกันมาแทบจะพูดได้ว่ารุ่นต่อรุ่นเลยทีเดียว ตระกูลยุทธพงศ์ของเราเลยจัดได้ว่าเป็นตระกูลที่มีสายเลือดทหารเต็มเปี่ยม และมันก็ตกทอดมาจนถึงพี่ชายของผม ส่วนผมน่ะเหรอ? มันก็คงมีแต่ไม่มากเท่าเจ้าพี่บ้านั่นหรอกครับ
คุณคงจะสงสัย ว่าทำไมเจ้าพี่ชายของผมมันถึงพูดว่า ‘พ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์’ เข้าใจถูกแล้วครับ ความหมายเดียว ตรงๆเลย คือพ่อแม่ของเราเสียไปตั้งแต่ผมยังอยู่ประถมแล้วครับ ส่วนพี่ชายผมนั้นก็อยู่โรงเรียนเตรียมทหารปีสุดท้ายแล้ว โชคดีที่พ่อแม่ของเราทิ้งมรดกไว้ให้มาก ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร แล้วตั้งแต่นั้นมาเจ้าพี่ชายคนนี้ก็คือผู้ที่เลี้ยงดูผมมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหล่ะครับ
ไม่รู้จะบอกว่าเลี้ยงดีหรือเลี้ยงไม่ดี พอหกโมงปุ๊บทุกเสาร์อาทิตย์เจ้าพี่นี่จะปลุกตั้งแต่หกโมง เปิดเพลงบริหารร่างกาย วันทุกวันจะต้องวิ่งจ๊อกกิ้งทีละหลายๆชั่วโมง และถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ผมจะต้องถูกจับเข้าห้องออกกำลังกาย โดยมีพี่ชายเป็นเทรนเนอร์ คุณอย่าคิดนะว่าช่วงปิดเทอมมันคือสวรรค์ของผม ไม่หรอกครับ ปิดเทอมมันเรียกได้ว่านรกเลยเชียวแหล่ะ!
ปิดเทอมคราวนี้ เจ้าพี่บ้าของผมมันจัดของใส่เป้ไว้เรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์เดินป่าพร้อมรบ แล้วจัดการมัดมือมัดเท้าผมโยนขึ้นรถจี๊บ เหอ...เหอ... ไม่ครับ นี้ไม่ใช่การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ แต่มันคืออาชญากรรมข้ามชาติ! ไอ้พี่บ้านี่มันพาผมข้ามชายแดนสู่เมืองของขลังนามว่าเขมรรรรร!!!
ขับไปโดยไม่ต้องใช้แผนที่! ความเสี่ยงที่จะโดนกับระเบิดอันน่าตื่นเต้น!! ใช้คนจริง ไม่มีแสตนอิน!!!
คุณคิดว่าผมจะรอดไหม?
ไม่ครับ ผมไม่ได้บอกให้คุณเตรียมยกโทรศัพท์ กดเบอร์ทายปัญหาลุ้นโชคเงินล้าน ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกคู้ณณณ
เอาล่ะ คุณยังเห็นผมยืนหัวโด่เด่แบบนี้แสดงว่าพระเจ้ายังคงโปรดสัตว์โลกตาดำๆเช่นผมอยู่... กลับไปผมจะทำบุญ ทำทานไม่ลืมพระคุณเลย สาธุๆ >/\\<
หลังจากการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ขับรถวนไปวนมา(เสียจนผมนึกกลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านแล้วชาตินี้)อีกเป็นร้อยรอบ ในที่สุดเจ้าพี่ชายมันก็เจอทำเลดีแล้วครับ = = มันจอดรถ โยนของให้ผมถือ เปลี่ยนน้องชายให้เป็นกุลี แล้วเดินดิ่งเข้าพงไพรอย่างพรานป่าผู้ปราดเปรียว (ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่อยู่ร่วมกับมันมาผมจำได้ว่าเจ้าพี่บ้านี่ยังไม่เคยมาดินแดนแคมโบเดียแห่งนี้เลย - - )
แล้วเราก็เปลี่ยนตัวเองมาเป็นชาวสวน คอยถางหญ้า ถางต้นไม้ที่ขึ้นรกรุงรังเหล่านี้ให้หมู่ประชาชาวป่า... ก็ไอ้สัตว์น้อยใหญ่ที่มันเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้แหล่ะครับ ไม่ใช่มนุษย์พันธุ์ใหม่อะไรหรอก
สัมภาระที่แบกอยู่บนหลังเปรียบเสมือนเทือกเขาฮาราคีรีอันยิ่งใหญ่ ร่างดุจชายชาตรีของผมต้องกระทำตัวเหมือนแอตลาส ไททันสุดหล่อในเทพปกรนัมกรีกที่ยืนแบกโลกโชว์พาวให้หมู่มนุษย์ได้ชม หยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้าดุจรูปปั้นหินอ่อนหยดลงพื้นก่อเกิดเป็นแม่น้ำสายใหม่...
