คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Leave
05:08 น.
ในเช้ามืดของวันอาทิตย์กลางเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเวลาที่หลายๆคนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนที่นุ่มนิ่ม เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่ทุกคนจะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวโดยปราศจากภาระในที่ทำงานและสถานศึกษา
บนทางด่วนของเช้าวันนี้ เห็นได้ชัดว่าบนท้องถนนมีรถบางตากว่าวันธรรมดามาก รถแท็กซี่คันสีส้มซึ่งวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้ามืดกำลังช่วยแต่งแต้มถนนสายนี้ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น แม้ว่าฝนจะตกไม่หนักเท่ากับตอนที่ออกมาแรกๆ แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อช่วยให้สามารถขับรถไปส่งผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างหลังให้ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
ฉัน...ผู้โดยสารของรถแท็กซี่คันสีส้มที่กำลังมุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ที่มีนกตัวใหญ่ยักษ์ที่จะพาฉันบินไปสู่ที่ที่ฉันจากมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม... ดินแดนแห่งดอกซากุระ
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ในหัวสมองของฉันตอนนี้รู้สึกสับสน มันเป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถบรรยายได้ว่าตอนนี้ฉันกำลังสุขหรือทุกข์กันแน่ ฝนที่กำลังตกลงมาทำท่าจะหยุดแล้วพร้อมกับการกลับมาอีกครั้งของแสงจากดวงอาทิตย์ ฉันรู้สึกหนาวมาก เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงของฤดูหนาว บวกกับเครื่องปรับอากาศในรถ ยิ่งทำให้หนาวมากขึ้นเป็นสองเท่า ฉันนั่งขดตัวรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเบาะข้างหลังรถเรียบร้อยแล้ว
น้ำใสๆที่อยู่ดีๆก็ไหลออกมาจากตาของฉัน มันทำให้ฉันพอจะเข้าใจได้แล้วแหล่ะว่าตอนนี้ ฉันกำลังทุกข์ ความจริงฉันไม่อยากร้องไห้เลยเพราะฉันรู้ดีว่าการร้องไห้ไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวต่างๆมันคลี่คลาย แถมยังดูไร้สาระ แต่ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว คงเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้อ่อนแอได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครเห็น นอกจาก ตัวฉันเอง
ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่เบาะหลังมาตลอดทาง ลุงคนขับรถแท็กซี่คงเข้าใจว่าฉันนั่งหลับ เพราะเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่ที่ส่งผู้โดยสารที่ทางสนามบินจัดไว้ เขาก็ปลุกฉัน
“หนูจ๊ะ ถึงแล้วนะ ตื่นเถอะ”
“อ้อ...ค่ะ”
ฉันรีบเช็ดหน้าเช็ดตาที่เปรอะคราบน้ำตาอย่างลวกๆ แล้วก้มลงสวมรองเท้าผ้าใบ ในตอนนั้นลุงคนขับรถแท็กซี่เดินออกไปช่วยฉันเอากระเป๋าเดินทางออกจากท้ายรถเรียบร้อยแล้ว เมื่อฉันใส่รองเท้าเสร็จก็รีบออกจากรถทันที
“นี่ค่ะ ค่าโดยสาร ไม่ต้องทอนนะคะ”
“ขอบคุณครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”
ลุงแท็กซี่รับเงินค่าโดยสารที่ฉันส่งให้พร้อมกับอวยพรให้กับฉันในการเดินทาง ฉันยิ้มน้อยๆให้ลุงคนขับอีกที ก่อนจะถือกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร
ฉันเดินฝ่าผู้คนที่จอแจ และเสียงเอ่ะอ่ะที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์เข้ามาข้างในได้สำเร็จ เมื่ออยู่ในอาคารฉันก็เดินไปอย่างช้าๆไม่รีบนัก เพราะฉันมาถึงก่อนเวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมง เหตุที่ฉันรีบออกจาก ‘บ้าน’ เพราะฉันขี้เกียจจะอธิบายถึงการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ให้กับ ‘เจ้าของบ้าน’ ฟัง พนันได้เลยว่าถ้าฉันบอก มันจะต้องโวยวายและคงจับฉันมัดแขนมัดขาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนแน่นอน ที่ผ่านมาฉันจึงทำเนียน ใช้ชีวิตไปในแต่ละวันอย่างสงบสุข เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใช่ว่าฉันจะใจร้ายไม่ร่ำลาผู้มีพระคุณที่อุตส่าห์แบ่งที่พักให้ฉันอยู่ในเมืองไทยได้อย่างสุขสบายเป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม โดยที่มัน(เกือบ)จะไม่แตะต้องฉันเลย ฉันเขียนจดหมายขอบคุณบวกร่ำลามันไว้เสร็จสรรพ จดหมายที่อาจทำให้เราสองคน...แตก หัก