คุณหาว่าผมบ้าไปแล้วหรือครับ จะเรียกพี่ศรี(ธัญญา)ให้ผมเสียด้วย? ยังหรอกครับผมยังไม่ได้บ้า เพียงแต่บรรยากาศแถวนี้มันพาไปก็เท่านั้นเอง...
บริเวณที่ผมเดินลากสังขารอยู่นี่อยู่ส่วนใดของแผนที่อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่รู้ว่ามันคงจะเป็นสถานที่ๆไม่มีคนสมองปกติดีๆที่ไหนมาเดินกันหรอกครับ กับระเบิดยังพอมีให้เห็นบ้างเป็นระยะ (นั่นคือสาเหตุที่เจ้าพี่ชายมันเดินนำไงครับ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระเบิดจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ทหาร)
บางอันสลักมันหลุดไปแล้ว แต่บางอันมันก็ยังอยู่... พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อหากมีคนเท้าดีๆไปเหยียดเข้า แหม... เป็นการตายที่โก้หรูนะครับ พอคุณขึ้นไปบนสวรรค์คุณคงจะไปอวดนางฟ้าสวยๆได้ว่าคุณเหยียบกับระเบิดสมัยสงครามโลกตาย ผมว่ามันคงจะเป็นการตายที่ไม่เจ็บปวดนัก เพราะบึ้มเดียวก็จอดแล้ว แต่ผมคงไม่คิดทดลองทฤษฏีนี้กับตัวผมเองหรอกนะครับ สาวๆหลายคนคงจะเสียใจกับการจากไปของผม ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ มันบาปนะคุณ
ป่า ยังไงมันก็เป็นป่าอยู่วันยังค่ำ รอบด้านนี้จัดได้ว่าเป็นป่าทึบเขตร้อนได้อย่างดีเลยทีเดียว พูดแค่นี้คุณคงจะนึกภาพออก หรือถ้านึกไม่ออกก็ลองเปิดดูในหนังสือสังคมสิครับ ผมรับรองว่ามีภาพให้คุณดูแน่ๆ ต้นไม้แต่ละต้นนั้นสูงใหญ่เอาการ เหมือนกับมันยืดผงาดแบบนี้มาเป็นร้อยๆปีแล้ว บางต้นมีตะไคร้น้ำเกาะ สีเขียวสวยทีเดียว บรรยากาศก็สดชื่น ไม่เหมือนที่บ้านเราที่มีแต่รถราแล่นไปมา สูดหายใจเข้าไปก็มีแต่กลิ่นท่อไอเสีย
ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแหล่ะครับ ถ้าไม่ติดที่ต้องถูกพี่ชายทรมานทรกรรม เดินๆไปบางครั้งก็โชคดี ได้เจอซากอิฐ ซากสิ่งก่อสร้างเก่าๆบ้าง มันไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นพวกรูปสลักหินที่ผุพังธรรมดา โดนฝนโดนกาลเวลาทำลายจนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่าเป็นอะไร บางอันก็หักครึ่งบ้างอะไรบ้าง
“เฮ้ยไอ้กร มาดูอะไรนี่เร็ว” เสียงพี่ชายผมเรียกมาแต่ไกล จะอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าให้ไปแบกฟืนหาอาหาร ผมผิดที่เกิดมาหล่อใช่มั้ย T^T
ผมเดินไปตามเสียงเรียก เห็นร่างสูงของพี่ชายอยู่ลิบๆ แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมเบิกตาโต O_O
“เราโชคดีแล้วว่ะไอ้กร” ซันฉีกยิ้มร่า เอามือขยี้หัวผมใหญ่ ส่วนผมนั้นไม่ว่าอะไรได้แต่ตกตะลึง
ตรงหน้าผมนี่ สิ่งก่อสร้างขนาดเล็กตั้งเด่นเป็นสง่า มันถูกปกคลุมไปด้วยรากไม้ ดูขลังอย่างน่าประหลาด อิฐนั้นสลักเสลาลวดลายนางฟ้าเรือนร่างอวบอิ่มคลี่ยิ้มบาง หากแฝงความลึกลับ หน้าต่างหลอกๆถูกแกะสลักเหมือนเชิญชวนให้เรามองเข้าไป รูปสลักนูนเห็นเป็นรูปชายคนหนึ่งยืนเด่น รายรอบไปด้วยเหล่าผู้คนที่ก้มกราบกราน
ผมเดินวนไปรอบโบราณสถานนั้นอย่างทึ่งจัด ถึงแม้บางช่วงจะผุพังเพราะรากไทรที่ขึ้นรก แต่มันก็ดูสมบูรณ์กว่าซากหินที่ผ่านๆมา
“เหมือนจะเป็นเทวสถานอะไรซักอย่างเลยแฮะ” ซันพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบเสาเล็กๆประหลาดๆที่ใจกลางโบราณสถานแห่งนั้น
“ดูแค่ข้างนอกก็น่าจะรู้แล้ว - - ” ผมบ่นงึมงำ เฮ้อ... พี่ชายของผมมักสมองช้าแบบนี้แหล่ะครับ อย่าไปว่ามันเลย
ผมเดินตามเข้าไป สังเกตว่าเจ้าเสาเตี้ยๆนี่สูงแค่เอวผมเท่านั้น มันคงจะมีไว้ประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง เพราะด้านในผมไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพงที่สลักลวดลายนูนต่ำ และเจ้าเสาร้าวๆที่ทำท่าจะหักได้ทุกเมื่อนี่ตั้งอยู่ตรงกลาง
“อย่าไปแตะอะไรเข้านะโว้ย เดี๋ยวจะเจอดี” เสียงเตือนดังมาแว่วๆ ทำอย่างกับผมมันโง่อย่างนั้นแหล่ะ - - ถึงจะโง่ยังไงผมก็ไม่คิดจะลองของกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้หรอกนะครับ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีอดีตเท่ากับโคตรของโคตรของโคตรของโคตรของทวดของผม บางทีอาจจะต้องเติมโคตรไปอีกซักสิบรอบก็คงได้
ผมหันหลังกลับ จะเดินออก รู้สึกเหมือนไอ้อุปกรณ์เดินป่า และสารพัดสัมภาระที่หลังมันจะไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง ขนลุกซู่เลยครับ ผมหน้าซีด ขาวยิ่งกว่าก้นเด็กทาแป้งใหม่ๆ ค่อยๆหันไปแล้วแทบร้องกรี๊ด!
ชัดเลยครับ ชัดเลย! ไอ้เสานั่นมันหักครึ่งเสียแล้ว!!!
เสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบด้านนี้อึมครึมขึ้นมาทันตา เหมือนกับว่าถ้าผมไม่รีบออกไปจากที่นี่เสียในตอนนี้ผมคงจะไม่มีสิทธิเดินออกไปอีกแล้ว...
จะให้ทำอะไร... ก็เผ่นสิครับ!
“เฮ้ย! นั่นแกจะไปไหนวะไอ้กร” ซันที่เพิ่งปลดสัมภาระลงกองกับพื้น มองผมที่วิ่งใส่เกียร์เสือซีต้าโผนทะยานไปไกลลิบ
“เออดี ไอ้เราก็นึกสงสารกะจะให้พักซักหน่อย แสดงว่าเลือดทหารมันเริ่มพลุ่งพล่านแล้วสิวุ้ย แบบนี้กลับไปต้องเลี้ยงเบยลาวเสียหน่อย” ซันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะสะพายเป้แล้วเดินตามผมไป
โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมมีสิ่งติดตามกลับเป็นของฝากถึงบ้าน ก็คือตัวเขานี่แหล่ะ ที่ดันพาผมมายังแดนขลังแห่งนี้!
.................................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น