ฉันคิดไว้ว่ากว่ามันจะตื่นขึ้นมาเจอจดหมายฉันก็คงบินไปได้ครึ่งทางแล้วแหล่ะ หรือถ้ามันตื่นขึ้นมาเร็วกว่านั้นหน่อย ก็คงหาฉันไม่เจอหรอก สุวรรณภูมิน่ะ ไม่ใช่อพาตเมนท์บ้านมัน เดินยังไงก็คงหาไม่เจออยู่ดี แต่บางทีพอมันอ่านจบมันอาจขยำทิ้ง แล้วเผาพริกเผาเกลือแช่งให้เครื่องบินฉันตกกลางทางเลยก็ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่แคร์มันแล้วแหล่ะ ชาตินี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ดังนั้น...ช่างมันเถอะ
ฉันเดินเอ้อระเหยไปเรื่อยๆได้เกือบๆ 1 ชั่วโมงแล้ว มองภาพการร่ำลาของแม่กับลูก มองคู่หนุ่มสาวที่กอดกันกลมที่ดูท่าว่าคงจะคิดถึงกันมาก มองพ่อลูกคู่หนึ่งที่ทำท่าจะกอดกันแต่ก็ไม่กอดสักที เหมือนกับต่างฝ่ายต่างจะรอให้ฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามาก่อน เฮ้อ!! ว่าไป ไม่เห็นจะมีใครเดินทางมาที่นี่คนเดียวเลย อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ปกครอง ไม่ก็เพื่อนฝูงมาส่งบ้างแหล่ะ ถึงฉันจะไม่ใช่เด็กๆแล้วก็เถอะ แต่ก็แอบเหงานะเนี่ยกับการบินเดี่ยวครั้งนี้ แต่ฉันก็เลือกที่จะไปคนเดียวเงียบๆเองแหล่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นที่เค้าอายุ 23 เค้าจะกล้าเดินทางคนเดียวอย่างนี้แบบฉันมั๊ย แต่สำหรับฉัน ที่ฉันกล้าจะไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องรายงานใครให้รับรู้ก็เพราะว่าคนที่พร้อมจะรับรู้เรื่องของฉันทั้งหมด เขาจากฉันไปตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินระหว่างการเดินทางกลับมารับฉันไปอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ท่านทั้งสองสร้างอาณาจักรเล็กๆไว้ที่นั้น ฉันจำได้ติดตาเลยว่าที่นั่นสวยมาก และที่สำคัญฉันเชื่อว่าจิตและวิญญาณของพวกท่านทั้งสองคงสถิตอยู่ที่นั่น
‘พ่อคะ แม่คะ หนูกำลังจะกลับบ้านแล้วนะคะ’
ฉันคิดในใจระหว่างที่เดินไป โดยไม่ได้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเท่าไรนัก
“ฟอง!!”
เสียงเรียกจากด้านหลัง ซึ่งปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ ฉันจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร แต่ฉันก็ยังทำเป็นไม่ใส่ใจกับเสียงเรียกนั้น แต่กลับเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะหันไปมองข้างหลัง
“ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยหนูทีค่ะ”
ฉันขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างๆอยู่
“รับทราบครับ”
จากนั้นฉันก็รีบเดินเข้าไปเพื่อจะเข้าไปในตัวอาคารผู้โดยสารข้างใน ด้วยน้ำตาที่ตอนนี้มันเอ่อขึ้นมาเต็มสองตาฉันอีกครั้ง แต่ฉันพยายามที่จะกลั้นมันไว้
“ฟอง!! เดี๋ยวสิ ฟอง!! เราต้องคุยกันนะ”
“ไม่อนุญาตให้ญาติเข้านะครับ กรุณารอตรงนี้”
คุณเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ได้อย่างเคร่งครัดมาก ฉันที่หันหลังให้กับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างหลัง จะได้ยินก็แต่เสียงสะท้อนของเขาที่ก้องไปมาอยู่ในโสตประสาทการรับรู้ของฉัน โดยไม่อาจจะเลี่ยงได้
“ฟอง!! ได้โปรด หันกลับมาคุยกันก่อน”
“คุณเสียงดังเกินไปนะครับ กรุณาสงบลงด้วย”
“ฟอง!! ได้ยินเราพูดใช่มั๊ย กลับมาก่อนเซ่”
จากคำอ้อนวอนกลายเป็นคำสั่ง ถ้าฉันไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป สาบานได้ ฉันว่าเค้ากำลังร้องไห้ ‘กลัวจะเสียเพื่อนไปหรอ? นายก็เสียจริงๆนี่นา 555+ แต่เพื่อนแย่ๆอย่างฉัน นายอย่าเสียใจไปเลยนะ’
“ละอองฟอง!!”
เพียงแค่นั้น อยู่ๆขาของฉันก็ไม่สามารถขยับเดินต่อไปได้ ฉันหยุดอยู่กับที่โดยไม่มีเหตุผล น้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้มันเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันเสียใจ ฉันร้องไห้เป็นบ้าเป็นบอ โดยที่พยายามจะไม่ให้คนข้างหลังรับรู้ได้ว่า ฉันกำลังร้องไห้อยู่
“กลับบ้านเรากันนะ กลับเถอะนะฟอง”
“...”
“กลับไปเป็น...”
“...”
ยอมรับนะว่าตอนนี้ฉันแอบลุ้นอยู่ในใจว่าเค้ากำลังจะพูดให้ฉันกลับไปเป็น...
“กลับไปเป็น...เพื่อนเจ้าบ่าวให้เราที”
เพียงแค่นั้น ใจของฉันที่ดูเหมือนจะเบ่งบานขึ้นมาอีกครั้งก็ดับสลายด้วยคำพูดนั้นไปทันที นี่เรากำลังหวังอะไรอยู่หรอ? มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ก็เราเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้กมันนี่ วันแต่งงานของมันทั้งที ถ้าขาดเพื่อนเจ้าบ่าวไปจะมีใครคอยส่งยิ้ม แล้วบอกให้มันหายใจเข้าลึกๆในตอนที่มันตื่นเต้นสุดๆกันล่ะ แต่มันก็คงต้องหาคนมาทำหน้าที่นั้นแทนเราจริงๆ
ฉันสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกครั้งโดยไม่ต้องลังเลใจ มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวมากที่ทำแบบนี้ แต่ถ้าใครไม่มาเป็นฉันคงไม่รู้หรอกว่ามันเกินจะรับได้จริงๆ ฉันไม่ใช่ตัวร้ายในละครที่จะไปยืนมองคู่บ่าวสาวด้วยสายตาที่น่ารังเกียจอยู่ข้างๆเวที หรือเป็นนางเอกที่จะส่งยิ้มทั้งน้ำตาให้กับคู่บ่าวสาวที่กำลังกล่าวขอบคุณแขกท่านผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน แต่ฉันเป็นผู้กำกับ ที่เลือกจะกำกับบทบาทของตัวเองให้จากไปโดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนเลยดีกว่า เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะมอบให้กับเพื่อนรักของฉันเป็นของขวัญวันแต่งงาน อิสระ และห้องนอนที่ฉันอาศัยมันอยู่มา 2 ปี
“ฟอง!! อย่าไปนะ อย่าไปจากเรานะ เราขอโท...”
ฉันเดินไกลออกมาจนไม่สามารถได้ยินคำพูดของไอ้ว่าที่เจ้าบ่าวอีกแล้ว ฉันยังไม่หยุดร้องไห้ ฉันไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า ฉันจะเสียดายมั๊ยที่ฉันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าผู้ชายที่ฉันหลงรักมาตลอด 10 ปีเป็นครั้งสุดท้าย ฉันถือว่าเมื่อคืนฉันแอบไปนั่งมองหน้ามันในห้องนอนมาทั้งคืนแล้ว คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหันกลับไปแล้วทำให้ตัวเองหวั่นไหวอีกครั้ง
‘ทะเล ฉันทำได้แค่นี่แหล่ะ ฉันทำให้นายได้แค่นี้จริงๆ ฉันขอโทษนะ ขอให้นายโชคดี’
ความคิดเห็น